เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 5 เมษายน 2567

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด โดยหลีกเลี่ยงการทำงานหรือการประกอบกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นระยะเวลานานไว้ด้วย ในขณะที่ลมใต้ยังคงพัดปกคลุมภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคตะวันออกมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

สำหรับลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ในขณะที่ลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมในบริเวณดังกล่าวมีกำลังอ่อน


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน
อุณหภูมิต่ำสุด 27-29 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 34-39 องศาเซลเซียส
ลมใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 5 ? 7 เม.ย. 67 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ในขณะที่ในช่วงวันที่ 6 ? 7 เม.ย. 67 ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง สำหรับลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ ส่วนลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 8 ? 10 เม.ย. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด ประกอบกับมีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นในระยะแรก โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ สำหรับลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามัน ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด โดยหลีกเลี่ยงการทำงานหรือกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นเวลานาน ตลอดช่วง สำหรับในช่วงวันที่ 8 ? 10 เม.ย. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


แมงกะพรุนลอดช่องบุกหมู่เกาะห้อง จ.กระบี่ อุทยานแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวให้ระวัง



กระบี่ - อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี จ.กระบี่ ประกาศแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวที่ไปท่องเที่ยวเกาะห้อง เกาะเหลาลาดิง และ เกาะผักเบี้ย ระวังแมงกะพรุนลอดช่องที่ถูกคลื่นซัดเกยหาด แม้พิษจะไม่รุนแรง แค่รู้สึกคันๆ แสบร้อนเล็กน้อย แล้วก็หายไป

นายศิริวัฒน์ สืบสาย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี จ.กระบี่ ได้ออกประกาศแจ้งเตือนนักท่องเที่ยว โดยให้นักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวเกาะห้อง เกาะเหลาลาดิง เกาะผักเบี้ย หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ธบ.1 (เกาะห้อง) พื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณีจังหวัดกระบี่ ระวังแมงกะพรุนลอดช่อง หลังจากวันนี้ (4 เม.ย.) พบแมงกะพรุนลอดช่องถูกกระแสคลื่นทะเลพัดเข้าฝั่งเกลื่อนชายหาดเกาะผักเบี้ย และลอยอยู่ในทะเลเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ แมงกะพรุนลอดช่อง มีลักษณะทั่วไป โดยมีตัวร่มแบน ผิวเหนียวแข็งและหนา มีขนาดความกว้างของร่มอยู่ที่ 26 ซม. มีช่องเปิดบริเวณหนวดรอบปาก หนวดรอบปากยาว 15 ซม. หนวดตอนปลายแตกเป็นสามแขนง มีรยางค์ปลายหนวดทรงกระสวย และมีเข็มพิษ ลักษณะอาการเมื่อถูกหรือสัมผัสกับแมงกะพรุนจะรู้สึกคันๆ แสบร้อนเล็กน้อยแล้วก็หายไป


https://mgronline.com/south/detail/9670000029813

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


ระบุเพลิงไหม้เรือ ส่งผลกระทบขนสินค้าเข้าเกาะ ส่วนผู้โดยสารไม่มีผล ตร.เตรียมตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริง



สุราษฎร์ธานี - นายกเทศมนตรีเกาะเต่า ระบุ เพลิงไหม้เรือนอน ? ขนสินค้า ในเบื้องต้นอาจจะส่งผลกระทบในส่วนของการขนสินค้าเข้าเกาะ ขณะที่การขนส่งผู้โดยสารเชื่อไม่ส่งผลกระทบ ด้านเจ้าหน้าที่เตรียมลงตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

จากกรณีเกิดเหตุ เพลิงไหม้เรือนอน และขนสินค้า ระหว่างเส้นทางสุราษฎร์ธานี ? เกาะเต่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาจนได้รับความเสียหายทั้งลำ และ ผู้โดยสารต้องหนีตายวุ่น นั้น ล่าสุด ในส่วนของการดับเพลิงสามารถทำได้ 100% แล้ว และในส่วนของทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเตรียมที่จะลงตรวจสอบหาสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ที่แต่จริงต่อไป

ส่วนความคืบหน้า ล่าสุด ทางด้าน พ.ต.อ.โชคชัย สุทธิเมฆ ผกก.สภ.เกาะเต่า เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้นำรถบรรทุกน้ำลงไปในเรือเพิ่มอีก 1 ลำ เพื่อไปช่วยฉีดน้ำดับไฟในเรือไว้ได้แล้ว แต่ยังมีความร้อนจากใน้หองเครื่อง และ ตัวเรืออยู่ ทำให้ยังไม่สามารถลงไปสำรวจความเสียหายในเบื้องต้นได้ โดยจากนี้ ในส่วนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ ประสานเจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 8 เข้าตรวจสอบเข้าเก็บหลักฐาน เพื่อหาสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้ รวมทั้งให้ทางพนักงานสอบสวน สอบปากคำผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ รวมถึงลูกเรือ ก่อนที่จะมีการสรุปสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้ต่อไป

ขณะเดียวกันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้เปิดศูนย์รับเรื่อง ให้กับผู้ที่ทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายจากการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้ ให้เข้าแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือที่ตั้งอยู่ที่เทศบาลตำบลเกาะเต่า เพื่อรวบรวมความเสียหายที่เกิดขึ้น กับทรัพย์สิ้นของผู้โดยสาร

ด้าน นายวัชรินทร์ ฟ้าสิริพร นายกเทศมนตรีตำบลเกาะเต่า เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์เพลิงไหม้เรือนอนโดยสาร ซึ่งเป็นเรือ ที่ใช้บรรทุกสินค้าต่าง ๆ และผู้โดยสาร มายังเกาะเต่า ในส่วนของภาพรวม ของการเดินทางของนักท่องเที่ยว และ ผู้โดยสารที่จะเดินทางเข้าออกเกาะเต่า ไม่น่าจะส่งผลกระทบอะไรต่อผู้โดยสารที่จะเดินทาง เนื่องจากยังมีเรือโดยสารอีกหลายบริษัท ที่ค่อยให้บริการรับส่งผู้โดยสาร ทั้งเส้นทางจาก จ.ชุมพร มายังเกาะเต่า และจาก จ.สุราษฎร์ธานี จากเกาะสมุย จากเกาะพะงัน มายังเกาะเต่า ที่ให้บริการอยู่ แต่ในส่วนของสินค้าต่างๆ ที่จะถูกส่งมากับเรือบรรทุกสินค้าที่จะส่งมาเกาะเต่า ก็อาจจะได้รับผลกระทบบ้าง

เนื่องจากเรือที่เกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้ เป็นเรือที่มีความสำคัญอีกลำหนึ่งที่บรรทุกสินค้าจาก จ.สุราษฎร์ธานนี มายังเกาะเต่า แต่ยืนยันว่าในส่วนของสินค้าประเภทอาหาร และ สินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันอื่นๆ ไม่มีผลกระทบ เพราะยังมีเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค

แต่อาจจะกระทบในส่วนของสินค้าประเภทเช่น วัสดุภัณฑ์ ต่างๆ ที่จะนำมาใช้ในเกาะเต่าอาจจะได้รับผลกระทบบ้าง แต่อย่างไรก็ตามทางผู้ประกอบการเรือ ได้เร่งปรับปรุงซ่อมแซมเรือบรรทุกสินค้าสำรองอีกลำ ที่กำลังอยู่บนอู่เร่งซ่อมให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อให้กลับมาให้บริการลดปัญหาผลกระทบการขนส่งสินค้ามายังเกาะเต่า


https://mgronline.com/south/detail/9670000029767

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


ลุ้นเปิด "เกาะตาชัย" อีกครั้ง เป็นแหล่งท่องเที่ยวพรีเมียม เน้นนักท่องเที่ยวคุณภาพ



ผู้ว่าฯ พังงานำทีมตรวจความพร้อม "เกาะตาชัย" อช.สิมิลัน ชี้หากเปิดเกาะตาชัยอีกครั้งต้องมีมาตรการเข้มงวด เน้นนักท่องเที่ยวคุณภาพ ชูเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับพรีเมียมของประเทศ

นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา พร้อมด้วยนายโดม จันทร์สุวรรณ์ หัวหน้าอุทยานเเห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน นำคณะเดินทางลงพื้นที่ "เกาะตาชัย" ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่เกาะของ "อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน" เพื่อสำรวจพื้นที่ของเกาะตาชัยที่ปัจจุบันอยู่ในระหว่างปิดเกาะอย่างไม่มีกำหนดตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา เพื่อให้ธรรมชาติได้พักฟื้นและซ่อมแซมตัวเอง

ทั้งนี้ก่อนหน้านั้นเกาะตาชัยได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความสวยงามจนได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากจนล้นเกาะ ทำลายทรัพยากรธรรมชาติจนเสียหายและเกิดความเสื่อมโทรมลง จนทางกรมอุทยานฯต้องประกาศปิดการท่องเที่ยวที่เกาะตาชัยอย่างไม่มีกำหนด

ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เปิดเผยว่า จากการที่ได้หารือกับทางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน เพื่อเตรียมความพร้อมและวางแนวทางการบริหารจัดการให้มีความเหมาะสมและเข้มงวด หากจะทำการเปิดเกาะตาชัยอีกครั้ง จะต้องกำหนดมาตรการการเข้าชมแบบไหนเพื่อไม่ให้เหมือนอดีตที่ผ่านมา โดยตนมองว่าการคัดกรองเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าชม ไม่เน้นที่ปริมาณอย่างที่ผ่านมา การทำจุดรับ-ส่งในการขึ้นลงเรือนอกแนวปะการัง การจัดการขยะ ของเสีย กำหนดจุดเล่นน้ำ ดำน้ำ การรักษาความปลอดภัย รวมถึงมาตรการอื่น ๆ ให้มีความและเข้มงวดมากยิ่งขึ้นเพื่อให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะยกระดับของแหล่งท่องเที่ยวขึ้นเป็นระดับพรีเมี่ยม

"นักท่องเที่ยวเองก็จะได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่าเมื่อได้มาที่เกาะตาชัย คาดว่าหากมีหากความพร้อมทุกอย่างแล้วทางกรมอุทยานฯจะได้ทำการเปิดเกาะในเร็ว ๆ นี้แน่นอน และขอให้นักท่องเที่ยวที่เข้าไปเที่ยวชมอุทยานแห่งชาติทุกแห่ง หรือสถานที่ใด ๆ ก็ตาม ต้องช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ไม่นำขยะเข้าไป งดใช้สารเคมีที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับพื้นที่ เช่น ครีมกันแดดที่ผสมสารเคมีบางชนิด ซึ่งจะทำลายระบบระบบนิเวศของที่นั่น ๆ ได้" ผู้ว่าฯ พังงา กล่าว

ด้านนายโดม จันทร์สุวรรณ์ หัวหน้าอุทยานเเห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน กล่าวว่า จะต้องมีข้อมูลการศึกษาทางวิชาการไม่ว่าจะเป็น ระบบนิเวศชายฝั่ง ระบบนิเวศบนเกาะ ข้อจำกัด ผลกระทบ ผลดี ผลเสีย ต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาอย่างรอบด้าน และจะต้องยกระดับนักท่องเที่ยวรวมถึงผู้ประกอบการนำเที่ยวเช่นกัน เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยเดิมจนต้องกลับมาปิดอีกครั้ง


https://mgronline.com/travel/detail/9670000029608

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


ใจฟู! อช. หมู่เกาะสุรินทร์ถ่ายภาพ "วาฬโอมูระ" พร้อมกันแม่ลูกได้ 4 ตัว


ภาพจาก เจ้าหน้าที่ อช.หมู่เกาะสุรินทร์

อช. หมู่เกาะสุรินทร์ เผยภาพถ่ายฝูง "วาฬโอมูระ" ยักษ์ใหญ่แห่งท้องทะเล พร้อมหน้าแม่ลูกจำนวน 4 ตัว ใกล้เกาะราชา จ.ภูเก็ต

เฟซบุ๊กเพจอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ - Mu Ko Surin National Park โพสต์ภาพครอบครัวฝูงวาฬโอมูระจำนวน 4 ตัว พร้อมให้ข้อมูลว่า

"วาฬโอมูระ" เป็นวาฬสายพันธุ์หายากที่มีความใกล้เคียงกับวาฬบรูด้า เรียกว่าเป็นญาติกับบรูด้า จึงมักถูกเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ และมีข้อมูลเกี่ยวกับวาฬชนิดนี้น้อยมาก

"วาฬโอมูระ" ยังเป็น 1 ในสัตว์ป่าสงวนของไทยที่ใกล้จะสูญพันธุ์และหายาก สำหรับชื่อของวาฬโอมูระนั้นตั้งตามชื่อนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลชาวญี่ปุ่นนามว่าฮิเดโอะ โอมูระซึ่งเป็นผู้ค้นพบวาฬโอมูระ ในปี พ.ศ. 2546

วาฬโอมูระ (Omura?s Whale) Balaenoptera omurai Wada, Oishi, and Yamada, 2003 มีขนาดโตเต็มที่ยาว 9.0-11.5 ม. หนักน้อยกว่า 20 ตัน ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่า ตัวผู้เล็กน้อย

มีรูปร่างค่อนข้างเพรียว ส่วนหัวมีสันนูน 1 สัน มีร่องใต้คางสีอ่อนจำนวน 80-90 ร่อง ยาวพ้นสะดือ กรามด้านซ้ายมีสีดำ ส่วนข้างขวามีสีจางหรือสีขาว ลำตัวมีสีเทาดำ ท้องสีอ่อน หรือชมพู

มีซี่กรองจำนวน 180-210 คู่ ขนาดสั้นและกว้าง มีสีขาวเหลืองถึงดำ ครีบหลังคล้ายวาฬบรูด้า แต่โค้งงอ มากกว่า อยู่ค่อนไปทางหาง ช่วงวัยเจริญพันธุ์อยู่ประมาณ 8-13 ปี หรือความยาวไม่น้อยกว่า 9 ม.

พฤติกรรมส่วนใหญ่พบเพียงลำพังตัวเดียวหรือเป็นคู่ แต่อาจมีพฤติกรรมการรวมกลุ่มจำนวนมากในแหล่งอาหาร ซึ่งอาหารของมันก็คือปลาที่รวมฝูง กินแบบพุ่งงับฝูงเหยื่อครั้งละมากๆ (Lunge feeder)

วาฬโอมูระมีถิ่นอาศัยและการแพร่กระจายในเขตร้อนถึงอบอุ่น พบทั้งเขตนอกฝั่งและชายฝั่ง ส่วนมากพบบริเวณตะวันออกของมหาสมุทรอินเดีย และฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก

ในประเทศไทยพบซากบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน ส่วนฝั่งอ่าวไทย พบตั้งแต่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ลงไปถึง จ.สงขลา ซึ่งภาพถ่ายในธรรมชาติครั้งนี้ถ่ายได้จากฝั่งทะเลอันดามัน พบใกล้เกาะราชา จ.ภูเก็ต ฝูงหนึ่งจำนวน 4 ตัว

ที่มาข้อมูล : คู่มือการจำแนกชนิดสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมและเต่าทะเลในประเทศไทย


https://mgronline.com/travel/detail/9670000029729

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


ปรากฏการณ์โลกเปลี่ยน ! ปูเสฉวน 2 ใน 3 หันมา 'สวมขยะพลาสติกของเรา'



ขยะจากผลิตภัณฑ์พลาสติกต่างๆ กำลังท่วมชายหาดทั่วโลก น่าแปลกที่ปูเสฉวนได้ปรับตัวโดยเลือกใช้สิ่งของต่างๆ เช่น ฝาขวด หลอดไฟ และถ้วยพลาสติกมาเป็นเปลือกหอย

นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า "บางทีภาพปูเสฉวนที่อาศัยอยู่ในเศษขยะเหล่านี้อาจสอนบทเรียนเกี่ยวกับการนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่แทนการทิ้ง"

จากผลการศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน Science of The Total Environment เมื่อต้นปีนี้ พบว่าพฤติกรรมของปูเสฉวน (Hermit crabs) สามารถสังเกตได้ในระดับโลก เมื่อพวกมันส่วนใหญ่เลือกใช้ขยะพลาสติกเหล่านั้นมาเป็นเกราะป้องกันร่างกายแทนเปลือกหอย

นักชีววิทยาชาวโปแลนด์ได้ทำการศึกษาโดยวิเคราะห์วรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์และวิดีโอออนไลน์ โดยค้นพบสัตว์จำพวกครัสเตเชียน 386 ตัวที่ถูกห่ออยู่ในขยะ วิดีโอเหล่านี้จัดแสดงตัวอย่างปูเสฉวน 10 จาก 16 สายพันธุ์ที่พบทั่วโลก ครอบคลุมพื้นที่เขตร้อนตั้งแต่แอฟริกาไปจนถึงอเมริกากลาง สิ่งที่น่าสนใจคือ 85% ใช้เศษพลาสติก ในขณะที่ส่วนที่เหลือใช้วัสดุทดแทน เช่น โลหะและแก้ว "เราเพิ่งได้รับการยืนยันว่าปูเสฉวนทั่วโลกใช้วัสดุเทียม" นักชีววิทยา ซูซานนา จาเกียลโล (Zuzanna Jagiello จากมหาวิทยาลัย Warsaw) ผู้เขียนหลักของการศึกษากล่าว

ทีมวิจัยพบว่าปูชอบเศษซากพลาสติกมากกว่าเปลือกหอยเพราะหาได้ง่ายกว่าตามชายฝั่งและช่วยพรางตัวได้ดีกว่า พวกเขายังวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ เช่น กลิ่น น้ำหนัก และการส่งสัญญาณทางเพศ การถือเปลือกหอยธรรมชาติที่หนักกว่านั้นต้องใช้พลังงานมากกว่า สีและกลิ่นของพลาสติกก็สามารถช่วยดึงดูดคู่รักได้ การศึกษาที่ดำเนินการในปี 2021 พบว่าปูถูกดึงดูดด้วยสารเคมีที่ปล่อยออกมาจากพลาสติก

อย่างไรก็ตาม มีด้านพลิกกลับของเรื่องนี้ ในปี 2019 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบขยะ 414 ล้านชิ้นเกยอยู่บนชายฝั่งหมู่เกาะโคโคส ซึ่งเป็นดินแดนห่างไกลของออสเตรเลียในมหาสมุทรอินเดีย พวกเขาวิเคราะห์ผลกระทบของขยะที่มีต่อปูเสฉวนในภูมิภาค และพบว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่าครึ่งล้านโดยติดอยู่ในสิ่งของที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งพวกมันอาศัยอยู่

ผลกระทบของการเปลี่ยนเปลือกหอยธรรมชาติด้วยพลาสติกนั้นยังไม่ชัดเจน แต่นักวิจัยเชื่อว่ามันสามารถนำไปสู่ผลที่ตามมาที่เป็นอันตราย เช่น เต่าที่มีหลอดติดอยู่ในจมูก และวาฬสเปิร์มที่อาศัยอยู่พร้อมกับขยะหลายปอนด์ในท้องของพวกมัน จากีเอลโลพบว่า "มันน่าเสียใจที่เห็นสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาศัยอยู่ในถังขยะ แต่ก็รับรู้ว่าพวกมันแค่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของมัน"


ความฉลาดของปูเสฉวน

การหาบ้านของพวกมันไม่ใช่เรื่องง่าย วิถีการใช้ชีวิตของปูเสฉวนจึงเต็มไปด้วยการตัดสินใจที่ท้าทายซึ่งต้องการความสามารถทางปัญญาขั้นสูง แม้ว่าการวิจัยเกี่ยวกับสมองของปูเสฉวนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่การศึกษาเบื้องต้นได้ระบุถึงความแตกต่างจากปูเสฉวนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับรู้เชิงพื้นที่และคณะการสำรวจได้รับการพัฒนามากขึ้น ความทรงจำที่แข็งแกร่งช่วยให้จำลักษณะของเปลือกได้ ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและพลังงานในระยะยาว

ปูเสฉวนต่างจากปูส่วนใหญ่ตรงที่เกิดมาพร้อมกับเนื้อที่อ่อนนุ่มแทนที่จะเป็นส่วนท้องที่แข็งตัวตามธรรมชาติ พวกมันอาศัยอยู่ในเปลือกหอยเพื่อป้องกันผู้ล่า กระแสน้ำ (หากเป็นปูทะเล) และการผึ่งให้แห้ง (หากพวกมันอยู่บนบก) การเลือกเปลือกหอยที่ดีที่สุดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับปูเสฉวน แต่พวกมันทำอย่างไร ขั้นแรก พวกเขาประเมินเปลือกหอยด้วยตาเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประเภท ขนาด และสีของมัน จากนั้นจึงใช้ขาและคีมคีบสำรวจภายในและภายนอกเพื่อให้แน่ใจว่ามีขนาดเหมาะสม เมื่อพวกมันโตขึ้น พวกมันจะทิ้งเปลือกของมันและค้นหาอันที่ใหญ่กว่าเพื่อลอกคราบ

ปูเสฉวนก็มีโซ่แลกเปลี่ยนเช่นกัน เมื่อพบเปลือกหอยที่ใหญ่เกินไป มันจะเก็บไว้ใกล้ตัวเพื่อให้ปูตัวอื่นใช้ เมื่อมีเปลือกหอยขนาดใหญ่ขึ้น ปูที่รอจะจัดเรียงตัวตามขนาด เมื่อปูตัวแรกทำการเปลี่ยน ห่วงโซ่การแลกเปลี่ยนจะเกิดขึ้น และทุกคนจะได้รับเปลือกที่ดีขึ้น ปูคาดการณ์ถึงความจำเป็นในการใช้กระดองใหม่และจัดระเบียบตัวเองเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนย้าย การวิจัยยืนยันความสามารถในการจดจำเปลือกหอยที่เคยอาศัยอยู่หรือตรวจสอบก่อนหน้านี้

ช่างภาพ Shawn Miller มีส่วนร่วมในการวิจัยโดยการถ่ายภาพสัตว์จำพวกครัสเตเชียนโดยใช้เศษซากเป็นเปลือกหอย วิดีโอรายการหนึ่งของเขาแสดงให้เห็นปูที่เคลื่อนไหวจากแผ่นพลาสติกไปสู่เปลือกหอยธรรมชาติ มิลเลอร์กล่าวว่าปูเสฉวนไม่ได้เลือกที่จะมีชีวิตอยู่อย่างถาวรในพลาสติก พวกเขาเพียงแค่ใช้มันชั่วคราวจนกว่าพวกเขาจะค้นพบเปลือกธรรมชาติที่เหมาะสมกว่า

เปลือกหอยธรรมชาติมีน้อยลง ในขณะที่ปริมาณพลาสติกที่ถูกทิ้งยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หอยสร้างเปลือกหอยเองโดยใช้แคลเซียมคาร์บอเนตจากน้ำทะเล แต่จำนวนหอยเหล่านี้กำลังลดลงเนื่องจากความกดดันในการจับปลา อุณหภูมิมหาสมุทรที่สูงขึ้น และมลพิษทางน้ำ กรีนพีซประมาณการว่าการผลิตพลาสติกเพิ่มขึ้น 900% ระหว่างปี 1980 ถึง 2020 หรือเกิน 500 ล้านตันต่อปี พลาสติกจำนวนมากถูกนำไปฝังกลบแทนที่จะนำไปรีไซเคิล

บางทีภาพปูเสฉวนที่อาศัยอยู่ในเศษขยะเหล่านี้อาจสอนบทเรียนเกี่ยวกับการนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่แทนการทิ้ง

อ้างอิง
- https://english.elpais.com/.../hermi...s-have-swapped
- https://www.bbc.com/news/science-environment-68071695



https://mgronline.com/greeninnovatio.../9670000029570

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก มติชน


ทะเลเดือดของจริง อ่าวไทยตอน ตี 3 อุณหภูมิ 32 องศา ทั้งที่ ปกติแค่ 30 เท่านั้น



กรณีเกิดปรากฏการณ์ แมงกะพรุนจำนวนมาก ถูกกระแสน้ำซัดขึ้นมา แนวชายหาด เกาะห้อง หาดผักเบี้ย ตำบลเขาทอง อำเภอเมืองกระบี่ เขตอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี จ.กระบี่ จำนวนมาก โดยมีรายงานว่า ไม่เคยมีแมงกะพรุนลอยขึ้นมาติดชายหาดมากมายเท่านี้มาก่อนนั้น

วันที่ 4 เมษายน ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ มติชนออนไลน์ ว่า เวลานี้ หลายสิ่งอย่างในธรรมชาติ โดยเฉพาะในท้องทะเลเริ่มมีอาการผิดปกติ เรียกว่าทะเลเดือดก็ไม่ผิด เพราะตอนนี้ อุณหภูมิในอ่าวไทย สูงถึง 32 องศาเซลเซียสกว่าๆ อาจจะถึง 32.5 องศาเซลเซียส สูงกว่าปีที่แล้ว ประมาณ 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่ง 1.5 องศาที่เพิ่มขึ้นมานั้น ถือว่าสูงมาก เน้นว่าสูงมากๆ เพราะแม้กระทั่งช่วงเวลาตี 1 ถึงตี 3 ซึ่ง ปกติช่วงเวลานี้อุณหภูมิของน้ำทะเลจะลดลงแล้ว แต่เวลานี้ ตี 3 อุณหภูมิยัง 32 องศาเซลเซียสอยู่เลย ทั้งที่ช่วงเวลาเดียวกันนี้ของปีที่ผ่านๆ มา อุณหภูมิจะอยู่ที่ 30 องศาเซลเซียสเท่านั้น ถือว่าผิดปกติมากๆ

"ซึ่งการที่อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นมามากขนาดนี้ จะมีผลปรากฏการณ์อื่นๆ ตามมาอีกหลายอย่าง เช่น ปรากฏการณ์แพลงตอนบลูม น้ำทะเลสีเขียว โดยเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ที่ จ.ตรัง ก็เกิดปรากฏการณ์แพลงตอนบลูมนี้ โดยเมื่อมีแพลงตอนเยอะเมื่อไหร่ ก็จะมีแมงกะพรุนเข้ามากิน เพราะแมงกะพรุนนั้นกินแพลงตอนเป็นอาหาร อีกทั้งเมื่อน้ำร้อน ปลาทะเลก็จะว่ายหนีน้ำร้อนไปออกทะเลลึก หรือส่วนที่มีน้ำเย็นกว่า ผลก็คือ ชาวประมงจับปลาไม่ได้ หรือต้องออกเรือไปไกลๆ กว่าเดิมเพื่อให้ได้ปลามา" ผศ.ดร.ธรณ์กล่าว

ผศ.ดร.ธรณ์กล่าวว่า ที่สำคัญคือ หากอุณหภูมิของน้ำทะเลยังสูงต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้อีก 2-3 สัปดาห์จะเกิดปัญหาปะการังฟอกขาวอย่างแน่นอน ซึ่งตอนนี้ได้รับรายงานว่า บางแห่งเริ่มมีความซีดเล็กๆ แล้ว อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการที่น้ำทะเลอุณหภูมิสูงขึ้น ไม่เกี่ยวกับการเกิดแผ่นดินไหว ไม่ว่าจะเป็นที่ไต้หวัน หรือที่ญี่ปุ่นใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น อย่าเอาไปโยง การที่มีแพลงตอนบลูม หรือมีแมงกะพรุนขึ้นมาเยอะ จะเป็นการเตือนเรื่องแผ่นดินไหว ไม่เกี่ยวกัน


https://www.matichon.co.th/local/qua...e/news_4510158

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก มติชน


สปป.ลาว ประกาศเตือนปชช. รถขนสารเคมีพลิกคว่ำ สารพิษไหลลงน้ำโขง ปลาตายเกลื่อน

สปป.ออกหนังสือเตือน รถบรรทุกสารเคมี พลิกคว่ำ เคมีไหลลงน้ำ ปลาน้ำโขงเริ่มตาย



เมื่อวันที่ 4 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เลย จากกรณีที่มีหนังสือแจ้งเตือนของ สปป.ลาว ลงวันที่ 4 เมษายน 67 กรณีเมืองหลวงพระบาง มีรถบรรทุกสารเคมีพลิกตะแคงตกร่องข้างถนน ทำให้สารเคมีที่บรรทุกมารั่วไหลลงร่องถนน และไหลลงสู่แม่น้ำคาน ก่อนจะไหลเข้าสู่แม่น้ำโขง ส่งผลกระทบมีปลาเริ่มตายเป็นจำนวนมาก

ซึ่งทางการ สปป.ลาว ออกหนังสือแจ้งเตือนระบุว่า ห้ามประชาชนลงเล่นน้ำ ห้ามนำปลาที่ตายมาปรุงอาหาร หรือนำปลาที่ใกล้ตายออกขาย โดยทาง สปป.ลาวยังไม่ทราบว่ารถคันดังกล่าวบรรทุกสารเคมีชนิดใด ซึ่งสารเคมีรั่วไหลลงแม่น้ำตั้งแต่วันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับรถบรรทุกสารเคมีที่พลิกคว่ำ บรรทุกสารเคมีประเภทกรดซัลฟิวริก (Sulfuric acid) หรือกรดกำมะถัน มีสูตรเคมีว่า H?SO? รั่วไหลลงแหล่งน้ำประมาณ 30 ตัน คาดว่าอาจจะส่งผลกระทบกับประเทศไทยไม่มากนัก เพราะจังหวัดเลยและหลวงพระบาง การเดินทางของน้ำโขงในช่วงฤดูแล้งอาจจะใช้เวลาหลายวัน ทั้งยังมีเขื่อนไชยะบุรีกั้นอีกกว่าสารเคมีจะมาถึงประเทศไทยก็คงเจือจางลง


https://www.matichon.co.th/region/news_4510460

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #9  
เก่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


'ไฟฟ้าเคมี' ลดกรดในทะเล กำจัดก๊าซคาร์บอน ต้นตอปัญหา 'ภาวะโลกร้อน' ................ โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล



'ไฟฟ้าเคมี' ลดกรดในทะเล กำจัดก๊าซคาร์บอน ต้นตอปัญหา 'ภาวะโลกร้อน'
นักวิจัย พบว่า "ไฟฟ้าเคมี" (Electrochemistry) เป็นหนึ่งในวิธีที่สามารถสลายคาร์บอนกับกรดในมหาสมุทรได้ดีที่สุด ทั้งประหยัด ปรับขนาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ทุกประเทศต่างพยายามที่จะยับยั้งความรุนแรงของ "ภาวะโลกร้อน" ซึ่งวิธีที่จะแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วที่สุด คือ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะ "ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์" ออกจากชั้นบรรยากาศและมหาสมุทรให้ได้มากที่สุด

นอกจากนี้ คาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายในมหาสมุทรจะทำปฏิกิริยากับสารเคมีที่เพิ่มความเป็นกรดของมหาสมุทรเพิ่มขึ้น โดยปรกติแล้วการละลายของแร่ธาตุจากหินตามแนวชายฝั่งจะใช้ปรับกรดช่วยปรับสมดุลความเป็นกรดนี้ ซึ่งกระบวนการนี้เรียกว่า "การผุกร่อนทางธรณีวิทยา" แต่ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา ก๊าซคาร์บอนเพิ่มขึ้นสูงจนเกินกว่าอัตราการผุกร่อนทางธรณีวิทยาไปมาก ส่งผลให้ความเป็นกรดในมหาสมุทรเพิ่มขึ้น 30%

เมื่อมหาสมุทรกลายเป็นกรด สัตว์ทะเลนับล้านชนิดและระบบนิเวศทั้งหมด โดยเฉพาะแนวปะการังไม่สามารถปรับตัวได้ ในที่สุดพวกมันก็จะตายลง


"ไฟฟ้าเคมี" ความหวังลด "ก๊าซคาร์บอน"

ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบวิธีที่สามารถปรับสมดุลค่าความเป็นกรดด่าง (pH) ของมหาสมุทรได้โดยการเพิ่มความเป็นด่างในมหาสมุทร (OAE) ได้ ด้วยการเพิ่มแร่อัลคาไลที่บดละเอียดลงในมหาสมุทร เพื่อลดความเป็นกรดของน้ำโดยตรง แต่กระบวนการเหล่านี้จะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากและต้องทำอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ประมาณการว่าจะต้องเติมสารอัลคาไลน์ในปริมาณเท่ากับตึก Empire State 8,000 ตึก ลงในมหาสมุทรทุกปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มทุนเป็นอย่างมาก

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแม็คมาสเตอร์และมหาวิทยาลัยโตรอนโต ของแคนาดาร่วมกัน ทำการศึกษาเพื่อหาทางลดก๊าซคาร์บอนในทะเลและลดความเป็นกรดในทะเล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Carbon to Sea Initiative องค์กรจำกัดก๊าซคาร์บอน โดยพบว่า ?ไฟฟ้าเคมี? (Electrochemistry) เป็นหนึ่งในวิธีที่สามารถสลายคาร์บอนกับกรดในมหาสมุทร

ด้วยกระบวนการที่เรียกว่า "ไบโพลาร์เมมเบรนอิเล็กโตรไดอะลิซิส" หรือ BMED ซึ่งเป็นการดึงกรดออกจากน้ำทะเลโดยตรงไม่ต้องเติมสารอื่น ๆ ใช้เพียงน้ำทะเล ไฟฟ้า และเมมเบรนชนิดพิเศษเท่านั้น ซึ่งเป็นวิธีการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปรับขนาดได้ ทำได้ง่าย และอาจคุ้มค่าที่สุด เพราะใช้พลังงานหมุนเวียน

ในกระบวนการ BMED เป็นกระบวนการที่ใช้ไฟฟ้าแยกกรดออกจากน้ำทะเล เมื่อนำน้ำทะเลเข้ากระบวนการ เมมเบรนจะอนุญาตให้ไอออนที่มีประจุผ่านได้เท่านั้น พร้อมปิดกั้นโมเลกุลที่เป็นกลางเช่น น้ำ

ดังนั้นกระแสไฟฟ้า BMED สามารถแยกไฮโดรเจนไอออน (H+) ซึ่งก่อให้เกิดความเป็นกรดออกจากน้ำทะเลได้ ส่วนสารละลายอัลคาไลน์ที่ได้สามารถใช้เพื่อทำให้น้ำทะเลที่เป็นกรดเป็นกลางในที่อื่นได้ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีคุณค่า เช่น ก๊าซไฮโดรเจน ซึ่งสามารถช่วยชดเชยต้นทุนการดําเนินงานได้

ในปี 2015 นักวิจัยสร้างและทดสอบระบบ BMED พบว่าวิธีการนี้สามารถทำงานใช้ได้ดี โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ เช่น โรงกลั่นน้ำทะเล แต่ในช่วงนั้น ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศยังไม่เป็นที่พูดถึงมากนัก ทำให้โครงการนี้ถูกยกเลิกไป

แต่ในปัจจุบันที่เกิด "สภาพอากาศสุดขั้ว" ตั้งแต่ไฟป่าครั้งใหญ่ในแคนาดา จนมีเดือนที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ รวมไปถึงอุณหภูมิทะเลที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่เคยวัดมา ส่งผลให้ทีมวิจัยรื้อฟื้นเทคโนโลยี BMED ขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศลง

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี BMED ยังมีข้อจำกัดที่ต้องใช้เมมเบรนชนิดพิเศษ ที่เสี่ยงต่อการย่อยสลายได้ง่ายและมีอายุการใช้งานสั้น อีกทั้งมีต้นทุนสูง คิดเป็นประมาณ 30% ของงบประมาณทั้งหมด


พัฒนากระบวนการ "ไฟฟ้าเคมี" ให้มีประสิทธิภาพ

งานวิจัยนี้มีเป้าหมายที่จะพัฒนาและปรับปรุงเมมเบรนให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสร้างเมมเบรนที่สามารถปรับขนาดได้ มีต้นทุนต่ำ สามารถใช้ได้ทั่วโลกอย่างคุ้มทุน และสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมล้อมให้น้อยที่สุด โดยกำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาวัสดุจากธรรมชาติ

อีกทั้งการพัฒนาระบบ BMED ที่คุ้มค่า ช่วยเปิดเส้นทางสู่ OAE ที่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจอีกด้วย นอกจากนี้ นักวิจัยกำลังพัฒนาวิธีการรวม BMED เข้ากับเทคโนโลยีการฟื้นฟูมหาสมุทรอื่น ๆ เช่น การดักจับและกักเก็บคาร์บอน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีบริษัทสตาร์ทอัพที่มีเป้าหมายในการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในมหาสมุทรผ่าน OAE เกิดขึ้นหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Ebb Carbon, SeaO2 และ Vesta ซึ่งงานวิจัยนี้ได้สนับสนุนให้มีการสื่อสารอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความก้าวหน้าและความท้าทายที่ OAE เผชิญอยู่กับสาธารณะ สถาบันวิจัย รัฐบาล และภาคเอกชน เพื่อเร่งรัดการแก้ปัญหาความท้าทายของ OAE

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการประเมินผลกระทบของการปรับความเป็นด่างของน้ำทะเลต่อระบบนิเวศทางทะเล ขณะเดียวกันก็พัฒนาและดำเนินการระบบที่เชื่อถือได้เพื่อวัดผล รายงาน และตรวจสอบปริมาณสุทธิของความเป็นกรดและคาร์บอนที่ถูกกำจัดออกไป

นอกจากนี้ ยังต้องระบุตำแหน่งการติดตั้งใช้งานขนาดใหญ่ที่เหมาะสมที่สุดซึ่ง OAE สามารถนำไปใช้ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยข้อควรพิจารณาเหล่านี้กำลังได้รับการวิจัยโดยกลุ่มต่าง ๆ แต่จำเป็นต้องมีการสนับสนุนเพิ่มเติมอีกมากเพื่อตรวจสอบและปรับขนาดเทคโนโลยีนี้อย่างรวดเร็ว

เพื่อเอาชนะความท้าทายทางเทคโนโลยีและความไม่แน่นอนด้านสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนจากรัฐบาล ภาคอุตสาหกรรม องค์กรไม่แสวงผลกำไร และการร่วมลงทุนจะต้องได้รับการขยายขนาดอย่างมหาศาลและทุ่มเทให้กับการตรวจสอบการใช้งานเทคโนโลยี OAE ในวงกว้างอย่างรอบคอบและมีความรับผิดชอบทั่วโลก

ที่มา: Nature World News, Phys, The Conversation


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1120845

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #10  
เก่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,253
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


"อุทยาน" แจ้งเอาผิด "ทางพินัย" นักท่องเที่ยวจับหางฉลามวาฬ

กรมอุทยานฯ แจ้งเอาผิด "ทางพินัย" นักท่องเที่ยวต่างชาติจับหางฉลามวาฬ สัตว์ป่าสงวนใกล้กองหินริเชริว หมู่เกาะสุรินทร์



จากกรณีโซเชียลแชร์ภาพนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มาดำน้ำที่กองหินริเชริว อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา และได้สัมผัสปลายหางฉลามวาฬ โดยเป็นเหตุการณ์ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า ได้รับรายงานจากนายอาทิตย์ ขยันกิจ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ว่า อุทยานฯ ได้รวบรวมพยานหลักฐาน คลิปวีดีโอ ภาพถ่าย เพื่อดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาการกระทำผิดทางพินัยกับผู้กระทำผิด รวมทั้งประสานงานกับผู้ควบคุมดำน้ำลึก เพื่อขอทราบข้อมูลการกระทำผิด

ล่าสุดทางหัวหน้าอุทยานฯ ได้แจ้งข้อกล่าวหาการกระทำผิดทางพินัย ให้ผู้กระทำผิดทราบ และผู้กระทำผิด ผู้ควบคุมดำน้ำลึกรับสารภาพ อุทยาน นำส่งบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาการกระทำผิดทางพินัย และบันทึกการให้การรับสารภาพ ส่งสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 เพื่อดำเนินการ

ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ได้ยกระดับให้ปลาฉลามวาฬ เป็นสัตว์ป่าสงวน ซึ่งฉลามวาฬ (Whale Shark) เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

นอกจากนี้ข้อห้ามสำหรับนักดำน้ำเพื่อไม่ให้ถูกแจ้งเอาผิด และกระทบต่อทรัพยากรทางทะเล มีดังนี้ ห้ามยืนหรือเหยียบบนปะการัง ไม่ควรหยิบจับ หรือแหย่สัตว์ทะลทุกชนิด เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเองและธรรมชาติ

ห้ามให้อาหารปลาหรือสัตว์ทะเลทุกชนิด ซึ่งจะมีผลต่อพฤติกรรมของสัตว์ นอกจากนี้อาหารที่เราให้อาจทำให้สัตว์น้ำเจ็บป่วยได้ ห้ามทิ้งขยะ และเศษอาหารลงทะเล ห้ามเก็บปะการัง รวมทั้งสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในแนวปะการังเป็นอันขาด

สำหรับฉลามวาฬ มักอาศัยในทะเลที่น้ำมีอุณหภูมิ 18?30 องศาเซลเซียส ลำตัวของมันมีมีสีเทา มีลายจุดสีขาวและสีเหลืองอ่อนตามตัว ความยาวของวัยตัวโตเต็มวัยอยู่ที่ 5.5?10 เมตร แต่อาจยาวได้ถึง 12 เมตร และอาจหนักได้ถึง 20 ตัน กินแพลงก์ตอนเป็นอาหาร

ฉลามวาฬไม่เป็นภัยต่อมนุษย์ แต่กำลังประสบปัญหาคุกคามจากมนุษย์ ทั้งการลดจำนวนลงของแพลงก์ตอน และมลพิษกับอุบัติเหตุจากเรือยนต์เช่นเดียวกัน แต่ฉลามวาฬจะพบการคุกคามที่รุนแรงกว่า คือการล่าเพื่อตัดครีบที่เรียกว่า "หูฉลาม"


https://www.thaipbs.or.th/news/content/338742

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:24


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger