![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนปกคลุมประเทศไทยตอนบน และภาคใต้ตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นในตอนเช้า โดยอุณหภูมิจะลดลงอีก 1-2 องศาเซลเซียส ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ส่วนบริเวณยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 7-14 องศาเซลเซียส และยอดภูมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-15 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ประกอบกับร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนล่างเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศมาเลเซีย ทำให้ภาคใต้ตอนล่างยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในระยะนี้ไว้ด้วย อนึ่ง พายุโซนร้อนกำลังแรง "นัลแก" บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งมณฑลกวางตุ้งประเทศจีนในช่วงวันที่ 2-3 พ.ย. 65 และจะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศเย็นในตอนเช้า และอุณหภูมิจะลดลงอีก 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 20-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 2 ? 4 พ.ย. 65 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนอีกระลอกหนึ่งจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิจะลดลง 2 ? 4 องศาเซลเซียสกับมีลมแรง ส่วนในช่วงวันที่ 5 ? 7 พ.ย. 65 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2 ? 4 องศาเซลเซียส และมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง สำหรับร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคใต้ตอนล่าง ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่ง อ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1 ? 2 เมตร ส่วนบริเวณฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อนึ่ง พายุโซนร้อนกำลังแรง "นัลแก" บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบนมีแนวโน้มจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศจีนตอนใต้ในวันที่ 3 พ.ย. 65 และจะลดกำลังลงอย่างรวดเร็ว โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย และประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตก สะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควร เดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ********************************************************************************************************************************************************* ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง พายุ "นัลแก" ฉบับที่ 6 (307/2565) เมื่อเวลา 4.00 น. ของวันนี้ (2 พ.ย. 65) พายุโซนร้อนกำลังแรง "นัลแก" บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ที่ละติจูด 20.4 องศาเหนือ ลองจิจูด 115.1 องศาตะวันออก ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้มีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีนในช่วงวันที่ 2-3 พ.ย. 65 นี้ ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ในช่วงวันที่ 2 ? 5 พ.ย. 65 ลักษณะเช่นนี้จะทำให้พายุอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว โดยพายุนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
ตื่นตาตื่นใจ! 'พะยูน' สัตว์ป่าสงวนดำผุดดำว่าย อวดโฉมนักท่องเที่ยว กลาง 'เกาะลิบง' สุดตื่นตา! 'พะยูน' สัตว์ป่าสงวนของไทย ดำผุดดำว่ายพลิกหงายท้อง อวดโฉมโชว์กลุ่มนักท่องเที่ยวในทะเล กลาง 'เกาะลิบง' กำนันเผยพบเห็นได้ไม่บ่อยนักบริเวณจุดดังกล่าว เนื่องจากไม่ใช่แหล่งหญ้าทะเล ![]() เมื่อวันที่ 1 พ.ย. นายอับดุลรอหีม ขุนรักษา กำนัน ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง ได้บันทึกภาพและส่งต่อให้ผู้สื่อข่าว เปิดนาทีแห่งความประทับใจที่ พะยูน ตัวโต น้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม ว่ายน้ำอวดโฉม ทั้งดำผุดดำว่าย พร้อมและโชว์ลีลาพลิกหงายท้องไปมาจำนวนหลายครั้ง ระยะเวลานานกว่า 15 นาที ก่อนจะดำน้ำหายไป บริเวณหอชมพะยูน (สะพานหลีกภัย) หมู่ 4 บ้านบ้านบาตูปูเต๊ะ ต.เกาะลิบง ซึ่งพะยูนตัวดังกล่าวอยู่ห่างจากจุดที่กลุ่มนักท่องเที่ยวยืนอยู่บนหอชมประมาณ 18 เมตร เท่านั้น สร้างความตื่นตาตื่นใจ และประทับใจให้กับน้ำท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ต่างนำกล้องโทรศัพท์มือถือบันทึกภาพความน่ารักของพะยูนตัวดังกล่าวไว้ นายอับดุลรอหีม หรือกำนันหีม กล่าวว่า วันนี้ตนนำพานักท่องเที่ยวชายหญิง 5 คน จากพื้นที่ จ.ตรัง จ.สงขลา และ กรุงเทพฯ หลังจากเดินทางมาเที่ยวบนเกาะลิบง จึงได้นำพามาที่หอชมพะยูน ซึ่งเป็นความบังเอิญเป็นอย่างมาก พะยูนตัวดังกล่าว ได้โผล่ขึ้นมาและมาว่ายอวดโฉมให้นักท่องเที่ยวชื่นชม โดยจุดดังกล่าวห่างจากฝั่งประมาณ 800 เมตร พะยูนมักจะไม่ค่อยมาเล่นน้ำเท่าใดนัก ส่วนใหญ่หากจะพบเห็นก็จะเป็นแถบเขาบาตูปูเต๊ะ ที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกล เนื่องจากเป็นแหล่งหญ้าทะเล ที่เป็นอาหารของพะยูน แต่ครั้งนี้พะยูนได้มาอยู่บริเวณไม่ไกลฝั่ง ซึ่งตนคาดว่าน่าจะมาเล่นน้ำ ไม่ได้มากินหญ้าทะเล เพราะจุดดังกล่าวหญ้าทะเลมีน้อย ไม่ชุกชุมเหมือนบริเวณเขาบาตูปูเต๊ะ และในระหว่างที่กำลังเดินกลับ นักท่องเที่ยวกลับได้พบเห็นเต่าทะเลด้วยเช่นกัน ซึ่งถือเป็นความโชคดีของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก ซึ่ง 'พะยูน' เป็นสัตว์ป่าสงวน ใกล้จะสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย สำหรับ 'เกาะลิบง' นั้น เป็นแหล่งที่มีพะยูนฝูงสุดท้ายในประเทศไทย และมีพะยูนอาศัยอยู่มากที่สุดในประเทศไทย รวมทั้งยังมีแหล่งหญ้าทะเลที่อุดมสมบูรณ์มากที่สุด เมื่อเทียบกับพื้นที่หญ้าทะเลในจังหวัดอื่น ๆ ของประเทศไทย รวมทั้งยังเคยเป็นที่อยู่อาศัยของพะยูนน้อย 'มาเรียม' ก่อนหน้านี้อีกด้วย https://www.dailynews.co.th/news/1638864/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
น่าตกใจ! ประชากรสัตว์ป่า ลดฮวบ 70 % ในช่วง 50 ปี เหตุหลัก "การกระทำของมนุษย์" ![]() สิงโตหนุ่มกำลังมองไปยังเส้นขอบฟ้าของเมืองในอุทยานแห่งชาติไนโรบี สิงโตถูกระบุว่ามีความเสี่ยงในรายการแดงของ IUCN โดยอาจเหลือเพียง 23,000 ตัวในป่า เครดิตภาพ: Tony Karumba/AFP/Getty Images จากการที่มนุษย์เรากวาดล้างป่าไม้ บริโภคทรัพยากรธรรมชาติที่มากเกินจำเป็น และก่อมลพิษจากการทำอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทำให้ภายในระยะเวลาไม่ถึง 50 ปี ที่ผ่านมา ประชากรของสัตว์ป่านั้นลดลงมากถึง 70% นักวิทยาศาสตร์หลายคนคาดกันว่า ตั้งแต่การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ มนุษย์เราได้อาศัยผ่านการสูญพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่มาถึง 6 ครั้ง และการสูญพันธุ์แต่ละครั้งนั้น เป็นเหตุที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ผู้เขียนรายงานปัญหาการลดลงของประชากรสัตว์ป่า 'Living Planet' จำนวน 89 คน ได้เรียกร้องและกระตุ้นให้ผู้นำโลกทำข้อตกลงภายในการประชุมสุดยอดความหลากหลายทางชีวภาพ หรือ COP 15 ที่จะมีจัดขึ้นที่ประเทศแคนาดาในเดือนธันวาคมนี้ โดยมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อจำกัดอุณหภูมิของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศา และเพื่อเป็นการหยุดยั้งการเสื่อมโทรมและการทำลายธรรมชาติ รายงาน Living Planet ได้รวบรวมการวิเคราะห์ประชากรสัตว์จำนวน 32,000 ตัว จาก 5,230 สายพันธุ์จากทั่วโลก และสร้างกราฟดัชนีเพื่อทำการวัดหาการเปลี่ยนแปลงความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ป่าทั่วทวีป การลดลงของประชากรสัตว์ป่าที่เลวร้ายที่สุดนั้น เกิดขึ้นในบริเวณ เขตลาตินอเมริกาและแคริเบียน รวมถึงอเมซอน แหล่งที่อยู่อาศัยเขตป่าดิบชื้นที่ใหญ่ที่สุดของสัตว์ป่า โดยกราฟดัชนีประชากรของสัตว์ป่าในเขตบริเวณนี้เห็นได้ชัดเจนเลยว่า ประชากรเฉลี่ยของสัตว์ป่านั้นดิ่งลงเป็นอย่างมาก โดยอัตราการลดของประชากรนั้นมากถึง 94% ภายใน 48 ปี ส่วนทวีปแอฟริกานั้นมีการลดลงของประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 2 โดยอัตราการลดลงนั้นตกอยู่ที่ 66% ตามด้วย ทวีปเอเชียและเขตแปซิฟิก ที่ 55% และทวีปอเมริกาเหนือที่ 20% และอันดับสุดท้ายคือ ทวีปยุโรปและเขตเอเชียตอนกลาง ที่มีการลดลงของประชากรอยู่ที่ 18% ซึ่งคาดว่าการเปลี่ยนแปลงของอัตราการลดลงของประชากรสัตว์ป่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับอัตราการลดลงของประชากรมนุษย์ในแต่ละพื้นที่ หรือเรียกได้ว่า ยิ่งประชากรมนุษย์เราในพื้นที่น้อยลง อัตราการลดลงของประชากรสัตว์ป่านั้นก็จะต่ำลงเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงในการใช้พื้นที่ธรรมชาติของมนุษย์เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลก การใช้พื้นที่ของมนุษย์นั้นทำให้ที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เริ่มกระจัดกระจายและสูญหาย อีกทั้งยังทำให้การเคลื่อนย้ายของสิ่งมีชีวิตนั้นเป็นไปได้ยากขึ้นเนื่องจากมีสิ่งปลูกสร้างกีดขวางการเดินทาง ปัจจุบันเพียง 37% ของแม่น้ำที่มีความยาวมากกว่า 1,000 กิโลเมตร นั้นยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างกีดขวางการ ในขณะที่พื้นที่บนบกที่มีระยะทางยาว 1,000 กิโลเมตร ที่ยังไม่โดนสิ่งก่อสร้างโดยมนุษย์กีดขวาง เหลือเพียงแค่ 10% ซึ่งในขณะนี้ IUCN หรือ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ กำลังพัฒนาการจัดมาตรฐานการวัดความเป็นไปได้ในการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตแต่ละสายพันธุ์ โดยมาตรฐานการวัดนี้จะเป็นตัวช่วยนักวิจัยวางแผนวิธีการฟื้นฟูสิ่งมีชีวิตนับล้านชนิดที่กำลังตกอยู่ในภัยคุกคามการสูญพันธุ์ ซึ่งจากการจัดมาตราฐานและศึกษา นักวิจัยได้พบว่า พิราบชมพู แรดสุมาตรา และ สัตว์ท้องถิ่นหายากของประเทศออสเตรเลียอย่าง burrowing bettong ถูกจัดให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความเป็นไปได้ในการฟื้นฟูประชากร ตัวเลข 70% นั้น ถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตามตัวเลขนี้เป็นเพียงอัตราการลดของประชากรสัตว์ป่าโดยเฉลี่ยตั้งแต่ปี 1970 ไม่ใช่ตัวเลขของจำนวนสิ่งมีชีวิตและสายพันธุ์ที่ตายหรือสูญพันธุ์ไป ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เราได้รู้ว่าการลดลงของประชากรสัตว์ป่านั้นเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง หากเราทำแต่เพียงสงวนสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ต่าง ๆ ไว้ในเขตอนุรักษ์โดยที่ไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการผลิตและบริโภคของเรา https://mgronline.com/greeninnovatio.../9650000104238
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ปะการังอัจฉริยะ!! Innovareef นวัตกรรมตรวจวัดภาวะโลกร้อน - ฟื้นนิเวศทะเล ![]() ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ จุฬาฯ สร้างนวัตปะการัง "Innovareef" ซีเมนต์คุณสมบัติเทียบปะการังตามธรรมชาติ ตัวอ่อนปะการังเกาะติดง่ายโตเร็ว ช่วยร่นเวลาการฟื้นฟูระบบนิเวศแนวปะการัง เสริมแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อีกทั้งทำหน้าที่ Smart Station ตรวจวัดสภาพแวดล้อมในทะเล แนวปะการังที่สวยงามในท้องทะเลไทยค่อยๆ หดหายลงไปเรื่อยๆ ด้วยสภาวะโลกร้อนที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวและจากกิจกรรมของมนุษย์โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่ปราศจากการควบคุมและจิตสำนึกในการอนุรักษ์ธรรมชาติ จนวันนี้ แนวปะการังที่สวยงามและสมบูรณ์เหลืออยู่เพียง 1 ใน 3 เท่านั้น! หากเราไม่เร่งแก้ไขปัญหานี้ แหล่งอาหารจากทะเล พื้นที่ดำน้ำศึกษาธรรมชาติ แหล่งรายได้จากการท่องเที่ยวจะไม่เหลือให้รุ่นลูกหลาน ที่ผ่านมา มีความพยายามแก้ปัญหาแนวปะการังเสื่อมโทรมโดยการใช้ปะการังเทียมที่ทำมาจากยางรถยนต์ รถถัง ท่อพีวีซี แท่นปูนสี่เหลี่ยม แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดมลภาวะทางสายตา (visual pollution) เพราะความไม่กลมกลืนกับธรรมชาติใต้ท้องทะเล นอกจากนี้ บ่อยครั้งปะการังเทียมเหล่านี้ก็ถูกน้ำพัดพาหรือจมลงในทราย บ้างก็แตกตัวกลายเป็นขยะไมโครพลาสติกในทะเล "การอนุรักษ์ธรรมชาติที่ดีนั้น วิธีการสำคัญพอๆ กับผลลัพธ์" รองศาสตราจารย์ สพ.ญ. ดร. นันทริกา ชันซื่อ ผู้อำนวยงานวิจัยโรคสัตว์น้ำ และหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยสัตว์น้ำสวยงาม และสัตว์น้ำเพื่อการอนุรักษ์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยถึงแนวคิดเบื้องหลังการสร้างสรรค์ นวัตปะการัง (Innovareef) เพื่อตอบโจทย์การอนุรักษ์ปะการังและความงดงามของท้องทะเล "เราพยายามสร้างปะการังเทียมที่มีลักษณะสวยงามใกล้เคียงธรรมชาติ มีกิ่งก้านแบบปะการังที่ช่วยเพิ่มการเกาะติดของตัวอ่อนปะการัง มีรูกลวงเพื่อลดแรงต้านน้ำและเป็นที่อยู่ของสัตว์ ซึ่งนวัตปะการังนี้จะช่วยเร่งการฟื้นตัวของแนวปะการังให้เติบโตเร็วทันกับอัตราการถูกทำลายของปะการังในธรรมชาติ" รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา กล่าว ๐ นวัตปะการัง เทียม-แทนปะการังธรรมชาติอย่างไร ในธรรมชาติ ปะการังมีบทบาทสำคัญในการเป็นแนวกำแพงป้องกันคลื่นลมและกระแสน้ำยามพายุพัดโหม เป็นบ้านของสรรพชีวิตใต้ท้องทะเล และเป็นแหล่งกำเนิดอาหารของมนุษยชาติ ดังนั้น การดูแลให้แนวปะการังยังคงสภาพอยู่อย่างสมบูรณ์และหลากหลายจึงเท่ากับเป็นการดูแลแหล่งอาหารกายและอาหารใจให้มนุษย์เองด้วย ปะการังเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีลำตัวนิ่ม พวกมันจะสร้างชั้นหินปูนเคลือบลำตัวไว้ จึงมีโครงสร้างภายนอกแข็งแรง ตัวอ่อนของปะการังที่เรียกว่า "พลานูลา" (Planula) จะล่องลอยตามกระแสน้ำและลงเกาะในพื้นที่แข็ง อย่าง ก้อนหินหรือซากปะการังเพื่อเจริญเติบโตเป็นปะการังต่อไป ส่วนปะการังชนิดที่สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ พวกมันจะใช้วิธีแตกหน่อไปตามรูปร่างตามลักษณะของชนิดปะการังนั้นๆ ดังนั้น ในการสร้างนวัตปะการัง ทีมผู้วิจัยจึงพยายามจำลองลักษณะที่สอดคล้องกับธรรมชาติของปะการังที่สุด ทั้งนี้ รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา กล่าวถึงจุดเด่นของนวัตปะการังที่ต่างจากปะการังเทียมทั่วไป ได้แก่ 1.มีสารอาหาร ? บนตัวนวัตปะการังมีการพ่นเคลือบสารอาหารจำพวกแคลเซียมและฟอสเฟตที่ปะการังตามธรรมชาติใช้ในการเติบโต ทำให้ตัวอ่อนปะการังที่มาเกาะสามารถกินอาหารเพื่อเติบโตได้ทันที ซึ่งจากการเก็บข้อมูลพบว่า ปะการังที่มาเกาะบน "นวัตปะการัง" โตเร็วกว่าปะการังตามธรรมชาติ เฉลี่ยละ 3-4 เซนติเมตรต่อปี (ในขณะที่โดยทั่วไปในธรรมชาติ ปะการังเจริญเติบโตช้ามาก ยกตัวอย่าง ปะการังแข็งจะงอกราว 1 เซนติเมตรต่อปี ซึ่งหมายความว่า หากเราอยากเห็นปะการังที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตร เราต้องรอถึงหนึ่งศตวรรษ! กันเลยทีเดียว) 2. เลียนแบบลักษณะตามธรรมชาติของปะการัง ? นวัตปะการังมีลักษณะเป็นแผ่นเหมาะสำหรับตัวอ่อนปะการังตามธรรมชาติจะมาเกาะ อีกทั้งยังมีลักษณะเป็นรูและเป็นโพรงเหมาะเป็นที่อยู่อาศัยและที่ซ่อนตัวหลบภัยของปลา สัตว์เล็กๆ หน้าดิน และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในทะเล 3.ลดแรงต้านกระแสน้ำ ? นวัตปะการังใช้เทคโนโลยีไฮโดรไดนามิก โดยออกแบบรูปร่างให้ป้องกันการถูกพัดพาไปตามกระแสน้ำ ซึ่งแตกต่างจากปะการังเทียมทั่วไปที่ใช้วัสดุที่มักทำให้เกิดมลภาวะ มักถูกทรายฝังกลบและอาจถูกกระแสน้ำพัดพาไปได้ ๐ Smart Station ปะการังตรวจวัดสภาวะโลกร้อน นอกจากการทำหน้าที่ดุจปะการังตามธรรมชาติแล้ว ทีมวิจัยยังได้ติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดความเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางทะเลไว้ที่ตัวนวัตปะการังด้วย เพื่อให้นวัตปะการังเป็น "สมาร์ทสเตชัน" (Smart station) ทำหน้าที่ เช่น วัดอุณหภูมิของน้ำ การไหลของกระแสน้ำ วัดความเป็นกรดเป็นด่าง เป็นต้น "การตรวจวัดค่าเหล่านี้ ไม่เพียงช่วยสิ่งมีชีวิตในนวัตปะการัง แต่ยังช่วยเหลือแนวปะการังทั้งแนวในบริเวณที่นวัตปะการังตั้งอยู่ด้วย อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ปะการังฟอกขาวเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำทะเลที่ร้อนขึ้น ทำให้ปะการังตาย ดังนั้น เมื่อมีสมาร์ทสเตชัน เราจะมีข้อมูลที่จะช่วยให้เราสามารถช่วยเหลือชีวิตแนวปะการังทั้งแนวได้" รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา กล่าว ๐ กว่าจะเป็น Innovareef นวัตปะการัง รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา อธิบายเบื้องหลังการสร้างสรรค์นวัตปะการังให้มีลักษณะใกล้เคียงกับธรรมชาติที่สุดว่าต้องใช้ความรู้จากหลายศาสตร์ อาทิ เทคโนโลยี 3D Cement Printing ขึ้นรูปผลิตซีเมนต์ ซึ่งชนิดซีเมนต์ก็ได้เลือกสรรชนิดที่มีค่าความเป็นกรดด่างใกล้เคียงน้ำทะเล และผสานการออกแบบตามแนวคิดเลโก้ คือ การทำเป็นบล็อกถอดประกอบชิ้นส่วนได้ เพื่อความสะดวกในการขนย้ายนวัตปะการังจากแหล่งผลิตไปสู่ท้องทะเล "กว่าจะเป็นนวัตปะการัง ทีมงานต้องออกแบบ ขึ้นรูป ทำผิวสัมผัสให้ขรุขระ แยกหล่อส่วนกิ่งปะการัง ทดสอบน้ำวน ทดสอบการจมของฐาน ทดสอบการต้านกระแสน้ำด้วยการทดลองในห้องวิจัยและในทะเล จนได้เป็นนวัตปะการังที่ลดการต้านกระแสน้ำ แข็งแรง ไม่จมหายไปกับพื้นทราย มีน้ำวนเล็กๆ รอบๆ มีกิ่งที่ช่วยเพิ่มการยึดเกาะของตัวอ่อนปะการังตามธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้นักวิจัยต้องใช้ความรู้หลายศาสตร์มาพัฒนาจนได้ผลงานที่สมบูรณ์" รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกากล่าว นวัตปะการังที่ทางจุฬาฯ ออกแบบมี 1 ขนาด คือ 100 x 160 x 50 (กว้าง x ยาว x สูง) เซนติเมตร ซึ่งต่อมา "โครงการรักษ์ทะเล" (Love the Sea) โดยมูลนิธิ Earth Agenda ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ SCG ได้นำต้นนวัตปะการังต้นแบบนี้ มาปรับพัฒนาเพิ่มเติมอีก 5 รูปแบบได้แก่ 1.ปะการังสมอง ขนาด150 x 160 x 56 เซนติเมตร 2.ปะการังสมอง ขนาด160 x 160 x 65 เซนติเมตร 3.ฟองน้ำครก ขนาด 150 x 200 x 95 เซนติเมตร 4.ฟองน้ำทะเล 1 ขนาด 50 x 50 x 65 เซนติเมตร 5.ฟองน้ำทะเล 2 ขนาด 85 x 85 x 65 เซนติเมตร ๐ ติดตั้งบ้านให้ปะการัง ฟื้นความหวังให้ท้องทะเล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ทีมนักวิจัยได้ติดตั้งนวัตปะการังแล้วในพื้นที่ชายฝั่งทะเลหลายแห่งในจังหวัดชลบุรีเป็นส่วนมาก อาทิ ชายฝั่งทะเลบริเวณเกาะสีชัง เกาะล้าน และสัตหีบ "ลักษณะพื้นที่ที่เหมาะสมในการติดตั้งนวัตปะการังต้องเป็นพื้นที่ชายทะเลที่มีระดับน้ำลึกไม่เกิน 10 เมตร มีแสงสว่างส่องถึง และที่สำคัญ ต้องยังมีปะการังตามธรรมชาติหลงเหลืออยู่บ้าง ลักษณะอย่างนี้จึงจะเอื้อโอกาสให้เกิดการเกาะติดและเติบโตของตัวอ่อนปะการังตามธรรมชาติ" สำหรับการขนย้ายและติดตั้งนวัตปะการังนั้นก็ง่ายและสะดวก เนื่องจากนวัตปะการังชุดหนึ่งๆ ประกอบด้วยก้อนซีเมนต์ปะการัง 3 ก้อน มีก้อนหลัก 1 ก้อน และก้อนสำหรับประกอบอีก 2 ก้อน "ตัวนวัตปะการังมีขนาดไม่ใหญ่เกินไป น้ำหนักเบา คนๆ เดียวก็สามารถยกได้ จึงประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนย้าย เมื่อมาถึงทะเลก็จมชิ้นส่วนนวัตปะการังลงในบริเวณชายทะเลที่ต้องการ แล้วค่อยๆ ดำน้ำลงไปเพื่อต่อประกอบชิ้นส่วนให้เป็นนวัตปะการังที่สมบูรณ์" "เมื่อประกอบและติดตั้งนวัตปะการังเสร็จ เพียงไม่ถึง 5 นาที ปลาและสัตว์ทะเลหลายชนิดก็เริ่มเข้ามาสำรวจและจับจองพื้นที่ในบ้านหลังใหม่ เกิดความหลากหลายทางชีวิภาพรอบๆ แนวนวัตปะการัง" "ที่สำคัญ จากการเฝ้าเก็บข้อมูลภายหลังการติดตั้งนวัตปะการัง เราพบว่าอัตราการเกาะติดและเติบโตของตัวอ่อนปะการังที่ตัวนวัตปะการังดีกว่าปะการังเทียมทั่วไปอีกด้วย" รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา กล่าวพร้อมรอยยิ้ม สิ่งนี้ทำให้ทีมผู้วิจัยมั่นใจว่านวัตปะการังจะช่วยเร่งอัตราการฟื้นตัวของปะการังและคืนความอุดมสมบูรณ์กลับสู่ท้องทะเลโดยเร็ว นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เมื่อเทียบกับราคาวัสดุ การผลิต การขนส่ง จนถึงขั้นตอนการติดตั้งนวัตปะการังจนแล้วเสร็จ รวมแล้วค่าใช้จ่ายอยู่ที่ราว 26,000 บาทต่อนวัตปะการังหนึ่งตัวเท่านั้น! ด้วยคุณค่ามากมายเช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่นวัตปะการังได้รับรางวัลชนะเลิศนวัตกรรมแห่งชาติ ปี 2563 ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ และบริการ ประเภทการออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่สามารถช่วยให้ตัวอ่อนปะการังลงเกาะและเจริญเติบโตได้ดี อีกทั้งรูปแบบสวยงามมีความมั่นคงเสมือนปะการังจริง ๐ Thai Innovareef สวรรค์แห่งใหม่ของนักดำน้ำ นอกจากจะฟื้นคืนระบนิเวศทางทะเล แนวนวัตปะการังยังคืนสวรรค์ใต้ผิวน้ำสีครามให้นักท่องเที่ยวด้วย ?แนวนวัตปะการังสามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ได้? รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา กล่าว ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย "สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากดำน้ำดูแนวปะการัง แต่ยังดำน้ำไม่ถูกหลัก จนอาจเผลอทำลายแนวปะการังตามธรรมชาติเสียหาย ผู้ที่เริ่มหัดดำน้ำใหม่ๆ หรือผู้ที่ต้องการศึกษาโลกใต้ทะเล ไม่ว่าจะเป็น sea walker, snorkeler ก็สามารถมาดำน้ำดูนวัตปะการังที่สร้างขึ้นเป็นแนวได้ เพราะมีความคล้ายคลึงกับธรรมชาติมาก และมีสัตว์น้ำสิ่งมีชีวิตเล็กๆ หลายสายพันธุ์มาอาศัยอยู่ นี่จึงเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทางทะเลได้โดยไม่เกิดความเสียหายให้ท้องทะเล" รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา กล่าวพร้อมรอยยิ้ม แนวนวัตปะการัง Thai Innovareef อาจกลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่มีสีสัน เป็นจุดขายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ และสร้างรายได้ให้ประเทศอีกทาง (มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ปะการังอัจฉริยะ!! Innovareef นวัตกรรมตรวจวัดภาวะโลกร้อน - ฟื้นนิเวศทะเล ............. ต่อ ๐ อนาคต นวัตปะการังไทยรุ่นต่อๆ ไป สำหรับแผนการผลิตนวัตปะการังในอนาคต รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา กล่าวว่า "จะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงอีก และจะเพิ่มความละเอียดสมจริงตามธรรมชาติให้กับปะการังเทียมยิ่งขึ้น" "สำหรับนวัตปะการังรุ่นต่อๆ ไป เราจะออกแบบให้มีลักษณะเฉพาะเจาะจงเหมาะสมกับสัตว์น้ำแต่ละชนิดในละแวกนั้นๆ เช่น ปลาหมอทะเลชอบถิ่นอาศัยแบบถ้ำ ก็จะมีนวัตปะการังที่มีลักษณะแบบนั้น เป็นต้น" นอกจากนี้ ทีมวิจัยกำลังวิจัยต่อยอดร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ในการออกแบบนวัตปะการังที่ผสานนาโนเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถปกป้องปะการังจากสภาวะโลกร้อน "หากอุณหภูมิในท้องทะเลเปลี่ยนแปลงถึงจุดหนึ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อปะการัง สารนาโนที่เคลือบอยู่บนนวัตปะการังจะแตกตัวแบบอัตโนมัติและปล่อยสารปกป้องไม่ให้ปะการังตาย" นวัตปะการังเป็นหนึ่งในความหวังที่จะฟื้นฟูแนวปะการังตามธรรมชาติให้กลับคืนมาสู่ท้องทะเลโดยเร็ว อาจใช้เวลา 10-20 ปี หรือกึ่งศตวรรษ แต่ก็ยังดีกว่าที่วันนี้เราไม่ได้เริ่มทำอะไร อย่างน้อยรุ่นลูกหลานต้องได้เห็นความงามของท้องทะเล "แม้ธรรมชาติจะถูกทำลายไปแล้ว แต่มนุษย์สามารถฟื้นฟูและสร้างธรรมชาติให้กลับคืนมาได้ด้วยการใช้นวัตกรรม เราหวังว่านวัตปะการังจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการฟื้นฟูระบบนิเวศ กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน การประมง และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์" รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา กล่าวทิ้งท้าย ผู้สนใจร่วมพัฒนา หรือนำนวัตปะการังไปใช้ฟื้นฟูระบบนิเวศทางน้ำ สามารถติดต่อ ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ (Veterinary Medical Aquatic Animals Research Center-VMARC) คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โทร. 0 2251 8887, 0 2218 9510 อีเมล vmarc.clinic@gmail.com ข้อมูลเพิ่มเติม https://mgronline.com/greeninnovatio.../9650000104111
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก มติชน
อช.สิมิลัน เก็บ "ดาวมงกุฎหนาม" ผู้ล่า ตัวการทำแนวปะการังเสียหาย ![]() เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ดำน้ำกำจัดและสำรวจการแพร่ระบาดของปลาดาวมงกุฎหนามบริเวณเกาะบอนและเกาะตาชัย โดยปลาดาวมงกุฎหนาม (Crown-of-thorns starfish, Acanthaster planci) พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในทะเลบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ดาวมงกุฎหนาม เป็นผู้ล่าที่สำคัญของปะการังและเป็นตัวการที่ทำให้แนวปะการังเสียหาย ทำให้จำนวนปะการังลดลงในธรรมชาติ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ยังดำเนินการดำน้ำเก็บขยะเศษซากเครื่องมือทำประมง บริเวณจุดดำน้ำลึกกองหินพินาเคิล เกาะตาชัย (Tachai Pinacle) รวมทั้งลาดตระเวนในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ซึ่งไม่พบการกระทำผิดแต่อย่างใด https://www.matichon.co.th/local/qua...e/news_3650728
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|