กระดานข่าว Save Our Sea.net
ธันวาคม 16, 2025, 06:37:15 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 10
 41 
 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2009, 10:57:35 AM 
เริ่มโดย admin - กระทู้ล่าสุด โดย วาฬเผือก^^

อ่านข่าวที่พี่สายน้ำเอามาโพสต์แล้ว


เปิดปมตู้คอนเทนเนอร์สุสานกลางทะเล
 เพราะมีตู้ที่ยังไม่ถูกเปิดมีไขมันเล็ดลอดออกมาตามแนวเหล็กที่เป็นสนิม  เหมือนกับไขมันมนุษย์  หรือมีสิ่งเน่าเหม็นอยู่ในตู้  มีกลิ่นคาว  ปลาทะเลรุมตอมกินกันเป็นฝูง 



ชักไม่อยากกินปลาแล้วล่ะสิคะ
บรึ๋ยยยย

 42 
 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2009, 10:43:55 AM 
เริ่มโดย admin - กระทู้ล่าสุด โดย admin

ปั่นจักรยานทุกวัน เตรียมพลังขาไว้สู้ึศึก
เมื่อวานใส่ harnet ตั้งร่ม ลมก็ไม่มี วิ่งไปเกือบ 200 เมตร ต้องหยุดเพราะหายใจไม่ทัน หัวใจจะวายตายเสียก่อนได้เหิรฟ้า
เพราะออกกำลังกายเกินขนาด เนื่องจากเกิดมานานแล้ว

ดูภาพต่อได้ที่
http://www.saveoursea.net/forums/showthread.php?p=18#post18

 43 
 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2009, 09:42:30 AM 
เริ่มโดย admin - กระทู้ล่าสุด โดย สายชล


แบ๊ะๆ......แห่ะๆ.....ตอบคำถามหนูกุ้งไม่ได้สักข้อเลยจ้ะ.....


รอดีเอสไอมาเฉลยคำตอบดีกว่านะคะ....

 44 
 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2009, 09:31:51 AM 
เริ่มโดย admin - กระทู้ล่าสุด โดย kungkings
พี่สองสายเจ้าขา...อย่าว่ากันนะคะ...นู๋สงสัยอะคะว่า...ตู้มันก็ปิดไม่สามารถเปิดได้ แต่โครงกระดูกที่เจอทำไมมันอยู่นอกตู้ละคะ 
อีกอย่างที่นู๋อยากรู้ก็คือ... ทำไมมันถูกทิ้งไว้ตั้งนานแล้ว ไม่มีหน่วยงานไหนจะเข้ามาดูแลจัดการหรือสงสัยเลยเหรอคะว่ามันคืออะไร ทำไมมาอยู่ตรงนี้ หรือไม่มีงบทำไปก็มีแต่เสีย ไม่ทำดีกว่า 
ถ้าเป็นแบบนี้...ใครๆ ก็เอาอะไรมาทิ้งในทะเลได้ เราก็ไม่ใส่ใจมันแบบนี้ได้ด้วยเหรอคะ 

 45 
 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2009, 07:37:43 AM 
เริ่มโดย สายน้ำ - กระทู้ล่าสุด โดย สายน้ำ
แนวหน้า


ทช.ประสานประมง ลุยออกลาดตระเวณ เฝ้าระวังลอบจับสัตว์ แหล่งอนุรักษ์-หายาก    
 
 นายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์สัตว์ทะเลขนาดใหญ่เข้ามาเกยตื้นในพื้นที่ชายฝั่งทะเลของไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปลายปี 2551 โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน ดังนั้น กรมฯ จึงเร่งศึกษาและเก็บข้อมูลทางสถิติเพื่อหาสาเหตุดังกล่าว และพบว่าสาเหตุการตายเกิดจากการทำประมงที่ผิดกฎหมาย โดยมีการนำอวนลาก อวนรุน เข้าไปบุกรุกแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ เช่น พะยูน ซึ่งนอกจากจะทำให้พะยูนตกใจและขึ้นมาเกยตื้นบนชายฝั่งแล้ว การทำประมงด้วยวิธีที่ผิดกฎหมายยังสร้างความเสียหายให้กับแนวปะการังและหญ้าทะเล ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพะยูน และสัตว์น้ำขนาดเล็กอีกด้วย

 ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น กรมฯ จึงมอบหมายให้ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลทั่วประเทศทั้ง 6 ศูนย์ประสานความร่วมมือกับกรมประมง ลาดตระเวนและตรวจพื้นที่เสี่ยงอย่างใกล้ชิด เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมาย รวมทั้งเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ขณะเดียวกัน กรมฯ ยังมีมาตรการป้องกันและคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน โดยประกาศพื้นที่เขตคุ้มครองพิเศษเพิ่มในพื้นที่เสี่ยงต่างๆ อาทิ แหล่งหญ้าทะเล แหล่งปะการัง ตลอดจนพื้นที่ที่ห้ามไม่ให้ดำน้ำและห้ามท่องเที่ยว เพื่อเร่งฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและสัตว์น้ำหายาก พร้อมกันนี้ กรมฯ ยังเตรียมเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมช่วยชีวิตสัตว์ทะเล ด้วยการจัดอบรมให้ความรู้เรื่องปฐมพยาบาลเบื้องต้น และการเคลื่อนย้ายสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บที่มาเกยตื้นให้กับอาสาสมัคร และชุมชน คาดว่าจะช่วยลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นให้ลดน้อยลง


 46 
 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2009, 07:35:56 AM 
เริ่มโดย สายน้ำ - กระทู้ล่าสุด โดย สายน้ำ
X-cite  ไทยโพสต์


เปิดปมตู้คอนเทนเนอร์สุสานกลางทะเล

     กำนัน  ต.แสมสาร  เผยข่าวลือพบตู้คอนเทนเนอร์ปริศนาในทะเลลึกมีมานาน  ยอมรับตั้งแต่ปี  36  เรือประมงพบหัวกะโหลกมนุษย์ติดอวนอย่างต่อเนื่อง  รวมแล้วกว่า  100  หัว  จนวิจารณ์กันว่าศพมีจำนวนมากถูกทิ้ง

     นายปราโมทย์  โถวสกุล  กำนันตำบลแสมสาร  อ.สัตหีบ  จ.ชลบุรี  เปิดเผยว่า  ขณะนี้มีกระแสข่าวแพร่สะพัดว่ามีชาวประมงพบสุสานกะโหลกมนุษย์ในทะเลอ่าวไทย  และพบตู้คอนเทนเนอร์   8   ตู้  ถูกปิดสนิท  จมอยู่ในทะเลหลายจุดในระดับน้ำลึก  25,  30  และ  50   เมตร  จุดแรกในร่องน้ำทะเลเส้นทางเดินเรือสินค้าระหว่างเกาะไผ่กับเกาะคราม  จุดที่  2  ห่างจากเกาะจวงไปทางด้านทิศใต้ประมาณ  30  ไมล์ทะเล  และจุดที่  3  ทางด้านทิศตะวันออกของเกาะจาน  อ่าวแสมสาร  ซึ่งบริเวณใกล้เคียงแต่ละจุดเคยมีเรือประมงอวนลากพบหัวกะโหลกติดอวนมาแล้วจำนวนมาก  แม้แต่เรือวางเบ็ดราวก็ยังพบกะโหลกติดเบ็ดขึ้นมา  ถือว่าเป็นเรื่องจริงและแปลกอย่างมาก  จนพวกเรือประมงเรียกกันว่าสุสานในทะเล  แต่ไม่มีใครทราบที่มาที่ไปของกะโหลกมนุษย์แต่อย่างใด  เพียงแต่สงสัยวิพากษ์วิจารณ์กันว่าน่าจะมีคนนำศพจำนวนมากใส่ตู้คอนเทนเนอร์  แล้วบรรทุกใส่เรือมาโยนทิ้งปิดบังอำพรางอย่างแน่นอน

    นายปราโมทย์กล่าวว่า  เมื่อประมาณปี  36  เริ่มมีเรือประมงพบตู้คอนเทนเนอร์บริเวณดังกล่าว   และมีผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้  บางกลุ่มคิดว่าตู้สินค้าตกจากเรือสินค้าข้างในมีทรัพย์สิน  น่าเชื่อว่าต้องมีกลุ่มนักดำน้ำแอบไปเปิดตู้พิสูจน์  และผู้ที่ดำน้ำลงไปพิสูจน์ได้เสียชีวิตจนหมดจากการระเบิดปลา   แต่พลาดเกิดระเบิดในเรือที่อ่าวแสมสาร  สัตหีบ  ชลบุรี  จึงเหลือไว้แต่คำบอกเล่าที่ถูกทิ้งไว้จนถึงทุกวันนี้  แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้คือ  หัวกะโหลกมนุษย์ติดอวนเรือประมงอวนลากมาอย่างต่อเนื่อง  เริ่มตั้งแต่ปี  36  จนถึงวันนี้น่ากว่า  100  หัว  มอบให้มูลนิธินำไปฝัง  ถวายให้พระไปเผา  เพราะไม่ทราบที่มาที่ไป  ไม่มีหลักฐานในการแจ้งความดำเนินคดีกับใคร

     ด้านนายแดงระ  นักดำน้ำอาวุโสที่สามารถดำน้ำลึกได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ดำน้ำ  เปิดเผยว่า  เรื่องหัวกะโหลกที่พบในทะเล  น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตู้คอนเทนเนอร์  สาเหตุที่เรือลากกะโหลกได้หลายหัวคงเกิดจากสาเหตุที่มีคนแอบลงไปเปิดตู้  ทำให้ซากศพกระจัดกระจายออกมา  เพราะมีตู้ที่ยังไม่ถูกเปิดมีไขมันเล็ดลอดออกมาตามแนวเหล็กที่เป็นสนิม  เหมือนกับไขมันมนุษย์  หรือมีสิ่งเน่าเหม็นอยู่ในตู้  มีกลิ่นคาว  ปลาทะเลรุมตอมกินกันเป็นฝูง  ที่เรือประมงพบกะโหลกติดอวนนั้น  มีจำนวนมากจริงๆ  พบกันบ่อย  แต่ไม่ว่ามาจากไหน

     ด้านเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย  มูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบ  กล่าวว่า  เรื่องพบตู้คอนเทนเนอร์มีกระแสมานานหลายปีแล้ว  แต่ไม่มีข่าวว่ามีการพบซากมนุษย์ในตู้แต่อย่างใด  ล่าสุดเมื่อ  2  เดือนที่ผ่านมา  เรือประมงได้นำหัวกะโหลกเก่ามีเพรียงเกาะมามอบให้  บอกว่าลากเรือติดอวนจากทะเล


************************************************************************************************************************


ได้หนุ่มโชคดีจ้างเที่ยวเกาะ 6 เดือนรับ 3.7 ล้าน สมัคร 3.5 หมื่นคน



     เปิดตัวหนุ่มอังกฤษวัย  34  ผู้พิชิต  "งานที่ดีที่สุดในโลก"   แต่ละวันมีหน้าที่ท่องเที่ยวอยู่บนเกาะในแนวปะการังเกรตแบริเออร์รีฟ    ว่ายน้ำในทะเลใส   ดำน้ำดูปลา   แล่นเรือรอบเกาะ   แล้วเขียนเล่าประสบการณ์ผ่านเว็บ  ทำงาน  6  เดือน  รับค่าจ้างราว  3.7  ล้านบาท

     งานนี้มีผู้สนใจส่งใบสมัครจากทั่วโลก  35,000  คน  ผลปรากฏว่า  หนุ่มเบน  เซาท์ฮอลล์  เจ้าหน้าที่ฝ่ายระดมทุนของหน่วยงานการกุศลแห่งหนึ่งในอังกฤษ  เป็นผู้ผ่านการคัดเลือกขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐควีนส์แลนด์  ที่ได้เปิดรับสมัครผู้สนใจจากทั่วโลกที่จะไปดูแลเกาะแฮมิลตัน   และเขียนเล่าประสบการณ์ของตัวเองผ่านเว็บบล็อก  เพื่อโปรโมตการท่องเที่ยวที่นั่น

     กรรมการคัดเลือกบอกว่า  ประทับใจที่นายเซาท์ฮอลล์เขียนในใบสมัครว่า  "สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผมคือ  การได้ทำงานที่ตื่นเต้นเร้าใจ  ทำให้ผมมีความสุข  สร้างรอยยิ้มแก่ผู้คน  และบรรลุเป้าหมายที่ท้าทาย"

     รัฐมนตรีท่องเที่ยวของควีนส์แลนด์  ปีเตอร์  ลอว์เลอร์  บอกว่า  ตนเชื่อว่าเซาท์ฮอลล์ซึ่งพูดถึงตัวเองว่าเป็น  "คนกระตือรือร้นและรักการผจญภัย"  จะเรียกแฟนได้มากมายเมื่อเริ่มงานในวันที่  1  กรกฎาคมศกนี้

     เซาท์ฮอลล์จากเมืองแฮมพ์เชียร์  เคยทำงานเป็นมัคคุเทศก์ในแอฟริกา  และล่าสุดทำงานเป็นผู้จัดการโครงการขององค์การการกุศลแห่งหนึ่งในอังกฤษ  เคยแข่งขันวิ่งมาราธอน  และปีนเขาในเวลาว่าง  เขามีแผนจะพาแฟนสาวชาวแคนาดาไปออสเตรเลียด้วย  ซึ่งทั้งสองจะพักในบ้านหรูหราขนาด  3  ห้อง  นอนบนชายหาดของเกาะแฮมิลตัน  พร้อมสระว่ายน้ำ  และรถกอล์ฟ

     งานนี้มีผู้คนแห่สมัครทางออนไลน์  กระทั่งทำให้เว็บไซต์ถึงกับล่มตอนที่เปิดรับสมัครเมื่อเดือนมกราคม  และล่มอีกครั้งเมื่อวันพุธ  ตอนที่ประกาศผู้ผ่านการคัดเลือกผู้เข้ารอบ  16  คนสุดท้ายจาก  15  ประเทศ  ได้บินไปยังเกาะแฮมิลตัน  เพื่อให้กรรมการ  4  ท่านตัดสินใจเลือกในกระบวนการที่เป็นเหมือนกึ่งการสัมภาษณ์และกึ่งเรียลลิตี้โชว์ทางทีวี

     ผู้เข้ารอบชิงต่างแสดงฝีมือในการว่ายน้ำ  ดำน้ำชมปะการัง  และได้ชิมอาหารชั้นเลิศกับได้รับบริการสปาอย่างหรู  ขณะที่กรรมการต่างพินิจพิจารณาว่าคนไหนดูขึ้นกล้องที่สุด  ชัยชนะของเซาท์ฮอลล์นับว่าพลิกความคาดหมาย  ในขณะที่ร้านรับพนันต่างเก็งกันว่าล่ามนักดิ่งพสุธาชาวไต้หวัน  แคลร์  หว่อง  จะได้งานนี้  ซึ่งเธอได้รับเสียงโหวตจากผู้ชมทางออนไลน์ถึง  151,676  คะแนน  นับว่าสูงกว่าคนที่ได้คะแนนรองจากเธอถึง  3  เท่า

     หนุ่มวัย  34  รายนี้  จะติดต่อกับโลกภายนอกผ่านบล็อก  เผยแพร่อนุทินรูปภาพ  วิดีโอ   และให้สัมภาษณ์บรรดาสื่อต่างๆ.


 47 
 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2009, 07:30:39 AM 
เริ่มโดย admin - กระทู้ล่าสุด โดย สายน้ำ

เปิดปมตู้คอนเทนเนอร์สุสานกลางทะเล


      กำนัน  ต.แสมสาร  เผยข่าวลือพบตู้คอนเทนเนอร์ปริศนาในทะเลลึกมีมานาน  ยอมรับตั้งแต่ปี  36  เรือประมงพบหัวกะโหลกมนุษย์ติดอวนอย่างต่อเนื่อง  รวมแล้วกว่า  100  หัว  จนวิจารณ์กันว่าศพมีจำนวนมากถูกทิ้ง

     นายปราโมทย์  โถวสกุล  กำนันตำบลแสมสาร  อ.สัตหีบ  จ.ชลบุรี  เปิดเผยว่า  ขณะนี้มีกระแสข่าวแพร่สะพัดว่ามีชาวประมงพบสุสานกะโหลกมนุษย์ในทะเลอ่าวไทย  และพบตู้คอนเทนเนอร์   8   ตู้  ถูกปิดสนิท  จมอยู่ในทะเลหลายจุดในระดับน้ำลึก  25,  30  และ  50   เมตร  จุดแรกในร่องน้ำทะเลเส้นทางเดินเรือสินค้าระหว่างเกาะไผ่กับเกาะคราม  จุดที่  2  ห่างจากเกาะจวงไปทางด้านทิศใต้ประมาณ  30  ไมล์ทะเล  และจุดที่  3  ทางด้านทิศตะวันออกของเกาะจาน  อ่าวแสมสาร  ซึ่งบริเวณใกล้เคียงแต่ละจุดเคยมีเรือประมงอวนลากพบหัวกะโหลกติดอวนมาแล้วจำนวนมาก  แม้แต่เรือวางเบ็ดราวก็ยังพบกะโหลกติดเบ็ดขึ้นมา  ถือว่าเป็นเรื่องจริงและแปลกอย่างมาก  จนพวกเรือประมงเรียกกันว่าสุสานในทะเล  แต่ไม่มีใครทราบที่มาที่ไปของกะโหลกมนุษย์แต่อย่างใด  เพียงแต่สงสัยวิพากษ์วิจารณ์กันว่าน่าจะมีคนนำศพจำนวนมากใส่ตู้คอนเทนเนอร์  แล้วบรรทุกใส่เรือมาโยนทิ้งปิดบังอำพรางอย่างแน่นอน

    นายปราโมทย์กล่าวว่า  เมื่อประมาณปี  36  เริ่มมีเรือประมงพบตู้คอนเทนเนอร์บริเวณดังกล่าว   และมีผู้ที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้  บางกลุ่มคิดว่าตู้สินค้าตกจากเรือสินค้าข้างในมีทรัพย์สิน  น่าเชื่อว่าต้องมีกลุ่มนักดำน้ำแอบไปเปิดตู้พิสูจน์  และผู้ที่ดำน้ำลงไปพิสูจน์ได้เสียชีวิตจนหมดจากการระเบิดปลา   แต่พลาดเกิดระเบิดในเรือที่อ่าวแสมสาร  สัตหีบ  ชลบุรี  จึงเหลือไว้แต่คำบอกเล่าที่ถูกทิ้งไว้จนถึงทุกวันนี้  แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้คือ  หัวกะโหลกมนุษย์ติดอวนเรือประมงอวนลากมาอย่างต่อเนื่อง  เริ่มตั้งแต่ปี  36  จนถึงวันนี้น่ากว่า  100  หัว  มอบให้มูลนิธินำไปฝัง  ถวายให้พระไปเผา  เพราะไม่ทราบที่มาที่ไป  ไม่มีหลักฐานในการแจ้งความดำเนินคดีกับใคร

     ด้านนายแดงระ  นักดำน้ำอาวุโสที่สามารถดำน้ำลึกได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ดำน้ำ  เปิดเผยว่า  เรื่องหัวกะโหลกที่พบในทะเล  น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตู้คอนเทนเนอร์  สาเหตุที่เรือลากกะโหลกได้หลายหัวคงเกิดจากสาเหตุที่มีคนแอบลงไปเปิดตู้  ทำให้ซากศพกระจัดกระจายออกมา  เพราะมีตู้ที่ยังไม่ถูกเปิดมีไขมันเล็ดลอดออกมาตามแนวเหล็กที่เป็นสนิม  เหมือนกับไขมันมนุษย์  หรือมีสิ่งเน่าเหม็นอยู่ในตู้  มีกลิ่นคาว  ปลาทะเลรุมตอมกินกันเป็นฝูง  ที่เรือประมงพบกะโหลกติดอวนนั้น  มีจำนวนมากจริงๆ  พบกันบ่อย  แต่ไม่ว่ามาจากไหน

     ด้านเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย  มูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบ  กล่าวว่า  เรื่องพบตู้คอนเทนเนอร์มีกระแสมานานหลายปีแล้ว  แต่ไม่มีข่าวว่ามีการพบซากมนุษย์ในตู้แต่อย่างใด  ล่าสุดเมื่อ  2  เดือนที่ผ่านมา  เรือประมงได้นำหัวกะโหลกเก่ามีเพรียงเกาะมามอบให้  บอกว่าลากเรือติดอวนจากทะเล



จาก                               :                             X-cite  ไทยโพสต์     วันที่ 7 พฤษภาคม 2552  

 48 
 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2009, 07:23:28 AM 
เริ่มโดย สายน้ำ - กระทู้ล่าสุด โดย สายน้ำ
ผู้จัดการออนไลน์


เรือจีน-เมกาเผชิญหน้าอีกรอบ สัมพันธ์ 2 ชาติเริ่มตึงเครียด


ไฟล์ภาพจากลูกเรือสหรัฐฯซึ่งบันทึกได้ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยครั้งนั้นสหรัฐฯ อ้างว่า เรือประมงของจีนได้เผชิญหน้ากับเรือ USNS Victorious และเรือสำรวจ USNS Impeccable ที่ไม่ติดอาวุธ - ภาพ เอเอฟพี

      เอเอฟพี – เรือประมงจีน-กองทัพเรือสหรัฐฯ เกิดความหมางใจอีกครั้ง เหตุเรือประมงจีนเคลื่อนเข้าใกล้พื้นที่ซ้อมรบทางทะเล ซึ่งเรือสำรวจของสหรัฐฯ กำลังปฏิบัติการอยู่ โฆษกเพนตากอนยัน พื้นที่เผชิญหน้าเป็นน่านน้ำสากลห่างเขตแดนจีนกว่าร้อยกิโล
       
       ทั้งนี้ นายไบรอัน วิทแมน โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือเพนตากอน ได้เปิดเผยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (1 พ.ค.) เรือประมงจีน 2 ลำได้เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้เรือสำรวจยูเอสเอ็นเอส วิกเตอเรียส( USNS Victorious) ที่กำลังปฏิบัติการอยู่ในน่านน้ำสากล ทำให้กองทัพเรือสหรัฐฯ ต้องใช้กำลังผลักดันออกไป
       
       “มันเป็นการกระทำที่ไม่ปลอดภัยและอันตราย และต้องมีการรายงานทางการทูตต่อไป” และว่า ในเหตุการณ์ดังกล่าว ลูกเรือของสหรัฐฯ ต้องขอความช่วยเหลือไปยังฝ่ายทหารของจีนที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อให้ช่วยนำเรือประมงออกไป
       
       “มันชัดเจนว่าเขตทะเลที่เกิดการเผชิญหน้ากันเป็นน่านน้ำสากล ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลของจีนออกไป 70 ไมล์ (113 ก.ม.)” นายไบรอัน ระบุ
       
       การเผชิญหน้าครั้งล่าสุดนี้ ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของกองทัพเรือของประเทศมหาอำนาจทั้ง 2 ตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง โดยกองทัพเรือทั้งของสหรัฐฯ และจีนต่างก็ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในทะเลจีนใต้ ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทะเลที่สำคัญ ทั้งในด้านความมั่นคงและการค้า นอกจากนี้ ยังเชื่อกันว่า หมู่เกาะในทะเลจีนใต้ยังเป็นแหล่งสำรองของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่สำคัญอีกด้วย
       
       ความหมางใจระหว่างกองทัพเรือของ 2 ประเทศเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เมื่อเรือประมงของจีนได้เผชิญหน้ากับเรือยูเอสเอ็นเอส วิกเตอเรียส และเรือสำรวจยูเอสเอ็นเอส อิมเพคเคเบิล (USNS Impeccable) ที่ไม่ติดอาวุธของสหรัฐฯ โดยหัวหน้าฝ่ายทหารของจีนเชื่อว่า เรือสำรวจ อิมเพคเคเบิล กำลังปฏิบัติการสืบราชการลับอยู่ และได้เรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติการกระทำใดๆ ในทะเลจีนใต้ที่ขัดต่อกฎหมาย ขณะที่สหรัฐฯ ก็เฝ้าระวังการขยายคลังสรรพาวุธ รวมทั้งการขยายเรือรบใต้น้ำของจีนด้วย
       
       ทางเพนตากอนยังระบุด้วยว่า สี่วันก่อนการเผชิญหน้าครั้งล่าสุด เรือลาดตระเวณเพื่อการประมงของจีนที่ปฏิบัติการอยู่ในทะเลเหลือง ได้สาดไฟสปอตไลท์มายังเรือวิกเตอเรียส และยังเคลื่อนตัวผ่านหัวเรือของเรือสหรัฐฯ ไปในความมืดโดยไม่ได้แจ้งแต่อย่างใด
       
       ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ เคยตอบโต้การเผชิญหน้ากับเรือของจีนด้วยการส่งเรือติดอาวุธทำลายล้างแล่นขนาบไปกับเรือสำรวจระหว่าปฏิบัติการในทะเลจีนใต้
       
       แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า การเผชิญหน้าระหว่างเรือประมงของจีนกับเรือวิกเตอเรียสที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ สหรัฐฯ ได้ใช้เรือรบแล่นขนาบไปกับเรือวิกเตอเรียสหรือไม่


 49 
 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2009, 07:17:55 AM 
เริ่มโดย สายน้ำ - กระทู้ล่าสุด โดย สายน้ำ
เดลินิวส์


ผู้ว่าฯระยองเดินเครื่องลุย! ขจัดมลพิษคืนชีวิตสู่ชุมชน
 
 
 
  ปัญหาที่สะสม มานาน ไม่น่าหนักใจ เพราะถือว่าผู้ว่าราชการจังหวัด มีหน้าที่ต้องมาแก้ไขปัญหา ถ้าไม่มีปัญหาอะไรเลย ก็ไม่ท้าทายในการทำงาน ปัญหาเป็นสิ่งที่ต้องข้ามพ้นไปให้ได้ เป็นสิ่งพิสูจน์  ความสามารถ ภาวะผู้นำ และการตัดสินใจ หากถือหลักทำงานให้ดี   ที่สุด โปร่งใส ไม่ทุจริต และถือผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เป็น    ที่ตั้ง ปัญหาต่าง ๆ ก็คงจะค่อย ๆ คลี่คลายไปได้ นี่คือความมุ่งมั่น  ของ นายสยุมพร ลิ่มไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง คนที่ 47  ซึ่งเปิดเผยว่า หลังจากมารับตำแหน่งและลงศึกษาพื้นที่โดยรวมของ  จังหวัดได้เรียกนักการเมืองท้องถิ่นและผู้เกี่ยวข้อง มาปรึกษาหารือ วาง   แนวทางพัฒนาจังหวัด โดยวางยุทธศาสตร์หลักที่สำคัญ ไว้ 3 ด้าน กล่าวคือ
 
ด้านอุตสาหกรรม สิ่งสำคัญคือ สนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำแผนแก้ปัญหาและลดภาวะมลพิษในเมืองระยอง หลังจากที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศให้พื้นที่มาบตาพุดและใกล้เคียงเป็นเขตควบคุมมลพิษ โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน และผู้ที่ได้รับผลกระทบในด้านต่าง ๆ ทั้งนี้จะยกระดับ  แผนการดูแลสุขภาพของประชาชน และการแก้ไขปัญหาสังคมที่สืบเนื่องจากการพัฒนาอุตสาหกรรมให้มีความสำคัญมากขึ้น ในส่วนของ  อุตสาหกรรม ก็จะตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี ระยะที่ 3 แต่จะรณรงค์และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อไปสู่อุตสาหกรรมสะอาด โดยเฉพาะการที่จังหวัดระยองและคนระยองควรที่จะได้รับผลประโยชน์กลับคืนมาให้มากขึ้น ในรูปของภาษีต่าง ๆ ที่จะใช้ในการพัฒนาท้องถิ่น


 
ด้านเกษตรกรรม พยายามจะรื้อฟื้นความเป็นเมืองผลไม้ที่เคยมีชื่อเสียงของเมืองระยอง ให้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง โดยสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรผลไม้ ในการปรับปรุงคุณภาพ การส่งเสริมการตลาด โดยเฉพาะการปรับปรุงตลาดกลางที่มีอยู่แล้ว ให้เป็นกลไกที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น คงจะช่วยดูแลและแก้ไขปัญหาแก่เกษตรกรในช่วงที่ปริมาณการผลิตออกมามาก ซึ่งอาจทำให้แนวโน้มราคาตกต่ำ


 
ด้านการท่องเที่ยว ก็จะรื้อฟื้นความเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในภาคตะวันออก ให้กลับมาเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยใช้พื้นที่การท่องเที่ยวหลักซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว เช่น เกาะเสม็ด หาดแม่รำพึง เป็นต้น แต่จะต้องแก้ไขปัญหาหลักของพื้นที่ดังกล่าว ได้แก่ ปัญหาการจัดการขยะและน้ำเสีย รวมทั้งการขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค บนเกาะเสม็ด การพัฒนาท่าเรือ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว การจัดระเบียบ การก่อสร้างอาคาร การพัฒนาถนนรอบเกาะ เป็นต้น ส่วนที่หาดแม่รำพึง จะเน้นการจัดระเบียบ การป้องกันการบุกรุกบริเวณชายหาด
 
นายสยุมพร ผวจ.ระยอง กล่าวอีกว่า หลังจากที่ศาลปกครองจังหวัดระยอง มีคำสั่งให้ประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่มาบตาพุด และบางส่วนของจังหวัดระยองและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธาน มีมติ ไม่อุทธรณ์คำสั่งศาล ทางจังหวัดระยอง ก็ได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อ จัดทำแผนขจัดมลพิษในพื้นที่ประกาศเขตควบคุมมลพิษดังกล่าวให้ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยได้เชิญนายกเทศมนตรีเมืองมาบตาพุดและผู้นำองค์กรส่วนท้องถิ่น มารับฟังการชี้แจงขั้นตอนและแนวทางการปฏิบัติจากผู้แทนกรมควบคุมมลพิษ ในส่วนของเทศบาลเมืองมาบตาพุดได้จัดให้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็น    ของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่บริเวณ  รอบนิคมอุตสาหกรรมเพื่อนำไปประกอบการ พิจารณาจัดทำแผน ซึ่งกระบวนการจัดทำแผนขจัดมลพิษ เป็นหน้าที่โดยตรงขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะต้องสำรวจปัญหามลพิษด้านต่าง ๆ ในเขตควบคุมมลพิษทั้งมลพิษด้านอากาศ น้ำ กากของเสีย สารระเหยและอื่น ๆ และกำหนดมาตรการการป้องกันเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ


 
ทั้งนี้ ได้มอบนโยบายให้เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนให้มากที่สุด รวมทั้งเปิดกว้างในการรับฟังความคิดเห็น ของผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นด้านนิคมอุตสาหกรรม ภาคการท่องเที่ยว ภาคการเกษตร ในส่วนของจังหวัดระยองนั้น ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสนับสนุนการจัดทำแผนขจัดมลพิษแก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นขึ้น โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดระยองเป็นประธาน และผู้แทนของ กระทรวง ทบวง กรม ในส่วนกลางที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตประกาศควบคุมมลพิษ
 
หลายฝ่ายเกรงว่า เมื่อประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษแล้ว จะมีผลกระทบต่อการลงทุนภาคอุตสาหกรรมและภาพลักษณ์การท่องเที่ยวนั้น ขอชี้แจงว่า คงไม่มีผลกระทบ เพราะ จากการตรวจสอบข้อมูลจังหวัดอื่น ที่เคยมีการประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษไปแล้ว 12 จังหวัด การพัฒนาด้านต่าง ๆ ก็ยังคงมีการขยายตัวและเดินหน้าไปได้ด้วยดี จึงเห็นว่าการประกาศพื้นที่ของจังหวัดระยองเป็นเขตควบคุมมลพิษ น่าจะเป็นโอกาสดีในการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีและสร้างความเชื่อมั่นแก่ทุกฝ่าย
 
ผวจ.ระยอง กล่าวต่อว่าสิ่งที่พยายามผลักดันให้มากขึ้น คือ แผนการป้องกันและดูแลด้านสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากชาวระยองต้องรับภาระกับมลพิษมานาน ซึ่งควรจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ รวมทั้งแผนการแก้ไขปัญหาสังคมที่สืบเนื่องมาจากการพัฒนาอุตสาหกรรม เช่น ปัญหาประชากรแฝงในจังหวัดระยองซึ่งมีเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่สำคัญคืออยากเรียกร้องและวิงวอนให้โรงงานอุตสาห กรรมต่าง ๆ ที่เข้ามาดำเนินการในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ได้จดทะเบียนในจังหวัดระยองเพื่อให้ภาษีมูลค่าเพิ่มได้กลับมาสู่จังหวัดระยองและชาวระยองบ้าง
 
ขณะเดียวกัน ในการทำงานนั้น เป้าหมายคือประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ การตัดสินใจในบางเรื่อง คงไม่อาจทำให้ทุกคนพอใจได้ แต่จะทำให้คนส่วนใหญ่พอใจ ได้รับประโยชน์ เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และเป็นธรรม สิ่งที่จะดำเนินการทุกเรื่อง จะสามารถอธิบายได้ด้วยหลักเหตุผล ขอให้ชาวระยองได้ช่วยสนับสนุนการดำเนินงานที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่ แต่ขณะเดียวกันก็จะรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะของทุกฝ่าย ภายใต้บรรยากาศของประชาธิปไตยและแนวทางสมานฉันท์


 50 
 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2009, 07:12:47 AM 
เริ่มโดย สายน้ำ - กระทู้ล่าสุด โดย สายน้ำ
ไทยรัฐ


ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่กรมประมงตรวจจับผู้ทำการประมงอวนลากปลามะลิในทะเลสาบสงขลา   

จากกรณีที่ชาวประมงในเขตพื้นที่บ้านปากประ อ.เมือง และ ต.พนาตุง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง แจ้งว่าได้รับความเดือดร้อนเพราะถูกเจ้าหน้าที่กรมประมงตรวจจับการทำประมงอวนลากปลามะลิ กรมประมงได้ชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่ของกรมประมงได้ทำการจับกุมผู้กระทำการประมงอวนล้อมจับปลามะลิในบริเวณทะเลสาบสงขลานั้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 เรื่องกำหนดห้ามใช้เครื่องมืออวนล้อมจับทำการประมงในทะเลสาบสงขลา ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2537) โดยห้ามไม่ให้ผู้ใดใช้เครื่องมืออวนประเภทล้อมจับ หรืออวนอื่นๆ ซึ่งมีลักษณะและวิธีการใช้อย่างเดียวกันทำการประมงในทะเลสาบสงขลาทั้งหมด รวมตลอดถึงทะเลสาบสงขลาทั้งหมด รวมถึงทะเลสาบตอนในและทะเลน้อย ซึ่งอยู่ภายในท้องที่จังหวัดสงขลา และจังหวัดพัทลุงโดยเด็ดขาด เนื่องจากเครื่องมืออวนล้อมจับขนาดเล็กเป็นการทำลายพันธุ์สัตว์น้ำอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม กรมประมงได้ส่งเสริมการเพาะเลี้ยงปลาในกระชังทดแทนให้กับชาวประมงที่ได้รับผลกระทบ และเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวประมง อีกทั้งยังได้ส่งเสริมให้ชาวประมงมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทัพยากรประมง โดยตั้งโครงการเสริมสร้างการจัดการชุมนุมประมงต้นแบบ ซึ่งในปีที่ผ่านชุมชนบ้านคลองขุด อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ได้รับรางวัลชุมชนประมงต้นแบบดีเด่นประจำปี 2551 จากกรมประมงอีกด้วย


หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 10
Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.036 วินาที กับ 12 คำสั่ง