|
สายน้ำ
|
 |
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2009, 01:15:39 AM » |
|
กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
บริเวณความกดอากาศสูงยังคงปกคลุมด้านตะวันออกของประเทศไทยส่งผลทำให้ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามา ปกคลุมประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ในระยะนี้ สำหรับประเทศไทยยังคงมีหมอกในตอนเช้า ขอให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีหมอกในตอนเช้า และมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศา อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.
คาดหมาย
ในช่วงวันที่ 17-18 ก.พ. 2552 บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนได้แผ่ซึมลงมาปกคลุมด้านตะวันออกของประเทศไทย ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ ส่วนบริเวณประเทศไทยยังคงมีหมอกในตอนเช้า และมีอากาศร้อนอบอ้าวใน ตอนกลางวัน
หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 19-23 ก.พ. 2552 บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนอีกระลอกหนึ่งจะแผ่เสริมลงมาปกคลุม ประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย และมีลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้
ข้อควรระวัง
ในช่วงวันที่ 17-18 ก.พ. ขอให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 19-22 ก.พ. ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนให้ระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงไว้ด้วย
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2009, 01:32:30 AM » |
|
เดลินิวส์
ปลูกปะการังกว่า 4,000 กิ่งในแหล่งดำน้ำ
นายวรรณเกียรติ์ ทับทิมแสง ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เปิดเผยว่า ในปี 2552 กรมฯ เตรียมสานต่อโครงการฟื้นฟูแนวปะการังเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการฟื้นฟูแนวปะการัง เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยและพื้นที่วางไข่ของสัตว์น้ำต่าง ๆ บริเวณแหล่งดำน้ำสำคัญที่กรมฯ ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2550 เนื่องจากล่าสุดกรมฯ ได้สำรวจและประเมินผลโครงการดังกล่าวตาม หลักวิชาการพบว่าปะการังทั้ง 4,000 กิ่ง ที่นำไปย้ายปลูกบริเวณเกาะพีพี จ.กระบี่ เกาะรัง จ.ภูเก็ต เกาะมันใน จ.ระยอง และ จ.ตราด มีอัตราการเจริญเติบโตเป็นที่น่าพอใจ อีกทั้งยัง ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการธุรกิจดำน้ำนักดำน้ำและนักท่องเที่ยว รวมทั้งชุมชนในพื้นที่ในการดูแล อนุรักษ์แนวปะการังและฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่ง ตลอดจนจัดกิจกรรมท่องเที่ยวดูปะการังที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย สำหรับการดำเนินการในปีนี้ กรมฯ ตั้งเป้าที่จะวางปะการังทั้งสิ้น 4,000 กิ่ง ได้แก่ เกาะยูง (ตอนเหนือของเกาะพีพี) ใน จ.ภูเก็ต จำนวน 1,000 กิ่ง ในพื้นที่ จ.ระยอง เกาะ มันใน จำนวน 1,000 กิ่ง และเกาะหวายจำนวน 2,000 กิ่ง สาเหตุที่เลือกดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาปะการังเสื่อมโทรมรวมทั้งแหล่งวางไข่ของสัตว์น้ำถูกทำลายระดับวิกฤติ หากไม่ดำเนินการแก้ไข นอกจากจะเกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศชายฝั่งและแนวปะการังในระดับรุนแรงเกินกว่าจะประเมินมูลค่าแล้ว ยังจะนำไปสู่การเสียโอกาสทางเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่ ทั้งรายได้จากนักท่องเที่ยว และรายได้จากการทำประมงด้วย ซึ่งเบื้องต้นพบว่า ผู้ประกอบการภาคเอกชนในพื้นที่แสดงความจำนงที่จะให้ความร่วมมือกับกรมฯ ในการฟื้นฟูและดูแลแนวปะการังอย่างเต็มที่ เพื่อให้โครงการดังกล่าวลุล่วงตามแผนงานที่วางไว้.
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2009, 01:57:20 AM » |
|
มติชน
"แลนด์บริดจ์" สุวรรณภูมิ เชื่อมอ่าวไทย-อันดามัน : คอลัมน์ สยามประเทศไทย โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ
 หมายเหตุ - ตำแหน่งสีต่างๆ ล้วนกำหนดอย่างกว้างๆในแผนที่เพื่อให้ดูง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ แต่ในความจริงของยุคนั้นๆอาจต่างไป หรือทับซ้อนอยู่ด้วยกันอย่างแยกชัดเจนเหมือนแผนที่แผ่นนี้ไม่ได้ ฉะนั้นต้องเข้าใจร่วมกันว่าการลงสีเป็นเรื่องสมมุติเท่านั้น ส่วนความจริงเป็นอย่างไรต้องเปลี่ยนแปลงตามหลักฐานได้เสมอ โครงการแลนด์บริดจ์ เป็นงานวางแผนสร้างถนนเชื่อมฝั่งทะเลอันดามันกับฝั่งอ่าวไทยบริเวณคาบสมุทรภาคใต้ของไทย เพื่อขนส่งสินค้าต่างๆที่มาทางเรือจากฝั่งทะเลด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง แต่รัฐบาลยังไม่ได้กำหนดจุดที่จะสร้าง (โพสต์ ทูเดย์ ฉบับวันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 หน้า 1)
ลักษณะการขนถ่ายสินค้าจากทะเลฟากหนึ่งไปทะเลอีกฟากหนึ่ง เคยมีมาก่อนราว 3,000 ปีมาแล้ว แต่พบหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีจำนวนมากอยู่ในชุมชนทางฝั่งทะเลอ่าวไทยและทะเลอันดามันเมื่อราว พ.ศ. 1 หรือ 2552 ปีมาแล้ว ถ้าอยากรู้รายละเอียดให้เปิดดูในหนังสือแผนที่ประวัติศาสตร์และแผนที่วัฒนธรรม ของ(สยาม)ประเทศไทย (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สนับสนุนพิมพ์ ครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2551)
เหตุที่ต้องขนถ่ายสินค้าข้ามคาบสมุทรบริเวณภาคใต้ของไทย ก็เพราะเทคโนโลยียุคดึกดำบรรพ์ยังล้าหลังเอาเรือใบแล่นอ้อมแหลมมลายูผ่านช่องแคบมะละกาไม่ได้ เลยส่งผลให้ดินแดนประเทศไทยเป็นจุดนัดพบของตะวันออกกับตะวันตก แล้วมีชื่อในคัมภีร์อินเดีย-ลังกา เรียกบริเวณนี้ว่าสุวรรณภูมิ
สุวรรณภูมิ แปลตามรูปศัพท์ว่าแผ่นดินทอง หรือดินแดนทอง แต่มีคำเฉพาะเรียกใช้มานานแล้วว่าแหลมทอง หมายถึงบริเวณผืนแผ่นดินใหญ่ของอุษาคเนย์ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อราว 2,500 ปีมาแล้ว อันเป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ประกอบด้วยสัตว์, พืชพันธุ์ธัญญาหาร และแร่ธาตุต่างๆ ทั้งเป็นแหล่งของกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายที่ล้วนเป็นเครือญาติทางสังคมวัฒนธรรม และเป็นบรรพชนของคนไทยทุกวันนี้
สุวรรณภูมิ เป็นชื่อเก่าแก่มีในคัมภีร์โบราณ เช่น มหาวงศ์พงศาวดารลังกา, ชาดกพุทธศาสนาในอินเดีย, และนิทานเปอร์เซียในอิหร่าน ฯลฯ เนื่องเพราะชาวสิงหล (ลังกา) ชาวชมพูทวีป (อินเดีย) และชาวอาหรับ-เปอร์เซีย (อิหร่าน) ที่เป็นนักเดินทางผจญภัยแลกเปลี่ยนค้าขายสิ่งของเครื่องใช้ ต่างพากันเรียกผืนแผ่นดินใหญ่ของอุษาคเนย์โบราณว่าสุวรรณภูมิไม่น้อยกว่า 2,500 ปีมาแล้ว
ส่วนชาวฮั่น (จีน) ยุคโบราณ เรียกดินแดนนี้ว่า จินหลิน หรือ กิมหลิน มีความหมายเดียวกันกับชื่อสุวรรณภูมิว่าแผ่นดินทอง, ดินแดนทอง, แหลมทอง
ฉะนั้น สุวรรณภูมิจึงไม่ใช่ชื่อรัฐหรืออาณาจักร แต่เป็นชื่อดินแดนแผ่นดินใหญ่ของอุษาคเนย์หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปัจจุบัน ที่ขนาบด้วย 2 มหาสมุทร คือ มหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ทางด้านตะวันออก กับมหาสมุทรอินเดีย อยู่ทางด้านตะวันตก ส่งผลให้ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนค้าขาย หรือ"จุดนัดพบ""ระหว่างโลกตะวันตก (หมายถึงอินโด-เปอร์เซีย และอาหรับ) กับโลกตะวันออก (หมายถึงจีนฮั่นและอื่นๆ) มีความมั่งคั่งและมั่นคง แล้วมีรัฐใหญ่ๆ เกิดขึ้นในยุคต่อๆ มา เช่น ทวารวดี, ฟูนัน, เจนละ, ศรีวิชัย, ทวารวดีศรีอยุธยา, ละโว้-อโยธยาศรีรามเทพ, จนถึงกรุงศรีอยุธยา ฯลฯ ดึงดูดให้ผู้คนจากที่ต่างๆ ทุกทิศทางเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งหลักแหล่ง ทำให้เกิดความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่ผสมผสานทางสังคมวัฒนธรรมและเผ่าพันธุ์จนเป็น""คนไทย""และเครือญาติชาติต่างๆในอุษาคเนย์ปัจจุบัน
สุวรรณภูมิ คือนามอันเป็นมงคลที่คนแต่ก่อนยกย่องใช้เรียกชื่อบ้านนามเมืองสืบเนื่องหลายยุคหลายสมัย ได้แก่ รัฐสุพรรณภูมิ (ราวหลัง พ.ศ. 1600) จนเป็นเมืองสุพรรณบุรี (ราวหลัง พ.ศ. 1800) และจังหวัดสุพรรณบุรี รวมทั้งชื่อเมืองสุวรรณภูมิ (ราว พ.ศ. 2315 สมัยกรุงธนบุรี) แล้วเปลี่ยนเป็นอำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อราว 100 ปีมาแล้ว
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นนามพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2543
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2009, 01:59:39 AM » |
|
ไทยรัฐ
EU กับสินค้าประมง : หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน
IUU...Illegal Unreported and Unregulated Fishing เป็น กฎระเบียบที่ว่าด้วยการป้องกัน ต่อต้าน และ ขจัดการทำประมง ที่ผิดกฎหมาย โดย สหภาพยุโรป เป็นผู้ตั้งเงื่อนไขนี้ขึ้นมา...ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในต้นปีหน้า (1 มกราคม 2553)
ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) เป็นปัญหาสำคัญระดับโลก ซึ่ง พวกเขาไม่ต้องการให้มีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการทำประมงผิดกฎหมายวางขายในตลาดยุโรป เพราะขณะนี้ทั่วโลกต่างตระหนักดีว่าการทำประมงแบบ IUU ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
แถม EU ยังคัดเลือกเอาไทยเป็น 1 ใน 8 ประเทศ เพื่อทำการศึกษาผลกระทบจากกฎระเบียบนี้ (Test case) พร้อมทั้งส่งเจ้าหน้าที่มาทำการศึกษาระบบทำการประมงของไทยตลอด สายการผลิต เนื่องจากเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกสินค้าประมงที่สำคัญรายหนึ่งของโลก
กรมประมง เกรงว่าอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงของไทยได้ในอนาคต เมื่อ EU นำกฎนี้มาประกาศใช้ ขณะที่ผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องไม่ทราบถึงกฎและเงื่อนไขที่จะต้องนำไปปฏิบัติ
ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง จึงร่วมกับ สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจำสหภาพยุโรป จัดกิจกรรมสัมมนาขึ้น....เพื่อชี้แจงรายละเอียดของกฎระเบียบฉบับนี้แก่หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง จะได้ไม่เกิดอุปสรรคต่อการค้า
ซึ่งใน การทำประมงจักต้องมีใบรับรองการจับสัตว์น้ำจากหน่วยงานที่รับผิดชอบของประเทศเจ้าของสัญชาติ (เรือประมงสัญชาติไทยต้องได้รับการรับรองจากกรมประมง) เป็นการการันตีว่า การจับสัตว์น้ำดังกล่าวได้กระทำถูกต้องตามกฎหมาย กฎระเบียบ มาตรการการอนุรักษ์ และการบริหารจัดการระดับนานาชาติ
ที่สำคัญ...แผนการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ จะครอบคลุมถึงสินค้าประมง แปรรูป และ ไม่แปรรูป ยกเว้นสัตว์น้ำจืด ปลาสวยงาม สินค้าสัตว์น้ำที่มาจากการเพาะเลี้ยงซึ่งเกิดจากลูกสัตว์น้ำหรือตัวอ่อน หรือหอยสองฝาบางชนิด
ซึ่ง อธิบดีกรมประมง ได้ย้ำว่า...ยังมีเวลาอีกเกือบปีที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายเตรียมตัวรับสถานการณ์ แต่ก็ไม่ควรตื่นตระหนกกับข้อบังคับฉบับใหม่นี้มากเกินไป เนื่องจากไทยเรานั้นมีความพร้อม และศักยภาพเพียงพอที่จะดำเนินการให้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่เกิดขึ้น...
...เพียงแต่พวกเราให้ความร่วมมือดำเนินการอย่างจริงจัง... สินค้าประมงไทยก็สามารถยืนหยัดอยู่ในตลาดยุโรปได้อย่างสบายๆ...!!!
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #5 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2009, 02:01:43 AM » |
|
ข่าวสด
พัทยาทุ่ม 150 ล้าน ฟื้นหาดกระทิงลาย
นายอิทธิพล คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา จ.ชลบุรี เปิดเผยว่า เมืองพัทยาเตรียมปรับปรุงภูมิทัศน์หาดกระทิงลายเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ สามารถดึงดูดประชาชนในพื้นที่และต่างจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียงให้เข้ามาได้ทุกวันพร้อมดันงบ 150 ล้านบาทบูรณาการพื้นที่ดังกล่าวให้สามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ที่ผ่านมาเมืองพัทยามีชายหาดและสถานที่ท่องเที่ยวเกิดขึ้นอย่างมากมายเพื่อเป็นการรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคตและต้องการความเป็นส่วนตัว
นายอิทธิพล กล่าวต่อว่า ผู้บริหารเมืองพัทยา พร้อมสมาชิกเมืองพัทยามีความเห็นพ้องต้องกันเพื่อดันโครงการดังกล่าวนี้ หวังสร้างแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ในพัทยาให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เพื่อปรังปรุงภูมิทัศน์ชายหาดกระทิงลายให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ จะดำเนินโครงการปี 2553 พร้อมนำพระราชบัญญัติมาใช้เพื่อกำหนดให้เป็นเกณฑ์เดียวกัน อย่างไรก็ตามจะให้เจ้าหน้าที่กองเทศกิจ กองช่างสุขา กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเข้ามาดูแลตามนโยบายของเมืองพัทยากำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวแบบยั่งยืนต่อไป
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #6 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2009, 02:06:02 AM » |
|
สยามรัฐ
โบราณคดีใต้น้ำไทยอันดับต้นอาเซียน อึ้ง! ไม่มีเรือสำรวจเอง
วธ.เผยโบราณคดีใต้น้ำไทยอันดับต้นอาเซียน อึ้ง! กว่า30ปี เช่าเรือประมงสำรวจ ล่าสุดต่อโครงสร้างลำแรกชื่อ แววมยุรา จัดทำแผนแม่บทขออัตราเพิ่ม-ซื้อเรดาร์ ป้องสมบัติชาติ
16 ก.พ. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพาณิชย์นาวีจันทบุรี กลุ่มโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร ว่า การดำเนินงานโบราณคดีใต้น้ำมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 หรือ 35 ปีมาแล้ว ได้รับการสนับสนุนอบรมนักประดาน้ำจากประเทศเดนมาร์ก มีการจัดเก็บข้อมูลและอนุรักษ์เป็นระบบ ทำให้โบราณคดีใต้น้ำประเทศไทยล้ำหน้าและทันสมัยในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งแต่ละประเทศภูมิภาคนี้จะส่งนักโบราณคดีใต้น้ำมาอบรมที่กรมศิลปากร ในส่วนทีมนักประดาน้ำของไทยมีจำนวน 11 คน คือนักโบราณคดีใต้น้ำ 2 คน ช่างสำรวจ 9 คนที่โอนมาจากทหารเรือ แต่ขณะนี้ประสบปัญหาเรื่องการขาดแคลนอัตรากำลังคน เพราะช่างสำรวจได้เกษียณอายุราชการจำนวนหนึ่ง จึงไม่เพียงพอกับการทำงานสำรวจซากเรือจมใต้ทะเล การจัดเก็บข้อมูลและดูแลอนุรักษ์รักษา ที่ขณะนี้เรือโบราณคดีใต้น้ำลำแรกที่ได้รับการอนุมัติต่อเรือราคา 7 ล้านบาทใกล้จะต่อโครงสร้างเรือเสร็จสมบูรณ์ แต่ต้องหางบประมาณมาจัดซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติม
ปลัดวธ. กล่าวอีกว่า กลุ่มโบราณคดีใต้น้ำที่ผ่านมา ไม่ได้รับการส่งเสริมเท่าที่ควร จึงได้ให้จัดทำแผนแม่บทหรือมาสเตอร์แพลน ส่งผ่านไปที่กรมศิลปากรและต่อมายังสำนักปลัดวธ.จะชี้แจงสำนักงบประมาณเพื่อของบเพิ่ม และขออัตรากำลังคนเพิ่มจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพล เรือน(ก.พ.) เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ให้จัดทำขยายโครงสร้างเนื้องานและปฏิบัติงานขอบเขตของงานให้มากขึ้น จัดทำตั้งแต่เรื่องราววิถีชีวิตของคนในสมัยนั้นอยู่อย่างไร การพาณิชย์ในสมัยนั้นค้าขายอะไรบ้าง แหล่งโบราณคดีใต้น้ำมีกี่แห่ง และแต่ละปีจะสำรวจที่ไหนบ้าง ทั้งนี้เรือต่อโครงสร้างเสร็จแล้วจะได้หางบสนับสนุนจัดซื้ออุปกรณ์สำรวจใส่เรือในเบื้องต้น
ด้าน นายเดชา พรไทย นายช่างสำรวจโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร กล่าวว่า ช่วง30 ปีที่ผ่านมากลุ่มโบราณคดีใต้น้ำจะได้รับงบประมาณปีละกว่า 1 ล้านบาท เป็นค่าจ้างลงทุน ค่าจ้างแรงงาน อุปกรณ์ ค่าเช่าเรือประมง เรือท่อง เที่ยวมาใช้ทำการสำรวจต่อเที่ยว 5,000-6,000 บาท เพิ่งจะมีเรือโบราณคดีใต้น้ำเป็นของกลุ่ม ที่ขณะนี้ต่อโครงสร้างเรือไปแล้วประมาณ 70 % ที่อู่ต่อเรือในกรุงเทพฯ คาดว่าแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม ปี 2552 จากนั้นนำเรือดังกล่าวไปไว้ที่ท่าแฉลบ จ.จันทบุรี ความยาวของเรือ 20 เมตร กว้าง 5.50 เมตร แล่นระวางน้ำภายใต้รัศมี 60-100 ไมล์ จำนวนคนบรรจุได้ 20 คน เรือชื่อ แววมยุรา เกี่ยวข้องกับโบราณคดีใต้น้ำ ลำเรือทาสีม่วง คาดสีเขียวเกี่ยวกับกรมศิลปากร ส่วนอุปกรณ์ที่มีอยู่ขณะนี้คือชุดดำน้ำ แต่ที่ต้องจัดหาซื้อคือเรดาร์นำร่องเรือและสำรวจซากเรือจม
ขณะนี้โบราณคดีใต้น้ำของไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติ มีทันสมัย และอยู่อันดับต้นของเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน และมีแผนจะทำการสำรวจเพิ่มเติมจากบริเวณเกาะคราม อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เป็นแหล่งเรือจมที่พบเครื่องถ้วยชามสังคโลกสมัยสุโขทัย อายุราว 600 ปี และเกาะกระ จ.นครศรีธรรมราช แหล่งเรือจมสำเภา พบเครื่องถ้วยชามสังคโลกสมัยอยุธยา อย่างไรก็ตามปัญหาปกป้องสมบัติชาติ ขณะนี้อัตรากำลังนักประดาน้ำที่จะมีการเกษียณอายุราชการจำนวน 4 คน จะเหลือทีมงานเพียง 7 คนเท่านั้น ที่จะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน นายเดชา นักโบราณคดีใต้น้ำ กล่าว จบ
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|