กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 23, 2025, 02:21:51 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552  (อ่าน 6955 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2009, 01:15:39 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงยังคงปกคลุมด้านตะวันออกของประเทศไทยส่งผลทำให้ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามา ปกคลุมประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ในระยะนี้ สำหรับประเทศไทยยังคงมีหมอกในตอนเช้า ขอให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีหมอกในตอนเช้า และมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศา อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 17-18 ก.พ. 2552 บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนได้แผ่ซึมลงมาปกคลุมด้านตะวันออกของประเทศไทย ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ ส่วนบริเวณประเทศไทยยังคงมีหมอกในตอนเช้า และมีอากาศร้อนอบอ้าวใน ตอนกลางวัน

หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 19-23 ก.พ. 2552 บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนอีกระลอกหนึ่งจะแผ่เสริมลงมาปกคลุม ประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย และมีลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 17-18 ก.พ. ขอให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 19-22 ก.พ. ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนให้ระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงไว้ด้วย



* Forecast2.jpg (40.47 KB, 684x423 - ดู 3120 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2009, 01:32:30 AM »

เดลินิวส์


ปลูกปะการังกว่า 4,000 กิ่งในแหล่งดำน้ำ

 นายวรรณเกียรติ์ ทับทิมแสง ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เปิดเผยว่า ในปี 2552 กรมฯ เตรียมสานต่อโครงการฟื้นฟูแนวปะการังเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการฟื้นฟูแนวปะการัง เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยและพื้นที่วางไข่ของสัตว์น้ำต่าง ๆ บริเวณแหล่งดำน้ำสำคัญที่กรมฯ ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2550 เนื่องจากล่าสุดกรมฯ ได้สำรวจและประเมินผลโครงการดังกล่าวตาม    หลักวิชาการพบว่าปะการังทั้ง 4,000 กิ่ง ที่นำไปย้ายปลูกบริเวณเกาะพีพี จ.กระบี่ เกาะรัง จ.ภูเก็ต เกาะมันใน จ.ระยอง และ จ.ตราด มีอัตราการเจริญเติบโตเป็นที่น่าพอใจ อีกทั้งยัง   ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการธุรกิจดำน้ำนักดำน้ำและนักท่องเที่ยว รวมทั้งชุมชนในพื้นที่ในการดูแล อนุรักษ์แนวปะการังและฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่ง ตลอดจนจัดกิจกรรมท่องเที่ยวดูปะการังที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย
 
สำหรับการดำเนินการในปีนี้ กรมฯ ตั้งเป้าที่จะวางปะการังทั้งสิ้น 4,000 กิ่ง ได้แก่ เกาะยูง (ตอนเหนือของเกาะพีพี) ใน จ.ภูเก็ต จำนวน 1,000 กิ่ง ในพื้นที่ จ.ระยอง เกาะ   มันใน จำนวน 1,000 กิ่ง และเกาะหวายจำนวน 2,000 กิ่ง สาเหตุที่เลือกดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาปะการังเสื่อมโทรมรวมทั้งแหล่งวางไข่ของสัตว์น้ำถูกทำลายระดับวิกฤติ หากไม่ดำเนินการแก้ไข นอกจากจะเกิดความเสียหายต่อระบบนิเวศชายฝั่งและแนวปะการังในระดับรุนแรงเกินกว่าจะประเมินมูลค่าแล้ว ยังจะนำไปสู่การเสียโอกาสทางเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่ ทั้งรายได้จากนักท่องเที่ยว และรายได้จากการทำประมงด้วย ซึ่งเบื้องต้นพบว่า ผู้ประกอบการภาคเอกชนในพื้นที่แสดงความจำนงที่จะให้ความร่วมมือกับกรมฯ ในการฟื้นฟูและดูแลแนวปะการังอย่างเต็มที่ เพื่อให้โครงการดังกล่าวลุล่วงตามแผนงานที่วางไว้.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2009, 01:51:22 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


ตามหากระเบนปีศาจที่ทะเลพม่า                         :                    วินิจ รังผึ้ง



       ผมมีโอกาสเดินทางไปดำน้ำในหมู่เกาะทะเลพม่าอีกครั้งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ไม่ได้เดินทางไปดำมาหลายปี โดยทางคุณจักริน กิตติสาร จากเรือภาณุนี ซึ่งเป็นเรือบริการดำน้ำที่ได้มาตรฐานระดับแนวหน้าของเมืองไทยโทรศัพท์มาชวน ผมรีบตอบรับโดยไม่ลังเล เพราะปีที่ผ่านมาไม่ค่อยได้ดำน้ำด้วยการงานวุ่นวาย นักดำน้ำนั้นถ้าไม่ได้ดำนานๆก็ให้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว รู้สึกผิวแห้งๆ หายใจเบาๆ เพราะไม่ค่อยได้มีโอกาสหายใจใต้ความกดดันสูงๆ เหมือนอยู่ใต้น้ำ ร่างกายมันรู้สึกโหยหากลิ่นอายทะเลอย่างไรชอบกล ยิ่งเป็นเส้นทางในหมู่เกาะทะเลพม่าที่น่าตื่นเต้นเร้าใจด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกเร่งวันเร่งคืน
       
       เรือภาณุนีพาเราออกจากท่าเรือทับละมุ จังหวัดพังงาตอนค่ำมุ่งหน้าสู่กองหินริเชลิว ซึ่งเป็นกองหินใต้น้ำอยู่ไม่ไกลจากหมู่เกาะสุรินทร์มากนัก รุ่งเช้าเราก็ลงดำกันที่กองหินริเชลิวเป็นอันดับแรก ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพราะน้ำทะเลใสมีฝูงปลากล้วยสีเหลืองมากมายนับพันนับหมื่นว่ายเวียนกันเต็มกองหิน ที่กองหินริเชลิวปีนี้มีรายงานการพบเห็นเจ้าฉลามวาฬอยู่หลายครั้งเหมือนกัน แต่เช้าวันนั้นน้ำทะเลอาจจะใสเกินไปจนไม่ค่อยมีแพลงก์ตอนที่เป็นอาหารโปรดของฉลามวาฬ เราจึงไม่พบแม้นจะดำกันซ้ำในไดฟ์ที่ 2 ตอนสายๆ ก็ตาม แต่ริเชลิวก็ยังมีสัตว์เล็กจำพวกกุ้งหอยปูปลาให้ดูมากมาย เช่นเจ้าม้าน้ำสีเหลืองที่อยู่ประจำ ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ กุ้งตัวตลก และทากทะเลหลากสีสัน เรียกว่ามาลงดำกันเมื่อใดก็ไม่ผิดหวัง
       
       ช่วงบ่ายเรือภาณุนีมุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่ท่าเรือน้ำลึกจังหวัดระนอง ถึงที่นั่นตอนเย็นๆเพื่อตรวจลงตราเดินทางออกนอกประเทศ จากนั้นจึงมุ่งสู่เกาะสอง หรือวิคตอเรียพอยท์ของพม่า เพื่อลงตราเข้าประเทศ ซึ่งการเข้าไปดำน้ำในพม่านั้น ทางการพม่าได้จัดระบบไว้เป็นอย่างดี โดยนักดำน้ำที่จะเข้าไปดำต้องเสียค่าทำเนียมหัวละ 200-300 ดอลล่าสหรัฐแล้วแต่ระยะทางที่จะเข้าไปดำ และตลอดการเดินทางจะมีเจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวลงเรือไปดูแลตลอดการเดินทาง ซึ่งหมู่เกาะทะเลพม่าหรือที่เรียกว่า Mergui Archipelago นั้นประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 800 เกาะ ซึ่งทะเลไทยรวมกันทั้งสองฝั่งยังมีเกาะแค่ 500 กว่าเกาะ อีกทั้งแต่ละเกาะของพม่านั้นยังคงมีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติ เพราะเป็นเกาะที่ไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่ ทั้งเรือประมงพม่าก็ไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับทะเลไทย โลกใต้ทะเลของพม่านั้นจึงยังคงความอุดมสมบูรณ์ของฝูงปลาและสัตว์ทะเลที่ท้าทายการไปเยือนเป็นอย่างยิ่ง
       
       กว่าจะทำเรื่องตามกระบวนการเข้าเมืองแล้วเสร็จก็มืดค่ำและเราก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เกาะถ้ำฉลามหรือ Shark cave กันทันที การแล่นเรือในยามกลางคืนสมัยก่อนนั้นอาจจะดูเป็นเรื่องอันตรายโดยเฉพาะในเส้นทางที่ไม่ค่อยคุ้นเคย แต่ก็เป็นเรื่องง่ายดายในสมัยปัจจุบัน โดยเฉพาะสำหรับเรือภาณุนีที่เป็นเรือเหล็กขนาดใหญ่รูปทรงทันสมัย พร้อมอุปกรณ์การเดินเรือที่มีทั้งเรดาร์ เครื่องนำทางและกำหนดตำแหน่งจากดาวเทียม (GPS) ที่เพียงแต่ระบุจุดหมายปลายทางที่จะเดินทางไป จากนั้นเครื่องก็จะลากเส้นนำทางไปสู่จุดหมายเหมือนมีตาทิพย์ ส่วนห้องนอนของเรือบริการดำน้ำเมืองไทยในปัจจุบันก็เป็นห้องนอนปรับอากาศที่ทันสมัยสะดวกสบาย เรียกว่านักดำน้ำนอนหลับสบายไปจนถึงจุดหมาย รุ่งเช้าก็ตื่นขึ้นมาดำน้ำกันได้ทันที
       
       ซึ่งที่ถ้ำฉลามในเช้าวันนั้นก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะพบฉลามทรายหรือฉลามพยาบาล (Nurse shark) ตัวมหึมาขนาดยาวราว 2 เมตรเศษอ้วนตันจนพวกเราสันนิษฐานว่าน่าจะกำลังตั้งท้อง หรือไม่เช่นนั้นก็คงเพิ่งจะสวาปามอะไรเข้าไปจนพุงกางชนิดอิ่มไปได้อีกหลายวัน นอนสงบนิ่งอยู่ในถ้ำ และบริเวณปากถ้ำก็มีฝูงปลาสากขนาดเล็กนับพันรวมฝูงกันว่ายเวียนไปมา เราดำลอดถ้ำมาทะลุอีกฝั่งหนึ่งของเกาะซึ่งเป็นระยะทางไม่ไกลแสงสว่างสามารถส่องทะลุเชื่อมกันทั้งสองฝั่ง บริเวณปากถ้ำมีฟองน้ำสีเหลืองอยู่มากมายซึ่งฟองน้ำสีเหลืองสดใสเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของปลาบู่ถ้ำขนาดเล็ก และทากทะเลที่มีสีสันสดใสเช่นกัน

 
 
       วันต่อมาเราแล่นเรือขึ้นเหนือสุดสู่เกาะทาวเวอร์ร็อค ซึ่งถ้าลากเส้นตัดขวางตามแนวตะวันออกตะวันตกแล้ว ทาวเวอร์ร็อคก็จะอยู่สูงพอๆกับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ของบ้านเรา นับว่าเราแล่นเรือขึ้นมาสูงมากเลยทีเดียว แต่ที่นี่ก็นับเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ เพราะเกาะแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของฝูงกระเบนปีศาจ หรือ Devil ray ซึ่งเป็นกระเบนขนาดใหญ่รองลงมาจากกระเบนราหู หรือ Manta ray แต่กระเบนปีศาจนั้นก็มีความน่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กระเบนราหู เพราะมันมักจะอาศัยอยู่เป็นฝูง และที่ทาวเวอร์ร็อคแห่งนี้ก็เคยมีรายงานการพบมันรวมฝูงกันมากถึง 40-50 ตัวเลยทีเดียว แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าวันที่เราไปดำนั้นพบไม่มากนัก คือฝูงที่มากสุดนับได้ 10 ตัวซึ่งว่ายเวียนตามกันมา แต่ก็ไม่อาจจะถ่ายภาพได้ทันเพราะมันค่อนข้างจะว่ายผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็วในระยะห่างราว 6-7 เมตร แล้วว่ายจากไป และยังพบเจออีกครั้งละ 2-3 ตัวว่ายเวียนผ่านไปมาให้เห็น ซึ่งเท่านั้นก็นับเป็นการลุ้นกันอย่างตื่นเต้นพอสมควร
       
       จากทาวเวอร์ร็อคเราแล่นเรือลงมายังเกาะแบล็คร็อค ซึ่งเป็นเกาะหินที่ตั้งอยู่โดดเด่นกลางท้องทะเล ที่นี่น้ำทะเลใสเพราะอยู่แนวด้านนอกของทะเลเปิด ในวันที่เราลงดำกันเจ้ากระเบนราหูขนาดใหญ่ราว 3 เมตร ก็ว่ายโฉบเข้ามาทักทายให้ตื่นเต้นกันแต่เช้า สภาพใต้น้ำของเกาะแบล็คร็อคนั้นเป็นเสมือนกำแพงผาที่ตั้งดิ่งชันลงไปสู่ใต้ทะเลลึก ทั่วทั้งกำแพงผามีปะการังอ่อนสีแดง สีชมพู สีเหลืองขึ้นครอบคลุมอยู่มากมาย มีฟองน้ำหลากสีสันเคลือบเกาะบริเวณที่เป็นผาชัน มีซอกหลืบอันเป็นที่อยู่อาศัยของกุ้งชนิดต่างๆ ทากทะเลหลากหลายสีสัน เรียกว่าบรรดาช่างภาพสามารถถ่ายภาพใต้น้ำกันได้อย่างเพลิดเพลินทั้งมุมกว้างและภาพแบบมาโครของสัตว์ทะเลขนาดเล็ก
       
       เราไล่ดำกันลงมาทางใต้อีกหลายจุด แต่ที่มาเป็นจุดประทับใจสุดท้ายก็คือการลงดำกันที่เกาะเวสเทิร์น ร็อคกี้ ซึ่งเป็นเกาะหินตั้งชันดูคล้ายกับรูปทรงของป้อมปราการกลางทะเล ที่นี่น้ำทะเลใสเป็นสีครามสดด้วยแสงที่สาดส่องลงไปสะท้อนกับพื้นทรายสีขาวบริสุทธิ์ใต้ท้องทะเลแล้วสะท้อนกลับขึ้นมายังห้วงน้ำรอบข้าง เกาะแห่งนี้จึงมีสีสันสดใส ดำน้ำที่นี่จึงเหมือนดำอยู่ในอัญมณีสีน้ำเงิน รอบๆเกาะฝั่งตะวันตกจะมีลักษณะเป็นผาตัดชัน มีโพรงถ้ำที่สามารถดำทะลุมายังอีกฝั่งของเกาะได้ หน้าถ้ำด้านตะวันตกมีประตูผาหินใต้น้ำที่สวยงามให้ดำลอดผ่าน ภายในถ้ำค่อนข้างมืดเพราะระยะทางจากฝั่งหนึ่งถึงอีกฝั่งหนึ่งราว 30 เมตร จึงจำเป็นต้องใช้ไฟฉายและค่อยๆเคลื่อนตัวลอดผ่านไปช้าๆนิ่งๆ เพื่อไม่ให้เกิดตะกอนขุ่นคลุ้งไปทั่วถ้ำ
       
       ภายในถ้ำเราพบกุ้งมังกรขนาดใหญ่ 3-4 ตัว ซึ่งแต่ก่อนนั้นกุ้งมังกรในถ้ำแห่งนี้มีมากมาย แต่ก็คงถูกจับไปขายจนเกือบหมด ภายในถ้ำบางครั้งอาจจะพบเจอฉลาม หรือกระเบนดำขนาดใหญ่นอนหลบอยู่ตามพื้น แต่ในวันนั้นเราไม่พบ มาเจอก็แต่เจ้าฉลามเสือดาวสีเหลืองจุดดำขนาดยาวราว 2 เมตรเศษ ว่ายเวียนส่ายหางพลิ้วไปมาอยู่บริเวณปากถ้ำ แต่เมื่อว่ายเข้าไปใกล้เพื่อจะถ่ายภาพ มันก็ว่ายหนีห่างหายลับไปในห้วงน้ำสีครามด้านนอก
       
       4 วันสำหรับการตระเวนดำน้ำในหมู่เกาะทะเลพม่าเหมือนการเดินทางแสวงหาที่ยังไม่จุใจ เพราะยังมีจุดดำน้ำที่น่าลงดำสำรวจค้นหาอีกมากมายไม่จบสิ้น คงต้องฝากไว้โอกาสหน้าที่จะกลับมาอีกครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมตั้งข้อสังเกตสำหรับการมาดำน้ำในหมู่เกาะทะเลพม่าครั้งนี้ก็คือ เริ่มมีเรือประมงทั้งขนาดเล็กและเรืออวนขนาดกลางให้เห็นเพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อนๆ อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่น้ำมันราคาถูกก็เป็นได้ จึงมีเรือประมงกล้าวิ่งออกมาจับปลาไกลฝั่งมากขึ้น ก็คงได้แต่หวังว่าปริมาณเรือประมงจะไม่มากไปกว่านี้อีก เพราะไม่เช่นนั้นทะเลพม่าอาจจะเหลือปลาให้ดูให้จับกันน้อยลงเหมือนทะเลไทยในวันอันใกล้นี้ก็เป็นได้.


*********************************************************************************************


 เยือน"พิพิธภัณฑ์เปลือกหอยกรุงเทพฯ" เสพความมหัศจรรย์แห่งเปลือกหอย


พิพิธภัณฑ์เปลือกหอยกรุงเทพฯ หัวมุมซอยสีลม 23

       ช่วงนี้รายการแฟนพันธ์แท้ที่เฟ้นหาสุดยอดแฟนพันธ์แท้แห่งปีกำลังเข้มข้น สำหรับผู้ที่เป็นแฟนพันธ์แท้รายการนี้ หากเอ่ยชื่อ "จอม : สมหวัง ปัทมคันธิน" คงจะคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี เพราะนี่คือ สุดยอดแฟนพันธุ์แท้เปลือกหอย 2 สมัย (ปี 2007 และปี 2008) ผู้คว้ารางวัลคะแนนโหวตสูงสุดปี 2008ทายาทของคุณสมนึก ปัทมคันธิน เจ้าของพิพิธภัณฑ์เปลือกหอย ที่หาดราไวย์ จังหวัดภูเก็ตอีกด้วย
       
       อนึ่งด้วยความรัก ความรอบรู้ และความเชี่ยวชาญในเปลือกหอย คุณจอมจึงเจริญรอยตามคุณพ่อด้วยการสร้างสรรค์ "พิพิธภัณฑ์เปลือกหอยกรุงเทพฯ" ด้วยความร่วมมือจากครอบครัวคุณอรพิน ศิริรัตน์ ผู้มีใจรักในความงดงามของเปลือกหอยและอัญมณีมาแต่เยาว์วัย

   
ภายในมีเปลือกหอยหายากหลากหลายชนิด 
 
       พิพิธภัณฑ์เปลือกหอยกรุงเทพฯ เพิ่งเปิดตัวสดๆร้อนๆเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้เอง ตัวพิพิธภัณฑ์ได้ทำเลดีอยู่ตรงหัวมุมถนนสีลม 23 มองเห็นได้ชัดเพราะมีสัญลักษณ์รูปเปลือกหอยอันใหญ่อยู่บนตัวตึก ก่อนจะเข้าไปชมภายในพิพิธภัณฑ์ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมกันก่อน ตอนนี้ค่าเข้าชมสำหรับคนไทยในช่วงโปรโมชั่นเปิดพิพิธภัณฑ์อยู่ที่ 100 บาทขาดตัว แต่หลังจากนี้อีกสักหน่อยก็คงจะมีการปรับเปลี่ยนราคาแล้ว เพราะฉะนั้นหากใครอยากชมในราคาโปรโมชั่นนี้ก็ต้องรีบมากัน

   
ภายในชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ 
 
       ภายในอาคารนั้นแบ่งเป็นสามชั้นด้วยกัน รวบรวมเปลือกหอยจากทั่วโลกไว้มากกว่า 600 ชนิด แต่จำนวนเปลือกหอยที่นำมาจัดแสดงนั้นมีเป็นหมื่นๆ ชิ้นแบ่งกลุ่มตามชนิดของหอย เพียงเข้าไปที่ชั้นแรกฉันก็รู้สึกได้ถึงความอลังการ เพราะมีเปลือกหอยหน้าตาแปลกๆทั้งเล็กทั้งใหญ่วางเรียงกันเป็นแถว มีคำอธิบายไว้เพียบพร้อม ที่ชั้นนี้มีหอยประเภทวงศ์หอยจุกพราหมณ์ หรือหอยสังข์ทะนาน ที่เรียกว่าหอยจุกพราหมณ์นั้นก็เพราะเกลียวที่ก้นหอยนั้นบิดเป็นเกลียวกลมคล้ายมวยผมของพราหมณ์ มีวงศ์หอยสังข์บิด หอยสังข์แตร หอยสังข์กบ และวงศ์หอยมือเสือ หอยมือแมว สำหรับหอยมือเสือนี้เป็นหอยสองฝาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกรองจากหมึกกล้วยยักษ์ และยังเป็นหอยที่มีสองเพศในตัวเดียว จะเรียกว่าเป็นหอยกระเทยก็คงได้ โดยในพิพิธภัณฑ์นี้มีหอยมือเสือขนาดยักษ์ที่พบอยู่ตามแนวปะการังน้ำตื้นชายฝั่งเขตอินโด-แปซิฟิคมาโชว์ให้ดูด้วย

   
เม่นระเบิดหนามใหญ่ 
 
       นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีวงศ์หอยมะเฟือง วงศ์หอยโข่งทะเล หอยโข่งบาง โข่งเปลือกบาง วงศ์หอยรังนก วงศ์หอยตีนช้าง หอยกระต่าย แต่ที่ฉันเห็นว่าน่ารักที่สุดก็คงเป็นสิ่งที่อยู่ในตู้กระจกตรงกลางที่จัดแสดงเม่นทะเล อย่างเม่นยักษ์อังกฤษได้จากประเทศแคนาดา เม่นม่วงจากภูเก็ต เม่นระเบิดหนามใหญ่จากภูเก็ต เม่นบอลจากภูเก็ต เม่นจิ๋วน้ำลึกจากเกาะไต้หวัน เม่นเหล่านี้หน้าตาน่ารัก ตัวกลมๆป้อมๆแถมมีสีสันสวยงาม โดยเฉพาะเม่นระเบิดหนามใหญ่นั้นมีลวดลายสวยอย่างกับวาดเอาเลยทีเดียว

   
หอยพระอาทิตย์ 
 
       คราวนี้ขึ้นมาที่ชั้นสองกันบ้าง ที่ชั้นนี้มีหอยสีสันสดใส หน้าตาสวยงามแปลกประหลาดมากมาย ที่สวยโดดเด่นที่สุดฉันขอยกให้กับวงศ์หอยแสงอาทิตย์ หอยแต่งตัว หอยพระอาทิตย์ ที่จะเอาเศษหิน เศษปะการัง หรือเศษเปลือกหอยต่างๆมาเชื่อมติดกับเปลือกกระจายเป็นวงแผ่รัศมีโดยรอบคล้ายพระอาทิตย์
       
       และหอยที่สีสันสดใสที่สุดขอยกให้กับหอยเชลล์หลากขนาดและหลากสีสัน ส่วนหอยที่น่ารักหวานแหววที่สุดก็ต้องหอยหัวใจ หรือหอยแครงหัวใจ หอยสองฝาที่เมื่อฝาทั้งสองประกบกันแล้วจะกลายเป็นรูปหัวใจสวยงาม บางอันมีสีขาวอมเหลือง บางอันสีเหลืองสดใส บางอันออกสีส้มอ่อนๆ บางอันก็เป็นสีชมพูปิ๊งน่ารักมากทีเดียว

 
หอยหัวใจ 
 
       ที่ชั้นสองนี้ยังมีฟอสซิลหอยขนาดใหญ่ที่ถูกค้นพบอย่างบังเอิญขณะขุดเจาะชั้นหินเพื่อสร้างถนนในประเทศเยอรมัน มีอายุอยู่ในยุคจูราสสิคตอนต้น หรือช่วง 180 ล้านปีก่อนนั่นเอง นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีหอยงวงช้าง หอยปิ่นขาว หอยปิ่นปักผม หอยเพรียงเจาะหินยักษ์ วงศ์หอยสังข์มงคลที่ไว้ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา และวงศ์หอยสังข์ยักษ์ สังข์จีน สังข์น้ำตาล และหอยอื่นๆอีกมากมาย
       
       ปีนบันไดขึ้นมาดูเปลือกหอยกันต่อบนชั้นสามซึ่งเป็นส่วนจัดแสดงส่วนสุดท้ายกันบ้าง เมื่อขึ้นมาถึงชั้นนี้แล้ว สิ่งแรกที่จะได้เห็นก็คือภาพฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ซึ่งทรงพระราชทานให้แก่ผู้เข้าแข่งขันที่ชนะเลิศจากรายการแฟนพันธุ์แท้ตอนเปลือกหอย ซึ่งเป็นภาพฝีพระหัตถ์ที่งดงามมากทีเดียว

   
แหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับเปลือกหอยแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ 
 
       นอกจากนั้นแล้วบนชั้นนี้ยังจัดแสดงซากฟอสซิลฝูงโกเนียไตต์ (กลุ่มหนึ่งของแอมโมไนต์ในยุคโบราณ) พบที่เทือกเขาแอตลาส เมืองไอมูเซอร์ ประเทศโมรอคโค มีอายุกว่า 350 ล้านปีมาแล้ว ส่วนเปลือกหอยชนิดอื่นๆนั้นก็มีวงศ์หอยสังข์ปีก เช่น หอยชักตีน หอยแมงป่อง หอยมือนาง หอยจักรนารายณ์ วงศ์หอยสังข์หนาม ที่มีหน้าตาสวยงามไม่แพ้หอยชนิดอื่นๆ
       
       ที่นี่ฉันยังได้รู้จักกับหอยที่มีเข็มพิษอย่างวงศ์หอยเต้าปูน ซึ่งบางชนิดมีพิษร้ายแรงทำให้คนเสียชีวิตได้ ดังนั้นเมื่อเราดำน้ำอยู่ใต้ทะเลจึงไม่ควรหยิบจับหอยต่างๆที่ไม่ทราบชนิดแน่ชัด เพราะเจ้าหอยตัวนั้นอาจจะเป็นหอยเต้าปูนก็ได้ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีวงศ์หอยเม็ดขนุน หอยกระดุม วงศ์หอยเบี้ย ซึ่งเราเคยใช้แทนเงินในสมัยอดีต วงศ์หอยเจดีย์ หอยพลูจีบ ซึ่งมีเข็มพิษเช่นเดียวกับหอยเต้าปูน

   
หอยลูกกวาดคิวบา สีสันสดใส 
 
       คราวนี้มาดูหอยจำพวกหอยทากกันบ้าง ฉันได้เห็นหอยที่มีสีสันสวยงามอย่างหอยลูกกวาดคิวบา หรือหอยทากโพลีมิต้า ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นหอยทากบกที่มีสีสันลวดลายแจ่มที่สุดในโลกก็ว่าได้ ชนพื้นเมืองในเกาะคิวบาได้เก็บไปทำสร้อยคอหรือเครื่องประดับ และยังถือว่าเป็นมรดกแห่งชาติของคิวบาอีกด้วย นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีหอยทากอื่นๆเช่น หอยน้ำพริก หอยลุ หอยนกขมิ้น หอยทากต้นไม้ฟลอริด้า หอยทากยักษ์แอฟริกันและอเมริกาใต้ หอยทากทะเลทรายจากประเทศเปรู ซึ่งหาดูไม่ได้ง่ายๆอีกด้วย

 
เปลือกหอยสวยๆในวงศ์หอยสังข์หนาม 
 
       บนชั้นสามยังมีมุมพิเศษจัดไว้สำหรับวงศ์หอยนมสาวน้ำลึก หอยนมสาวปากร่อง ที่ถือว่าเป็นหอยที่หายากและเป็นที่นิยมของนักสะสม เพราะอาศัยอยู่ในท้องทะเลลึกหลายร้อยไปจนถึงหลายพันเมตร และมีมุมจัดแสดงเปลือกหอยน้ำจืด เช่น หอยขมหนามจากทะเลสาบแทนแทนยิกา หอยกาบปุ่ม หอยเรือบิน หอยกาบ หอยเดือยไก่ดำ และหอยกาบน้ำจืดยักษ์จากประเทศจีน ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเปลือกใหญ่ที่สุดในโลกจัดแสดงไว้ให้ชมกันด้วย

   
มาเรียนรู้เรื่องเปลือกหอยกันได้ที่พิพิธภัณฑ์เปลือกหอย 
 
       มองไปทางไหนก็เห็นแต่เปลือกหอยสวยงามล้ำค่าละลานตาไปหมด แถมยังไม่ใช่หอยธรรมดาๆ แต่เป็นหอยประเภทที่หายาก มาจากมหาสมุทรน้ำลึกบ้าง มาจากต่างประเทศบ้าง ดังนั้นคนที่ปกติเห็นแต่หอยขม หอยแครง หอยแมลงภู่อย่างฉันจึงต้องตกตะลึง และใช้เวลาอยู่ในพิพิธภัณฑ์เปลือกหอยแห่งนี้อยู่เกือบสองชั่วโมงเลยทีเดียว
       
       *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *
       
       "พิพิธภัณฑ์หอยกรุงเทพฯ" ตั้งอยู่ที่ 1043 ซอยสีลม 23 บางรัก กรุงเทพฯ 10500 อยู่บริเวณหัวมุมถนนสีลม ซอย 23 เยื้องสี่แยกโรงพยาบาลเลิดสิน เปิดให้เข้าชมทุกวัน ในเวลา 10.00-21.00 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย 100 บาท ชาวต่างประเทศ 200 บาท สอบถามรายละเอียดโทร.0-2234-0291 การเดินทาง มีรถประจำทางสาย 1, 15 และ 77 ผ่าน และสามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีสุรศักดิ์ หรือสถานีสะพานตากสิน หรือนั่งเรือด่วนเจ้าพระยามาขึ้นที่ท่าสะพานตากสิน แล้วเดินมายังซอยสีลม 23 ได้เช่นกัน


**********************************************************************************************


ทะเลมรณะ Dead Sea (1)                           :                       สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.


แผนที่ Dead Sea

ถึงจะมีชื่อเรียกว่าทะเล แต่ Dead Sea ก็มิใช่ทะเลตามความเข้าใจของคนทั่วไป เพราะน่าจะเรียกทะเลสาบมากกว่า ส่วนคำว่า Dead นั้นก็ไม่ถูกต้องทีเดียวนัก เพราะถึงจะไม่มีปลา ปู กุ้ง หอย ฯลฯ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบจุลินทรีย์ที่สามารถดำรงชีพอยู่ในน้ำเกลือที่เค็มจัดได้ เช่น Halobacterium halobium ชาวยิวรู้จัก Dead Sea ในนาม Yam Hamelach ซึ่งเป็นคำในภาษา Hebrew ที่แปลว่าทะเลเกลือ
       
        ส่วนชาวอาหรับเรียกสถานที่นี้ว่า Dahr Lut ซึ่งแปลว่าทะเลของ Lot ผู้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของ Abraham ที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงว่า เมื่อพระเจ้าต้องการทำลายนคร Sodom และ Gomorrah เพราะเป็นนครบาป พระองค์ได้ประทานอนุญาตให้ Lot นำครอบครัวหนีออกจากเมือง และทรงสั่งห้ามไม่ให้ใครเหลียวหลังกลับไปดูเมืองที่กำลังจะถูกถล่มด้วยหินไฟและแผ่นดินไหว แต่ภรรยาของ Lot ขัดคำสั่ง ร่างของนางจึงกลายเป็นเสาเกลือดังที่นักท่องเที่ยวรู้จักในนาม Lot’s Pillar จนทุกวันนี้
       
        ปัจจุบันชาวโลกรู้จัก Dead Sea ว่าเป็นดินแดนที่อุดมด้วยตำนาน นิทาน เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ และโบราณคดีมากมาย เช่นว่า Abraham กับพระเยซู เคยเสด็จที่นี่ และ Sarah ภรรยาอายุมากของ Abraham ก็ได้พบว่าเมื่อนางอาบน้ำใน Dead Sea นางได้คลอดลูกเป็นชายชื่อ Isaac ดังนั้นผู้คนจึงเชื่อว่า น้ำทะเล Dead Sea สามารถรักษาอาการหมันของสตรีได้ รวมถึงรักษาโรคหอบหืด โรคไขข้ออักเสบ โรคผิวหนังและแม้แต่โรคเรื้อนก็ได้ด้วย
       
        ส่วนโคลนของ Dead Sea นั้นก็มีตำนานเล่าว่าพระนาง Cleopatra ได้เคยเสด็จมาที่ Dead Sea เพื่อทรงใช้โคลนพิทักษ์รักษาพระสิริโฉมของพระนาง และเมื่อครั้งที่กษัตริย์ Herod ทรงครองราชย์ พระองค์ได้เสด็จมาทรงสำราญพระอิริยาบถที่ Dead Sea บ่อย เพราะใกล้ๆ ที่นี่มี Masada ซึ่งเป็นปราการบนเนินเขาสูงให้พระองค์ประทับ โดยในปี 616 สถานที่นี้ได้กลายเป็นสุสานให้ชาวยิว 960 คน (ทั้งชาย หญิง และเด็ก) พากันฆ่าตัวตายแทนที่จะยอมเป็นทาสของกษัตริย์โรมัน


Dead Sea อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 400 เมตร
       
        ไกลออกไปทางทิศตะวันตกของ Dead Sea มีภูเขา Machaerus ซึ่งนักประวัติศาสตร์ชื่อ Josephus ได้บันทึกว่าเป็นสถานที่ที่กษัตริย์ Herod ทรงสร้างคุกสำหรับขังนักบุญ John the Baptist ด้วย โทษฐานที่ได้ประณามการสมรสระหว่าง Herod Antipas ผู้เป็นพระราชบุตรของ Herod กับภรรยาของน้องชายต่างมารดาว่าเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรม เหตุการณ์นี้ทำให้นางโกรธมาก จึงจัดการให้บุตรสาวชื่อ Salome ออกมาร่ายรำ จน Herod ทรงพอพระทัย จึงทรงประทานอนุญาตให้นางทูลขออะไรก็ได้ และ Salome ก็ได้ทูลขอศีรษะของ John the Baptist
       
        นอกจากนี้ ในบริเวณทางตอนเหนือของ Dead Sea ก็มีภูเขา Nebo ที่เล่าลือกันว่าเป็นสถานที่ฝังศพของ Moses มีแม่น้ำ Jordan ที่ไหลติดต่อกับ Dead Sea และแม่น้ำนี้เคยเป็นที่ที่ทารกเยซูถูกจุ่มตัวในพิธี babtize และมี Mount of Temptation ที่พระเยซูทรงคุกเข่าอธิษฐานนาน 40 วัน 40 คืน เพื่อต่อสู้ซาตาน
       
        สำหรับความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์นั้น Dead Sea ก็มีเมือง Jericho อยู่ใกล้ๆ ซึ่งเมืองนี้เป็นเมืองโบราณที่สุดในโลก เพราะเคยมีผู้คนอาศัยอยู่เมื่อ 8,000 ปีก่อน และมีถ้ำ Qumran ที่เด็ก bedouin 2 คนได้พบจารึกโบราณแห่ง Dead Sea ที่มีอายุประมาณ 2,000 ปี ด้วย


ผลึกเกลือในทะเล Dead Sea
       
        ส่วนความน่าสนใจด้านภูมิศาสตร์นั้น ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นว่า Dead Sea อยู่ห่างจากทะเล Mediteranean 75 กิโลเมตร และประกอบด้วยพื้นที่ 2 ส่วน คือส่วนเหนือและใต้ที่มีความลึก 331 เมตร และ 21 เมตร ตามลำดับ รวมเป็นพื้นที่กว้าง 15 กิโลเมตร และยาว 75 กิโลเมตร โดยระดับน้ำอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 418 เมตร นี่จึงเป็นสถานที่ที่อยู่ต่ำที่สุดในโลก นอกจากจะอยู่ต่ำที่สุดแล้ว น้ำใน Dead Sea ก็ยังเค็มที่สุดในโลกด้วย เพราะมีเกลือปนอยู่มากถึง 276 กรัมในน้ำทะเล 1 กิโลกรัม ในขณะที่น้ำทะเลทั่วไปมีเกลือเพียง 35 กรัม/น้ำทะเล 1 กิโลกรัม การมีความเค็มมากเช่นนี้ ทำให้คนที่ว่ายน้ำไม่เป็นก็สามารถลอยตัวได้ใน Dead Sea โดยไม่มีวันจมน้ำตาย
       
        อนึ่ง เกลือที่พบใน Dead Sea ประกอบด้วย potassium chloride 1%, sodium chloride 8%, magnesium chloride 13% ส่วนที่เหลือเป็น calcium sulphate และเพราะอากาศร้อนคือมีอุณหภูมิเฉลี่ยระหว่าง 16-34 องศาเซลเซียส อีกทั้งความชื้นก็สูง 30-40% บริเวณนี้จึงไม่มีเมฆปกคลุมประมาณ 300 วัน/ปี และมีฝนตก 50-75 มิลลิเมตรต่อปี เมื่อฝนตกน้อยประกอบกับอากาศร้อน ดังนั้นน้ำในทะเล Dead Sea สูญเสียไปทุกวัน เช่นเมื่อ 100 ปีก่อน ระดับน้ำของ Dead Sea อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 392 เมตร     

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2009, 01:57:20 AM »

มติชน


"แลนด์บริดจ์" สุวรรณภูมิ เชื่อมอ่าวไทย-อันดามัน                        :                     คอลัมน์ สยามประเทศไทย   โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ


หมายเหตุ - ตำแหน่งสีต่างๆ ล้วนกำหนดอย่างกว้างๆในแผนที่เพื่อให้ดูง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ แต่ในความจริงของยุคนั้นๆอาจต่างไป หรือทับซ้อนอยู่ด้วยกันอย่างแยกชัดเจนเหมือนแผนที่แผ่นนี้ไม่ได้ ฉะนั้นต้องเข้าใจร่วมกันว่าการลงสีเป็นเรื่องสมมุติเท่านั้น ส่วนความจริงเป็นอย่างไรต้องเปลี่ยนแปลงตามหลักฐานได้เสมอ
 
โครงการแลนด์บริดจ์ เป็นงานวางแผนสร้างถนนเชื่อมฝั่งทะเลอันดามันกับฝั่งอ่าวไทยบริเวณคาบสมุทรภาคใต้ของไทย เพื่อขนส่งสินค้าต่างๆที่มาทางเรือจากฝั่งทะเลด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง แต่รัฐบาลยังไม่ได้กำหนดจุดที่จะสร้าง (โพสต์ ทูเดย์ ฉบับวันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 หน้า 1)

ลักษณะการขนถ่ายสินค้าจากทะเลฟากหนึ่งไปทะเลอีกฟากหนึ่ง เคยมีมาก่อนราว 3,000 ปีมาแล้ว แต่พบหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีจำนวนมากอยู่ในชุมชนทางฝั่งทะเลอ่าวไทยและทะเลอันดามันเมื่อราว พ.ศ. 1 หรือ 2552 ปีมาแล้ว ถ้าอยากรู้รายละเอียดให้เปิดดูในหนังสือแผนที่ประวัติศาสตร์และแผนที่วัฒนธรรม ของ(สยาม)ประเทศไทย (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สนับสนุนพิมพ์ ครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2551)

เหตุที่ต้องขนถ่ายสินค้าข้ามคาบสมุทรบริเวณภาคใต้ของไทย ก็เพราะเทคโนโลยียุคดึกดำบรรพ์ยังล้าหลังเอาเรือใบแล่นอ้อมแหลมมลายูผ่านช่องแคบมะละกาไม่ได้ เลยส่งผลให้ดินแดนประเทศไทยเป็นจุดนัดพบของตะวันออกกับตะวันตก แล้วมีชื่อในคัมภีร์อินเดีย-ลังกา เรียกบริเวณนี้ว่าสุวรรณภูมิ

สุวรรณภูมิ แปลตามรูปศัพท์ว่าแผ่นดินทอง หรือดินแดนทอง แต่มีคำเฉพาะเรียกใช้มานานแล้วว่าแหลมทอง หมายถึงบริเวณผืนแผ่นดินใหญ่ของอุษาคเนย์ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อราว 2,500 ปีมาแล้ว อันเป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ประกอบด้วยสัตว์, พืชพันธุ์ธัญญาหาร และแร่ธาตุต่างๆ ทั้งเป็นแหล่งของกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายที่ล้วนเป็นเครือญาติทางสังคมวัฒนธรรม และเป็นบรรพชนของคนไทยทุกวันนี้

สุวรรณภูมิ เป็นชื่อเก่าแก่มีในคัมภีร์โบราณ เช่น มหาวงศ์พงศาวดารลังกา, ชาดกพุทธศาสนาในอินเดีย, และนิทานเปอร์เซียในอิหร่าน ฯลฯ เนื่องเพราะชาวสิงหล (ลังกา) ชาวชมพูทวีป (อินเดีย) และชาวอาหรับ-เปอร์เซีย (อิหร่าน) ที่เป็นนักเดินทางผจญภัยแลกเปลี่ยนค้าขายสิ่งของเครื่องใช้ ต่างพากันเรียกผืนแผ่นดินใหญ่ของอุษาคเนย์โบราณว่าสุวรรณภูมิไม่น้อยกว่า 2,500 ปีมาแล้ว

ส่วนชาวฮั่น (จีน) ยุคโบราณ เรียกดินแดนนี้ว่า จินหลิน หรือ กิมหลิน มีความหมายเดียวกันกับชื่อสุวรรณภูมิว่าแผ่นดินทอง, ดินแดนทอง, แหลมทอง

ฉะนั้น สุวรรณภูมิจึงไม่ใช่ชื่อรัฐหรืออาณาจักร แต่เป็นชื่อดินแดนแผ่นดินใหญ่ของอุษาคเนย์หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปัจจุบัน ที่ขนาบด้วย 2 มหาสมุทร คือ มหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ทางด้านตะวันออก กับมหาสมุทรอินเดีย อยู่ทางด้านตะวันตก ส่งผลให้ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนค้าขาย หรือ"จุดนัดพบ""ระหว่างโลกตะวันตก (หมายถึงอินโด-เปอร์เซีย และอาหรับ) กับโลกตะวันออก (หมายถึงจีนฮั่นและอื่นๆ) มีความมั่งคั่งและมั่นคง แล้วมีรัฐใหญ่ๆ เกิดขึ้นในยุคต่อๆ มา เช่น ทวารวดี, ฟูนัน, เจนละ, ศรีวิชัย, ทวารวดีศรีอยุธยา, ละโว้-อโยธยาศรีรามเทพ, จนถึงกรุงศรีอยุธยา ฯลฯ ดึงดูดให้ผู้คนจากที่ต่างๆ ทุกทิศทางเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งหลักแหล่ง ทำให้เกิดความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่ผสมผสานทางสังคมวัฒนธรรมและเผ่าพันธุ์จนเป็น""คนไทย""และเครือญาติชาติต่างๆในอุษาคเนย์ปัจจุบัน

สุวรรณภูมิ คือนามอันเป็นมงคลที่คนแต่ก่อนยกย่องใช้เรียกชื่อบ้านนามเมืองสืบเนื่องหลายยุคหลายสมัย ได้แก่ รัฐสุพรรณภูมิ (ราวหลัง พ.ศ. 1600) จนเป็นเมืองสุพรรณบุรี (ราวหลัง พ.ศ. 1800) และจังหวัดสุพรรณบุรี รวมทั้งชื่อเมืองสุวรรณภูมิ (ราว พ.ศ. 2315 สมัยกรุงธนบุรี) แล้วเปลี่ยนเป็นอำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อราว 100 ปีมาแล้ว

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นนามพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2543

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2009, 01:59:39 AM »

ไทยรัฐ


EU กับสินค้าประมง                            :                      หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน

IUU...Illegal Unreported and Unregulated Fishing เป็น กฎระเบียบที่ว่าด้วยการป้องกัน ต่อต้าน และ ขจัดการทำประมง ที่ผิดกฎหมาย โดย สหภาพยุโรป เป็นผู้ตั้งเงื่อนไขนี้ขึ้นมา...ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในต้นปีหน้า (1 มกราคม 2553)

ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) เป็นปัญหาสำคัญระดับโลก ซึ่ง พวกเขาไม่ต้องการให้มีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการทำประมงผิดกฎหมายวางขายในตลาดยุโรป เพราะขณะนี้ทั่วโลกต่างตระหนักดีว่าการทำประมงแบบ IUU ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

แถม EU ยังคัดเลือกเอาไทยเป็น 1 ใน 8 ประเทศ เพื่อทำการศึกษาผลกระทบจากกฎระเบียบนี้ (Test case) พร้อมทั้งส่งเจ้าหน้าที่มาทำการศึกษาระบบทำการประมงของไทยตลอด สายการผลิต เนื่องจากเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกสินค้าประมงที่สำคัญรายหนึ่งของโลก

กรมประมง เกรงว่าอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงของไทยได้ในอนาคต เมื่อ EU นำกฎนี้มาประกาศใช้ ขณะที่ผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องไม่ทราบถึงกฎและเงื่อนไขที่จะต้องนำไปปฏิบัติ

ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง จึงร่วมกับ สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจำสหภาพยุโรป จัดกิจกรรมสัมมนาขึ้น....เพื่อชี้แจงรายละเอียดของกฎระเบียบฉบับนี้แก่หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง จะได้ไม่เกิดอุปสรรคต่อการค้า

ซึ่งใน การทำประมงจักต้องมีใบรับรองการจับสัตว์น้ำจากหน่วยงานที่รับผิดชอบของประเทศเจ้าของสัญชาติ (เรือประมงสัญชาติไทยต้องได้รับการรับรองจากกรมประมง) เป็นการการันตีว่า การจับสัตว์น้ำดังกล่าวได้กระทำถูกต้องตามกฎหมาย กฎระเบียบ มาตรการการอนุรักษ์ และการบริหารจัดการระดับนานาชาติ

ที่สำคัญ...แผนการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ จะครอบคลุมถึงสินค้าประมง แปรรูป และ ไม่แปรรูป ยกเว้นสัตว์น้ำจืด ปลาสวยงาม สินค้าสัตว์น้ำที่มาจากการเพาะเลี้ยงซึ่งเกิดจากลูกสัตว์น้ำหรือตัวอ่อน หรือหอยสองฝาบางชนิด

ซึ่ง อธิบดีกรมประมง ได้ย้ำว่า...ยังมีเวลาอีกเกือบปีที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายเตรียมตัวรับสถานการณ์ แต่ก็ไม่ควรตื่นตระหนกกับข้อบังคับฉบับใหม่นี้มากเกินไป เนื่องจากไทยเรานั้นมีความพร้อม และศักยภาพเพียงพอที่จะดำเนินการให้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่เกิดขึ้น...

...เพียงแต่พวกเราให้ความร่วมมือดำเนินการอย่างจริงจัง... สินค้าประมงไทยก็สามารถยืนหยัดอยู่ในตลาดยุโรปได้อย่างสบายๆ...!!!

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2009, 02:01:43 AM »

ข่าวสด


พัทยาทุ่ม 150 ล้าน ฟื้นหาดกระทิงลาย

นายอิทธิพล คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา จ.ชลบุรี เปิดเผยว่า เมืองพัทยาเตรียมปรับปรุงภูมิทัศน์หาดกระทิงลายเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ สามารถดึงดูดประชาชนในพื้นที่และต่างจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียงให้เข้ามาได้ทุกวันพร้อมดันงบ 150 ล้านบาทบูรณาการพื้นที่ดังกล่าวให้สามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบยั่งยืน ที่ผ่านมาเมืองพัทยามีชายหาดและสถานที่ท่องเที่ยวเกิดขึ้นอย่างมากมายเพื่อเป็นการรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคตและต้องการความเป็นส่วนตัว

นายอิทธิพล กล่าวต่อว่า ผู้บริหารเมืองพัทยา พร้อมสมาชิกเมืองพัทยามีความเห็นพ้องต้องกันเพื่อดันโครงการดังกล่าวนี้ หวังสร้างแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ในพัทยาให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เพื่อปรังปรุงภูมิทัศน์ชายหาดกระทิงลายให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ จะดำเนินโครงการปี 2553 พร้อมนำพระราชบัญญัติมาใช้เพื่อกำหนดให้เป็นเกณฑ์เดียวกัน อย่างไรก็ตามจะให้เจ้าหน้าที่กองเทศกิจ กองช่างสุขา กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเข้ามาดูแลตามนโยบายของเมืองพัทยากำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวแบบยั่งยืนต่อไป

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #6 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2009, 02:06:02 AM »

สยามรัฐ


โบราณคดีใต้น้ำไทยอันดับต้นอาเซียน  อึ้ง!  ไม่มีเรือสำรวจเอง

วธ.เผยโบราณคดีใต้น้ำไทยอันดับต้นอาเซียน อึ้ง! กว่า30ปี เช่าเรือประมงสำรวจ ล่าสุดต่อโครงสร้างลำแรกชื่อ “แววมยุรา” จัดทำแผนแม่บทขออัตราเพิ่ม-ซื้อเรดาร์ ป้องสมบัติชาติ

 16 ก.พ. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพาณิชย์นาวีจันทบุรี กลุ่มโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร ว่า การดำเนินงานโบราณคดีใต้น้ำมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 หรือ 35 ปีมาแล้ว ได้รับการสนับสนุนอบรมนักประดาน้ำจากประเทศเดนมาร์ก มีการจัดเก็บข้อมูลและอนุรักษ์เป็นระบบ ทำให้โบราณคดีใต้น้ำประเทศไทยล้ำหน้าและทันสมัยในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งแต่ละประเทศภูมิภาคนี้จะส่งนักโบราณคดีใต้น้ำมาอบรมที่กรมศิลปากร ในส่วนทีมนักประดาน้ำของไทยมีจำนวน 11 คน คือนักโบราณคดีใต้น้ำ 2 คน ช่างสำรวจ 9 คนที่โอนมาจากทหารเรือ แต่ขณะนี้ประสบปัญหาเรื่องการขาดแคลนอัตรากำลังคน เพราะช่างสำรวจได้เกษียณอายุราชการจำนวนหนึ่ง จึงไม่เพียงพอกับการทำงานสำรวจซากเรือจมใต้ทะเล การจัดเก็บข้อมูลและดูแลอนุรักษ์รักษา ที่ขณะนี้เรือโบราณคดีใต้น้ำลำแรกที่ได้รับการอนุมัติต่อเรือราคา 7 ล้านบาทใกล้จะต่อโครงสร้างเรือเสร็จสมบูรณ์ แต่ต้องหางบประมาณมาจัดซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติม

ปลัดวธ. กล่าวอีกว่า กลุ่มโบราณคดีใต้น้ำที่ผ่านมา ไม่ได้รับการส่งเสริมเท่าที่ควร จึงได้ให้จัดทำแผนแม่บทหรือมาสเตอร์แพลน ส่งผ่านไปที่กรมศิลปากรและต่อมายังสำนักปลัดวธ.จะชี้แจงสำนักงบประมาณเพื่อของบเพิ่ม และขออัตรากำลังคนเพิ่มจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพล เรือน(ก.พ.) เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ให้จัดทำขยายโครงสร้างเนื้องานและปฏิบัติงานขอบเขตของงานให้มากขึ้น จัดทำตั้งแต่เรื่องราววิถีชีวิตของคนในสมัยนั้นอยู่อย่างไร การพาณิชย์ในสมัยนั้นค้าขายอะไรบ้าง แหล่งโบราณคดีใต้น้ำมีกี่แห่ง และแต่ละปีจะสำรวจที่ไหนบ้าง ทั้งนี้เรือต่อโครงสร้างเสร็จแล้วจะได้หางบสนับสนุนจัดซื้ออุปกรณ์สำรวจใส่เรือในเบื้องต้น   

ด้าน นายเดชา พรไทย นายช่างสำรวจโบราณคดีใต้น้ำ กรมศิลปากร กล่าวว่า ช่วง30 ปีที่ผ่านมากลุ่มโบราณคดีใต้น้ำจะได้รับงบประมาณปีละกว่า 1 ล้านบาท เป็นค่าจ้างลงทุน ค่าจ้างแรงงาน อุปกรณ์ ค่าเช่าเรือประมง เรือท่อง เที่ยวมาใช้ทำการสำรวจต่อเที่ยว 5,000-6,000 บาท เพิ่งจะมีเรือโบราณคดีใต้น้ำเป็นของกลุ่ม ที่ขณะนี้ต่อโครงสร้างเรือไปแล้วประมาณ 70 % ที่อู่ต่อเรือในกรุงเทพฯ คาดว่าแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม ปี 2552 จากนั้นนำเรือดังกล่าวไปไว้ที่ท่าแฉลบ จ.จันทบุรี ความยาวของเรือ 20 เมตร กว้าง 5.50 เมตร แล่นระวางน้ำภายใต้รัศมี 60-100 ไมล์ จำนวนคนบรรจุได้ 20 คน เรือชื่อ “แววมยุรา” เกี่ยวข้องกับโบราณคดีใต้น้ำ ลำเรือทาสีม่วง คาดสีเขียวเกี่ยวกับกรมศิลปากร ส่วนอุปกรณ์ที่มีอยู่ขณะนี้คือชุดดำน้ำ แต่ที่ต้องจัดหาซื้อคือเรดาร์นำร่องเรือและสำรวจซากเรือจม

“ขณะนี้โบราณคดีใต้น้ำของไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติ มีทันสมัย และอยู่อันดับต้นของเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน และมีแผนจะทำการสำรวจเพิ่มเติมจากบริเวณเกาะคราม อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เป็นแหล่งเรือจมที่พบเครื่องถ้วยชามสังคโลกสมัยสุโขทัย อายุราว 600 ปี และเกาะกระ จ.นครศรีธรรมราช แหล่งเรือจมสำเภา พบเครื่องถ้วยชามสังคโลกสมัยอยุธยา อย่างไรก็ตามปัญหาปกป้องสมบัติชาติ ขณะนี้อัตรากำลังนักประดาน้ำที่จะมีการเกษียณอายุราชการจำนวน 4 คน จะเหลือทีมงานเพียง 7 คนเท่านั้น ที่จะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน” นายเดชา นักโบราณคดีใต้น้ำ กล่าว – จบ

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.026 วินาที กับ 20 คำสั่ง