กระดานข่าว Save Our Sea.net
มิถุนายน 17, 2024, 10:37:48 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม 2551  (อ่าน 4087 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: สิงหาคม 07, 2008, 12:38:24 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องความกดอากาศต่ำกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทยเข้าสู่พายุโซนร้อน “คัมมุริ” บริเวณชายฝั่งประเทศจีนตอนใต้ เหนือเกาะไหหลำ เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ (7 ส.ค.51) มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 450 กิโลเมตรทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม หรือที่ละติจูด 21.4 องศาเหนือ ลองจิจูด 109.5 องศาตะวันออก โดยมีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณภาคเหนือด้านตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทยมีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ หนองคาย สกลนคร อุดรธานี และนครพนม  ระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้นด้วย ทะเลมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือระวังอันตรายจากการเดินเรือ และเรือเล็กโดยเฉพาะในทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่งในระหว่างวันที่ 7-9 สิงหาคม 2551 นี้ไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 7-9 ส.ค. ร่องความกดอากาศต่ำกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักเกิดขึ้นได้หลายพื้นที่ และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังแรง ทำให้คลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรงขึ้นโดยมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ในช่วงวันที่ 10-13 ส.ค. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังอ่อนลง และร่องความกดอากาศต่ำกำลังจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ประเทศไทยมีปริมาณฝนลดลง

อนึ่ง พายุโซนร้อน “คัมมุริ (KAMMURI)” บริเวณประเทศจีนตอนใต้ จะเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศเวียดนามตอนบนและอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันในวันที่ 7 ส.ค. และจะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศลาวตอนบนในวันที่ 8-9 ส.ค.
     


* Forecast2.jpg (40.15 KB, 665x415 - ดู 789 ครั้ง.)

* Earthquake2.jpg (18.4 KB, 450x308 - ดู 736 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 08, 2008, 12:30:03 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 07, 2008, 12:56:27 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


เสนออีก 20 พื้นที่ชุ่มน้ำคาด "บึงบอระเพ็ด" อาจได้เป็นแรมซาร์ไซต์


พื้นที่ชุ่มน้ำรอบบึงบอระเพ็ดได้รับเสนอเป็นแรมซาร์ไซต์ 1 ใน 20 แห่ง (ภาพจาก WWF ประเทศไทย)

WWF ไทยเสนออีก 20 พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นแรมซาร์ไซต์ ระบุต้องใช้เวลาศึกษา 1 ปีและต้องรอกระบวนการภาครัฐอนุมัติ คาด "บึงบอระเพ็ด" ได้ขึ้นลิสต์ก่อน เผยพื้นที่ชุ่มน้ำประจำนครสวรรค์นี้เข้าเกณฑ์มานานแล้ว โดยมีทั้งนกและปลานับพันชนิด แจงชาวบ้านยังเข้าใจผิดหากขึ้นลิสต์แล้วจะทำกินไม่ได้
       
       องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) ประเทศไทยจัดการประชุมโครงการจัดทำฐานข้อมูล เพื่อเสนอพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญ 20 แห่งของไทยให้เป็นแรมซาร์ไซต์ (Ramsar Sites) เมื่อวันที่ 5 ส.ค.51 ณ โรงแรมมารวยการ์เดน ซึ่งนายคอลิน แมคไคส์ตัน (Colin Mcquistan) ผู้อำนวยการฝ่ายอนุรักษ์ WWF ประเทศไทย ได้กล่าวถึงเหตุผลที่ WWF ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์น้ำจืดว่าปัจจุบันเรากำลังเผชิญปัญหาเรื่องน้ำ ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นแต่มีปริมาณน้ำน้อยลง และเรากำลังมีปัญหากับความหลากหลายทางชีวภาพ โดย 50% ของความหลากหลายอยู่ในแหล่งน้ำจืด
       
       "1.1 พันล้านคนกำลังมีปัญหาเรื่องน้ำโดยส่วนใหญ่อยู่ในแอฟริกา และ 3-10 ล้านคนทั่วโลกเสียชีวิตเพราะขาดน้ำ และ 40 ปีที่ผ่านมาเราใช้น้ำจืดมากขึ้นทุกวัน โดยเราใช้น้ำจืดถึง 54% ของทั้งหมดทั่วโลก ทั้งจากบ่อเก็บน้ำและอ่างเก็บน้ำ ภายในปริมาณดังกล่าว 70% ใช้เพื่อการเกษตร อีก 20% ใช้ในภาคอุตสาหกรรม และที่เหลือ 10% ใช้ดื่ม บริโภค และกิจกรรมต่างๆ ภายในบ้าน" นายแมคไคส์ตันกล่าว
       
       ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญ WWF ประเทศไทยได้เสนอพื้นที่ชุ่มน้ำใหม่อีก 20 แห่งเพื่อเสนอเป็นแรมซาร์ไซต์ ได้แก่
1.แม่น้ำโขง จากเชียงแสนถึงเวียงแก่นและหนองหล่ม จ.เชียงราย
2.ลุ่มแม่น้ำปาย จ.แม่ฮ่องสอน
3.ลุ่มน้ำสาละวิน จ.แม่ฮ่องสอน และจ.ตาก
4.ลุ่มแม่น้ำนานตอนบน จ.น่าน
5.ลุ่มน้ำคลองชมพู จ.พิษณุโลก
6.บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์
7.แม่น้ำโขงในส่วน จ.เลย
8.ลุ่มแม่น้ำสงครามตอนล่าง จ.หนองคาย จ.สกลนคร และจ.นครพนม
9.ลุ่มแม่น้ำมูลตอนล่างและแม่น้ำโขง จ.อุบลราชธานี
10.อ่าวไทยตอนใน จ.ชลบุรี จ.ฉะเชิงเทรา จ.สมุทรปราการ กทม. จ.สมุทรสาคร จ.สมุทรสงครามและ จ.เพชรบุรี       
11.หินกรุด เกาะรำร่าถึงบ้านกลางอ่าว จ.ประจวบคีรีขันธ์
12.ชายฝั่งชุมพรและพื้นที่ชุ่มน้ำ จ.ชุมพร
13.อ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี
14.เกาะกระ จ.นครศรีธรรมราช
15.ปากพนัง แหลมตะลุมพุก จ.นครศรีธรรมราช
16.อ่าวปัตตานี จ.ปัตตานี
17.ทะเลสาบสงขลาและชายฝั่ง จ.สงขลา และจ.พัทลุง
18.เกาะระ-เกาะพระทอง จ.พังงา
19.หาดท้ายเหมือง-ท่าฉัตรชัย จ.พังงา และ
20.ป่าชายเลนตราด จ.ตราด
       
       สำหรับปัจจุบันไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์ไซต์แล้ว 11 แห่ง ได้แก่ ดอนหอยหลอด จ.สมุทรสงคราม เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย จ.เชียงราย เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง จ.หนองคาย อุทยานแห่งชาติแหลมสน -ปากแม่น้ำกระบุรี -ปากคลองกะเปอร์ จ.ระนอง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จ.สุราษฎร์ธานี อุทยานแห่งชาติพังงา จ.พังงา ควนขี้เสียนในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จ.พัทลุง ปากแม่น้ำกระบี่ จ.กระบี่ อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม -เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง -ปากน้ำตรัง จ.ตรัง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ (พรุโต๊ะแดง) จ.นราธิวาส และมีอีก 1 แห่งที่กำลังจะได้ขึ้นทะเบียนเร็วๆ นี้คือพื้นที่ชุ่มน้ำกุดทิง จ.หนองคาย
       
       ทางด้านนายยรรยง ศรีเจริญ ผู้จัดการโครงการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างมีส่วนร่วมของชุมชนในประเทศและลุ่มน้ำโขง WWF ประเทศไทย ได้กล่าวกับผู้จัดการวิทยาศาสตร์ว่า น้ำมีความสำคัญเพราะน้ำคือชีวิต หากไม่มีน้ำก็ไม่มีชีวิต ทั้งนี้เรามีความต้องใช้น้ำมากขึ้น ทั้งเพื่อดำรงชีวิต ภาคเกษตรและอุตสาหกรรม อีกทั้งกระแสเศรษฐกิจที่มาแรงทำให้มีความต้องการน้ำมากขึ้น โดยประเด็นเกี่ยวกับเรื่องน้ำมี 2 เรื่อง คือ เรื่องปริมาณที่มักมีปัญหาเมื่อหน้าฝนก็ท่วมและเมื่อหน้าแล้งก็ไม่พอใช้ กับเรื่องคุณภาพที่ครั้งแม้จะมีน้ำแต่คุณภาพใช้ไม่ได้
       
       "การเสนอพื้นที่น้ำจืดรวมถึงพื้นที่น้ำกร่อยและน้ำเค็มให้เป็นแรมซาร์ไซต์นั้น เป็นแนวทางในการอนุรักษ์น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งต่างจากเขื่อนที่ใช้งบประมาณมหาศาลและทำให้พื้นที่ป่าถูกทำลาย แต่แรมซาร์ไซต์เป็นมาตรการต้นทุนต่ำ ซึ่งยับยั้งการบุกรุกพื้นที่ชุ่มน้ำและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและผู้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ทำให้มีการหามาตรการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนและฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรม" นายยรรยงกล่าวกับผู้จัดการวิทยาศาสตร์
       
       เจ้าหน้าที่ WWF ประเทศไทย ยังเผยว่า เกณฑ์การจัดพื้นที่ชุ่มน้ำให้เป็นแรมซาร์ไซต์นั้นเน้นความหลากหลายทางชีวภาพเป็นหลัก โดยมีสิ่งมีชีวิตในการพิจารณาที่สำคัญคือพืช นก และปลา และพื้นที่ชุ่มน้ำนั้นเป็นศูนย์รวมประเพณี การดำรงชีวิต มีคุณค่าการวิจัยในเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ โดยปัจจุบันไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำทั้งหมด 22 ล้านไร่ คิดเป็น 7.5% ของพื้นที่ประเทศไทยทั้งหมด ทั้งนี้แบ่งเป็นพื้นที่น้ำจืด 45% และพื้นที่น้ำเค็ม 55%
       
       "สถานการณ์ของพื้นที่ชุ่มน้ำของไทยตอนนี้วิกฤตเนื่องจากถุกบุกรุก ทั้งจากนโยบายการเกษตร การขยายตัวของเมืองและการพัฒนาอุตสาหกรรม" นายยรรยงกล่าว พร้อมระบุว่าการขึ้นทะเบียนแรมไซต์นั้นดำเนินการโดย WWF ประเทศไทย ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ชุ่มน้ำนั้นๆ และมีความร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นผู้ประสานงานกลางของไทยในอนุสัญญาว่าด้วยการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำหรืออนุสัญญาแรมซาร์
       
       ทางด้าน ดร.ชวลิต วิทยานนท์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส WWF ประเทศไทย กล่าวว่า ในการศึกษาพื้นที่ลุ่มน้ำทั้ง 20 แห่งนั้นต้องใช้เวลาศึกษา 1 ปีโดยจะสิ้นสุดในเดือน พ.ค.52 และต้องผ่านกระบวนการทางภาครัฐอีกราว 1-2 ปี จึงได้ขึ้นทะเบียนแรมซาร์ไซต์ รวมใช้ระยะเวลาทั้งหมดราว 3 ปี โดยคาดว่า "บึงบอระเพ็ด" จ.นครสวรรค์ และ "เกาะกระ" จ.นครศรีธรรมราช น่าจะได้เป็นแรมซาร์ไซต์ก่อน
       
       "สำหรับบึงบอระเพ็ดนั้นเข้าเกณฑ์แรมซาร์ไซต์มานานแล้ว โดยมีทั้งนกและปลานับพันธุ์ชนิด อีกทั้งคนในพื้นที่ก็สนับสนุน" ดร.ชวลิตกล่าวตอนหนึ่งในการบรรยายพิเศษระหว่างการประชุม พร้อมทั้งระบุปัญหาว่าคนในพื้นที่มักเข้าใจว่าเมื่อขึ้นทะเบียนแรมซาร์ไซต์แล้วจะไม่สามารถถือครองพื้นที่ซึ่งประกาศขึ้นทะเบียนได้ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เนื่องจากการขึ้นทะเบียนแรมซาร์ไซต์ไม่มีการบังคับทางกฎหมายเหมือนการประกาศพื้นที่อนุรักษ์ประเภทอื่นๆ อาทิ เขตห้ามล่าพันธุ์สัตว์ป่า เขตอุทยานแห่งชาติ เป็นต้น
       
       ส่วนขั้นตอนการเสนอพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นแรมซาร์ไซต์นั้น จังหวัดหรือหน่วยงานท้องถิ่นเสนอพื้นที่ชุ่มน้ำของตนให้เป็นแรมซาร์ไซต์ให้กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ทาง สผ.ก็จัดทำพื้นที่ชุ่มน้ำตามแบบฟอรืมของสำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ จากนั้นส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความถูกต้อง และรอขั้นตอนการให้ความเห็นชอบของหน่วยงานที่รับผิดชอบตามลำดับ จนสำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำพิจารณาขึ้นบัญชีและประกาศเป็นแรมซาร์ไซต์.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: สิงหาคม 07, 2008, 01:04:21 AM »

ข่าวสด


ตามชาร์ลส์ ดาร์วิน ท่องเกาะกาลาปากอส


 
มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2551 เอาใจเยาวชนและผู้รักการผจญภัย จัดให้ร่วมสัมผัสและผจญภัยในเกาะกาลาปากอส (จำลอง) สนุกสนานกับการสำรวจสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพื่อตามรอยนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ชาร์ลส์ ดาร์วิน เนื่องใน 200 ปี "ทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่" ชาร์ลส์ ดาร์วิน

เกาะกาลาปากอสเป็นหมู่เกาะที่เกิดจากภูเขาไฟ มีเกาะย่อย 13 เกาะ ตั้งอยู่ 600 ไมล์ ไปทางตะวันตกของเอกวาดอร์ ในอเมริกาใต้ อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตร ประกอบด้วยเกาะเล็กๆมีเกาะที่อายุมากที่สุดถึง 4 ล้านปี ซึ่งโลกสำรวจค้นพบเกาะกาลาปากอสโดยบังเอิญในปีค.ศ.1535 เป็นเกาะที่มีแต่สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์แปลกๆ อาทิ เต่ายักษ์ที่กินหญ้าเป็นอาหาร เกิดก่อนสมัยน้ำท่วมโลก หนัก 500 ปอนด์ อีกัวน่า สิงโตทะเล นกหลายชนิด เช่น นกฟินซ์ รวมทั้งความเชื่องและความน่ากลัวของบรรดาสัตว์บนเกาะ

ชาร์ลส์ ดาร์วิน เดินทางมาเกาะนี้เพื่อศึกษาชีวิตสัตว์ ภูมิศาสตร์ เป็นที่มาของงานวิจัยและความคิดของทฤษฎีชาร์ลส์ ดาร์วิน ปัจจุบันหมู่เกาะเป็นอุทยานที่อนุรักษ์ไว้สำหรับเต่าและอีกัวน่า มีสถานีวิจัยและอนุรักษ์มีหน้าที่ผสมพันธุ์เต่าและอีกัวน่า มีทะเลสาบดาร์วิน เพื่อระลึกถึงชาร์ลส์ ดาร์วิน

การผจญภัยในเกาะกาลาปากอส (จำลอง) น้องๆ จะได้พบบรรยากาศเสมือนจริง วอล์ก แรลลี่ ตามรอยชาร์ลส์ ดาร์วิน เพื่อตามหาสายพันธุ์นกฟินซ์ พร้อมชมห้องหลอกหิ่งห้อยให้เรืองแสงในเวลากลางวันได้ รวมทั้งกิ้งกือมังกรชมพูของไทยที่ติดอันดับ 1 ใน 10 สุดยอดการค้นพบสิ่งมีชีวิตใหม่ของโลก

พบกัน 8-22 ส.ค.นี้ ที่ไบเทค บางนา เวลา 09.00-20.00 น. ชมฟรี สอบถามโทร. 0-2577-9999 ต่อ 1833

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: สิงหาคม 07, 2008, 01:10:29 AM »

แนวหน้า


"ชลบุรี"ส่อไม่รอดวิกฤติขาดน้ำ กรมชลฯยอมรับน่าห่วง/งัดแผนเร่งด่วนเตรียมรับมือ   

 นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ ผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพฯ ด้านวางแผน กรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานได้วางแผนในการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำของ จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญในด้านการท่องเที่ยว และอุตสาหกรรม หากสภาพภูมิอากาศในปีนี้ใกล้เคียงกับเมื่อปี 2547-2548 คือ ฝนจะหยุดตกเร็วกว่าปกติ ทำให้มีโอกาสจะเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำใช้ในช่วงฤดูหนาวและฤดูแล้งได้ ดังนั้นกรมชลประทานจึงเตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

 สำหรับจังหวัดชลบุรี มีความต้องการใช้น้ำเฉลี่ยประมาณปีละ 186 ล้านลูกบาศก์เมตรและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีแหล่งเก็บกักน้ำจุ 197 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันมีน้ำเพียง 67 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 34 จำเป็นจะต้องผันน้ำมาจากแม่น้ำบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา และจากอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล จ.ระยอง มาช่วยเหลือ แม้ในปัจจุบันจังหวัดชลบุรีจะมีอ่างเก็บน้ำถึง 12 แห่งก็ตาม แต่มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวคือ อ่างเก็บน้ำบางพระ มีความจุ 117 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีน้ำไหลลงอ่างเพียงปีละ 40 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น จึงไม่เพียงพอกับความต้องการ

 ส่วนแนวทางการป้องกันและแก้ไขนั้น ในระยะเร่งด่วน กรมชลประทานให้หน่วยงานในพื้นที่ขุดลอกคูคลองที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝนนี้ให้มากที่สุด พร้อมเข้าไปตรวจสอบต้นน้ำว่า ถูกกักเก็บไว้ก่อนที่จะไหลลงอ่างเก็บน้ำหรือไม่ รวมทั้งเร่งหาแหล่งกักเก็บน้ำที่มีอยู่ เช่น บ่อดิน บ่อลูกหลัง เพื่อใช้เก็บน้ำ

 สำหรับในระยะกลางและระยะยาว มีแผนจะดำเนินโครงการเพื่อแก้ปัญหาอย่างถาวร เช่น โครงการผันน้ำจากลุ่มน้ำเจ้าพระยา คลองพระองค์ไชยานุชิตลงสู่อ่างเก็บน้ำบางพระ ใช้งบลงทุนประมาณ 5,620 ล้านบาท โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองหลวง อ.พัฒนานิคม จ.ชลบุรี ใช้งบลงทุนประมาณ 10,500 ล้านบาท เป็นต้น โดยโครงการผันน้ำฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาของกรรมาธิการงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎร ส่วนโครงการอ่างเก็บน้ำฯอยู่ระหว่างรอพิจารณาจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน


*********************************************************************************************


โสมเล็งสร้างโรงไฟฟ้าบนเกาะพิพาท    

 โซล (เอพี/รอยเตอร์ส) กระทรวงเศรษฐกิจฐานความรู้ของเกาหลีใต้ ระบุว่า มีแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหมู่เกาะในทะเลญี่ปุ่น ที่เกาหลีใต้เรียกว่า “ต๊อกโด” แต่ญี่ปุ่นเรียกว่า “ทาเคชิมะ” ซึ่งทั้งสองชาติอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองในเดือนกันยายนนี้ เพื่ออ้างอธิปไตยเหนือหมู่เกาะดังกล่าว คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในเดือนพฤศจิกายน โดยระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิต 50 กิโลวัตต์ จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าให้ตำรวจเกาหลีใต้ที่ประจำการบนเกาะได้ใช้ เพราะปัจจุบันสามารถใช้ได้แต่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานดีเซลเท่านั้น

 เกาหลีใต้และญี่ปุ่นมีข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะ ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างสองประเทศมานาน และกลับมาเป็นประเด็นร้อนขึ้นอีกครั้งเมื่อเดือนก่อน หลังจากญี่ปุ่นอ้างกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะดังกล่าวในแนวนโยบายการศึกษาใหม่ สร้างความไม่พอใจให้เกาหลีใต้ซึ่งพยายามดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่ออ้างกรรมสิทธิ์ อาทิ การซ้อมรบใกล้หมู่เกาะ และให้นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้เยือนหมู่เกาะเป็นครั้งแรก ด้านเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ประจำญี่ปุ่น ก็เพิ่งเดินทางกลับไปญี่ปุ่นเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังถูกกระทรวงต่างประเทศเกาหลีใต้เรียกตัวกลับประเทศเพื่อประท้วงญี่ปุ่น

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: สิงหาคม 07, 2008, 01:14:49 AM »

กรุงเทพธุรกิจ


สีหนุวิลล์-เกาะกงลง MOU สัมพันธ์กับตราด

ผู้ว่าเกาะกง และกรุงสีหนุวิลล์ ของกัมพูชา มาร่วมลงบันทึกความเข้าใจสถาปนาสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้องและการค้าที่ตราด ,uหัวหน้าส่วนราชการ ประธานหอการค้าตรา และส.ว.ตราด ร่วมเป็นพยานในพิธีวย

ที่ห้องประชุมศาลากลาง จ.ตราด เวลา 09.00 น. วันที่ 6 ส.ค.2551 นายแก่นเพชร ช่วงรังษี ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด เป็นประธานต้อนรับและร่วมพิธีลงนามความร่วมมือทางการค้า การสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้องกับนายซาย ฮะ ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา โดยมีหัวหน้าส่วนราชการจากกรุงสีหนุฯ และ จ.ตราด เข้าร่วมเป็นพยาน

เวลา 10.30 น. นายโยรี เซ รอง ผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง และนายยู ปาริด ประเทศกัมพูชา ได้นำคณะหัวหน้าส่วนราชการฝ่ายการท่องเที่ยว การค้า พานิชย์ ประธานหอการค้า และฝ่ายประสานงานต่างประเทศ เข้าร่วมในพิธีลงนามความร่วมมือทางการค้า และบันทึกความเข้าใจการสถาปนาความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง  เพื่อสร้างความสัมพันธ์และเชื่อมโยงการค้า การลงทุน รวมทั้งการท่องเที่ยว

ทั้งนี้ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดตราด พร้อมนายสุพจน์ เลียดประถม ประธานหอการค้าจ.ตราด และสมาชิกวุฒิสภาจ.ตราดเข้าร่วมในพิธีด้วย

ซึ่งพิธีดังกล่าวเป็นการพบปะหารือ และเจรจาการค้า ประสานความร่วมมือ และความสัมพันธ์อันดีในฐานะบ้านพี่เมืองน้อง ระหว่างตราด เกาะกง และกรุงพระสีหนุ นอกจากส่งเสริมการค้า การท่องเที่ยว การอุตสาหกรรมแล้ว ยังสานต่อความสัมพันธ์อันดีในฐานะบ้านพี่เมืองน้องให้ใกล้ชิดแนบแน่น ขจัดความขัดแย้งทางการเมือง การค้า การลงทุน เพื่อพัฒนา 3 จังหวัดให้เจริญก้าวหน้า ทั้งทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวและความร่วมมือระหว่างกันตลอดไป

นายซายฮะ ผวจ.กรุงพระสีหนุ ให้สัมภาษณ์ผ่านล่ามว่า ชาวกัมพูชา โดยเฉพาะกรุงพระสีหนุ ยินดีที่ความสัมพันธ์ตราด กรุงพระสีหนุเหมือนเดิม ร่วมมือกันส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การอุตสาหกรรมและสถาปนาความสัมพันธ์ให้เป็นบ้านพี่เมืองน้องตลอดไป

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: สิงหาคม 07, 2008, 01:19:37 AM »

สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์


ประมงสมุทรสงครามปล่อยพันธุ์ปูทะเลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหามหาราชินี

ว่าที่ร้อยตรีโอภาส เศวตมณี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการทุกภาคส่วน เยาวชน ชาวประมงพื้นบ้าน ร่วมกันปล่อยพันธุ์ปูทะเล จำนวน 1,000 กิโลกรัม ที่บริเวณท่าเทียบเรือประมง หน้าวัดเขายี่สาร อำเภออัมพวา โดยมีนางขวัญฤทัย ถนอมเกียรติ ประมงจังหวัดฯ รายงานถึงการจัดพิธีปล่อยพันธุ์ปูทะเลเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม ที่พระองค์ทรงมีมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงแก่พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทรงงานหนัก เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้อาณาประชาราษฎร์ได้มีความสุข และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จึงบังเกิดโครงการพระราชดำริและพระราชเสาวนีย์ที่เอื้อประโยชน์แก่ราษฎรอย่างมากมาย ทรงอนุรักษ์และแพร่ขยายพันธุ์สัตว์น้ำหลายชนิด ในวโรกาสอันเป็นมิ่งมงคล สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมทุกภาคส่วนจึงได้จัดพิธีปล่อยพันธุ์ปูทะเล เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน เพื่อนำมาซึ่งความเป็นอยู่ที่ดี เพื่อถวายความจงรักภักดี และถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
 
อย่างไรก็ตาม ประชาชนในพื้นที่จะร่วมกันอนุรักษ์พันธุ์ปูทะเล โดยไม่จับปูในช่วง 3 เดือนที่ปล่อย และไม่นำอุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสมมาดักสัตว์น้ำอื่นในห้วงระยะเวลานี้ที่ปูทะเลยังไม่โตเต็มวัย


***********************************************************************************************


เพลิงไหม้เรือบรรทุกน้ำมัน ส่งออกเกาะสอง ประเทศพม่า


 
    เกิดเหตุเพลิงไหม้เรือบรรทุกน้ำมันระหว่างขนถ่ายจากรถบรรทุกลงเรือ เพื่อส่งออกไปยัง จ.เกาะสอง ประเทศพม่า สร้างความเสียหายนับ 10 ล้านบาท

เมื่อเวลา 17.00 น.วันนี้ (6 ส.ค.51) ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้เรือบรรทุกน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นเรือไม้ขนาด ความกว้าง 6.5 X 23 เมตร ขณะขนถ่ายน้ำมันดีเซลจากรถบรรทุกลงเรือลำดังกล่าวไปแล้วจำนวน 38,000 ลิตร ที่ท่าเทียบเรือโกกวด หมู่ที่ 5 ต.ปากน้ำ อ.เมืองระนอง จึงได้มีการระดมรถดับเพลิงจากเทศบาลเมืองระนอง และเทศบาลตำบลปากน้ำจำนวน 5 คัน ดับไฟ แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ลงไปดับไฟในเรือเพราะกลัวอันตราย แต่ให้ลูกเรือที่เป็นชาวพม่าเป็นผู้ดับเพลิงเอง และปีนขึ้นไปดับเพลิงถึงบนเรือที่ไฟกำลังโหมลุกไหม้อยู่ตลอดเวลา โดยไม่กลัวอันตราย เนื่องจากไม่มีโฟมสำหรับฉีดดับไฟที่เกิดจากน้ำมันโดยเฉพาะ นอกจากนี้บนเรือลำดังกล่าวยังมีแก๊สหุงต้มอีกหลายสิบถัง ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลไทยห้ามนำแก๊สหุงต้มบรรจุถังออกนอกประเทศ โดยลูกเรือชาวพม่าได้รีบนำถังแก๊สโยนลงทะเล เพื่อไม่ให้ระเบิด ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชนเป็นระลอก สร้างความหวาดเสียวแก่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและผู้ที่มุงดูเหตุการณ์เป็นอย่างยิ่ง

หลังใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษเปลวเพลิงจึงสงบลง ซึ่งโชคดีที่ไม่มีการระเบิดเกิดขึ้น และไม่มีใครได้รับบาดเจ็บและเรือน้ำมันก็ไม่จมลงทะเล และมีรถบรรทุกน้ำมันที่รอขนถ่ายน้ำมันอยู่อีกหลายสิบคันอยู่บนฝั่ง ส่วนสาเหตุกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่คาดว่าไม่น่าจะเกิดจากความร้อนเนื่องจากช่วงเกิดเหตุฝนกำลังตก จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากความประมาทของลูกเรือขณะขนถ่ายน้ำมัน ซึ่งเบื้องต้นความเสียหายประมาณ 10 ล้านบาท
 
ทั้งนี้ ท่าเทียบเรือดังกล่าว เป็นท่าหลักที่ใช้ขนถ่ายน้ำมันสำเร็จรูปทั้งดีเซล และเบนซิน ลงเรือเพื่อส่งออกไปยังจังหวัดเกาะสอง ประเทศพม่า โดยแต่ละวันมีการขนถ่ายน้ำมันนับล้านลิตร มีทั้งน้ำมันที่ผลิตภายในประเทศ และน้ำมันที่นำเข้ามาจากประเทศมาเลเซีย แต่ไม่มีอุปกรณ์ดับเพลิง โดยเฉพาะโฟมที่ใช้สำหรับฉีดดับไฟที่เกิดจากน้ำมัน และเมื่อกลางปี 2550 ได้เกิดไฟไหม้เรือมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีการปรับปรุงแก้ไข จนมาเกิดเหตุซ้ำสอง

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #6 เมื่อ: สิงหาคม 07, 2008, 01:45:41 AM »

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง


ทช.จับมือหน่วยงานทางทะเล จัดประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์ทางทะเล 2551

กรมทรัพยากรทางทะเลแลชายฝั่ง (ทช.) โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน ร่วมกับ กรมประมง สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์ วิจัย และฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล สมาคมวิทยาศาสตร์ ทางทะเลแห่งประเทศไทย ศูนย์พัฒนาการประมงแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAFDEC) และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ    จะจัด การประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์ทางทะเลการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์ทางทะเล 2551  ในระหว่างวันที่    25–27 สิงหาคม 2551  ณ โรงแรมเมโทรโพล จังหวัดภูเก็ต  โดยมี นายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน ร่วมด้วย นางนิศากร โฆษิตรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง               

 การประชุมในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้รับทราบความเป็นไปและความก้าวหน้าของการศึกษาวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง  เพื่อให้ผู้เข้าประชุมได้แลกเปลี่ยนความรู้ ปัญหา ประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน ตลอดจนได้แสดงความคิดเห็นและนำเสนอแนวทางการปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มเติมองค์ความรู้เกี่ยวกับทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้กับบุคลากรของกรมฯ ด้วย

ขอบเขตการประชุม ประกอบด้วย
- ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ประวัติ ความเป็นมา และผลงานวิทยาศาสตร์ทางทะเลในประเทศไทย” นำเสนอในรูปแบบของวิดีทัศน์ 
- การอภิปราย “ทิศทางในอนาคตของการวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล การจัดการและการอนุรักษ์ทะเลไทย และประเด็นปัญหา”
- ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “Global warming and its impact on marine environment” โดย ดร. อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
- ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “บทบาทของ APEC กับงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลของประเทศไทย”  โดย ดร.เจิดจินดา โชตติยะปุตตะ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจัดการทรัพยากรทางทะเล ทช. เป็นต้น

สาระสำคัญของการประชุม ยังเป็นการนำเสนอผลงานทางวิชาการที่หลากหลาย ได้แก่
- ประวัติความเป็นมาของวิทยาศาสตร์ทางทะเลในประเทศไทย
- ทิศทางการพัฒนา การวิจัย และการก้าวไปข้างหน้าของวิทยาศาสตร์ทางทะเลของประเทศไทย 
- งานวิจัยทางด้านสมุทรศาสตร์ฟิสิกส์ เคมี ธรณีและชีววิทยา รวมทั้งมลพิษทางทะเลและการพังทะลายของชายฝั่งทะเล
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกและผลกระทบในทะเล 
- นิเวศวิทยาของปลา แพลงก์ตอนในทะเล และสัตว์ทะเลหายาก
- นิเวศวิทยาแนวปะการัง หญ้าทะเล สาหร่ายทะเล และป่าชายเลน 
- นิเวศวิทยาหาดเลน หาดทราย หาดหิน และนิเวศวิทยาชะวากทะเล , การประมง การเพาะเลี้ยงทางทะเล และเทคโนโลยีชีวภาพทางทะเล
- ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์และเทคโนโลยีการรับรู้ทางไกลทางทะเล และ
- การบริหาร การอนุรักษ์ และการจัดการทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง ตลอดจน นิทรรศการและการแนะนำกิจกรรมและสินค้าที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ทางทะเลของหน่วยงานต่าง ๆ

ผู้สนใจเข้าร่วมการประชุม สามารถ download แบบฟอร์มลงทะเบียนและจองที่พัก ได้ที่ website: http://www.pmbc.go.th/marinescience2551.php  หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณสุรีย์ สตภูมิทร์ โทร.076-391128,     08-4889-5799 หรือ คุณลลิตา พาณิชกรกุล โทร. 0-2298-2055, 08-4074-4248

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.492 วินาที กับ 20 คำสั่ง