กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 28, 2025, 07:31:41 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม 2551  (อ่าน 4941 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: สิงหาคม 14, 2008, 01:56:13 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมภาคเหนือ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคเหนือยังคงมี ฝนตกชุก และมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่เสี่ยงภัย อาทิเช่น บริเวณจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก สุโขทัย และเพชรบูรณ์ ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในระยะ 1-2 วันนี้ (14-15 ส.ค.)

อนึ่ง ระดับน้ำในแม่น้ำโขงและตามลุ่มแม่น้ำสาขาต่างๆ มีแนวโน้มสูงขึ้นอีก จึงขอให้ประชาชนที่มีบ้านเรือนอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย อาทิเช่น บริเวณจังหวัดเชียงราย น่าน เลย หนองคาย นครพนม สกลนคร และมุกดาหารเตรียมการป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจาก สภาวะน้ำล้นตลิ่งในระยะนี้ไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24 องศา สูงสุด 33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


คาดหมาย

 ในช่วงวันที่ 14-17 ส.ค.ร่องความกดอากาศต่ำที่พาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของ ประเทศไทยมีกำลังอ่อนลง สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและอ่าวไทย ตอนบนมีกำลังอ่อนลง ลักษณะดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทยมีปริมาณฝนลดลง และในช่วงวันที่ 18-20 ส.ค. ร่องความกดอากาศต่ำนี้จะมีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มมากขึ้น


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 14-15 และ18-20 ส.ค. ในระยะนี้ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคเหนือ อาทิเช่น จังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน แพร่ ลำปาง อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนักที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและ น้ำป่าไหลหลากได้



* Forecast2.jpg (39.64 KB, 684x423 - ดู 998 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 15, 2008, 12:10:27 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2008, 01:59:04 AM »

ไทยรัฐ


อนุรักษ์พื้นที่เกาะกระ ทช.เสริมแหล่งให้เต่าวางไข่

นาง นิศากร โฆษิตรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เผยว่า จากการสำรวจและประเมินสถานภาพสัตว์ทะเลหายากของไทยทั้งฝั่งอันดามันและอ่าว ไทย พบว่า เต่าทะเลน่าเป็นห่วงมากเพราะเหลือจำนวนเต่าทะเลที่พบในไทยที่เป็นพ่อแม่ พันธุ์ ไม่ถึง 500 ตัว เนื่องจากชายหาดที่เป็นแหล่งวางไข่ของเต่าทะเล ถูกรุกรานจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ล่าสุด เหลือชายหาดที่เต่าทะเลสามารถวางไข่ตามธรรมชาติขนาดใหญ่ได้เพียง 3 แห่ง คือ เกาะคราม จังหวัดชลบุรี เกาะหนึ่ง และเกาะหูหยง ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดกระบี่

กรมฯได้จัดทำแผนการอนุรักษ์แหล่งวางไข่เต่าทะเล ต่อจากการอนุรักษ์และเพาะพันธุ์เต่าทะเลเพื่อปล่อยออกสู่ธรรมชาติ ยังได้เสนอต่อที่ประชุมอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพครั้งที่ 5 ที่กรุงบอนน์ ประเทศเยอรมนี เกี่ยวกับกิจกรรมอนุรักษ์แหล่งวางไข่เต่าทะเล เป็นโครงการเครือข่ายอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตโลก อนุรักษ์แหล่งวางไข่เต่าทะเล พร้อมกันนี้ได้เตรียมเสนอให้เกาะกระ จ.นครศรีธรรมราช เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระหว่างประเทศ (Ramsar Site) ประเภทพื้นที่คุ้มครองทางทะเล เพื่อเป็นการอนุรักษ์แหล่งวางไข่เต่าทะเลอีกแห่งหนึ่ง.


***************************************************************************************************


น้ำแข็งขั้วโลกอาจหมดใน 5 ปี ไม่นานถึง 60 ปี อย่างที่คาดเมื่อก่อน

นัก วิทยาศาสตร์รู้สึกผวา เมื่อใช้คอมพิวเตอร์ศึกษาภาพถ่ายดาวเทียม การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งปรากฏว่าละลายลงเร็วกว่าที่เคยทำสถิติ สมัยเมื่อปี พ.ศ. 2550 ครั้งนั้นน้ำแข็งได้ละลายหายลงไปเป็นเนื้อที่กว้างใหญ่ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตาราง กม. ในช่วงที่โลกเพิ่งจะเริ่มจับไข้ตัวร้อน

หนังสือพิมพ์รายวัน “ดิ ออบเซอเวอร์” ของอังกฤษที่เสนอข่าวเรื่องนี้ แจ้งว่า ศาสตราจารย์ไวสลอว์ มาสโลว์สกี้ แห่งบัณฑิตวิทยาลัยมอนเตอรี ได้บอกว่า เรื่องที่น่ากลัวก็คือว่า เมื่อเข้าหน้าหนาว น้ำแข็งที่กลับมาจับปกคลุม ได้ บางลงกว่าเคย เมื่อนำมาคำนวณเข้ากับการประมาณขนาดความหนาของน้ำแข็งในปัจจุบัน คณะของเขาวิตกว่า ขั้วโลกเหนืออาจจะหมดน้ำแข็งลง ภายในปี พ.ศ.2556 นี้

นอกจากนั้น นักวิทยาศาสตร์ปีเตอร์ แวดแฮมส์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ก็ได้เสริมว่า “แบบจำลองคอมพิวเตอร์ที่ละเอียดที่สุด ก็ส่อว่าน้ำแข็งในฤดูร้อนที่ขั้วโลกเหนือ อาจจะเหลืออยู่ได้อีกไม่กี่ปีเท่านั้น และตามที่เราเห็นมาเมื่อเร็วๆนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่ามันน่าจะถูก”.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2008, 02:01:53 AM »

เดลินิวส์


เลือกซื้อหอย



ใครที่ชอบทานหอย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีเลือกซื้อหอยมาบอก....

ถ้าซื้อหอยสด ทั้งเปลือก ปากเปลือกจะปิดแน่น เมื่อวางทิ้งไว้ปากจะอ้าออก พอเอามือแตะ ปากจะปิดทันที

ถ้าซื้อหอยแมลงภู่ ที่แกะแล้ว ควรเลือกตัวสีสด ไม่ช้ำ ตัวหอยยังดูเป็นตัว ไม่ขาดรุ่งริ่ง น้ำที่แช่หอย ต้องไม่ขุ่นมาก และไม่มีเมือก

ถ้าซื้อหอยนางรม ที่แกะแล้วสีต้องสด มีเยื่อบาง ๆ เกาะอยู่ด้วย

ครั้งหน้าถ้าจะทานหอย ก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปเลือกซื้อหอยมาทานกันได้.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 14, 2008, 02:04:59 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2008, 02:17:15 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


กทม.สนองพระราชเสาวนีย์-ทำคู่มือ Storm surge แจก


คลื่น Storm surge ที่เกิดจากอิทธิพลของพายุในทะเล

       กทม.สนองพระราชเสาวนีย์เดินหน้าปรับภูมิทัศน์ให้เมืองกรุงนำสายไฟฟ้าลงดิน เฟสแรกเริ่ม ก.ย.นี้ พร้อมจัดทำคู่มือแจกประชาชนเตรียมรับภัย Storm surge 17 ส.ค.นี้ ลงพื้นที่เสี่ยงภัยและซ้อมแผนปฏิบัติการ
       
       นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะผู้บริหาร กทม.ว่า หลังจากที่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชเสาวนีย์เกี่ยวกับการปรับปรุงภูมิทัศน์กรุงเทพฯ ให้สวยงาม ด้วยการนำสายไฟฟ้าลงดินนั้น ซึ่งตั้งแต่ปี 2549 กทม.โดยสำนักการโยธา (สนย.) ได้ร่วมมือกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินโครงการนำสายไฟฟ้าลงดิน โดยมีระยะเวลาการดำเนินโครงการเบื้องต้นจะเริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2551-เดือนสิงหาคม 2552 งบประมาณ 165 ล้านบาท ในถนน 17 สาย อาทิ ถนนเพลินจิต ถนนราชประสงค์ ถนนราชดำริ ถนนเพชรบุรี ถนนพระราม 6 ถนนนครสวรรค์ ถนนสวรรคโลก นอกจากนั้น มีโครงการระยะที่สอง ที่ใช้งบประมาณ 158 ล้านบาท ดำเนินการที่ถนนหน้าพระลาน ถนนสนามไชย และ ถนนข้าวสาร ซึ่งจะมีการลงนามกับ กฟน.ในเดือนกันยายน พ.ศ.2551 คาดว่า จะดำเนินการแล้วเสร็จประมาณ พ.ศ.2553
       
       นายอภิรักษ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้า ทาง สนย.จะนำเสนอแผนงานว่า ในอีก 4 ปีข้างหน้าจะดำเนินการโครงการสายไฟฟ้าลงดินในถนนสายใดพื้นที่ กทม.ใดบ้าง เบื้องต้นประเมินไว้ว่า จะทำเป็นโครงการระยะยาว 10 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2551-2565 แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ดำเนินการในถนน 32 สาย รวมระยะทาง 119 กิโลเมตร และ ระยะที่ 2 ดำเนินการในถนน 18 สาย รวมระยะทาง 61 กิโลเมตร งบประมาณที่ใช้ทั้งหมด 77,700 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณให้
       
       นายอภิรักษ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ กทม.มีแนวคิดที่จะรวมสวนสาธารณะ คือ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ สวนจตุจักร สวนเบญจกิติ (สวนรถไฟ) เพื่อให้เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่สร้างปอดให้กับคนกรุงเทพฯ และเตรียมประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้จักสวนสาธารณะใน กทม.มากขึ้น เพื่อให้ไปใช้และทำกิจกรรม อาทิ สวนเบญจกิติ ซึ่งมีความสวยงาม แต่ประชาชนยังรู้จักกันน้อย หรือแม้แต่สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ที่มีพรรณไม้แต่มีประชาชนเข้าไปใช้บริการน้อยเช่นกัน
       
       นอกจากนี้ นายอภิรักษ์ ยังกล่าวถึงการตรียมแผนปฏิบัติการหากเกิดคลื่นพายุ ซัดฝั่ง หรือ Storm surge โดยทางสำนักการระบายน้ำ (สนน.) สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(สปภ.) ได้นำแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม กทม.ในระดับวิกฤต และกรณีเกิดคลื่นซัดฝั่งมารายงานต่อคณะผู้บริหาร เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์และเฝ้าระวัง รวมถึงการประสานความร่วมมือและเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ โดยจะมีการซักซ้อมแผนปฏิบัติการในวันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคมนี้ พร้อมกับลงตรวจสอบพื้นที่เสี่ยง ใกล้ชายฝั่งทะเลกทม. เช่น บางขุนเทียน ทุ่งครุ บางบอน รวมถึงบริเวณต่อเนื่องกับจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร
       
       สำหรับกรณีคลื่นซัดฝั่ง ได้มีการเตรียมออกแบบแผนปฏิบัติการอย่างชัดเจนโดยมีมาตรการก่อนเกิดเหตุ ระหว่างเกิดเหตุ และการฟื้นฟูหลังเกิดเหตุ ซึ่งจะมีการจัดตั้งองค์กรปฏิบัติการระดับ กทม.เพื่ออำนวยการกำกับและประสานงานการปฏิบัติรวมกับศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม กทม.และองค์กรระดับศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า แบ่งเป็นศูนย์ฝั่งพระนคร ฝั่งธนบุรี เพื่อกำกับดูแลพื้นที่เสี่ยง และเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือให้พร้อม โดยจะมีการซ้อมแผนในวันอาทิตย์นี้เช่นกัน
       
       นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำคู่มือปฏิบัติตน เบื้องต้นสำหรับประชาชนเพื่อนการเตรียมความพร้อม หากเกิดเหตุขึ้น สำหรับการเตรียมแผนความพร้อมดังกล่าวเป็นเพียงการเตรียมความพร้อมหากเกิดเหตุเท่านั้น ไม่ได้ยืนยันว่าจะมี Storm surge เพราะจากการายงานย้อนหลังยังไม่มีข้อบ่งชี้จะเกิดพายุซัดฝั่งในพื้นที่ กทม.แต่อย่างใด ฝากถึงประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลระดับน้ำขึ้น น้ำลง ปริมาณน้ำฝนได้ที่เว็บไซต์ กทม.ที่ www.bangkok.go.th  ตั้งแต่ 17 ส.ค.เป็นต้นไป


**************************************************************************************************


รำลึกราชนาวีไทยในเมืองปากน้ำ


พระบรมราชานุสาวรีย์ ร.5 ในฉลองพระองค์ชุดจอมทัพเรือ

      ว่ามั๊ย.. เวลาที่ใครหลายๆคนคิดจะไปเที่ยว ต่างก็มักจะนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ไกลๆ จนลืมนึกไปว่า เมืองติดกรุงอย่างสมุทรปราการหรือเมืองปากน้ำก็มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมายให้เราได้ค้นหากันอย่างสนุกสนาน เพลิดเพลิน และประทับใจ
       
       อย่างทริปนี้ที่ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ขอพาผู้มีใจรักไปเที่ยวกับบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด หรือ เคทีซี พร้อมค้นหาเรื่องราวอธิปไตยเหนือผืนแผ่นดินไทยกันที่ “ป้อมพระจุลจอมเกล้า” ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ แต่ว่าก่อนที่จะมาค้นหาความเป็นมาของป้อมพระจุลฯ นี้ เมื่อมาถึงเราขอไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำป้อมกันก่อน นั้นก็คือ “ศาลพระนเรศ-นารายณ์” ซึ่งพระนเรศ-นารายณ์ ถือเป็นเทพทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ว่ากันว่าสร้างมาพร้อมกับการสร้างป้อม เพื่อเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำป้อมพระจุลจอมเกล้า
       
       เมื่อจุดธูปไหว้ศาลพระนเรศ-นารายณ์แล้ว พวกเราก็ต้องไปกราบสักการะ "พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ 5 ที่ประทับยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บริเวณหน้าป้อมปืน พระบรมราชานุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2536 ขนาดพระบรมรูปสูง 4.2 เมตร หรือสองเท่าครึ่งขององค์จริง ฉลองพระองค์ในชุดจอมทัพเรือ ซึ่งถือได้ว่าเป็นที่เดียวที่ ร.5 ทรงชุดทหารเรือเลยก็ว่าได้


ตัวอย่างป้อมปืนเสือหมอบที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้น

       หลังจากสักการะเสด็จพ่อ ร.5 ด้วยธูปและดอกกุหลาบแดงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ก็ขอสมมุติว่ากำลังนั่งไทมแมกซีนของโดราเอมอนย้อนเวลากลับไปในสมัยรัชกาลที่ 5 นั่นเชียว
       
       โดยช่วงเวลานั้นกำลังเกิดการปฏิวัติอุสาหกรรมขึ้นในแถบยุโรป เกิดการแก่งแย่งขยายอำนาจ และการล่าอาณานิคมกระจายไปทั่วทุกดินแดน ร.5 ทรงเล็งเห็นว่าเหตุการณ์ไม่น่าไว้วางใจ อีกทั้งป้อมต่างๆที่เมืองปากน้ำสมุทรปราการซึ่งใช้เป็นที่มั่นในการป้องกันและตั้งรับข้าศึกที่จะเข้ามาทางทะเลนั้นล้วนแล้วแต่เป็นป้อมเก่าล้าสมัย ใช้ในการป้องกันบ้านเมืองไม่ได้ ร.5 จึงทรงมีพระราชโองการให้ปรับปรุงและซ่อมแซมป้อมเก่าและทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้จัดสร้างป้อมปราการที่ทันสมัยขึ้นมาอีกแห่งหนึ่งบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา
       
       และแล้วการสร้างป้อมปราการทางน้ำแห่งนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ.2427 โดยได้ทรงจัดหาปืนหลุมหรือ “ปืนเสือหมอบ” (Disappearing Gun) เข้าประจำการ โดยมีลักษณะเป็นปืนหลุมจำนวน 7 หลุม ถือเป็นปืนใหญ่บรรจุท้ายรุ่นแรกที่มีใช้ในกองทัพเรือ จึงทำให้ป้อมปืนแห่งนี้มีความทันสมัยที่สุดในขณะนั้น
       
       ลักษณะพิเศษของปืนใหญ่แบบนี้เป็นปืนแบบหลุม ยกขึ้นลงด้วยระบบไฮโดรนิวเมติก โยใช้แรงดันอากาศดันน้ำมันไปดันก้านสูบให้ปืนยกตัวขึ้น และลดตัวลง หรือ “หมอบ” เมื่อผ่อนแรงดันน้ำมันลงไปในถังพัก นอกจากนี้ยังมีระบบผ่อนแรงดันโดยใช้แรงดันถอยอย่างเฉียบพลันของปืนที่เกิดจากการระเบิดของดินขับ ซึ่งจะทำให้ปืนหมอบลงทันทีเมื่อยิงเสร็จ พร้อมที่จะบรรจุลูกปืนใหม่ ทำให้ปืนนี้ชื่อว่า “ปืนเสือหมอบ” นั่นเอง


นิทรรศการภายใต้ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ร.5

       การดำเนินการสร้างป้อมที่บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยานี้ได้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2436 และในวันที่ 10 เมษายน ในปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินด้วยเรือพระที่นั่งมหาจักรีเพื่อทอดพระเนตรป้อม ทรงทดลองยิงปืนป้อมด้วยพระองค์เอง กับทรงพระราชทานชื่อป้อมแห่งนี้ว่า “ป้อมพระจุลจอมเกล้า” อีกด้วย
       
       หลังจากนั้นไม่นาน ป้อมพระจุลจอมเกล้าแห่งนี้ก็ได้มีโอกาสรับใช้ชาติและสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างเต็มที่และสมเกียรติใน “วิกฤตการณ์ ร.ศ.112” หรือ “การยุทธที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา” เหตุการณ์เกิดขึ้นในตอนเย็นของวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2436 ขณะน้ำขึ้นสูงสุด เมื่อเรือรบฝรั่งเศสจำนวน 2 ลำ ได้ล่วงล้ำเข้าปากแม่น้ำเจ้าพระยา การสู้รบระหว่างฝายฝรั่งเศสกับฝ่ายไทย ซึ่งมีป้อมพระจุลจอมเกล้า ปืนเสือหมอบ พร้อมเรือรบอีก 5 ลำ จึงเริ่มต้นขึ้น
       
       แม้การสกัดกั้นเรือรบฝรั่งเศสจะไม่สำเร็จแต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ได้ก่อให้เกิดผลหลายประการ โดยเป็นเหตุให้ฝรั่งเศสยุติการสู้รบในกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง อีกทั้งยังเป็นเหตุให้ไทยยอมเสียดินแดน 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดให้ฝรั่งเศสไปเพื่อรักษาผืนแผ่นดินส่วนใหญ่และเอกราชไว้
       
       หากใครอยากพังเรื่องราวแบบเต็มๆละก็ บริเวณใต้ฐานของพระบรมราชานุสาวรีย์ ร.5 มี “ห้องจัดแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์ทหารเรือ” ที่ภายในมีวีดีทัศน์เล่าเรื่องราววิกฤตการณ์ร.ศ.112 ไว้อย่างน่าตื่นเต้น และเมื่อเข้าใจเรื่องราวกันอย่างละเอียดแล้ว คณะของเราก็ไปตื่นตากับปืนเสือหมอบ ณ “อุทยานประวัติศาสตร์ทหารเรือ” แต่พวกเราไม่ได้ทดลองยิงหรอกนะ ได้แต่ถ่ายรูปคู่เอาไว้เป็นที่ระลึก


เรือหลวงแม่กลอง เรือรบที่ประจำการยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์กองทัพเรือไทย

       แล้วพวกเราก็ไปต่ออารมณ์รักชาติกันที่ “พิพิธภัณฑ์เรือหลวงแม่กลอง” ซึ่งเป็นเรือที่ต่อจากอู่ประเทศญี่ปุ่น มีคู่แฝดคือเรือหลวงท่าจีน เรือหลวงแม่กลองเข้าประจำการในกองทัพเรือไทยใน พ.ศ.2480 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 8 และได้รับพระราชทานนามว่า “เรือหลวงแม่กลอง” และปลดระวางประจำการเมื่อ พ.ศ. 2539 รวมระยะเวลาประจำการ 59 ปี นับว่าเป็นเรือรบที่ประจำการยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์กองทัพเรือไทย และเป็นเรือรบที่มีความเก่าแก่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจาก เรือ GUN SHIP ชื่อ GUANAJUATO ของประเทศเม็กซิโก
       
       เรือหลวงแม่กลอง ยาว 85 เมตร กว้าง 10.5 เมตร ปฏิบัติภารกิจตามวัตถุประสงค์ 2 ประการนั้นคือ ในยามสงคราม ปฏิบัติภาระกิจในการป้องกันประเทศทางทะเลในหน้าที่ เรือสลุป ซึ่งสามารถทำการรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในยามสงบ ปฏิบัติภารกิจเป็นเรือฝึกนักเรียนทหารและนายทหาร สำหรับฝึกภาคทางทะเล เป็นระยะทางไกลจนถึงเมืองท่าต่างประเทศ เพื่อให้ได้รับความรู้ความชำนาญในการเดินเรือและเป็นการอวดธงราชนาวีไปในตัวอีกด้วย
       
       ปัจจุบันกองทัพเรือได้ดำเนินการอนุรักษ์และปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์เรือรบไทย เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสงานฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 50 ปี พุทธศักราช 2539 มองดูจากภายนอกก็ว่าเรือลำนี้ช่างใหญ่โต แต่เมื่อได้เข้าไปด้านในยิ่งรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่อย่างเหลือเชื่อ หลังจากที่ปืนไต่บันไดเดินชมภายในเรือแล้วให้ความรู้สึกอยากเป็นทหารเรือกับเขาบ้างเหมือนกัน คงจะเท่น่าดู


ซากเรือหลวงธนบุรีที่หลงเหลือจากเหตุการณ์ยุทธนาวีที่เกาะช้าง

       จากนั้นพวกเราก็ไปตอกย้ำอารมณ์กันแบบสุดๆที่ “โรงเรียนนายเรือ” ใครที่เคยได้เข้าไปในโรงเรียนนายเรือนี้จะเห็นเรือลำใหญ่ตั้งอยู่บนบกกลางแจ้งอย่างโดดเด่น แต่สงสัยว่าทำไมเรือถึงมีส่วนประกอบไม่เต็มลำแล้วล่ะก็ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” จะตอบให้
       
       เรือที่เห็นอย่างโดดเด่นนั้นคือ “อนุสรณ์สถานเรือหลวงธนบุรี” เป็นเรือปืนยามฝั่งที่ได้สร้างวีรกรรมการรบทางเรืออันยิ่งใหญ่ใน “ยุทธนาวีที่เกาะช้าง” เนื่องจากกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศสเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ.2484 ฝรั่งเศสได้ส่งกำลังเรือ 5 ลำเข้ามาในน่านน้ำไทยทางด้านเกาะช้าง ด้วยความมุ่งหมายที่จะระดมยิงหัวเมืองชายทะเลทางภาคตะวันออกของประเทศไทยเป็นประการสำคัญ
       
       กำลังทางเรือฝ่ายไทยที่เข้าทำการรบมี 3 ลำ คือ เรือหลวงธนบุรี เรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรี และได้ระดมยิงสู้รบกัน แม้การรบทางเรือที่เกาะช้างในครั้งนี้ จะไม่จัดว่าเป็นการยุทธ์ใหญ่ก็ตาม แต่ก็นับว่าเป็นการรบทางเรือตามแบบอย่างยุทธวิธีสมัยใหม่ กำลังทางเรือของไทยเข้าทำการสู้รบกับกำลังทางเรือของข้าศึก ซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจทางเรือ และมีจำนวนเรือที่มากกว่า จนข้าศึกต้องล่าถอยไม่สามารถปฏิบัติภารกิจการระดมยิงหัวเมืองชายทะเล ทางภาคตะวันออกของประเทศได้สำเร็จ จึงนับเป็นเกียรติประวัติอันน่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ซึ่งจะบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ของชาติไทย


พิพิธภัณฑ์เครื่องมือเดินเรือภายในหอดูดาว

       ความเสียหายของเรือหลวงธนบุรียากจะซ่อมแซมจึงได้ปลดระวางหลังจากนั้น กองทัพเรือจึงได้นำชิ้นส่วนสะพานเดินเรือและหอรบของเรือหลวงธนบุรีมาตั้งไว้เป็นอนุสรณ์ที่โรงเรียนนายเรือแห่งนี้อย่างโดดเด่นเป็นสง่า ใกล้กันนั้นมี “หอดูดาว” ภายในมีพิพิธภัณฑ์เครื่องมือเดินเรือ ที่เราจะได้เห็นอุปกรณ์การเดินเรือสมัยก่อน รวมถึงเครื่องฉายดาว ซึ่งเป็นอุปกรณ์ประกอบที่สำคัญของท้องฟ้าจำลอง
       
       พูดถึงท้องฟ้าจำลองแล้ว ที่นี่ถือเป็น “ท้องฟ้าจำลอง” แห่งแรกของประเทศไทยเลยทีเดียว เกิดก่อนท้องฟ้าจำลองที่เอกมัย กรุงเทพฯ เสียอีก เพราะสำหรับเหล่าลูกประดู่แล้วตำแหน่งของดวงดาวมีความสำคัญในการเดินเรือกลางมหาสมุทรที่มีแต่ผืนน้ำจรดผืนฟ้า
       
       นอกจากนี้ภายในโรงเรียนนายเรือยังมีสถานที่และเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมาก อาทิ ป้อมเสือซ่อนเล็บ 1 ใน24 ป้อมที่โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการรุกรานของข้าศึกที่ในสมัยก่อนมักจะมาทางเรือเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติเอาไว้ นี่แหละความภูมิใจของราชนาวีไทย


แอบดูนกประจำถิ่นที่บางปู

       หลังจากซึมซับประวัติศาสตร์ราชนาวีกันแล้ว ชาวคณะของเราย้ายสถานที่เปลี่ยนอารมณ์ไปชมธรรมชาติและผ่อนคลายอารมณ์กันที่ “ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู) เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษามหาราชินี” พวกเราเดินเข้าสู่เส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนกันในทันที พร้อมทั้งแอบดูนกประจำถิ่นที่ทำรังอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วนก่อนที่จะไปปล่อยอารมณ์ยามเย็นแบบชิลล์ชิลล์กันที่ “สถานตากอากาศบางปู”
       
       ในช่วงเดือนนี้แม้จะไม่มีนกนานาชนิดมาบินร่อนอวดโฉม แต่บนสะพานสุขตาก็มากไปด้วยผู้คนที่มาชื่นชมบรรยากาศสดชื่นและกินอาหารอร่อยๆ “ศาลาสุขใจ” เหมือนกับพวกเรา และที่สำคัญในทุกๆเย็นวันเสาร์จะมีเวทีลีลาศให้ได้วาดลวดลายกันด้วย วันหยุดนี้ใครยังไม่มีที่ไปละก็อย่าลืมเมืองปากน้ำไว้พิจารณา
       
       เมืองที่อยู่ใกล้กรุงแค่นี้เอง

       *****************************************
       
       หากต้องการเข้าชม ห้องจัดแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์ทหารเรือ (ป้อมพระจุล) ต้องขออนุญาตล่วงหน้าก่อนที่ คุณจักรภพ ศรีเกิด โทร.08-6663-3294 ส่วนหอดูดาว โรงเรียนนายเรือ ต้องมาเป็นหมู่คณะและต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก่อนที่ นาวาตรีรักพงศ์ ตันทสุวรรณ โทร.0-2475-3963
       
       สำหรับที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู) หากต้องการสำรวจเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน จะเปิดให้เข้าชมได้ในช่วงเดือนตุลาคม-เมษายน ส่วนในเดือนพฤษภาคม-กันยายน จะเป็นช่วงที่นกทำรังวางไข่จึงไม่อนุญาตให้เข้าชม ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ จ่านิเวศ 08-9006-8116


บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2008, 02:26:03 AM »

ข่าวสด


ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ                            :                         เก็บเรื่องมาเล่า   

เป็นเวลากว่า 1 ทศวรรษที่การท่องเที่ยวเชิงนิเวศได้รับการส่งเสริมในสังคมไทย ทำให้หลายพื้นที่ของประเทศเกิดแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศมากมาย มีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว

จากข้อมูลการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำรวจพบว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้ว บ้านเรามีการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกิดขึ้นถึง 2,579 แห่ง

แบ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ 1,386 แห่ง และแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม 1,193 แห่ง

จังหวัดที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ เชียงใหม่, น่าน, ตาก, แม่ฮ่องสอน, สตูล, สุราษฎร์ธานี, พังงา, ชุมพร, กระบี่, ระนอง, กาญจนบุรี, ตราด, สระบุรี, ระยอง และ มุกดาหาร

แต่แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

ที่สำคัญมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเพียงใด!?

พจนา สวนศรี แห่งสถาบันการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งคร่ำหวอดในแวดวงการท่องเที่ยวทางเลือกมายาวนาน ให้สัมภาษณ์ เสมอชน ธนพัช ในวารสาร "เส้นทางสีเขียว" ฉบับพ.ค.-ส.ค.

วิพากษ์วิจารณ์การท่องเที่ยวในเชิงนิเวศอย่างน่าคิดว่า ค่อนข้างไร้ระเบียบและทิศทาง คนที่ลงไปทำไม่มีทักษะความรู้ ไม่มีการวางแผน หรือเตรียมความพร้อมที่ดี

แม้แต่หน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาส่งเสริม จนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศกระจายตัว

แต่เป็นการกระจายตัวที่ชุมชนไม่ได้ตั้งหลัก การท่องเที่ยวเชิงนิเวศมีมากมายก็จริง แต่ก็ขาดทิศทางชัดเจน

"แหล่งท่องเที่ยวและชุมชนบางแห่งนิยามตัวเองยังไงก็ได้ แล้วแต่กระแส พออีโคทัวร์มาแรงฉันก็เป็นอีโคทัวร์เหมือนกัน พอกระแสอีโคทัวร์เบาบางแล้วโฮมสเตย์มาแรง ฉันก็เป็นโฮมสเตย์เหมือนกัน พอตอนนี้การท่องเที่ยวโดยชุมชนมาแรง ฉันก็เป็นท่องเที่ยวโดยชุมชน มีหลายแห่งที่ไหลไปตามกระแส ก็จะป้ายสีเปลี่ยนไปเรื่อยๆ"

การขาดความชัดเจนแหล่งท่องเที่ยวจำนวนมากจึงย่ำอยู่กับที่แบบเดิมๆ

ที่แย่ไปยิ่งกว่านั้นก็คือ แทนที่จะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม บางแห่งกลับทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น ตัดไม้เป็นฟืนบริการนักท่องเที่ยว ตัดไผ่ต่อแพล่องลำน้ำ การทำลายป่าอันเนื่องมาจากการเลี้ยงช้าง

ทั้งปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อแปรเป็นแหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของปัญหาขยะมูลฝอย

อีกปัญหาที่ตามมาที่ค่อนข้างจะหนักหน่วงในสายตา พจนา สวนศรี คือด้วยเหตุที่หลายชุมชนขาดความพร้อม และหน่วยงานที่ส่งเสริมขาดความเข้าใจ การนำท่องเที่ยวในหมู่บ้านก็ไม่ต่างจากการท่องเที่ยวแบบเดิมๆ

"คือชาวบ้านกลายเป็นเป้าให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป เป็นเสมือนของแปลก และเกิดทัศนคติผิดๆ เนื่องจากไม่ได้เตรียมความพร้อมชุมชน และไม่ได้เตรียมความพร้อมของนักท่องเที่ยวว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร"

นี่คือสภาพที่แท้จริงของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในปัจจุบัน


****************************************************************************************************


สัตว์โบราณ"ฟันเบิ้ม"กัดแรงกว่าฉลาม



ฉลามสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับนักประดาน้ำ นักเล่นเซิร์ฟและผู้ที่ว่ายน้ำอยู่ในทะเล ถ้าถูกงาบแล้ว ส่วนมากไม่ตายก็พิการ เพราะฉลามสามารถกัดสิ่งที่มีน้ำหนักถึง 1.8 ตันได้ แรงกัดของฉลามยังรุนแรงกว่าสิงโต 3 เท่า รุนแรงกว่ามนุษย์อย่างน้อย 20 เท่า

นายสตีเฟน โวร จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า "เราพบคู่ปรับของฉลามแล้ว มันคือเจ้าคาร์ชาโรดอนเมกะโลดอน เจ้าของฉายาฟันเบิ้ม ที่อาศัยอยู่ในโลกเมื่อ 1.5 ล้านปีก่อน"

"คาร์ชาโรดอนเมกะโลดอน" (Carcharodon Megalodon) ยาว 16 เมตร หนัก 100 ตัน สามารถกัดสิ่งที่มีน้ำหนัก 10.8-18.2 ตัน โวรกล่าวต่อไปอีกว่า "ธรรมชาติสร้างให้ฉลามและสัตว์อย่างฟันเบิ้มกัดกินอาหารที่มีขนาดใหญ่ได้ โดยฟันที่แหลมคมของพวกมัน ทำให้กัดเหยื่อที่มีหนังหนา มีไขมันและกล้ามเนื้อมากได้อย่างง่ายดาย"

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2008, 02:35:52 AM »

สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์


ประเทศไทยเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา เงาโลกพาดดวงจันทร์ 17 สิงหาคมนี้

สามารถดูได้ด้วยตาเปล่าลักษณะเป็นสีแดงอิฐ

ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ประเทศไทยจะเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาบางส่วนตั้งแต่เวลา 01.24 น.ในวันที่ 17 สิงหาคมนี้ โดยจะเริ่มเข้าสู่เงามืดของโลกในเวลา 02.36 น. ซึ่งจะสังเกตเห็นดวงจันทร์ถูกเงามืดบดบังไปบางส่วนมีลักษณะเว้าแหว่งไปเรื่อยๆ และดวงจันทร์จะค่อยๆ เคลื่อนเข้าสู่เงามืดของโลกมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งดวงจันทร์ถูกบดบังมากที่สุดถึงร้อยละ 81 ซึ่งจะเห็นว่าดวงจันทร์ไม่ได้มืดสนิท แต่กลับเห็นเป็นสีแดงอิฐ

ทั้งนี้ จะสิ้นสุดปรากฏการณ์ทั้งหมดในเวลา 06.55 น. แต่เนื่องจากดวงจันทร์จะตกลับขอบฟ้าที่เวลา 06.12 น. ดังนั้นจึงไม่สามารถติดตามจนจบเหตุการณ์ได้

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์จันทรุปราคานับเป็นหนึ่งในกลไกของธรรมชาติที่น่าติดตามชม เพราะเกิดขึ้นปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งประเทศไทยก็ไม่สามารถเห็นได้ทุกครั้ง
สำหรับวิธีการติดตามดูจันทรุปราคาสามารถดูดวงจันทร์ได้ด้วยตาเปล่าโดยให้ยืนหันหน้าไปทางทิศตะวันตกในช่วงเวลาดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำหรับการติดตามปรากฏการณ์ครั้งนี้ได้แก่เมฆฝน ผู้ที่สนใจชมจะต้องติดตามรายงานอากาศด้วยว่าจะมีโอกาสได้ชมปรากฏการณ์ดังกล่าวหรือไม่

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #6 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2008, 02:42:33 AM »

คม ชัด ลึก


ปลุกปากน้ำตื่นรับมือคลื่นยักษ์แรงเท่าพายุ"นาร์กีส"

"สมิทธ" เตือนชาวปากน้ำรับมือคลื่นหนุนสูง "สตอร์ม เซิร์จ" ส.ค.-กย.นี้ ชี้รุนแรงเท่านาร์กีส ส่วนปริมาณ "น้ำโขง" สูงเกินค่าเฉลี่ยในรอบ 30 ปี ที่หนองคาย ระดับน้ำทะลุจุดวิกฤติ สั่งปิด 19 โรงเรียนหนีภัย ขณะที่ชาวเชียงของอ่วมท่วม 2 เมตร จมบาดาลกว่า 1,000 หลังคาเรือน "สมัคร" สั่ง มท.1 ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมเหนือ-อีสานด่วน

สถานการณ์อุทกภัยในหลายจังหวัดโดยเฉพาะในพื้นที่ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ที่แม่น้ำโขงไหลผ่าน ปริมาณน้ำเอ่อเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนและพื้นที่เกษตรกรรมเป็นบริเวณกว้าง ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก ล่าสุด สำนักพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ประกาศเตือนภัย "ฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก" ฉบับที่ 8 (313/2551) ลงวันที่ 13 สิงหาคม ร่องความกดอากาศต่ำกำลังแรงยังคงพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้มีฝนตกชุกและมีฝนตกหนัก ในหลายพื้นที่ เช่น จ.เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก สุโขทัย และเพชรบูรณ์ ให้ระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในระยะ 1-2 วันนี้ (13-14 ส.ค.) ส่วนระดับน้ำในแม่น้ำโขงและตามลุ่มแม่น้ำสาขาต่างๆ มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

น้ำโขงสูงเกินค่าเฉลี่ยในรอบ30ป

 นายศิริพงศ์ หังสพฤกษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวถึงสถานการณ์แม่น้ำโขงล้นตลิ่งในเขตพื้นที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย และ อ.เชียงคาน จ.เลย ว่า กรมทรัพยากรน้ำได้ติดตามสถานการณ์ร่วมกับสมาชิกของคณะทำงานแม่น้ำโขงมาตลอด 1 สัปดาห์ คาดการณ์ว่า ปริมาณน้ำฝนที่ไหลลงแม่น้ำโขงจะมีมากเกินระดับสูงสุดในช่วงกลางเดือนนี้ โดยเฉพาะในวันที่ 13 สิงหาคม เกินจากระดับตัวเลขสูงสุดในรอบ 30 ปี (พ.ศ.2521-2550) ราว 10-20 เซนติเมตร ในบางสถานี โดยเฉพาะที่ อ.เชียงแสน ปริมาณน้ำสูงสุด 10.49 เมตร และที่ อ.เชียงคาย 10.46 เมตร และไหลเข้าท่วมพื้นที่ราบลุ่มริมตลิ่งสูงถึง 2 เมตร ในบางแห่งตั้งแต่ อ.เชียงแสน อ.เชียงคาน รวมทั้ง จ.มุกดาหาร และนครพนม อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าอีก 1 สัปดาห์ข้างหน้า สถานการณ์น้ำเอ่อล้นตลิ่งในแม่น้ำโขงจะคลี่คลายและกลับสู่ภาวะปกติ

 ผู้สื่อข่าวถามว่า ปริมาณน้ำโขงที่มีมากในระยะนี้ถือว่าผิดปกติหรือไม่ นายศิริพงศ์กล่าวยืนยันว่า ถือเป็นปกติของน้ำมากในแม่น้ำโขง แต่ปีนี้มีฝนตกมากจากจีนและลาว โดยเฉพาะน้ำที่ไหลลงแม่น้ำโขงนั้น 35% มาจากลาว เพราะมีป่าไม้อยู่เยอะ ส่วน จีน ไทย และเวียดนามเฉลี่ย 18% ขณะที่กัมพูชา 11% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันจีนก่อสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงแล้วเสร็จ 2 แห่ง มีความจุ 2,000 ล้านลูกบาศก์เมตร และกำลังสร้างเขื่อนอีก 2 แห่ง เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ดังนั้น จึงคาดว่าในช่วงที่จีนเริ่มเก็บกักน้ำเต็มที่แล้ว ก็จะปล่อยน้ำสม่ำเสมอและส่งผลให้สถานการณ์น้ำในแม่น้ำโขงอยู่ในภาวะปกติ

"สมัคร"สั่งมท.1ช่วยน้ำท่วม

 วันเดียวกัน น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ทั่วประเทศขณะนี้ โดยเฉพาะจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากการที่แม่น้ำโขงเอ่อล้นสูงขึ้น เช่น เลย และหนองคาย นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี แสดงความเป็นห่วงประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไปดูแลรับผิดชอบในพื้นที่ที่ประสบปัญหา รวมถึงให้ความช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ที่ประสบปัญหาอุทกภัย ในกรณีที่ลาวขอความสนับสนุนมา ไทยก็พร้อมช่วยเหลือเต็มที่ นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังฝากให้ประชาชนติดตามสภาพอากาศในช่วงนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ และอีสาน

 ต่อมา เมื่อเวลา 13.30 น. นายเตช บุนนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า นายสมสะหวาด เร่งสะหวัด รองนากยกรัฐมนตรี สปป.ลาว ได้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยให้จัดหากระสอบทรายจำนวน 1.6 ล้านใบ เพื่อนำมาใช้เป็นเขื่อนกั้นน้ำจากแม่น้ำโขงที่เอ่อล้นท่วมเข้าตัวเมืองกรุงเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นนับสิบปีแล้ว และนายกฯ ได้อนุมัติให้ดำเนินการทันที ขณะนี้สามารถจัดหากระสอบทรายได้กว่าล้านใบแล้ว

เชียงของ1,000หลังคาจมบาดาล

 นายกร ปิจดี หัวหน้าฝ่ายป้องกันและปฏิบัติการ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จ.เชียงราย กล่าวว่า จากการสำรวจพื้นที่น้ำท่วมใน 3 อำเภอ คือ อ.เชียงแสน อ.เชียงของ และอ.เวียงแก่น ปรากฏว่า ที่ อ.เชียงแสน บ้านเรือนประชาชน 3,000 ครอบครัว และพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย 17 หมู่บ้าน ถนนสายเชียงแสน-เชียงของ ระดับน้ำท่วมสูงกว่า 70 เซนติเมตร เป็นระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร รถยนต์ไม่สามารถสัญจร ขณะที่ประชาชน 3 หมู่บ้าน ที่ ต.บ้านแซว ระดับน้ำท่วมสูงกว่า 1.50 เมตร ชาวบ้านกว่า 105 หลังคาเรือน ไม่สามารถติดต่อกับภายนอกได้ เจ้าหน้าที่กองร้อยอาสารักษาดินแดนที่ 6 อ.เชียงแสน จึงน้ำเรือท้องแบนขนเครื่องอุปโภคและบริโภคไปช่วยบรรเทาความเดือดร้อน

 ที่ อ.เชียงของ บ้านเรือนถูกน้ำท่วมกว่า 1,000 หลังคา และพื้นที่การเกษตรเสียหายกว่า 7,000 ไร่ ส่วนที่ อ.เวียงแก่น พื้นที่การเกษตรเสียหายกว่า 6,000 ไร่ บ้านเรือน 21 หลังคาเรือน มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้นำถุงยังชีพและน้ำดื่มไปช่วยเหลือแล้ว ทั้งนี้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมากว่า 7 เมตร และจากการวัดระดับน้ำโขงเมื่อเวลา 10.00 น. อยู่ที่ 10.40 เมตร แต่ยังไม่อยู่ในระดับวิกฤติที่ 11.80 เมตร

 ด้าน นายสุเทพ เตียวตระกูล นายอำเภอเชียงของ กล่าวว่า ชาวบ้าน ต.ศรีดอนชัย ได้รับความเสียหายมากที่สุด ประชาชนทั้ง 13 หมู่บ้าน มีบ้านเรือนไม่ต่ำกว่า 1,000 หลังคา ถูกน้ำท่วม โดยระดับน้ำสูงถึง 2 เมตร โดยเฉพาะที่หมู่ 12 ระดับท่วมมิดหลังคาทั้งหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่ต้องเร่งอพยพประชาชนและสิ่งของเครื่องใช้ไปอยู่ในที่สูงทันที

น้ำซัดปลาหนีสูญกว่า 3 ล้านบาท

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ อ.เชียงคาน และ อ.ปากชม จ.เลย ระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่สูงขึ้นถึง 13.20 เมตร ส่งน้ำไหลบ่าท่วมวัดโดนสะอาด ต.ห้วยพิชัย อ.ปากชม สูงถึง 50-70 เซนติเมตร ที่บ้านบุฮม ต.บุฮม อ.เชียงคาน สูง 70 เซนติเมตร ด้าน นางไคศรี ยืดยาว เจ้าของฟาร์ม ”สมบูรณ์พันธุ์ปลา” ที่หมู่ 2 บ้านเชียงคาน ต.เชียงคาน อ.เชียงคาน กล่าวว่า เลี้ยงปลานิล ปลาไน ปลาตะเพียนและปลาดุก จำนวน 15 บ่อ มีลูกปลาจำนวน 1.5 ล้านตัว และปลาพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ อีกจำนวนมาก รวมมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท ได้ถูกกระแสน้ำพัดเสียหายทั้งหมด เนื่องจากระดับน้ำท่วมสูง 1-2 เมตร โดยขณะนี้ชาวบ้านที่หาปลาต่างมีรายได้โดยการกางตาข่ายและวิธีอื่นๆ ในการดักปลา ได้ปลาวันละ 10-20 กิโลกรัมต่อคน ทั้งปลาน้ำโขงและปลาจากฟาร์มของตนเอง

น้ำโขงที่หนองคายเลยจุดวิกฤติ

 ส่วนที่เขื่อนป้องตลิ่งพังในเขตเทศบาลตำบลศรีเชียงใหม่ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระดับน้ำโขงสูงกว่าตลิ่งประมาณ 5 เซนติเมตร ระยะทางยาวกว่า 8 กิโลเมตร ทำให้น้ำโขงทะลักเข้าตามช่องพนังกั้นน้ำและไหลเข้าสู่ตัวเมืองอย่างรวดเร็ว มีระดับสูงขึ้นเป็นบริเวณกว้าง น้ำเข้าท่วมร้านค้า บ้านเรือนราษฎร โรงเรียน โรงพยาบาล และถนนทุกสายระดับน้ำสูง 50-80 เซนติเมตร ทำให้รถเล็กไม่สามารถผ่านไปได้ ชาวบ้านต้องช่วยกันหากระสอบทรายไปปิดกั้นทางน้ำเพื่อไม่ให้น้ำไหลเข้าบ้านและร้านค้า แต่ก็ไม่สามารถปิดกั้นได้ จึงต้องขนย้ายสิ่งของไปไว้ที่สูงเพื่อความปลอดภัย

 นายพรชัย ปุริวัตร นายกเทศมนตรีตำบลศรีเชียงใหม่ กล่าวว่า น้ำโขงไหลเข้าตัวเมืองตั้งแต่คืนวันที่ 12 สิงหาคม และระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเทียบเท่ากับปี 2509 ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เตรียมตัวไม่ทัน ขณะบ่อทรายถูกน้ำท่วมจนไม่สามารถนำทรายออกมาบรรจุกระสอบให้ประชาชนได้ทัน ด้าน นายธีระวุฒิ เจริญราษฎร์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหนองคาย เขต 1 สั่งปิดโรงเรียน 19 แห่ง ที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วม

ต้นข้าวเน่าตายหลายพันไร่

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.มุกดาหาร ระดับน้ำในแม่น้ำโขงอยู่ที่ 12.20 เซนติเมตร ถือเป็นระดับน้ำที่วิกฤติ ส่งผลให้น้ำหนุนเข้าตามลำห้วยสาขาต่างๆ และเอ่อท่วมนาข้าวของเกษตรกร ต.บางทรายน้อย และ ต.ชะโนด อ.หว้านใหญ่ จำนวนหลายพันไร่ และทำให้ต้นข้าวเน่าตาย ส่วนที่ จ.อุบลราชธานี ปริมาณน้ำในแม่น้ำโขงซึ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ไหลเข้าท่วมไร่มันสำปะหลังและสวนปาล์มน้ำมันของเกษตรกรในพื้นที่ ต.พะลาน อ.นาตาล ประมาณ 500 ไร่ ส่วนเส้นทางเข้าหมู่บ้านปากแซง ต.พะลาน ซึ่งเป็นหมู่บ้านแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของ จ.อุบลราชธานี น้ำท่วมถนนสูงถึง 1 เมตร แต่ยังเหลือเส้นทางเข้าหมู่บ้านอีก 2 สาย


"สมิทธ"เตือนระวัง"สตอร์ม เซิร์จ"

 ขณะเดียวกัน ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวตอนหนึ่งในการประชุมเสวนา “แผนรับมือวิบัติภัยน้ำทะเลยกตัวสูงขึ้น“ หรือสตอร์ม เซิร์จ (Storm Surge) ที่ศาลาประชาคมสมุทรปราการ ว่าจากการประเมินโอกาสที่จะเกิดภัยพิบัติดังกล่าว จะเกิดขึ้นได้ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ ซึ่งถือเป็นช่วงอันตรายอย่างยิ่ง จากความเร็วของแรงลมที่ 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะส่งผลให้คลื่นสูงเฉลี่ย 2.2-4.5 เมตร ซึ่งภัยธรรมชาติครั้งนี้ประชาชนไม่สามารถละเลยได้ และรัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญเกี่ยวกับระบบการเตือนภัย ระบบการป้องกัน มิให้น้ำเข้ามาในพื้นที่ในหลายๆ จังหวัด

 "หากดำเนินการช้าจะมีผลกระทบต่อประชาชน และเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติมากมาย รัฐบาลจะรอช้าไม่ได้ หากเกิดขึ้นจริงความรุนแรงอาจจะเท่าพายุนาร์กีสก็ได้ อย่างไรก็ตาม หากเกิดวิบัติภัยดังกล่าว จะแจ้งเตือนผ่านสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเพื่อเตรียมรับมือล่วงหน้า" ดร.สมิทธกล่าว

 ด้าน นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า ขณะนี้ชาวบ้านเกิดความสับสนและไม่เข้าใจในเรื่องสตอร์ม เซิร์จ ว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นมีมากน้อยเพียงใด และหากเกิดขึ้นจริงภาคราชการก็มีความพร้อมรับมือระดับหนึ่ง หลังการประชุมครั้งนี้จะต้องมีการเตรียมความพร้อมและประชุมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเตรียมความพร้อมในการเตือนภัยมากยิ่งขึ้น

 ต่อมา ดร.มั่น พัธโนทัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้เดินทางมาร่วมฟังการเสวนา และกล่าวว่า อยากให้ประชาชนชาวสมุทรปราการ อย่าเพิ่งไปตื่นตระหนก สำหรับข้อมูลข่าวสารที่ได้รับทราบนั้น หากเกิดขึ้นก็จะเป็นการเตรียมความพร้อม แต่หากไม่มีเหตุการณ์ก็ถือว่าเป็นผลดี

 ส่วนการเตรียมแผนปฏิบัติการรับมือคลื่นพายุซัดชายฝั่งของกรุงเทพมหานคร (กทม.) นายอภิรักษ์  โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า สำนักการระบายน้ำ สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้นำแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานครในระดับวิกฤติและกรณีเกิดคลื่นซัดฝั่ง มารายงานต่อคณะผู้บริหาร เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์และเฝ้าระวัง รวมถึงการประสานความร่วมมือและเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ โดยจะมีการซักซ้อมแผนปฏิบัติการหากเกิดกรณีดังกล่าวขึ้นในวันที่ 17 สิงหาคมนี้ และลงตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงใกล้ชายฝั่งทะเลกรุงเทพฯ เช่น บางขุนเทียน ทุ่งครุ บางบอน รวมทั้งบริเวณต่อเนื่องกับ จ.สมุทรปราการ และสมุทรสาคร

 "เป็นเพียงการเตรียมความพร้อมหากเกิดเหตุเท่านั้น ไม่ได้เป็นการยืนยันว่าจะมี สตอร์ม เซิร์จ เพราะจากรายงานย้อนหลังยังไม่มีข้อบ่งชี้จะเกิดคลื่นพายุซัดฝั่งขึ้นในพื้นที่ กทม.แต่อย่างใด ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกจากกระแสข่าว" นายอภิรักษ์กล่าว

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.032 วินาที กับ 20 คำสั่ง