กระดานข่าว Save Our Sea.net
มิถุนายน 15, 2024, 01:08:23 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพุธที่ 3 กันยายน 2551  (อ่าน 2146 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: กันยายน 03, 2008, 12:45:12 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ทำให้ภาคใต้และภาคตะวันออกมีฝนตกหนักบางแห่งในระยะนี้


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 35 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ร่องความกดอากาศต่ำจะพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยตลอดช่วง ในช่วงวันที่ 2– 4 ก.ย. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ทั่วประเทศมีฝนกระจาย และมีฝนตกหนักบางแห่งโดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในช่วงวันที่ 5– 8 ก.ย. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้นลักษณะเช่นนี้ทำให้ทั่วประเทศมีฝนเพิ่มมากขึ้น ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้นด้วย


ข้อควรระวัง

ในระยะนี้ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา น่าน และแพร่ ระมัดวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนักไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 5– 8 ก.ย. ขอให้ชาวเรือระมัดระวังในการเดินเรือ



* Forecast2.jpg (32.59 KB, 693x430 - ดู 224 ครั้ง.)

* Earthquake.jpg (25.8 KB, 400x441 - ดู 228 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 03, 2008, 12:49:30 AM »

เดลินิวส์


สร้างเครือข่ายเฝ้าระวังพื้นที่ชายฝั่งทะเลไทย

 นายสำราญ รักชาติ รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยสำนักอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เตรียมจัดทำโครง การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อการ อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและป่าชายเลน มุ่งเน้นการเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับความสำคัญ การอนุรักษ์ การฟื้นฟูและแนวทางการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งการจัดการป่าชายเลนที่ถูกต้อง สร้างความเข้าใจอันดีระหว่างหน่วยงานกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชน ในการ บูรณาการร่วมกันทำหน้าที่ดูแล และอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งทะเล
 
ทั้งนี้ การดำเนินงานจะเน้นการประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่อยู่ภายในจังหวัดชายฝั่งทะเลทั้ง 23 จังหวัด โดยกรมฯ จะให้ความรู้เชิงปฏิบัติการในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ป่าชายเลน ระบบนิเวศต่าง ๆ ทางทะเล พร้อมกับร่วมกันทำกิจกรรมในการดูแล อนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน เช่น การปลูกป่าชายเลน การเก็บขยะบริเวณชายหาด การเก็บขยะใต้ทะเล รวมถึงการฟื้นฟูและเพิ่มปริมาณทรัพยากรสัตว์น้ำ ด้วยการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำต่าง ๆ เป็นต้น
 
นายสำราญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการดำเนินงานโครงการดังกล่าว กรมฯ ได้จัดสรรงบประมาณไว้ทั้งสิ้น 24.3 ล้านบาท เพื่อดำเนินกิจกรรมในการฝึกอบรมให้ความรู้แก่เยาวชน และประชาชนในชุมชนไม่น้อยกว่า 4,000 คน ในพื้นที่ 23 จังหวัดชายฝั่งทะเล สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์และฟื้นฟู รวมถึงเข้าถึงการบริหารจัดการและใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างถูกต้อง ตลอดจนพัฒนาเป็นเครือข่ายในการเฝ้าระวังและดูแลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างเข้มแข็งต่อไปในอนาคต
 
“ปัญหาความเสื่อมโทรมทั้งในส่วนของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงป่าชายเลนทั้งหมดของไทย กำลังเจ้าหน้าที่กรมฯ อาจจะไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานท้องถิ่น ประชาชนในพื้นที่ร่วมมือกันในการดูแลอนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยเห็นว่าเบื้องต้นต้องสร้างความเข้าใจในด้านการบริหารจัดการที่ถูกต้องและเหมาะสมเพื่อให้การดูแลและอนุรักษ์ในพื้นที่ดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ” รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกล่าว.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 03, 2008, 12:59:03 AM »

ข่าวสด


ติดตั้งเซ็นเซอร์บนหัวแมวน้ำ หาความเปลี่ยนแปลงทะเลแอตแลนติก


 
ในการศึกษาพื้นที่ใต้ท้องทะเลบริเวณที่มีแผ่นน้ำแข็งปกคลุมมักทำได้ยากและราคาแพง ศูนย์ความร่วมมือด้านงานวิจัยสภาพอากาศและระบบนิเวศแอนตาร์กติก ประเทศออสเตรเลีย จึงหาวิธีใหม่ ด้วยการนำเซ็นเซอร์ขนาดเล็กไปติดไว้ที่หัวของแมวน้ำพันธุ์อีเลแฟนต์

นายสตีฟ รินทูล เจ้าหน้าที่จากศูนย์ความร่วมมือฯ กล่าวว่า "การติดเซ็นเซอร์ไว้ที่หัวแมวน้ำ จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ศึกษาพื้นที่ที่ไม่เคยศึกษาถึง รวมทั้งภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงของทะเลแอนตาร์กติกในช่วงฤดูหนาว ส่วนการใช้เรือบรรทุกนักวิทยาศาสตร์เข้าไปสังเกตนั้นเป็นวิธีที่ใช้งบประมาณมากและช้า นอกจากนี้ ดาวเทียมยังไม่สามารถถ่ายภาพความเป็นไปใต้ท้องทะเลได้ ถ้ามีแผ่นน้ำแข็งกั้นอยู่"
 


ในการติดตั้งเซ็นเซอร์นั้น นักวิทยาศาสตร์ต้องให้ยาสลบกับแมวน้ำเสียก่อน แล้วจึงติดเซ็นเซอร์ไว้กับขน เมื่อมันตื่นขึ้นมาและว่ายน้ำลงทะเลเซ็นเซอร์ก็จะเก็บข้อมูลไว้ เมื่อแมวน้ำโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำข้อมูลนี้ก็จะส่งผ่านเสาอากาศไปยังดาวเทียม

เซ็นเซอร์จะวัดอุณหภูมิ ความเค็มและความลึกของท้องทะเล โดยแต่ละวันแมวน้ำเดินทางไปไกลถึง 65 กิโลเมตร ดำน้ำลึกเกือบ 2 กิโลเมตร สามารถให้ข้อมูลมากกว่าวิธีที่ใช้กันโดยทั่วไปถึง 30 เท่า

เซ็นเซอร์บนหัวแมวน้ำจะติดอยู่กับมันไปตลอดช่วงฤดูหนาว และจะหลุดออกมาเมื่อพวกมันขึ้นไปบนเกาะ เพื่อสลัดขนในช่วงฤดูร้อน ส่วนโครงการต่อไปคือ ติดตั้งเซ็นเซอร์บนหัวแมวน้ำหลายๆ พันธุ์ ทั้งที่อาร์กติกและแอตแลนติก เพราะแต่ละพันธุ์ออกไปหากินต่างพื้นที่กัน ข้อมูลที่เราจะได้จึงเป็นข้อมูลจากท้องทะเลในส่วนต่างๆ

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 03, 2008, 01:03:52 AM »

คม ชัด ลึก


"เกาะหนู-เกาะแมว" เพชรรอเจียระไน แหล่งท่องเที่ยวใหม่...เทศบาลสงขลา
 


นิทานปรัมปราเรื่อง "เกาะหนู-เกาะแมว" ที่เล่าขานสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน เป็นเสน่ห์ที่ช่วยเติมเต็มให้แหลมสมิหลา จ.สงขลา มีมนต์เสน่ห์น่าค้นหามากยิ่งขึ้น น่าแปลกมีน้อยคนนักที่ได้เคยไปเหยียบย่างบนเกาะทั้งสองนี้ แม้จะรับรู้ถึงตำนานอันเปี่ยมด้วยสีสันเป็นอย่างดี !!

ดังนั้น อุทิศ ชูช่วย นายกเทศมนตรีเทศบาลนครสงขลา ซึ่งมองเห็นถึงคุณค่าของเพชรที่รอเพียงการเจียระไนให้สวยงามเท่านั้น จึงวางแผนที่จะผลักดันให้เกาะหนู-เกาะแมว กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่เคียงคู่กับแหลมสมิหลาที่คนทั่วไปรู้จักกันเป็นอย่างดี

 อุทิศ กล่าวถึงที่มาของแนวคิดนี้ว่า จากยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาเทศบาลนครสงขลาให้เป็น “เมืองน่าอยู่...น่าเที่ยว” ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความสุขกายและสุขใจแก่ประชาชนในพื้นที่และผู้มาเยือน



 การพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ น่าเที่ยว ก็ควรที่จะพัฒนาด้านการท่องเที่ยวให้มีจุดขายที่แปลกใหม่มากกว่าเดิม ซึ่งมีจุดขายแค่แหลมสมิหลาเท่านั้น ทั้งที่ความเป็นจริงพื้นที่บนเกาะหนู-เกาะแมว ก็มีเสน่ห์และศักยภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

 "คงไม่มีใครไม่รู้จักเกาะหนู-เกาะแมว ยิ่งหากเคยมาเยือนแหลมสมิหลา และลองกลับไปเปิดอัลบั้มรูปดู ก็จะพบว่าคุณจะมีรูปเกาะหนู-เกาะแมว เป็นฉากหลังแทบทุกคน แต่มีสักกี่คนที่เคยไปเหยียบเกาะแห่งนี้มาก่อน"

 นี่คือแนวคิดที่จุดประกายให้ อุทิศ คิดจะพัฒนาเกาะหนู-เกาะแมวขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ โดยวางเป้าหมายให้เกาะทั้งสองแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีความปลอดภัยและปลอดจากอบายมุขทุกชนิด

 แม้จะมีชื่ออยู่เคียงคู่กัน แต่เกาะทั้งสองกลับมีสเน่ห์ที่แตกต่างกันไปคนละแบบแทบจะสิ้นเชิง..

 โดย "เกาะหนู" จะมีจุดขายที่ชายหาดเป็นทรายละเอียดสีขาว และน้ำทะเลสีเขียวใส ต่างจากทะเลอันดามันที่มีสีฟ้า นอกจากนี้ ยังมีเส้นทางผจญภัยที่เริ่มจากการไต่เขาจากบริเวณหัวหนูไปดูร่องรอยหลุมหลบภัย และป้อมปืนใหญ่ของทหารญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

 บนเกาะหนูยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คือ รูปเหมือนหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ซึ่งมีจุดชมทิวทัศน์อันสวยงาม เมื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และชมความงามของธรรมชาติเสร็จแล้ว ก็จะเป็นการผจญภัยด้วยการปีนหน้าผาเพื่อลงสู่จุดที่เป็นหางหนู

 ปิดท้ายด้วยการชมหาดหินดินดานที่สวยงาม แปลกตา และยังมีน้ำทะเลใส ปะการังสวย เหมาะจะพัฒนาเป็น "จุดดำน้ำ" ในอนาคต ส่วน "เกาะแมว" ได้ชื่อว่าเป็น "สวรรค์ของนักตกปลา" ซึ่งมีเสน่ห์พอตัวอยู่แล้ว แม้จะมีพื้นที่เพียง 54 ไร่ และเต็มไปด้วยโขดหิน แต่บริเวณท้ายเกาะก็มีชายหาดที่เงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อน เพราะไม่มีผู้คนพักอาศัยและสิ่งปลูกสร้างใดๆ รบกวนทัศนียภาพ

 อุทิศ เชื่อมั่นว่า การเพิ่มจุดขายให้แก่เมืองสงขลาด้ววยการพัฒนาเกาะหนู-เกาะแมว จะสามารถดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวได้อีกไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท จากเดิมที่มีเงินหมุนเวียนจากธุรกิจการท่องเที่ยวในเขตเทศบาลนครสงขลาประมาณ 900 ล้านบาทต่อปี

 "เกาะหนู-เกาะแมว จะช่วยให้การท่องเที่ยวของเมืองสงขลามีความคึกคักขึ้นอีกครั้ง หลังจากเงียบเหงาลงไป นับตั้งแต่มีเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนเกิดขึ้น" นายกเทศมนตรีเทศบาลนครสงขลากล่าวตั้งความหวัง

 เขาย้ำด้วยว่า จะไม่หยุดการพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองสงขลาไว้เพียงเท่านี้ ยังเตรียมความพร้อมในด้านระบบสาธารณูปโภคไว้รองรับผู้มาเยือน เช่น ส้วมสาธารณะ ทางเดินเท้า และจุดบริการนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ

 ส่วน "ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว" จะตั้งอยู่บริเวณรูปปั้นนางเงือก ชายหาดสมิหลา เพื่อบริการนักท่องเที่ยว และกระจายสินค้าชุมชน ภายใต้วงเงินงบประมาณ 12 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งเป็นงบจากโครงการผู้ว่าฯ ซีอีโอ

 นอกจากนี้ เทศบาลนครสงขลาจะเพิ่มเติมงบประมาณลงไปอีกส่วนหนึ่งเพื่อให้ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวสมบูรณ์แบบที่สุด

 อีกโครงการที่เทศบาลนครสงขลาภูมิใจนำเสนอคือ การก่อสร้าง "อควาเรียม" ริมหาดสมิหลา โดยใช้งบประมาณก่อสร้าง 120 ล้านบาท และในต้นปี 2552 จะให้บริการลานแคมปิ้งในบริเวณใกล้เคียงกับอควาเรียมอีกด้วย

 เมื่อแผนการที่วางไว้ทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ นายกเทศมนตรีนครสงขลาก็มั่นใจว่าเมืองสงขลาจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ และใครๆ ก็อยากจะมาเยือนอย่างแน่นอน

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 03, 2008, 01:11:08 AM »

สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น


ขนส่งมาเลฯห้ามเรือบริษัทผ่านอ่าวเอเดน

บริษัทขนส่งสินค้ารายใหญ่ของมาเลเซีย สั่งห้ามเรือของบริษัทแล่นเข้าไปในอ่าวเอเดน  หลังเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำ ของบริษัทถูกโจรสลัดปล้นในอ่าวดังกล่าวเมื่อเดือนก่อน

เอ็มไอเอสซี เบอร์ฮาด แถลงว่า ได้ออกคำสั่งระงับการเดินเรือสินค้าเข้าไปในน่านน้ำของอ่าวเอเดน โดยให้มีผลในทันที จนกว่าบริษัทจะมีมาตรการเสริมความปลอดภัยให้กับเรือและลูกเรือ พร้อมเผยว่า ขณะนี้กำลังเจรจาให้โจรสลัดรับรองการปล่อยตัวอย่างปลอดภัยของลูกเรือเอ็มที บุหงา เมลาตี 5 ที่ถูกปล้นนอกชายฝั่งประเทศเยเมน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พร้อมลูกเรือ 41 คน เป็นชาวมาเลเซีย 36 คน ชาวฟิลิปปินส์ 5 คน แต่ยอมรับยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาเพื่อให้ปล่อยตัวลูกเรือ 39 คน ของเรือบุหงา เมลาตี ดัว ที่ถูกปล้นนอกชายฝั่งโซมาเลีย เมื่อกลางเดือนที่แล้วยังไม่มีความคืบหน้า

อ่าวเอเดนซึ่งอยู่ระหว่างประเทศโซมาเลียกับเยเมน นับเป็นน่านน้ำที่มีโจรสลัดชุกชุมที่สุดในโลก โดยตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีเรือถูกโจรสลัดจับไปแล้ว 8 ลำ
 
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.314 วินาที กับ 20 คำสั่ง