กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤษภาคม 24, 2024, 09:24:33 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อำลา อาลัย สตรีเหล็กของไทย ..... ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์  (อ่าน 9694 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #15 เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2007, 12:20:30 AM »

ตั้งแต่คืน 8พ.ย.2490 การต่อสู้ของท่านผู้หญิง



คืนวันที่ 8 พ.ย.2490 เป็นวันที่เกิดรัฐประหาร เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ครอบครัวของนายปรีดี กับท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ และลูกๆ ที่ยังเล็กอีก 6 คน ต้องประสบกับชะตากรรมยากลำบาก

นายปรีดี ต้องหลบลี้หนีภัยการเมือง ขณะที่ท่านผู้หญิงพูนศุข ต้องเลี้ยงดูลูกทั้ง 6 คน ซ้ำร้ายยังถูกภัยการเมืองเล่นงานไม่ต่างจากสามี แต่ท่านผู้หญิงพูนศุขต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวจนหลุดพ้นข้อหากบฏ

 

ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของอาจารย์ดุษฎี พนมยงค์ บุตรสาวคนที่ 5 ของนายปรีดี กับท่านผู้หญิงพูนศุข เริ่มตั้งแต่คืนรัฐประหารในวันที่ 8 พ.ย.2490 เป็นต้นมา ซึ่งขณะนั้นอาจารย์ดุษฎีอายุเพียง 8 ขวบเท่านั้น

ที่ทำเนียบท่าช้าง เป็นบ้านพักของครอบครัวฉัน มีลักษณะเป็นตึก 3 ชั้น ตอนนั้นฉันยังเด็กอายุเพียงแค่ 8 ขวบ ขณะนั้นคุณแม่คุณพ่อนอนกันอยู่ที่ชั้น 3 อีกทั้งที่นอนของคุณพ่อคุณแม่อยู่ติดริมถนนพระอาทิตย์เลย คุณแม่บอกกับฉันว่า ตอนนั้นคุณแม่ได้ตื่นนอนมาเมื่อกลางดึก เห็นไฟสปอตไลต์ส่องไปมายังห้องนอน ตอนนั้นคุณแม่ไม่สบายเป็นหวัด จึงนอนตั้งแต่หัวค่ำ พอตื่นขึ้นมากลางดึกก็ไม่เห็นคุณพ่อที่เตียงนอนแล้ว

คุณแม่ก็เลยแปลกใจ จึงเดินบันไดลงมาที่ชั้น 2 ซึ่งเป็นห้องทำงานของคุณพ่อ คุณแม่เห็นเพียงกระดาษหนังสือพิมพ์ปลิวว่อนทั่วทั้งห้อง พอดีมีคนใกล้ชิดคุณพ่อเข้ามาในห้อง คุณแม่เลยถามว่า ท่านไปไหนแล้ว คนใกล้ชิดคุณพ่อบอกแต่เพียงว่า ท่านไปแล้ว

จากนั้นคุณแม่เริ่มใจไม่ดี จึงขึ้นบันไดไปที่ชั้น 3 ทันใดนั้นฝ่ายรัฐประหาร 8 พ.ย.2490 ก็ระดมยิงปืนใหญ่ และปืนกลมายังห้องนอน เพื่อหวังจะฆ่าเราให้ตาย ดูได้จากรูกระสุนจากปืนใหญ่ที่เจาะกำแพงห้องนอนซึ่งเป็นคอนกรีต ต่อมารูที่เกิดจากกระสุนปืนใหญ่ นกสามารถเข้าไปทำรังได้

จากนั้นคุณแม่มาอยู่รวมกับลูกๆ ในชั้นเดียวกัน ในขณะเดียวกันพี่ชายคนโต (ปาล พนมยงค์ เสียชีวิตไปแล้ว) บอกให้ทุกคนหมอบลงกับพื้น ฉันยังจำเสียงระเบิดได้จนทุกวันนี้ มันเหมือนอยู่ในภาวะสงคราม ส่วนคุณแม่ก็ได้ตะโกนออกมาว่า ที่นี่มีแต่ผู้หญิงและเด็ก อย่ายิง ฉันคิดว่าฝ่ายรัฐประหารเขาไม่ได้ยินหรอก แล้วเขาก็ยิงๆๆ 

จนรุ่งเช้าก็มีทหารขับรถถังบุกขึ้นมาทางหน้าบ้าน คุณแม่ลงมาจากบ้านแล้วถามเขาว่า คุณมาทำอะไร ที่ยิงเข้าไปในบ้านทำไปเพื่ออะไร ทหารนายหนึ่งบอกว่าเรามาเปลี่ยนรัฐบาล คุณแม่จึงบอกว่า ถ้าจะเปลี่ยนรัฐบาล ทำไมไม่ไปเปลี่ยนที่รัฐสภา ทำไมมาเปลี่ยนที่บ้านฉัน ทหารนายนั้นไม่ตอบ นั่นแสดงให้เห็นว่าคุณแม่มีความเข้าใจในประชาธิปไตยอย่างลึกซึ้ง

แต่มีสิ่งหนึ่งที่สะเทือนใจต่อครอบครัวเรามากๆ คือการที่มีการอุ้มฆ่าอย่างมากมายในช่วงนั้น มีรัฐมนตรีหลายคนถูกยิงทิ้ง และถูกอุ้มฆ่า ช่วงนั้นเราก็ไม่รู้ว่า อันตรายจะมาถึงตัวเราเมื่อไหร่ เป็นยุคที่สื่อยังไม่แข็งแรงเหมือนในขณะนี้

ต่อมาเมื่อปี 2492 วันที่ 26 ก.พ. คุณพ่อถูกไล่ล่า และประกาศจับทั่วกรุงเทพฯ ในขณะนั้นคุณพ่อกับคณะได้ฟื้นฟูประชาธิปไตย คุณพ่อจึงหนีไปหลบยังบ้านผู้มีพระคุณที่ฝั่งธนบุรี โดยมีคุณแม่เป็นผู้ประสานงาน เพื่อจะให้คุณพ่อออกนอกประเทศ และเป็นความลับอันสุดยอดที่ให้ใครรับรู้ไม่ได้

จากนั้นคุณแม่ก็เดินทางในกลางดึกคืนหนึ่งประมาณตี 4 หรือตี 5 เพื่อจะไปพบคุณพ่อ เป็นครั้งเดียวเท่านั้นที่ทั้งคู่ได้มีโอกาสพบกัน โดยต้องเดินทางผ่านตรอกป่าช้าที่เรียกกันในสมัยก่อน ที่เดี๋ยวนี้เรียกว่าซอยศึกษา เป็นซอยที่ทะลุระหว่างถนนสีลมกับถนนสาทร

ก่อนคุณแม่จะเสียได้ 2 วัน ฉันพาคุณแม่ไปที่โรงพยาบาล เมื่อกลับมาผ่านตรงนั้น คุณแม่ยังเอ่ยกับฉันว่า เนี่ยแม่ยังจำภาพนี้ได้ไม่ลืม ว่าตอนประมาณตี 4 ตี 5 ผ่านซอยนี้ เพื่อจะลงท่าน้ำสาทร นั่งเรือไปติดต่อกับคุณพ่อ และนั่นก็เป็นการประสานงานเพียงครั้งเดียว เพื่อที่จะให้คุณพ่อได้ออกไปนอกประเทศ นี่คือคำพูดประโยคสุดท้ายที่เป็นทางการของคุณแม่

สมัยนั้นมีตำรวจลับคอยติดตามครอบครัวเราโดยตลอด คุณแม่บอกเราว่าเราไม่ได้ทำผิด เขาอยากจะตามก็ตามไป ข้างนอกมีร้านกาแฟเขาก็ไปนั่งกัน ซุบซิบคอยดูว่าไปไหนกัน มีการจดบันทึก เรียกได้ว่าตามกันทุกฝีก้าวเลยทีเดียว

จนเมื่อปี 2495 วันที่ 15 พ.ย. คุณแม่ถูกจับในข้อหากบฏทั้งภายนอกและภายในราชอาณาจักร อันที่จริงผู้มีอำนาจในสมัยนั้นต้องการจะจับพ่อ แต่จับไม่ได้ ก็มาจับพี่ชายและคุณแม่แทน มีข้อหาเดียวกันคือกบฏ พี่ชายถูกขังอยู่เกือบ 5 ปีเลยทีเดียว ส่วนคุณแม่ถูกคุมขังนาน 84 วัน

ระหว่างที่คุณแม่โดนจับ ในวันนั้นพี่ชายคนโตถูกจับก่อน ซึ่งที่บ้านก็ไม่มีคน คุณแม่บอกให้พวกเราไปอยู่โรงเรียนประจำที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ แม่ชีที่นั่นใจดีและรับเราไว้ แต่วันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ แม่ชีให้เรากลับบ้าน ช่วงวันหยุดนี้คุณน้าจะพาไปเยี่ยมคุณแม่ที่คุมขัง แต่ถ้าถามถึงคุณแม่กำชับอะไรเราเป็นพิเศษในช่วงที่ถูกคุมขังหรือไม่ เราไม่รู้อะไรมาก ตอนนั้นฉันยังเป็นเด็กอายุได้ประมาณ 10 ขวบเท่านั้น แต่คุณแม่ก็จะกำชับทางน้าเป็นพิเศษให้ดูแลพวกเรา

ครอบครัวเราเป็นครอบครัวใหญ่ คุณยายมีลูกถึง 12 คน ญาติทุกคนมีความรักและเมตตาต่อเรา ที่พ่อก็ไม่รู้ไปอยู่ไหน และแม่ก็ยังมาถูกคุมขังอีก เราอายุขนาดนั้นรู้เพียงว่าเราไม่ได้รับความเป็นธรรม เราไม่ได้ทำอะไรผิด พี่ชายคนโตอายุแค่ 18 ก็โดนจับข้อหากบฏแล้ว ซึ่งพี่ชายก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเช่นกัน

คุณแม่โดนข้อหากบฏทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร ดูได้จากรูปๆ หนึ่ง ที่มีตำรวจนำจับ และไปฝากขังที่ศาล ถือปืนพกในลักษณะพร้อมยิง แสดงว่าสถานการณ์ในขณะนั้นมีความรุนแรงมาก

หลังจากที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคุณแม่ และออกมาอยู่บ้านไม่กี่เดือน คุณแม่ก็เตรียมตัวจะไปฝรั่งเศส โดยบอกกับลูกๆ ว่า อยู่ไม่ได้แล้ว ในเมื่อกลั่นแกล้งกันถึงขนาดนี้ จากนั้นคุณแม่ก็เก็บข้าวเก็บของ พร้อมกับพาลูกคนเล็ก 2 คนไปด้วยคือ ฉันและน้องคนที่ 6 ขณะนั้นพี่คนโตป่วยจึงอยู่เมืองไทยกับน้า คนที่ 2 ถูกจับอยู่ในคุก คนที่ 3 กำลังเรียนอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส และคนที่ 4 อยู่ที่เมืองไทยกับคุณยาย

ระหว่างที่ฉันอยู่กับแม่ที่ฝรั่งเศสได้ 6 เดือน คุณแม่ก็ติดต่อกับคุณพ่อได้สำเร็จ หลังจากขาดการติดต่อกับคุณพ่อนานถึง 5 ปี นับตั้งแต่การทำรัฐประหาร

คุณแม่ไม่เคยติดต่อกับคุณพ่อเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ที่ไหนในตอนแรก ตอนหลังจึงมีคนมาส่งข่าวว่าคุณพ่ออยู่ที่ประเทศจีน เมื่อติดต่อกับคุณพ่อได้สำเร็จ ก็ไปอยู่กับคุณพ่อที่ประเทศจีนนับแต่นั้น ขณะนั้นฉันก็ยังเด็ก และกลับมาเมืองไทยหลัง 14 ตุลา 2516 ส่วนคุณแม่กลับเมืองไทยหลังจากคุณพ่อสิ้นแล้ว 2-3 ปี

อาจารย์ดุษฎียังเล่าถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วยว่า

เราเป็นครอบครัวที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น ทั้งที่หลัง 8 พ.ย.2490 ไม่เคยเห็นหน้าพี่น้องครบหมดทุกคนทั้ง 8 คน รวมพ่อแม่ด้วย จนกระทั่งทุกวันนี้ แต่แปลกที่ว่าคุณพ่อคุณแม่วางภูมิฐานเอาไว้อย่างดี ฉะนั้นลูกๆ กับคุณพ่อคุณแม่ จะมีความแน่นแฟ้น ทั้งที่ไม่ได้อยู่ร่วมกันเลย อีกทั้งการสนทนาของครอบครัวเราจะแปลก จะสนทนากันแต่ปัญหาบ้านเมือง ไม่ว่าจะอยู่ต่างประเทศ หรือเมืองไทย เราไม่คุยกันเรื่องไร้สาระ

ที่จำความได้หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงประกาศสันติภาพ ฉันจะเห็นคุณพ่อกับคุณแม่ไปด้วยกันตลอด โดยเฉพาะกิจกรรมทางการเมือง

อีกสิ่งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นคือ คุณแม่จะตื่นเช้าฟังธรรมะ ดูข่าว อ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน และยังเป็นคนบอกเราด้วยซ้ำว่า วันนี้ มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ โดยเฉพาะสถานการณ์บ้านเมืองและของโลก คุณแม่จะติดตามตลอด โดยเฉพาะสถานการณ์ความไม่สงบทางภาคใต้ในปัจจุบัน



คุณแม่เป็นคู่ชีวิตคุณพ่อ สิ่งที่คุณพ่อทำ คุณแม่ก็เห็นด้วย ทั้งคุณพ่อคุณแม่บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมเช่นกัน การบริจาคสรีระต่อโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นการบำเพ็ญประโยชน์ของคุณแม่ครั้งสำคัญ และจากคำสั่งเสียทั้งหมด 10 ข้อ โดยเฉพาะข้อที่ว่า จะให้ปาฐกถาธรรม คุณแม่คิดดีแล้ว ที่คนเราตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือความดี เป็นบทเรียนชีวิตให้กับคนอื่น

ก่อนคุณแม่จะเสียประมาณ 2 ชั่วโมง คุณแม่จะพูดเรื่องราวเกี่ยวกับการเอาใจใส่ลูกๆ ว่าลูกคนไหนไม่ค่อยสบายบ้าง ใครที่ทำงานก็อย่าทำงานหนักมากนัก คำต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นคำพูดภายในครอบครัว ในขณะมีลูกมาดูใจจนคุณแม่สิ้นลมทุกคน ยกเว้นคนโตที่นอนป่วยอยู่ และคนที่ 2 เสียชีวิตแล้ว รวมทั้งเขยสะใภ้ และหลาน หรือถ้าคิดตามแบบโบราณก็คือ คุณแม่สิ้นลมท่ามกลางความอบอุ่นของลูกหลานนั่นเอง


จาก    :     ข่าวสด   วันที่ 20 พฤษภาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
แม่หอย
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1404



« ตอบ #16 เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2007, 12:57:26 AM »

..
ไม่เคยได้ติดตามประวัติของท่านอย่างละเอียดมาก่อน แต่เมื่อคืนได้เห็นในโทรทัศน์นิดหน่อย และได้อ่านกระทู้นี้ มีความชื่นชมท่านมากค่ะ ในความเข้มแข็งและแนวทางการดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่ามาโดยตลอด..
ขอดวงวิญญาณท่านผู้หญิงฯ จงไปสู่สุคติภพ  รวมทั้งขอทุกคนในครอบครัวของท่าน ที่ได้ต่อสู่ฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคนานา ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ จงมีความสุขความเจริญก้าวหน้า พบแต่ความสงบร่มเย็นนะคะ
บันทึกการเข้า
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #17 เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2007, 04:28:04 AM »

ผู้ที่มีเกียรติประวัติและวัตรปฏิบัติที่งดงามน่าเลื่อมใสและสมควรแก่การกราบไหว้ได้จากโลกนี้ไปแล้วอีกหนึ่งท่าน.....

ทุกคนในบ้านสองสายรักและเคารพท่านผู้หญิงพูนศุข หรือ "คุณยายท่าน" กันทุกคน นับเป็นบุญที่เราได้มีโอกาสกราบท่านบ่อยๆที่บ้านของท่านในซอยสวนพลู ด้วยภาระกิจที่ต้องไปรับส่งน้องจอย ซึ่งไปเรียนร้องเพลงกับครูดุษฎี (ลูกสาวคนหนึ่งของท่าน) ตั้งแต่น้องจอยยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย จนจบปริญญาตรี และจนถึงบัดนี้...ซึ่งน้องจอยกลายเป็นครูไปสอนร้องเพลงอยู่กับครูดุษฯที่บ้านของท่านต่อเนื่องมาหลายปี

ภาพที่เราจำได้ติดตาก็คือ คุณยายท่านจะเดินอย่างกระฉับกระเฉงแข็งแรงจากบ้านท่านมายังหอพัก ที่อยู่ในบริเวณเดียวกับตัวบ้าน ซึ่งชั้นล่างของตัวตึกได้แบ่งเป็นห้องสอนร้องเพลงและเปียนโน  ท่านจะทักทายอย่างเป็นกันเองกับผู้คนที่นั่งอยู่แถวๆหน้าห้องเรียนด้วยใบหน้าอิ่มเอิบยิ้มแย้มแจ่มใส ความจำของท่านนั้นเป็นเลิศ หากได้รู้จักพูดคุยกันแล้ว ท่านจะสามารถจำชื่อและประวัติของผู้นั้นได้อย่างแม่นยำ แม้ท่านจะอายุเกินกว่า 90 ปีแล้วก็ตาม

วันนี้...เวลาบ่ายสองโมง จะมีพิธีไว้อาลัยท่านที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ สุขุมวิท 55 ซอยทองหล่อ น่าเสียดายที่สองสายไม่สามารถจะไปร่วมงานได้ แต่น้องจอย....จะเป็นตัวแทนของเราไปร่วมไว้อาลัยและร่วมร้องเพลงประสานเสียงให้แก่ท่านเป็นครั้งสุดท้าย....
บันทึกการเข้า

Saaychol
หน้า: 1 [2]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.139 วินาที กับ 20 คำสั่ง