พฤศจิกายน 28, 2025, 09:49:15 PM
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว
: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ค้นหา
สมาชิก
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
กระดานข่าว Save Our Sea.net
>
หมวดหมู่ทั่วไป
>
ห้องรับแขก
(ผู้ดูแล:
สายชล
,
สายน้ำ
) >
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพุธที่ 10 กันยายน 2551
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพุธที่ 10 กันยายน 2551 (อ่าน 3025 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพุธที่ 10 กันยายน 2551
«
เมื่อ:
กันยายน 10, 2008, 12:50:01 AM »
กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
ร่องความกดอากาศต่ำกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคกลางและภาคตะวันออก เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนล่าง ประกอบกับ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ทุกภาคของประเทศยกเว้นภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีฝนตกชุก และมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย เช่น บริเวณจังหวัดจันทบุรี ตราด พังงา ภูเก็ต และกระบี่ ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนักที่อาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ในระยะนี้ สำหรับชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ ในระยะ 1-2 วันนี้ไว้ด้วย
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ โดยมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23 องศา สูงสุด 33 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
คาดหมาย
ในช่วงวันที่ 9-10 ก.ย. ร่องความกดอากาศต่ำกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคกลาง และภาคตะวันออก เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนล่าง ทำให้ภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคใต้มีฝนตกชุกหนาแน่นกับมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ และในช่วงวันที่ 11-15 ก.ย. ร่องความกดอากาศต่ำได้เลื่อนไปพาดผ่านภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ทั่วประเทศมีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้นด้วย
อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนล่าง คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งในวันที่ 10 ก.ย.และอ่อนกำลังลง
ข้อควรระวัง
ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ในช่วงวันที่ 9-10 ก.ย. เช่นบริเวณจังหวัด พิษณุโลก เพชรบูรณ์ จันทบุรี ตราด ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ตรังและสตูล ส่วนวันที่ 11-14 ก.ย. เช่น จังหวัดอุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ อุทัยธานี นครนายก ปราจีนบุรีจันทบุรี ตราดให้ระมัดวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก กับขอให้เดินเรือด้วยความระมัดระวัง
Forecast2.jpg
(41.59 KB, 693x430 - ดู 422 ครั้ง.)
Earthquake.jpg
(34.79 KB, 400x446 - ดู 430 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพุธที่ 10 กันยายน 2551
«
ตอบ #1 เมื่อ:
กันยายน 10, 2008, 12:52:34 AM »
ไทยโพสต์
ปลูกปะการัง 80,000 กิ่ง ฟื้นความงาม "ดอกไม้" แห่งทะเล
เวลาเนิ่นนานกว่า 13 ปี ที่กลายเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุมานะพยายาม ท่ามกลางความไม่ไว้วางใจและไม่เชื่อถือในฝีมือชายผู้หนึ่งชื่อ ประสาน แสงไพบูลย์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี พร้อมด้วยคณาจารย์ในสถาบัน กลุ่มนักเรียนโรงเรียนพลูตาหลวงวิทยา ตลอดจนนักศึกษาและอาสาสมัคร ต.แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ที่เข้าร่วมฟื้นฟูปลูกปะการังตามแนวชายฝั่งทะเลว่าจะเป็นไปได้
ผลสำเร็จของการขยายพันธุ์และปลูกปะการังเขากวางกว่า 10,000 กิ่งจากกิ่งพันธุ์เพียง 500 กิ่ง โดยใช้แปลงเหล็กข้ออ้อยและท่อพีวีซีเป็นฐานยึดกิ่งปะการังนับตั้งแต่ปี 2546 ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลแสมสาร พร้อมด้วยแนวคิดสืบเนื่องที่จะขยายให้ได้อีก 80,000 กิ่งทั่วอ่าวไทยในอีก 5 ปีข้างหน้า จึงกลายเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจอย่างประเมินค่ามิได้
"10,000 ต้นที่พวกเราทำได้ไม่ใช่จุดสูงสุดแห่งความฝัน แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการอนุรักษ์ปะการังไทยในระยะยาว ที่มีการเตรียมความพร้อมทั้งการปลูกเพื่อตัดกิ่งพันธุ์ องค์ความรู้ที่จะมอบให้ชาวบ้านและผู้ที่สนใจร่วมปลูก ผมไม่อยากให้การปลูกปะการังเป็นเพียงแฟชั่นที่ผ่านมาแล้วเลยไป หรือทำกันแบบไม่มีความพร้อมจนต้องไปหักเอากิ่งพันธุ์จากธรรมชาติ ซึ่งในจุดนี้มีกฎหมายคุ้มครองอยู่ หากทำไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะถือว่าผิดกฎหมายทันที หรือเอาปะการังในอีกท้องที่หนึ่งไปปลูกในอีกท้องที่หนึ่งโดยไม่รู้ว่าจะอยู่รอดเติบโตได้หรือไม่ ประกอบกับเนื่องในวโรกาสอันเป็นมงคลยิ่งที่พ่อหลวงของชาวไทยมีพระชนมายุครบรอบ 80 พรรษา จึงก่อเกิดเป็นโครงการ วีนีไทย ร่วมใจปลูกปะการัง 80,000 กิ่ง ที่เริ่มต้น เพื่อล้นเกล้า" เสียง อ.ประสานบอกเล่าถึงที่มา
ถือได้ว่าแนวคิดดังกล่าวกลายเป็นที่มาของความร่วมมือจากหลายภาคส่วนที่ช่วยสร้างความหวังให้กับสังคมในการมีพื้นที่ชายฝั่งอันอุดมสมบูรณ์กลับคืนมา ไม่ว่าจะเป็นกรมทรัพทยากรทางทะเลและชายฝั่ง กองทัพเรือ ม.ราชภัฏรำไพพรรณี มูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ โดยความอุปถัมภ์ของบริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) ที่มี อ.ประสานดำรงตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิ ชุมชนอนุรักษ์ทะเลในจังหวัดต่างๆ และประชาชนที่ให้ความสนใจอย่างล้นลาม โดยได้รับพระกรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงานนิทรรศการโครงการฯ พร้อมทรงปลูกปะการังต้นแรกที่มีรหัสประจำต้นกำกับ เริ่มที่รหัส 00001 เมื่อเร็วๆ นี้ ที่โรงแรมดุสิตธานี พัทยา
อ.ประสาน เล่าถึงรายละเอียดของโครงการว่า ในระยะเวลา 5 ปี นับจากปี 2551 จะมีการขยายและทยอยนำกิ่งพันธุ์ปะการัง 80,000 กิ่งลงปลูกในพื้นที่ชายฝั่งทะเล 5 แห่งที่สำคัญและสมควรเร่งฟื้นฟู ได้แก่ ตำบลแสมสาร จ.ชลบุรี 40,000 กิ่ง เกาะเสม็ด จ.ระยอง เกาะหวาย จ.ตราด เกาะขาม จ.ชลบุรี ภายใต้การดูแลของกองทัพเรือ และเกาะทะลุ จ.ประจวบคีรีขันธ์ พื้นที่ละ 10,000 กิ่ง ซึ่งทั้งหมดจะใช้กิ่งพันธุ์ปะการังเขากวางที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ที่ชาวบ้านได้เพาะพันธุ์ไว้เป็นธนาคารปะการัง แห่งละ 2,000-3,000 กิ่งในเบื้องต้น และทุกกิ่งที่ลงปลูกจะมีรหัสให้ผู้ที่ร่วมปลูกติดตามได้ว่า กิ่งพันธุ์ของตัวเองนั้นรอดหรือไม่ หรือเติบโตกว้างใหญ่ขนาดใด ถ้ากิ่งใดตายก็ต้องปลูกเสริมให้ครบจำนวนที่ตั้งไว้
ที่ต้องใช้ปะการังท้องถิ่น ประธานมูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ฯ บอกว่า ควรใช้ปะการังที่มีอยู่แล้วตามสภาพแวดล้อมแต่ละท้องที่จะดีกว่า เนื่องจากจะมีอัตราการรอดสูง หากพื้นที่ใดไม่สามารถหาปะการังท้องถิ่นได้แล้ว จึงค่อยนำปะการังต่างถิ่นไปทดสอบปลูกเป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อให้กระแสน้ำไหลวนครบ แล้วสังเกตดูอัตราเติบโตว่ารอดหรือไม่ และที่ต้องใช้ปะการังเขากวางเป็นตัวยืนพื้นในการอนุรักษ์ ด้วยเหตุที่ปะการังพันธุ์นี้ขยายตัวได้รวดเร็วกว่าชนิดอื่น ระยะเวลา 1 ปี กิ่งปะการัง 1 กิ่ง ยาวได้มากถึง 15 ซ.ม. หรือ 6 นิ้ว และมีอัตราการรอดถึง 70-80% ซึ่งเมื่อปะการังอยู่รอดได้กลายเป็นเกาะแก่งแหล่งที่อยู่อาศัย สัตว์น้ำหลากชนิด ทั้งสัตว์เซลล์เดียว พืชน้ำ ปะการังชนิดอื่นๆ ดอกไม้ทะเล กุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ ก็จะเกิดขึ้นตามมากลายเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์อีกครั้ง
ทั้งนี้ ตัวท่อพีวีซีที่ใช้เป็นฐานปลูก แม้ยังไม่มีการทดสอบทางเคมีเป็นเรื่องราว แต่ก็ไม่ปรากฏถึงพิษภัยต่อน้ำทะเลหรือสิ่งมีชีวิตในน้ำทะเล โดยเมื่อปลูกไปสักระยะหนึ่งตัวปะการังจะห่อหุ้มท่อในส่วนฐานที่เป็นรูปตัว T ขนาด 2-3 นิ้ว ไว้ทั้งหมด และเมื่อรอดูจนแน่ใจว่าปะการังกิ่งนั้นรอดแล้ว ก็จะถอดฐานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ออกมาใช้ในการปลูกครั้งใหม่ เหลือไว้เพียงตัว T กับกิ่งที่แตกแขนงสาขาออกไปเท่านั้น
"หลายคนมีคำถามว่า ทำไมไม่ให้ธรรมชาติฟื้นฟูตัวเอง มนุษย์เข้าไปช่วยแล้วจะได้อะไร ต้องเรียนว่าทะเลไทยทั้งแถบอ่าวไทยและอันดามัน รวมถึงทะเลชายฝั่งเอเชียใต้ หลังจากการเผชิญกับพายุและปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวในปี 2541 อันเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ปะการังก็ไม่สามารถที่จะฟื้นฟูปกปักรักษาตัวเองได้ แนวปะการังที่มีอยู่อย่างมหาศาลในประเทศเหลือไม่ถึง 20% อย่างที่เกาะขาม เหลือไม่ถึง 5% ด้วยซ้ำ ดังนั้น สิ่งที่มูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ฯ และชาวบ้านจะร่วมมือกันทำนับจากนี้ อาจไม่สามารถทดแทนทรัพยากรและสภาพแวดล้อมทางทะเลที่เคยอุดมสมบูรณ์ได้ทั้งหมด แต่เราก็ถือว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว"
อ.ประสานกล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตันว ถ้าจะให้พูดถึงสิ่งที่ดีใจที่สุดในวันนี้ ไม่ใช่การทดลองปลูกปะการังสำเร็จอีกต่อไป แต่เป็นกรณีที่ชุมชนและผู้นำชุมชนเข้าใจสิ่งที่ตนและพวกทำ พร้อมหันมาตระหนักอย่างจริงจังในการอนุรักษ์พื้นที่ปะการังของตัวเอง บางชุมชนถึงกับตั้งสภากาแฟ เพื่อลงมติประกาศให้พื้นที่ชายฝั่งเป็นพื้นที่คุ้มครองสัตว์น้ำของชุมชน จากเดิมที่ส่วนมากทางการจะเป็นคนประกาศ และชาวบ้านมักไม่ให้ความร่วมมือ เพราะเป็นการไปขัดขวางวิถีการทำมาหากิน อย่างที่แสมสาร ชาวบ้านก็หวงแหนแนวปลูกปะการังที่นำปะการังของสมเด็จพระเทพฯ มาปลูกไว้ มีการนำทุ่นมาเป็นสัญลักษณ์ห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาทำลาย อีกทั้งยังพร้อมใจสร้างแนวปะการังเทียมในการจับสัตว์น้ำในอีกละแวกหนึ่งด้วย ทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นจนเป็นทิศทางที่จับต้องได้ มาจากแรงกายแรงใจที่มุ่งมั่นของทุกคน และขอขอบคุณผู้ที่ให้การสนับสนุนมา ณ ที่นี้ด้วย
เสียงใสๆ อีกเสียงหนึ่งที่ตอบรับถึงโครงการฟื้นฟูปะการัง วีนิไทย ร่วมใจปลูกปะการัง 80,000 กิ่ง ที่เริ่มต้น เพื่อล้นเกล้า เพ็ญนภา ผาสุข และ รสรินทร์ เครือดวงคำ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 รร.ชุมชนบ้านช่องแสมสาร อ.สัตหีบ บอกเล่าให้ฟังถึงวิถีชีวิตที่ดีขึ้นของชาวบ้านว่า เดิมชาวบ้านส่วนมากไม่คำนึงถึงความสำคัญของแนวปะการัง ทั้งเดินเหยียบย่ำยามน้ำลดเพื่อหาของทะเล หรือไม่ก็แล่นเรือโยนสมอทับแนวประการัง นักท่องเที่ยวก็ทิ้งขยะ หรือไม่ก็เก็บปะการังไปขาย สร้างความเสียหายต่อที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ ทำให้สัตว์น้ำแถบชายฝั่งไม่ค่อยมี ต้องขับเรือไปไกลกว่าจะจับมาขายได้ แต่พอเริ่มมีโครงการนี้ขึ้นมา เยาวชนอย่างพวกหนูก็ได้เข้าค่ายกับทางมูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ฯ เรียนรู้เรื่องราว และนำมาบอกต่อให้กับครอบครัว เพื่อนๆ ที่โรงเรียน และชุมชน ให้ช่วยกันอนุรักษ์ทะเล ซึ่งชุมชนก็เริ่มคล้อยตามและลงมือทำอย่างจริงจัง ทุกวันนี้เริ่มเห็นผล สัตว์น้ำมีมากขึ้น ทะเลกลับมาสวยแม้จะยังไม่เหมือนเดิมก็ตาม
ด้าน นายกุนเธอร์ วิลแฮล์ม นาโดนี่ กรรมการผู้จัดการ บมจ.วีนิไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลพลาสติกพีวีซี และโซดาไฟ ในฐานะผู้ให้การสนับสนุนมูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า ทางบริษัทใส่ใจถึงคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน และปัญหาหนึ่งที่บริษัทฯ มองเห็นก็คือ ปัญหาการรบกวนแนวปะการังซึ่งเป็นแหล่งอนุบาล และเป็นที่อาศัยของสัตว์น้ำที่หายาก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชนชายฝั่งทะเล จึงมอบทุนในการดำเนินโครงการขยายพันธุ์ปะการังจนแล้วเสร็จในระยะเวลา 5 ปี เป็นเงิน 15 ล้านบาท โดยในอนาคตหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ ก็อาจขยายไปในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันเพิ่มเติม
ผู้ที่สนใจร่วมปลูกปะการังกับโครงการดีๆ เช่นนี้ หรือต้องการเรียนรู้วิธีการปลูกประการังพร้อมดูแลรักษาให้ยั่งยืนในชุมชนของตนเอง ติดต่อได้ที่ มูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ โทร 03-843-1240, 03-8431-1935 หรือ 08-1663-1956 ทางเว็บไซต์
www.vinythaicoral.org
.
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพุธที่ 10 กันยายน 2551
«
ตอบ #2 เมื่อ:
กันยายน 10, 2008, 12:55:27 AM »
คม ชัด ลึก
ปลูกจิตสำนึก "รักษ์ป่า" ด้วยการ "ปลูกป่า"
จากสภาวะโลกร้อน ก่อให้เกิดปัญหาสภาพดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง ส่งผลกระทบต่อประชากรทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่คนไทย
บริษัทเมอร์ค ประเทศไทย ตระหนักถึงความเสียหายอันจะเกิดจากปัญหาดังกล่าว จึงมีเจตนารมณ์ที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ผ่านโครงการ "แคร์ ฟอร์ กรีน : รักผืนป่ากับเมอร์ค ประเทศไทย ครั้งที่ 2"
นับว่าเป็นการสานต่อความสำเร็จจากโครงการ แคร์ ฟอร์ กรีน : รักผืนป่ากับเมอร์ค ประเทศไทย ในปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทได้พาพนักงาน ลูกค้าและครอบครัวร่วมเปลี่ยนพื้นที่สีน้ำตาล ที่จ.สมุทรปราการให้เป็นสีเขียวด้วยการ ปลูกต้นไม้ถึง 4,144 9 ต้น และในปีนี้ เมอร์คก็ได้ร่วมมือกับมูลนิธิ พลาน อะ ทรี ทูเดย์ หรือพีเอทีที กองทัพบก และเทศบาลเมืองสมุทรปราการ พาอาสาสมัครจำนวน 1,200 คนเข้าร่วมกิจกรรมปลูกป่าชายเลนขึ้นในเขตสถานที่ตากอากาศบางปู จ.สมุทรปราการ ภายใต้โครงการ แคร์ ฟอร์ กรีน : รักผืนป่ากับเมอร์ค ประเทศไทย ครั้งที่ 2
ไฮน์ซ ลันดาว ประธานคณะกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัทเมอร์ค ประเทศไทย กล่าวว่า "วัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้ก็เพื่อรณรงค์และกระตุ้นให้มีการเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนในการรักษาสมดุลธรรมชาติ ลดภาวะน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งในเขตสมุทรปราการ และสุดท้ายก็เพื่อช่วยลดความรุนแรงของผลกระทบที่เป็นผลพวงมาจากสภาวะโลกร้อน ผ่านการมีส่วนร่วมของพนักงาน ลูกค้า และประชาชนในพื้นที่ รวมถึงเยาวชนจากค่าย "มัคคุเทศก์สิ่งแวดล้อมกับเมอร์ค ประเทศไทย" ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้าร่วมด้วย
ขณะเดียวกัน พ.อ.ชนินทร์ โพธิ์พูนศักดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาธรรมชาติ กองทัพบก บางปู กล่าวแนะนำวิธีการปลูกต้นไม้ในบริเวณป่าชายเลนว่า ป่าชายเลนจะมีลักษณะความแตกต่างจากป่าบก ดังนั้น วิธีการปลูกต้นไม้จึงต่างกันไปด้วย เพราะป่าชายเลนไม่ต้องรดน้ำ เมื่อน้ำขึ้น ต้นไม้จะได้รับน้ำอยู่แล้ว ขณะเดียวกันบริเวณป่าชายเลนจะมีสภาพเป็นดินโคลน มีคลื่นลมแรง เวลาปลูกจึงต้องขุดหลุมให้ลึก และใช้เชือกผูกยึดต้นไม้ไว้กับหลักให้แน่น เพื่อป้องกันการถูกคลื่นลมซัดจนหลุดลอยไป
"ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ผมยังไม่เคยเห็นว่าโครงการใดมีคนมาร่วมปลูกต้นไม้มากเท่านี้มาก่อน ในฐานะตัวแทนกองทัพบกจึงรู้สึกดีใจมาก และในเมื่อทุกคนมาร่วมปลูกต้นไม้ให้แล้ว กองทัพก็จะช่วยดูแลต้นไม้เหล่านี้อย่างดี และจะนำเข้าร่วมโครงการพลิกฟื้นผืนป่า ด้วยพระบารมี เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไปด้วย" ผอ.ศูนย์ศึกษาธรรมชาติกล่าว
หลังจากร่วมกันปลูกป่าชายเลนแล้ว และเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของอาสาสมัคร บริษัท เมอร์ค ก็ได้พาอาสาสมัครทั้งหมดไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ชื่อดังภายในจ.สมุทรปราการกันต่อ โดยเริ่มต้นที่ พิพิธภัณฑ์เอราวัณ ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมศิลปะในยุคสมัยต่างๆ ของไทยที่มีอายุยาวนานมาไว้ให้คนทั่วไปได้ศึกษาศิลปะในสมัยโบราณและเชื่อมโยงถึงศาสนาต่างๆ ทั้งพุทธ คริสต์ และอิสลาม จากนั้นก็ไปชมการจำลองเรือนไทย ตึกโบราณ และอนุสาวรีย์ จากทุกจังหวัดของประเทศไทยมาไว้ให้ผู้คนได้ศึกษาหาความรู้ ภายในพิพิธภัณฑ์เมืองโบราณ
ถ้าหากใครอยากเข้าร่วมโครงการดีๆ แบบนี้ ก็คงต้องอดใจรอปีหน้า เพราะไฮซ์น บอกว่าปีหน้าก็จะจัดกิจกรรมปลูกป่าอีกแน่นอน แต่ถ้าใครอดใจรอไม่ไหวก็สามารถไปปลูกป่าชายเลนได้ที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติ กองทัพบก บางปู อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพุธที่ 10 กันยายน 2551
«
ตอบ #3 เมื่อ:
กันยายน 10, 2008, 01:01:38 AM »
กรุงเทพธุรกิจ
แล่นฉิว บนผิวน้ำ
กรุงเทพมหานครเคยได้ชื่อว่าเป็น 'เวนิส ตะวันออก' เนื่องจากมีคูคลองใช้สัญจรมากมาย
จนกระทั่งรถยนต์เข้ามาแทนที่ ตามมาด้วยระบบขนส่งมวลชนยอดนิยมอย่าง รถไฟฟ้า ภาพเรือที่เคยขวักไขว่ตามลำน้ำ จึงเหลือเพียงเงาเลือนรางในอดีต
ไม่เพียงแต่ในกรุงเทพ พื้นที่ต่างจังหวัดเมื่อสักสิบยี่สิบปีก่อน บริเวณจังหวัดแถบที่ราบลุ่มภาคกลาง ยังคงใช้เรือเป็นพาหนะหลักเดินทางไปตามคูคลองหลายสาย แต่ทุกวันนี้ เรือแปะ เรือเข็ม เรือมาด กลับถูกเข็นขึ้นจอดจนไม้แห้งกรอบอยู่ใต้ถุนบ้าน หรือกลายมาเป็นเพียงของตกแต่งบ้านสำหรับคนมีเงินที่นิยมของเก่า
วิถีการสัญจรทางน้ำจึง 'ล่มสลาย' ลงโดยสิ้นเชิง...
เปิดตลาด เจ็ตสกี
เสียงยานยนต์ทางน้ำ เสียงเรือเร็วที่ล้อกับเสียงกระแทกของเกลียวคลื่นดังตึงๆในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ อย่างพัฒนา ภูเก็ต สมุย ดึงดูดให้ผู้ที่ชื่นชอบความเร็ว หรือความท้าทายอยากจะขึ้นไปนั่งหรือขับขี่สักครั้ง ซึ่งก็ต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยในการครอบครองไม่กี่นาที เนื่องจากต้นทุนในการซื้อหามาแต่ละลำด้วยราคา 3 แสนถึง 5 แสนบาท หรือหลักแสนต้นๆ ถ้าเป็นสินค้ามือสอง ทำให้เจ้าของกิจการให้เช่า มีต้นทุนอยู่ไม่น้อยในการทำธุรกิจประเภทนี้
นอกเหนือไปจากเรือเช่าแล้ว มีบ้างที่จะเห็นคนขับรถลากจูงรถบรรทุกยานยนต์ทางน้ำวิ่งไปตามท้องถนน เพื่อหาทำเลเหมาะๆ ในการเล่น และอาจเห็นแหล่งท่องเที่ยวบางแห่ง รวมทั้งบึงใหญ่ชานเมืองที่มีบริการยานยนต์เหล่านี้จอดเรียงรายรอคนมาควบขี่
"ตลาดยานยนต์ทางน้ำยังไม่ใหญ่นัก ปีที่แล้วเราขายไปประมาณ 100 ลำ ส่วนปีนี้คาดว่าจะขยายขึ้นเท่าตัวเป็น 200 ลำ เพราะคนเริ่มนิยมมากขึ้นในช่วงๆ ปีสองปีนี้ จากที่ก่อนหน้านี้ยอดแต่ละปีเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น" ธเนศ เสถียรพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วัชร มารีน จำกัด ตัวแทนจำหน่ายยานยนต์ทางน้ำอย่างเป็นทางการจากบริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด อธิบายให้เห็นถึงขนาดของตลาดกีฬาทางน้ำ
ทั้งนี้สำหรับยานยนต์ทางน้ำแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักคือ กีฬา (sport) และท่องเที่ยว (cruise) ส่วนตลาดก็แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักเช่นกัน คือ ธุรกิจให้เช่า ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 90% และส่วนตัว (private) ซึ่งกลุ่มหลังลูกค้าสำคัญส่วนใหญ่จะมีอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ผู้ที่ขับขี่คือ ลูกหลาน
ภาพรวมของตลาดนั้น เรียกได้ว่ายามาฮ่ามีส่วนแบ่งตลาดกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ โดยสินค้าทั้งหมดส่งตรงมาจากโรงงานในสหรัฐ แต่ที่เห็นว่าตัวเลขยอดขายยังไม่มากนัก มาจากปัจจัยสำคัญคือ การขาดแคลนสถานที่ในการเล่น ซึ่งปัจจุบันมีอยู่แค่เพียงตามแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลและในบึงที่เจ้าของหรือผู้เช่าเปิดบริการให้เช่าสถานที่
แม้จะเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างเล็ก แต่ถ้ามองในแงของกำลังซื้อแล้ว ลูกค้ากลุ่มนี้ก็มีอำนาจในการซื้อที่ไม่ด้อยไปกว่าใคร และยังไม่หวั่นแม้ราคาน้ำมันจะถีบตัวสูงขึ้น ทั้งๆ ที่ยานยนต์ทางน้ำเหล่านี้มีอัตราสิ้นเปลืองสูงก็ตาม
เรือ ไม่ใช่รถ
ในส่วนของวัชร มารีน เองนั้นเริ่มต้นธุรกิจด้ายการเปิดศูนย์ซ่อมจักรยานยนต์ ก่อนได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายจักรยานยนต์ซูซูกิ ยามาฮ่า คาวาซากิ คาจิว่า ไทเกอร์ ตัวแทนจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ชาร์ป ซันโย โตชิบา ก่อนจะแตกแขนงเข้าสู่ตลาดยานยนต์ทางน้ำในปี 2544 ปัจจุบันมีฐานลูกค้าอยู่ไม่น้อย แน่นอนว่าในเชิงธุรกิจ ทุกอย่างกำลังไปได้ดี การตัดสินใจลงทุน 150 ล้านบาท สร้างโชว์รูมใหม่ที่พัทยาเป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดี
แต่ถ้ามองข้ามเรื่องราวขององค์กรธุรกิจ หันไปมองกันที่ตัวบุคคล จะพบว่าแนวคิดในการทำตลาด แนวคิดที่มีต่อยานยนต์ทางน้ำและต่อน้ำของธเนศก็มีความน่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากัน ว่าทำไมธุรกิจขนาดเล็กๆ จึงอยู่ได้และเติบโตมาโดยตลอด
"ความเข้าใจต่อสินค้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด" ธเนศ เล่าให้ฟังถึงความได้เปรียบอย่างหนึ่งของเขา นั่นคือ เป็นผู้ที่สนใจเรือ หรือว่ายานยนต์ทางน้ำมาตั้งแต่เด็ก ทำให้รู้จักมันอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการใช้งาน การดูแลรักษา หรือแม้แต่การคิดค้นหาวิธีการทางการตลาดใหม่ๆ เพื่อดึงดูดใจลูกค้าให้เข้ามาซื้อหา
"เรือไม่เหมือนกับรถ รถไปจอดเสียอยู่ที่ไหนก็ได้ ไปหาช่างที่มีอยู่ทั่วไปมาซ่อม เดี๋ยวก็วิ่งได้ แต่เรือหากเสีย อาจหมายถึงชีวิต"
ดังนั้นทุกวันนี้สิ่งที่วัชร มารีน ให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือ การบริการหลังการขาย ไม่ว่าจะเป็นความเพียบพร้อมของเครื่องมือ อะไหล่ หรือว่าช่างผู้ชำนาญงาน ซึ่งธเนศบอกว่าเขาจะต้องดูแลช่างเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน สวัสดิการต่างๆ การทำงานเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน และที่สำคัญก็คือ ตอนรับเข้าทำงาน จะดูว่าเป็นผู้ที่รักหรือชื่นชอบกีฬาทางน้ำ รักยานยนต์ทางน้ำด้วยหรือไม่
ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่าตลอดเวลากว่า 10 ปีที่ทำธุรกิจ มีช่างของบริษัทลาออกไป 2-3 คนเท่านั้น
นอกจากนั้นธเนศยังมีแนวคิดที่ว่า ภาพที่เห็นแทนคำพูดได้มากมาย เขาจึงเนรมิตพื้นที่ส่วนหนึ่ง จัดแสดงเรือรุ่นเก่าๆตั้งแต่ประมาณ 15 ปีที่แล้วที่เขาสะสมเอาไว้ ให้ลูกค้าได้ชม ในรูปแบบที่เรือยังคงความเป็นเรือ นั่นคือยังวิ่งได้ ใช้งานได้ ไม่ใช่จอดโชว์เพียงอย่างเดียว
เมื่อลูกค้ามาเห็นว่า ขนาดสินค้าเมื่อกว่าทศวรรษที่แล้วยังโลดแล่นไปบนผิวน้ำได้ ทำไมเขาเหล่านั้นจะไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เขาซื้อไปในวันนี้ ในอนาคตจะไม่ได้รับการดูแลอย่างดีจากทีมงานซ่อมบำรุง โดยไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะไม่มีอะไหล่ หรืออะไรที่เกินความสามารถของช่าง
ฟื้นชีวิต ริมสายน้ำ
ด้วยความเป็นคนที่ชื่นชอบเรือชอบน้ำมาตั้งแต่เด็ก ในวันนี้เมื่อประสบความสำเร็จในภาคธุรกิจ ธเนศ มีแผนการที่จะเพิ่มบทบาทใหม่ให้กับตนเอง ด้วยการร่วมมือกับหอการค้าไทย ที่มีโครงการจัดการแหล่งน้ำทั่วประเทศ ด้วยการเข้าไปฟื้นฟู และอนาคตอาจจะขยายให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำอย่างจริงจัง โดยจะเริ่มต้นโครงการนำร่องที่แม่น้ำป่าสัก จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของวัชร กรุ๊ป ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงการศึกษารายละเอียดทั้งแหล่งท่องเที่ยวและตัวยานยนต์ที่เหมาะสมกับโครงการ
ธเนศบอกว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายที่แหล่งน้ำของไทย ซึ่งเคยเป็นเส้นทางคมนาคมและทำมาหากินที่สำคัญ ถูกปล่อยปละละเลยไปจนเสื่อมโทรม ทั้งสิ่งแวดล้อม หรือคุณภาพน้ำเอง ดังนั้นเชื่อว่าหากสามารถฟื้นฟูมันกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง ก็จะช่วยดึงวัฒนธรรมเก่าๆให้กลับมามีบทบาทได้เหมือนเดิม แม้รายละเอียดบางอย่างอาจจะเปลี่ยนไป เช่นการท่องเที่ยว ที่อาจจะไม่ได้ใช้เรือพายแต่เป็นยานยนต์ทางน้ำแทน
ทั้งนี้แนวคิดการฟื้นฟูแหล่งน้ำ และทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวถาวรได้นั้น จะต้องร่วมด้วยช่วยกันทั้งชุมชนในบริเวณนั้น เช่น การสำรวจว่ามีแหล่งท่องเที่ยวอะไรที่น่าสนใจและเดินทางทางน้ำได้บ้าง อาทิเช่น วัดต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากมาย ซึ่งแต่ละแห่งก็ความงดงามที่น่าสนใจแตกต่างกันออกไป
แต่เช่นเดียวกับสายน้ำ 'วัด' ในส่วนที่อยู่ติดน้ำ ก็ถูกปล่อยทิ้งให้เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา หลังการเข้ามาแทนที่ของถนน หลังวัดแต่เดิมจึงกลายเป็นหน้าวัดในปัจจุบัน ส่วนหน้าวัดแต่เดิมที่อยู่ริมน้ำก็กลายเป็นหลังวัดไปแทน จึงไม่ต้องแปลกใจที่หลายๆ วัดในวันนี้ เมรุเผาศพจึงอยู่หน้าวัดแทนที่จะอยู่ด้านหลังเหมือนอดีต
"เราต้องไปดูสถานที่เหล่านี้ ดูวัดว่ามีความสนใจมากน้อยแค่ไหน จากนั้นก็ต้องบูรณะขึ้นมา เพื่อให้การท่องเที่ยวทางน้ำมีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น"
เรียกว่าเอา 'หน้าวัด' กลับคืนกลับมาคู่กับสายน้ำอีกครั้ง
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพุธที่ 10 กันยายน 2551
«
ตอบ #4 เมื่อ:
กันยายน 10, 2008, 01:07:48 AM »
สถาบันวิจัยและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง กรมประมง
ปลาอาหารต้านโรค
ปลานั้นเป็นอาหารที่มีความสำคัญ และมีบทบาทในการดำรงชีวิตของคนไทยมานานนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นับว่าคนไทยรู้จักเลือกอาหารจากแหล่งธรรมชาติมาบริโภคได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ปลานั้นเป็นอาหารที่มีคุณค่ามากมายมีคุณค่าโภชนาการสูง มีไขมันต่ำหาง่าย ทำอาหารได้อร่อยหลายอย่าง จึงเหมาะสมสำหรับนำมาประกอบเป็นอาหารของคนทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่ทารกอายุ 4 เดือน ขึ้นไปจนถึง ผู้สูงอายุคุณค่าทางโภชนาการของปลาที่สำคัญ ได้แก่ โปรตีน ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุ
คุณค่าทางด้านโปรตีน ปลาเป็นแหล่งอาหารที่ให้สารโปรตีนที่มีคุณภาพดี กองโภชนาการ กรมอนามัย ได้ทำการวิเคราะห์หาปริมาณและคุณภาพของโปรตีนและไขมันในปลาชนิดต่าง ๆ พบว่า ปลาทู เมื่อเปรียบเทียบ กับปลาอื่น ๆ มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายเทียบกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ ด้วย ปลาทูจะมีสูงกว่าแทบทั้งสิ้น และพบว่าในปลา 20 ชนิด ที่คนทั่วไปนิยมบริโภคมีปริมาณโปรตีนอยู่ระหว่างร้อยละ 14.4-23.0 กรัม โปรตีนในเนื้อปลาจะเป็นโปรตีน ที่ย่อยง่าย เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของทารก เด็กวัยก่อนเรียนและเด็กวัยเรียน ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ เนื้อปลาโดยลักษณะตามธรรมชาติมี เนื้อเยื่อเกี่ยวพันน้อยกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น เมื่อเนื้อปลาสุกจะแยกออกเป็นชิ้น ๆ ตามมัดของกล้ามเนื้อเกี่ยวพัน เนื้อปลา จึงนุ่ม ไม่เหนียวและหดตัวมากเหมือนเนื้อสัตว์อื่น ๆ
คุณค่าทางด้านไขมัน นอกจากคุณค่าทางด้านโปรตีนแล้ว ปลายังมีคุณค่าทางด้านไขมัน เนื้อปลาประกอบด้วย ไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะกรดไลโนเลอิคที่ทำหน้าที่ควบคุมระดับของโคเลสเตอรอล และ ไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือด และการช่วยเร่งการเผาผลาญโคเลสเตอรอลนี้ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดลดลง จึงมีส่วนลดอัตราการตายของโรคหัวใจด้วย นอกจากนี้ยังประกอบด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวที่มีความ สำคัญต่อร่างกาย 2 ชนิด ได้แก่ กรดอีโดซาเปนทีโนอิด หรือ อี พี เอ ที่เป็นส่วนประกอบของเซลล์สมอง ปลาจึงเป็นอาหารที่มีคุณค่าต่อสมองอย่างยิ่ง ไขมันที่มีอยู่ในเนื้อปลาเป็นสารที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ แต่ จะได้จากการกินเนื้อปลา
คุณค่าทางด้านวิตามินและแร่ธาตุ เนื้อปลานอกจากจะให้คุณค่าด้านโปรตีนและไขมันแล้ว ยังให้วิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ อีก ซึ่งคุณค่าด้านวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ อีก ซึ่งคุณค่าด้านวิตามิน นั้น เนื้อปลาประกอบด้วยวิตามินบีหนึ่ง บีสอง และไนอะซิน ที่มีความจำเป็นต่อการใช้ประโยชน์ของคาร์บอนโบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน ทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการประกอบการงานและการเรียนรู้
คุณค่าทางด้านแร่ธาตุ ปลาประกอบด้วยธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสในสัดส่วนที่พอดีต่อการสร้างกระดูกและฟัน มีธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดโลหิต ป้องกันโรคโลหิตจาง ส่วนปลาทะเลมีธาตุไอโอดีน ซึ่งช่วย ป้องกันโรคคอพอก ปลานอกจากจะให้คุณค่าทางโภชนาการต่อร่างกายแล้วจะต้องเป็นปลาที่ผ่านการประกอบอาหารให้สุกด้วยความร้อน การกิน ปลาดิบ จะให้โทษต่อร่างกาย เนื่องจากปลาดิบมีพยาธิตัวจี๊ดจะไช ไปตามกล้ามเนื้อ ผิวหนังและอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย
ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อาหารต่าง ๆ ราคาสูงขึ้น แต่ปลาก็ยังนับว่าเป็นแหล่งอาหารที่ราคาถูกกว่าอาหารอื่น ๆ ที่มีคุณค่าทัดเทียมกัน เพราะคุณค่าสารอาหารโปรตีนในปลามีทั้งคุณภาพและ ปริมาณที่ดีและเหมาะสม มีส่วนนำไปเสริมสร้างร่างกายให้เจริญเติบโตและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ซึ่งเสื่อมสลายให้อยู่ในสภาพปกติ ทั้งยังเป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคและให้พลังงานแก่ร่างกาย ทั้งยัง เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคและให้พลังงานแก่ร่างกาย การกินปลาเป็นอาหารประจำแทนเนื้อสัตว์ จะมีส่วนช่วยลดปริมาณไขมันในเลือด ส่วนในเด็กทารก เด็กวัยก่อนเรียนและเด็กวัยเรียน ได้บริโภคปลาเป็นประจำ จะมีผลอันนำไปสู่การมีพลานามัยที่สมบูรณ์และแข็งแรง และที่สำคัญต้องช่วยกันอนุรักษ์ด้วย โดยการไม่จับปลาในฤดูวางไข่หรือจับปลาเล็ก ๆ มากิน เพื่อเราจะได้มีปลาให้ลูกหลานได้
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
หมวดหมู่ทั่วไป
-----------------------------
=> ห้องรับแขก
=> กิจกรรมและผลงาน
=> เรื่องเล่าชาวทะเล
=> ท่องเที่ยวทั่วแผ่นดิน
=> คุยเฟื่องเรื่องดำน้ำ
=> หลังเลนส์
=> สรรพชีวิตแห่งท้องทะเล
=> คลังกระทู้เก่า
กำลังโหลด...