กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 28, 2025, 10:20:59 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันเสาร์ที่ 27 กันยายน 2551  (อ่าน 4348 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: กันยายน 27, 2008, 12:52:07 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงจากบริเวณประเทศจีนจะแผ่ลงมาตอนล่าง ทำให้ร่องความกดอากาศต่ำที่พาดผ่านประเทศไทยตอนบนมีกำลังแรงขึ้น ส่งผลบริเวณดังกล่าวให้มีฝนตกเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ ระหว่างวันที่ 27ก.ย.-1 ต.ค.โดยเริ่มในพื้นที่ของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน และจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคกลางและภาคตะวันออกต่อไป ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณที่ลาดเชิงเขา และใกล้ทางน้ำไหล รวมทั้งที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ ระมัดระวังอันตรายจากภาวะฝนที่ตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากจากปริมาณน้ำที่เพิ่มมากขึ้นในระยะนี้ ส่วนมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังแรงทำให้คลื่นลมในทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26 องศา สูงสุด 34 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 27 ก.ย. ร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ส่วนมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัด ปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย สำหรับคลื่นลมในทะเลอันดามัน และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง

ส่วนในช่วงวันที่ 28 ก.ย.-2 ต.ค. ร่องความกดอากาศจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ส่วนมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทยจะมีกำลังปานกลาง ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักเกิดขึ้นได้ในหลายพื้นที่

อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น” ชังมี “ ในมหาสมุทรแปซิฟิก คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นเกาะไต้หวันประมาณ วันที่ 29 ก.ย


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 28 ก.ย.-2 ต.ค. ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณพื้นที่ลาดเชิงเขา และพื้นที่ราบลุ่มบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนักซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือเนื่องจากคลื่นลมมีกำลังค่อนข้างแรง



* Forecast2.jpg (41.24 KB, 693x430 - ดู 743 ครั้ง.)

* Earthquake2.jpg (17.96 KB, 450x304 - ดู 739 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 27, 2008, 01:05:46 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


เผยทะเลตะวันออกเริ่มสมบูรณ์-พรานทะเลล่าปลาได้วันละ 3 หมื่นบาท
 


  ศูนย์ข่าวศรีราชา - หลังจากปลาวาฬโผล่หาดบางแสน ได้สร้างความอุดมสมบูรณ์เกิดขึ้นอย่างมาก ทำให้ฝูงปลาเล็ก ปลาใหญ่มหึมาว่ายวนเวียนรุมตอมปะการังเทียม ส่งผลพรานทะเลนักล่าซุ่มดำน้ำใช้ฉมวกเลือกยิงเลือกเฉพาะปลาใหญ่หลากหลายสายพันธุ์ที่มีราคาแพงสร้างรายได้อย่างต่ำวันละ 2 -3 หมื่นบาท เผยแนวทะเลตะวันออกอาหารสมบูรณ์ เตรียมกวดขันเรืออวนลาก อวนล้อมทำปะการังเทียมพัง
       
       จากกรณีที่มีชาวประมงพบปลาวาฬโผล่เล่นน้ำที่บริเวณชายหาดบางแสน ตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2551 ที่ผ่านมา ทำให้ทะเลหาดบางแสนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และสามารถพิสูจน์ได้ คือ มีปลาฝูงขนาดใหญ่ หลากหลายชนิดเข้ามาวนเวียน กินอาหารอยู่ที่บริเวณแหล่งปะการังเทียม ที่ทางเทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี ได้ทำเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้เรืออวนลาก และเรืออวนล้อมบุกรุกเข้ามาหาปลาแนวชายฝั่ง ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติเสียหาย
       
       ล่าสุด วันนี้ (25 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า นายเอกศักดิ์ เสริมศรี หรือ เก้า ชาวบางแสนนักล่าดำน้ำยิงปลาด้วยฉมวก พร้อมกับเพื่อนได้นำเรือขนาดเล็กออกไปดำน้ำ ใช้ปืนฉมวกยิงปลาตัวขนาดใหญ่จำนวนมาก อย่างต่ำ 200 กิโลกรัม และนำมาขึ้นที่บริเวณท่าเทียบเรือลานอเนกประสงค์แหลมแท่น พบ กะพงขาว ปลา่ ปลานกแก้ว ปลาไอ้จี้ ซึ่งล้วนแล้วเป็นปลาราคาแพงเกือบทั้งสิ้น มีประชาชนมาซื้อไปจำนวนมาก รวมทั้งประชาชนได้มาดูปลาดังกล่าวจำนวนมาเช่นกัน เพราะไม่เคยพบว่าจะได้ปลาขนาดใหญ่มาจำนวนมากขนาดนี้ และเป็นปลาเกรดดีสำหรับนักบริโภค
       
       นายเอกศักดิ์ เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้มีปลาวาฬเข้ามาที่ชายหาดบางแสน บริเวณแหล่งปะการังเทียม นักวิชาการบอกว่ามีแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ปลาวาฬจากต่างถิ่นได้เข้ามาหาอาหารกิน ระยะแรกกลัวปลาวาฬ เพราะมีขนาดใหญ่ แต่พอรู้ว่าไม่อันตรายต่อมนุษย์และสัตว์อื่นๆ จึงทำใจดีสู้เสือไปดำน้ำยิงปลาด้วยปืนฉมวก ที่แหล่งปะการังเทียม พอดำน้ำลงไปโดยไม่ใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือถังอากาศ ลึกประมาณ 5 เมตรจากผิวน้ำ
       
       ปรากฏว่า ต้องตกตะลึงเพราะพบแต่ฝูงปลา ฝูงใหญ่ดำทะมึนจนแทบมองไม่เห็นพื้นทราย สามารถใช้ฉมวกเลือกยิง เอาเฉพาะปลาตัวใหญ่ ปลามีราคาแพง เป็นที่นิยมของผู้บริโภคตามร้านอาหารต่างๆ เช่น ปลากะพง ปลา่ ปลานกแก้ว ฯลฯ
       
       “ในอดีตไม่เคยพบว่ามีปลาจำนวนมากอย่างนี้ ตั้งแต่มีปลาวาฬมาทำให้ปลาอื่นมีจำนวนมาก สังเกตจากที่มีตำรวจไปตกปลาได้มาจำนวนมาก จึงได้ซุ่มไปดำดู และยิงปลามาได้จำนวนมาก ประมาณวันละ 200 กิโลกรัม ทำรายได้วันละ 2-3 หมื่นบาท ไม่กล้ายิงมาเยอะกว่านี้ ปล่อยไว้ยิงวันหน้าบ้าง และเกรงว่า จะมีคนรู้มาก โดยเฉพาะเรืออวนลากที่มักบุกเข้าไปลาก จนกองปะการังเทียมพังล้มจมทรายไปแล้วหลายกอง เหลือกองปะการังเทียมเพียงไม่กี่กองในขณะนี้ ซึ่งในวันนี้ได้ปลากะพง ขายได้ กิโลละ 150 บาท
       
       ส่วนปลานกแก้วมีราคาสูงถึง 600 บาทต่อกิโลกรัม ปลา่ ก็เช่นกันมีราคาแพงกิโลละ 600 บาท ส่วนปลาอื่นๆ ที่ได้อีกจำนวนหนึ่ง ได้มีนักท่องเที่ยว แม่ค้าร้านอาหาร ที่รู้ต่างรีบมาซื้อกันเป็นจำนวนมาก ถ้าขายปลาได้หมดจะมีรายได้วันละ 3-4 หมื่นบาท”
       
       ด้าน นายฉัตรชัย ทิมกระจ่าง นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองศรีราชา เปิดเผยว่า หลังจากที่ทางชายหาดบางแสนได้มีปรากฏการณ์ ปลาวาฬ เข้าฝั่งมาหาอาหารกินนั้น ที่แรกก็ยังไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่เพราะว่ายังไม่เห็นภาพรักษ์จริง ของปลาที่เข้ามา แต่หลังจากที่ทางข่าวทางทีวีออกมาตนจึงเชื่อ ส่วนที่เข้ามานั้นตนว่าคงไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร ปรกติแล้วปลาย่อมหาแหล่งที่อยู่อาศัย ที่มีอาหารให้กิน แต่จะแปลกก็ตรงที่ว่าเป็นปลาวาฬขนาดใหญ่เท่านั้น
       
       โดยที่ผ่านมาชายหาดบางแสน ตลอดจนถึงศรีราชาและแหลมฉบังนั้น จะมีเพียงกลุ่มปลาโลมา ที่แหวกว่ายหาอาหารกินในช่วงฤดูการนี้ ในฐานะที่ตนเป็นประธานกลุ่ม “ICM” หรือ กลุ่มพัฒนาชายฝั่งแบบบูรณาการ มีสมาชิกในภาคตะวันออกเข้าร่วมถึง 24 กลุ่ม จะได้น้ำเรื่องของการเข้ามาหาอาหารกินของปลาวาฬ ทั้ง 4 ตัว นำเสนอกับผู้ที่สนับสนุนโครงการ ร่วมกับความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ทะเลที่ทางเจ้าหน้าที่ได้จัดทำเพาะเลี้ยง กุ้ง,หอย,ปูและปลา นั้นทางกลุ่มประมงชายฝั่งทะเลก็ทำได้ผลเกิน100% ในพื้นที่ ชลบุรี-ศรีราชา ด้วย
       
       นายฉัตรชัย กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนเรื่องที่มีปลาใหญ่ชนิดต่างๆ ตามปลาวาฬเข้า มานั้น ตนก็บอกว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดปรากฏการณ์ในทางที่ไม่ดีอย่างไร ถ้าจะเปรียบเทียบกับวงจรชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์ทั่วไป ปลาเล็กนั้นย่อมเป็นอาหารของปลาใหญ่อยู่แล้ว แต่คิดกับตรงข้าม การมาของปลาชนิดต่างๆ นั้น แสดงให้เห็นว่า ความอุดมสมบูรณ์ของน้ำทะเลในภาคตะวันออกนั้นทำให้สัตว์น้ำเข้ามาหากินชายฝั่งมากขึ้น
       
       โดยเฉพาะปลาวาฬนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าระบบนิเวศน์ทางน้ำไม่ดีปลาก็คงไม่เข้ามาเหมือนกัน ส่วนในอนาคตนั้นการท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรี อาจจะสดใสขึ้น ถ้าปลาวาฬจะกลับมาให้เราเห็นอีกครั้ง ซึ่งในขณะนี้กลุ่มปลาวาฬได้ยังคงหากินอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดชลบุรีอย่างแน่นอน เพราะได้รับรายงานมาว่าปลาวาฬชุดนี้ยังวนเวียนอยู่แถบหน้าเกาะสีชังและศรีราชา ในช่วงนี้
       
       ด้าน นายสวัสดิ์ หอมปลื้ม นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุข เผยว่าพอได้ทราบข่าวจากการนำเสนอของสื่อมวลชนว่ามีปลาวาฬเข้ามาในพื้นที่ รู้สึกดีใจอย่างมากที่มีจุดขายการท่องเที่ยวใหม่ อีกทั้งนำข้อมูลมาเป็นแนวทางและความเป็นไปได้ในการพัฒนาเพิ่มเติมด้านการส่งเสริมท่องเที่ยว หากกลุ่มปลาวาฬชุดนี้จะกลับมาอีกครั้ง ส่วนทางด้านการส่งเสริมอนุรักษ์ แหล่งพันธุ์สัตว์น้ำ ที่ทางเทศบาลเคยนำเอาวัสดุสิ่งเหลือใช้มาทิ้งหรือที่เรียกว่าปะการังเทียมที่บริเวณที่กลุ่มปลาวาฬมานั้น ถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ที่ได้มีสัตว์น้ำเข้ามาอาศัยเป็นแหล่งเพราะพันธุ์ในช่วงของเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้
       
       ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ ความโชคดีของชาวจังหวัดชลบุรี ที่ปลาวาฬกลุ่มนี้เข้ามาให้ได้พบเห็นแบบใกล้ชิดซึ่งในประวัตินั้น จังหวัดชลบุรีไม่เคยพบปลาวาฬตัวเป็นๆ มาแหวกว่ายหาอาหารกินให้เห็นเลยสักครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม เราจะต้องสอดส่องดูแลเรืออวนลาก เรืออวนล้อมที่มักเข้าไปลากในบริเวณแหล่งปะการังเทียม ทราบว่า ตอนนี้อาจจะมีความเสียหายไปบ้างแล้วจำนวนมาก ทางเทศบาลต้องส่งเจ้าหน้าที่ดำสำรวจให้แน่ชัดอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นปะการังเทียมจะจมลงพื้นทรายหมด


****************************************************************************************************************************


ประมงชายฝั่งพอใจมาตรฐานป้องกันผลกระทบโครงการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมในทะเล 
 
  ศูนย์ข่าวศรีราชา - ผู้ประกอบการประมงชายฝั่งพอใจกับมาตรฐานการดูแลและป้องกันสิ่งแวดล้อม จากผลกระทบโครงการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมในทะเล แปลงสำรวจ G2/48 แหล่งกฤษณา
       
       วันนี้ (25 ก.ย.) ที่ห้องประชุมใหญ่ เทศบาลเมืองศรีราชา นายอภินันท์ บุญบัณฑิต ตัวแทนบริษัท เพิร์ล ออย ออฟชอร์ จำกัด นายสมศักดิ์ ธีระชัยชยุติ ตัวแทนบริษัท IEM (ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม) นายทินกร สุนีย์ ตัวแทนจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ นายฉัตรชัย ทิมกระจ่าง นายกเทศมนตรีเมืองศรีราชา
       
       พร้อมด้วยตัวแทนจากผู้ประกอบการประมงชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ร่วมประชุมปรึกษาปัญหาผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมจากโครงการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียมในทะเล แปลงสำรวจ G2/48 แหล่งกฤษณา ซึ่งอยู่ห่างจากอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เป็นระยะทาง 70 กิโลเมตร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 135 กิโลเมตร และเกาะช้าง จังหวัดตราด 145 กิโลเมตร
       
       นายอภินันท์ บุญบัณฑิต ตัวแทนบริษัท เพิร์ล ออย ออฟชอร์ จำกัด ได้กล่าวถึงมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการว่า “ทางโครงการได้มีมาตรฐานการแก้ไขผลกระทบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับโครงการ ว่า มีประสิทธิภาพดีพอที่จะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมโดยรอบบริเวณ แท่นขุดเจาะชื่อ ENSCO 51 เป็นแท่นขุดเจาะแบบยกตัวได้ (Jack-up Drilling Rig) ระหว่างเคลื่อนย้าย ขาแท่นจะหดขึ้นมาอยู่ใต้ลำตัวแท่น และใช้เรือลากจูงไปยังตำแหน่งที่ขุดเจาะ เมื่อถึงตำแหน่งขุดเจาะ จะเลื่อนขาแท่นลงมาที่พื้นทะเล และยกลำตัวแท่นขึ้นเหนือผิวน้ำประมาณ 15-20 เมตร ภายในแท่นขุดเจาะจะมีการแยกของเสีย การกักเก็บ การแยกขยะออกเป็นส่วนๆ อย่างมีมาตรฐาน
       
       โดยไม่มีการนำของเสียปล่อยทิ้งลงในทะเล ระหว่างการขุดเจาะจะคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมโดยรอบ จะมีการแยกเศษหิน เศษโคลน ผ่านระบบแยกของแข็ง เพื่อแยกโคลนกลับไปใช้ใหม่ส่วนเศษหินจะผ่านการบำบัดก่อนจะทิ้งลงทะเล โดยจะไม่นำขึ้นมาบนแท่นขุดเจาะ ซึ่งการเจาะนั้นไม่ว่าจะพบหรือไม่พบน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ ก็จะทำการปิดปากหลุม ด้วยการใช้ซีเมนต์อุดในท่อกรุ ซึ่งจะไม่เหลือโครงสร้างใดๆ หลังจากการรื้อถอน แล้วจึงย้ายฐานต่อไป
       
       “โดยบริเวณรอบๆ แท่นขุดเจาะ ในระยะเวลาปฏิบัติงานในพื้นที่ 15-20 วัน จะมีแนวกั้นเป็นเขตปลอดภัยโดยเป็นแท่นลอย มีสัญญาณบอกเรือประมงตลอดทั้งกลางวัน-กลางคืน พร้อมทั้งหอ เรดาร์ บนแท่นขุดเจาะ บอกเรือประมงที่อาจเข้ามาในเขตขุดเจาะ ในระยะทาง 500-600 เมตรจากแท่นเจาะด้วยเพื่อความปลอดภัยของเรือประมง”
       
       ตัวแทนประชาชนและผู้ประกอบการประมงชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก เผยว่า ที่ผ่านมา รู้สึกวิตกกังวลกับเรื่องการกำจัดขยะที่อาจจะมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมตามแนวชายฝั่ง รวมทั้งคราบน้ำมันที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการขุดเจาะ และผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อได้ฟังการชี้แจงของกลุ่มผู้รับผิดชอบในโครงการ ต่างให้การยอมรับถึงระบบดูแลรักษาสภาพแวดล้อม และมีความมั่นใจว่าโครงการนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและการประกอบอาชีพการทำประมงตามแนวชายฝั่งอย่างแน่นอน
       
       ทางด้าน นายฉัตรชัย ทิมกระจ่าง นายกเทศมนตรีเมืองศรีราชา ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ขอให้ผู้ดูแลโครงการขุดเจาะสำรวจฯ หรือประชาชน ที่ได้รับผลกระทบ หรือมีปัญหาใดๆ สามารถติดต่อประสานงานมาได้ที่เทศบาลเมืองศรีราชาได้ ซึ่งทางเทศบาลจะเป็นตัวประสานงานและดำเนินการช่วยเหลือในด้านต่างๆ ตลอดการดำเนินโครงการนี้”

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 27, 2008, 01:12:32 AM »

คม ชัด ลึก


ดินเทือกเขาภูแลนคาแยก



นายอนุชิต ขันธมูล ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ชัยภูมิ ส่งเจ้าหน้าที่ร่วมตรวจสอบรอยแยกของแผ่นดินบนเทือกเขาภูแลนคา ใกล้เขื่อนลำปะทาว ซึ่งมีขนาดใหญ่หลายจุดและมีน้ำทะลักออกมาตามรอยแยก จึงประกาศเตือนภัยประชาชนหน้าเขื่อนตอนล่างไม่ควรออกมาหาปลาและเตรียมอพยพชาวบ้านใกล้เคียงไว้ก่อน วันที่ 26 ก.ย.


************************************************************************************************************************


สตูลเร่งจัดระเบียบเรือทัวร์-ตั้งชมรมเรือทัวร์รับฤดูท่องเที่ยวใหม่
 
รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เร่งจัดระเบียบเรือทัวร์ ต้อนรับฤดูกาลท่องเที่ยวใหม่เดือนตุลาคมนี้ พร้อมให้ผู้ประกอบการจัดตั้งชมรมผู้ประกอบการเรือทัวร์ ป้องกันการเอาเปรียบนักท่องเที่ยว

นายช่วงชัย เปาอินทร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล กล่าวว่า จากสภาพปัญหาของผู้ประกอบการเรือทัวร์ที่มีต่อนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเรื่องของค่าตั๋วเรือโดยสารจากท่าเรือปากบารา อ.ละงู ไปยังเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล ที่ผู้ประกอบการจำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยวในราคาที่ไม่เท่ากันนั้น เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวหลายรายร้องเรียนให้ทางจังหวัดดำเนินการแก้ไข บางรายต้องนำตั๋วโดยสารไปคืนกับผู้ประกอบการที่รับซื้อ เพราะต้องการซื้อตั๋วเรือจากผู้ประกอบการที่จำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่า

 ด้วยปัญหาดังกล่าว จึงได้เชิญผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยวในพื้นที่ทั้งเรือสปีดโบ๊ดและเรือเฟอรี่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาประชุมร่วมกัน เพื่อหารือถึงแนวทางการจัดระเบียบการจำหน่ายตั๋วเรือโดยสาร พร้อมกำหนดให้ราคาจำหน่ายตั๋วเรือโดยสารเป็นมาตรฐานเดียวกัน คือ จากท่าเรือปากบารา ไปยังเกาะหลีเป๊ะ ไป-กลับ ราคา 1,200 บาท ไม่มีการตัดราคาหรือแย่งลูกค้ากัน

 โดยทางจังหวัดจะสนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มที่เข้มแข็งและจัดตั้งเป็นชมรมผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยวจังหวัดสตูลขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้านการท่องเที่ยวของจังหวัด รวมทั้งเพื่อให้สามารถบริการนักท่องเที่ยวได้ทันในช่วงเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวทางทะเลของจังหวัดสตูลในปี 2552 ที่จะเริ่มเดือนตุลาคมนี้

 รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล กล่าวอีกว่า สำหรับฤดูกาลท่องเที่ยวทางทะเลของจังหวัดสตูลที่จะเปิดในปลายปีนี้มีกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น งานลอยเรือเกาะหลีเป๊ะ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 13 -15 ตุลาคม กิจกรรมรักษ์เลรักษ์ป่า เปิดฟ้าเมืองสตูล ระหว่างวันที่ 7-9 พฤศจิกายน และงานวิ่งย้อนรอยประวัติศาสตร์ตะรุเตา ระหว่างวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้

 อย่างไรก็ตามในปี 2551 ที่ผ่านมาจังหวัดมีเงินสะพัดจากการท่องเที่ยวประมาณ 1,800 ล้านบาท โดยเฉพาะในปี 2552 ทางจังหวัดได้ทุ่มงบประมาณเพื่อส่งเสริมกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวไม่ต่ำ 10 กว่าล้านบาท ดังนั้นจึงคาดว่าในปี 2552 จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามากไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน มีเงินสะพัดไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 27, 2008, 01:16:07 AM »

แนวหน้า


สนง.ขนส่งทางน้ำที่3 เตรียมตั้งกบร.จังหวัด แก้บุกรุกหาดแม่รำพึง   
 
 ประจวบคีรีขันธ์: นายสุริยะ โกพัฒน์ตา หัวหน้าสำนักงานขนส่งทางน้ำที่ 3 สาขาประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ได้สำรวจพบมีผู้บุกรุกที่สาธารณะชายทะเลใกล้บริเวณป่าสน หมู่ 2 บ่อทองหลาง ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน ซึ่งเป็นทีดินของรัฐอย่างผิดกฎหมาย จำนวน 35 ครัวเรือน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงได้บุกรุกเข้าสร้างเพิงพัก จึงได้มีหนังสือแจ้งให้ชาวบ้านผู้บุกรุกรื้อถอนเพิงพักออ ต่อมาได้รับสำเนาจากอธิบดีกรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เป็นหนังสือจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ให้ชะลอการดำเนินคดีกับชาวบ้านผู้บุกรุกและให้ชี้แจง โดยโดยให้ตรวจสอบรายและให้หาที่อยู่ใหม่ให้กับชาวบ้านซึ่งตนได้ทำหนังสือถึงนายเกรียงไกร ใจดี นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)แม่รำพึง และนายธวัชชัย ดิษยนันทน์ นายอำเภอบางสะพาน ให้ทำบัญชีตรวจสอบรายชื่อผู้บุกรุกทั้งหมด จากนั้นจะนำรายชื่อเสนอจังหวัด เพื่อให้จังหวัดจัดตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ(กบร.) จังหวัด

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 27, 2008, 01:18:55 AM »

กรุงเทพธุรกิจ


สงขลา อควอเรี่ยม



ชาวสงขลา และใกล้เคียงตื่นตาตื่นใจกับการชมปลาทะเลและสัตว์น้ำชนิดต่างๆ ในสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำสงขลา (Songkhla Aquarium) ที่แหลมสนอ่อน ซึ่งเทศบาลนครสงขลา จัดสร้างเป็นแหล่งเรียนรู้ระบบนิเวศน์ทางน้ำ และส่งเสริมการท่องเที่ยว จะเปิดเป็นทางการ 27 กันยายน

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: กันยายน 27, 2008, 01:23:53 AM »

สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น


ตร.น้ำรวบเรือหนีภาษีกว่า 200 ล้านบาท
 




ตำรวจน้ำสมุทปราการ นำกำลังรวบผู้ต้องหาขนเรือหนีภาษี ก่อนยึดของกลางได้มูลค่ากว่า 230 ล้านบาท บริเวณปากน้ำปราณบุรี

พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง นำสื่อมวลชนขึ้นเรือไปที่ปากอ่าวแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อแถลงข่าวผลการจับกุมแก๊งนำเรือสินค้าหนีภาษีเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย โดยตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาชาวไทยได้จำนวน 5 คน พร้อมกับเรือของกลางเป็นเรือลากจูงสัญชาติสิงคโปร์จำนวน 1 ลำ และเรือบาสสัญชาติสิงคโปร์ ระวางขับน้ำ 2,000 ตัน อีกจำนวน 1 ลำ รวมมูลค่าจำนวน 230 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมและตรวจยึดเรือได้ที่บริเวณปากน้ำปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ห่างจากชายฝั่งทะเลประมาณ 7 ไมล์ทะเล ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพว่า มีนายทุนชาวไทยและชาวพม่าเป็นผู้สั่งการให้ผู้ต้องหาทั้งหมดนำเรือไปให้กับผู้ซื้อที่เกาะช้าง จังหวัดตราด ตำรวจจึงแจ้งข้อหาร่วมกันซื้อหรือรับไว้เรืออันรู้ว่านำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยเลี่ยงภาษีศุลกากร

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #6 เมื่อ: กันยายน 27, 2008, 01:59:24 AM »


“ในอดีตไม่เคยพบว่ามีปลาจำนวนมากอย่างนี้ ตั้งแต่มีปลาวาฬมาทำให้ปลาอื่นมีจำนวนมาก สังเกตจากที่มีตำรวจไปตกปลาได้มาจำนวนมาก จึงได้ซุ่มไปดำดู และยิงปลามาได้จำนวนมาก ประมาณวันละ 200 กิโลกรัม ทำรายได้วันละ 2-3 หมื่นบาท ไม่กล้ายิงมาเยอะกว่านี้ ปล่อยไว้ยิงวันหน้าบ้าง และเกรงว่า จะมีคนรู้มาก โดยเฉพาะเรืออวนลากที่มักบุกเข้าไปลาก จนกองปะการังเทียมพังล้มจมทรายไปแล้วหลายกอง เหลือกองปะการังเทียมเพียงไม่กี่กองในขณะนี้"


เวรกรรม.....วันสองวันนี้ ปะการังเทียมกองที่เหลือ ก็คงจะถูกเรืออวนเข้ามาถล่มจนพังราบ.....

หุๆ....หรือถ้ากองปะการังเทียมไม่พังเพราะอวนลาก  เราก็จะเห็นกองทัพนักล่าปลา ถือฉมวกกระโดดลงน้ำไปยิงปลากันสนุกสนานแน่นอน ใครอยากจะหารายได้เสริมบ้างไหมคะ.... 

สังเกตว่าก้อนปะการังเทียมที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ รูปร่างบอบบางเหลือเกิน  จะทำรุ่นต่อไป ก็ขอก้อนใหญ่ๆแข็งแรงหน่อย ชนิดที่อวนมาลากก็ไม่สะดุ้งสะเทือนจะดีกว่านะคะ  มิเช่นนั้นทำไปก็จะสูญเปล่าในเวลาอันสั้น อย่างที่เห็นๆกันอยู่

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 27, 2008, 02:04:43 AM โดย สายชล » บันทึกการเข้า

Saaychol
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.026 วินาที กับ 19 คำสั่ง