กระดานข่าว Save Our Sea.net
มิถุนายน 14, 2024, 08:12:18 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2551  (อ่าน 2194 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: กันยายน 28, 2008, 11:46:43 PM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องความกดอากาศต่ำกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่พายุดีเปรสชันในทะเลจีนใต้ตอนบน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักหลายพื้นที่โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้

ในช่วงวันที่ 29 ก.ย.- 1 ต.ค. 2551 ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย บริเวณที่ลาดเชิงเขาและใกล้ทางน้ำไหลผ่าน บริเวณจังหวัดน่าน พิจิตร อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา สระบุรี ลพบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี ตราด ระนองและพังงา ระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนักที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากที่อาจเกิดขึ้นได้อีกในระยะ 2-3 วันนี้

สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้คลื่นลมในทะเลสูงมากกว่า 2 เมตรโดยเฉพาะในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ขอให้ชาวเรือระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กที่เดินเรือในอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 29 ก.ย. – 1 ต.ค.นี้ไว้ด้วย



กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 34 องศา ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 28-30 ก.ย. ร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงในทะเลจีนใต้ตอนกลาง ส่วนมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย และมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ สำหรับคลื่นลมในทะเลอันดามัน และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง

ส่วนในช่วงวันที่ 1- 4 ต.ค. ร่องความกดอากาศจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ส่วนมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทยยังคงมีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักเกิดขึ้นได้ในหลายพื้นที่

 อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น” ชังมี “ ในมหาสมุทรแปซิฟิก คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นเกาะไต้หวันประมาณ วันที่ 29 ก.ย. ต่อจากนั้นจะเปลี่ยนทิศทางเคลื่อนไปประเทศญี่ปุ่นในระยะต่อไป


ข้อควรระวัง

 ในช่วงวันที่ 28 ก.ย.-4 ต.ค. ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณพื้นที่ลาดเชิงเขา และพื้นที่ราบลุ่มบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนักซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือเนื่องจากคลื่นลมมีกำลังค่อนข้างแรง



* Forecast2.jpg (39.72 KB, 693x430 - ดู 263 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: กันยายน 28, 2008, 11:53:36 PM »

ผู้จัดการออนไลน์


ประมงสงขลาปักหลักชุมนุมปิดท่าเรือน้ำลึก เป็นวันที่ 2

นายเจริญ ทองมา ประธานกลุ่มประมงพื้นบ้าน 3 อำเภอ (สทิงพระ ระโนด และสิงหนคร) จ.สงขลา เปิดเผยว่า กลุ่มชาวประมงอวนลากและชาวประมงพื้นบ้านจำเป็นต้องชุมนุมปิดร่องน้ำบริเวณท่าเรือน้ำลึกในพื้นที่ อ.สิงหนคร ต่อเป็นวันที่ 2 (28 ก.ย.) เพื่อเรียกร้องค่าเสียโอกาสในทำประมงจากบริษัทที่ได้รับสัมปทานการขุดเจาะปิโตรเลียมในอ่าวไทย เพราะบริษัทฯ ไม่ทำตามข้อตกลงที่รับปากว่า หากลากแท่นขุดเจาะมายังน่านน้ำในพื้นที่จะต้องแจ้งให้ชาวประมงทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 15 วัน แต่ปรากฏว่า ลากแท่นขุดเจาะมาอยู่ในน่านน้ำแล้วห่างจากฝั่ง อ.สทิงพระ ประมาณ 30 กิโลเมตร โดยที่ชาวประมงไม่ทราบเรื่อง

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #2 เมื่อ: กันยายน 29, 2008, 03:09:49 AM »

เดลินิวส์

"โล่บังแสงอาทิตย์' อีกความหวังของมนุษยชาติ"



ขี่จักรยานแทนการขับรถ หรือเดินขึ้นบันไดแทนที่จะขึ้นลิฟต์ ปิดน้ำปิดไฟเมื่อไม่จำเป็นต้องใช้เพื่อลดการใช้พลังงาน เป็นวิธีการง่าย ๆ ที่ได้รับการรณรงค์ผ่านสื่อนานาชนิดเพื่อนำไปสู่การร่วมลดโลกร้อน แม้วิธีการทั้งหลายจะมีส่วนช่วยให้การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิช้าลง แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งภัยธรรมชาติที่โหมกระหน่ำได้
 
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นักดาราศาสตร์ชื่อดังของโลก โรเจอร์ แอง เจิล จากแอริโซนา คิดที่จะนำเลนส์ขึ้นไปติดตั้งเป็นโล่บังแสงอาทิตย์ในจุดที่อยู่ห่างจากโลกไป 1 ล้านไมล์ ณ บริเวณที่แรงดึงดูดระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ไม่มีผล ซึ่งทำให้เลนส์อยู่นิ่งประจำตำแหน่งและสามารถหักเหแสงราว 2 เปอร์เซ็นต์ที่เขาเชื่อว่าจะทำให้อุณหภูมิโลกลดลงได้
 
แองเจิลได้สร้างกระจกหักแสงขึ้นมาอันหนึ่ง มันเป็นกระจกหนาที่มีรู  เล็ก ๆ กระจายอยู่ กระจกที่ว่านี้ก็จะทำหน้าที่เบนแสงในทำนองเดียวกับที่เลนส์ สามารถจะเบี่ยงรังสีของ ดวงอาทิตย์ได้ในอวกาศ แต่การส่งเลนส์กระจกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 23 นิ้ว ที่ทั้งหนาและหนัก จำนวน16 ล้านล้านชิ้นสู่อวกาศ ต้องมีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 1.4 ล้านล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจโลกต้องพังทลายไปหลายทศวรรษ
 
เลนส์ที่มีขอบหนา 2 นิ้ว หนักไม่เกินหนึ่งออนซ์และหนาหนึ่งไมครอน หรือเศษหนึ่งส่วนห้าสิบของความหนาของเส้นผมมนุษย์ และมีราคาไม่แพง จึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัตินี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้อย่างใจนึก เพราะลำพังแค่เลนส์แบบที่ว่าก็ใช่ว่าจะผลิตขึ้นได้ง่าย ๆ แล้วยังมีปัญหาในเรื่องการขนส่งจากโลกไปสู่อวกาศที่หลีกเลี่ยงการกระแทกไม่ได้เลยเข้ามาอีก
 
ดร.เกลฟ โดวิน วิศวกรไมโครชิพชั้นนำของโลก ได้รับมอบหมายให้ เป็นผู้ผลิตชิ้นเลนส์โดยใช้การเผาแผ่นซิลิคอนที่อุณหภูมิ 900 องศาฟาเรนไฮต์ในเตาเหล็กไร้สนิมที่ใส่ก๊าซแอมโมเนีย ความร้อนทำให้แอมโมเนียทำปฏิกิริยากับซิลิคอน เกิดเป็นฟิล์มซิลิคอนไนไตรด์บาง ๆ เคลือบแผ่นซิลิคอนเอาไว้
 
ก่อนจะมีการเพิ่มชั้นวัสดุไวต่อแสงเข้าไปทั้งสองด้านของแผ่นซิลิคอน แล้วฉายแสงเป็นแบบโครงสร้างของรูไปบนแผ่นซิลิคอน ซึ่งทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีขึ้นในวัสดุไวแสง สายไอออนจะถูกเร่งความเร็วบนแผ่นซิลิคอนเข้าไปกัดพื้นผิวรูขึ้นตามแบบบนแผ่นซิลิคอน โดยแต่ละแผ่นจะใส่เลนส์ได้ 12 เลนส์ และจะทำการหยดน้ำยาเคมีชนิดหนึ่งลงไปละลายวัสดุต้านแสงเป็นขั้นสุดท้าย
 
ขั้นตอนต่อไป เบซิล ซิงเกอร์ นักควอนตัมฟิสิกส์ เควิน โอเลียรี่ ผู้บริหารอาจารย์ธุรกิจระดับโลก เจนนิเฟอร์ แลงเกล นักออกแบบก่อสร้างเชิงนิเวศชั้นนำ ทีมทดลองพิเศษของดิสคอฟเวอรี่จะมารับหน้าที่ต่อ พวกเขาพบว่า เลนส์แต่ละอันมีขนาดบางมาก เพียงแค่หยิบออกจากน้ำยาแช่ก็อาจจะทำให้แตกได้แล้ว สุดท้ายเลนส์ซิลิคอนไนไตรด์ที่ผลิตได้ 10 อันก็สามารถรอดพ้นจากการแตกมาได้ 6 อัน
 
ปืนสปริงที่สามารถยิงจรวดนำวิถีได้ด้วยความ เร็วสูงเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ ซึ่งเป็นความก้าวหน้าระดับปฏิวัติวงการในการเดินทางในอวกาศที่จะเกิดขึ้นในราว 30 ปีข้างหน้าถูกเลือกมาใช้ โดยจะมีการสร้างปืนสปริงเส้นผ่าศูนย์กลางปากกระบอก 3 ฟุต กระบอกปืนยาวกว่า 1 ไมล์ 20 กระบอกรอบโลก ฝังเอาไว้ตามภูเขา เพื่อยิงจรวดนำวิถีที่มีเลนส์บังแสงอาทิตย์อยู่ข้างในจะถูกยิงขึ้นไปโดยใช้พลังแม่เหล็กไฟฟ้า
 
จรวดแต่ละอันจะนำเลนส์ขึ้นไปด้วย 800,000 อัน แต่เพื่อที่จะให้หลุดจากแรงดึงดูดของโลกไปได้ ปืนสปริงจะต้องเร่ง ความเร็วของจรวดให้ถึงระดับมากกว่า 25,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ภายในความยาวปากกระบอกปืน ด้วยอัตราเร่งระดับ 1000 จี เท่ากับการเร่งจากศูนย์ถึงเกือบ 22,000 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 1 วินาที แต่การเร่งความเร็วในระดับนี้จะสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อเลนส์ที่เปราะบาง
 
ทอดด์ โทเดสชินี่ นักออกแบบอาวุธ ที่มารับหน้าที่ประดิษฐ์การทดลอง สร้างช่องเก็บเลนส์ที่เป็นสุญญากาศตาม วิธีแก้ปัญหาที่แองเจิลคิดขึ้น และเมื่ออากาศถูกดูดออกจนหมด คลื่นสั่นสะเทือนก็ไม่เกิดขึ้น แต่ทว่าการทดลองครั้งนี้กลับผิดพลาดตรงร่มที่จะนำจรวดกลับมามีคุณภาพ ต่ำ จึงไม่สามารถระบุได้ว่าเลนส์แตกในช่วงใด
 
พวกเขาเชื่อว่า เลนส์น่าจะปลอดภัย ถ้ากรอบของมันแข็งแรงกว่านี้  แองเจิล บอกว่า คาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศจะกักเก็บความร้อนและผลกระทบของมันอาจจะคงอยู่เป็นเวลาหลายทศวรรษ ปืนสปริงยักษ์อาจจะส่งโล่บังแสงอาทิตย์ขึ้นไปทำให้อุณหภูมิของโลกกลับสู่ระดับปกติได้ แต่สิ่งสำคัญคือระยะเวลา
 
เพื่อแก้ปัญหาเรื่องความปลอดภัยของเลนส์ นอกจากจะมีการติดตั้งกล้องเพื่อ  มอเตอร์เลนส์ระหว่างการยิงจรวดขึ้นไปแล้ว ความก้าวหน้าของการทดลองอีกก้าวใหญ่ก็คือ การออกแบบกระเป๋าเก็บเลนส์กันสะเทือน โดยมี เดเมียน ฮอลล์ กับโคลิน โรว์ ผู้ผลิตจรวดในอังกฤษ เข้ามาร่วมอีกทีม
 
จรวดน้ำหนัก 1,100 ปอนด์ และสูงขนาดจรวดสกั๊ดถูกสร้างขึ้น โดยมีมอเตอร์ 21 ตัวทำหน้าที่เผาไหม้เชื้อเพลิงของจรวด 300 ปอนด์ภายใน 15 วินาที ให้แรงดัน 10 ตันพอที่จะเร่งความเร็วของรถยนต์จาก 0 ถึง 100 ไมล์ต่อชั่วโมงภายในเวลา 2.1 วินาที
 
หากว่านี่เป็นการปล่อยโล่บังแสงอาทิตย์จริง ๆ จรวดในอนาคตจะต้องใหญ่และพร้อมที่จะส่งเลนส์ 16 ล้านล้านอันขึ้นสู่อวกาศจะต้องยิงจรวดหนึ่งครั้งทุก 20 นาทีในระยะเวลาหกปีครึ่ง
 
ติดตามความเป็นไปได้ของการทำโล่บังแสงอาทิตย์ ที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดพ้นจากภัยพิบัติที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ในรายการ Discovery Project Earth ทางช่อง Planet Green ดิสคอฟเวอรี่ แชนแนล วันพุธที่ 1 ตุลาคม 2551 เวลา 21.00 น. ทรูวิชั่นส์ 50.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 29, 2008, 03:13:07 AM โดย แมลงปอ » บันทึกการเข้า
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #3 เมื่อ: กันยายน 29, 2008, 03:12:05 AM »

ระทึกอ่างนํ้าแตกไหลทะลักท่วม



ช่วยเหลือพื้นที่ถูกนํ้าท่วมประกาศ"ยกเว้น-ลดภาษี"

อ่างเก็บน้ำ “บ.อิสวอเตอร์” แตกช่วงเช้ามืด น้ำไหลทะลัก เข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน เสียหายนับ 30 หลังคาเรือน โชคดีไม่มีผู้เสียชีวิต สธ.สรุปผลรอบ 17 วัน ผู้ประสบภัยน้ำท่วมป่วย กว่า 1.8 แสนราย เซ่นสังเวยชีวิต 18 ราย ชาวนาอ่วมเกี่ยวข้าวหนีน้ำ กรมปกครอง ประกาศยกเว้น-ลดภาษีท้องที่พื้นที่น้ำท่วมปี 51
 
เมื่อวันที่ 28 ก.ย. นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมว่า แม้ว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะเริ่มคลี่คลาย จากพื้นที่ประสบภัยทั้งหมด 24 จังหวัดเหลือ 5 จังหวัดในขณะนี้ กระทรวงฯได้ให้การดูแลประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการตรวจรักษาผู้เจ็บป่วย การควบคุมป้องกันโรคที่มากับน้ำท่วมและโรคหลังน้ำลด กระทรวงฯได้จัดหน่วยแพทย์พระราชทานเคลื่อนที่ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ออกให้บริการทุกวัน วันละกว่า 70 ทีม มีผู้รับบริการวันละกว่า 2,200 ราย ซึ่งเป็นการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มีอาการรุนแรงถึงขั้นต้องรักษาในโรงพยาบาล และยังไม่มีรายงานโรคระบาดจากน้ำท่วม

นายแพทย์สุพรรณ กล่าวต่อว่า ผล สรุปการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมของกระทรวงฯ ตั้งแต่วันที่ 11-27 ก.ย. 51 หน่วยแพทย์พระราชทานเคลื่อนที่ฯ ออกให้บริการทั้งหมด 963 หน่วย มีผู้รับบริการรวม 189,513 ราย โรคที่พบมากที่สุดในขณะนี้อันดับ 1 ได้แก่ โรคน้ำกัดเท้าและผื่นคัน จำนวน 41,181 ราย รองลงมาคือไข้หวัด 24,561 ราย ปวดเมื่อยจากการขนของหนีน้ำ 10,191 ราย และจะให้บริการจนกว่าสถานการณ์จะกลับคืนสู่ปกติ โดยมีรายงานผู้เสียชีวิต 18 ราย ใน 10 จังหวัด ดังนี้ หนองบัวลำภู 4 ราย พิจิตร 3 ราย ปราจีนบุรี ลพบุรี สระบุรี จังหวัดละ 2 ราย เพชรบูรณ์ นครราช สีมา บุรีรัมย์ แม่ฮ่องสอน และพิษณุโลกจังหวัดละ 1 ราย

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วม ล่าสุด เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ที่ จ.ระยอง เมื่อนายสุเทพ รื่นถวิล ป้องกันภัยจังหวัดระยอง ได้รับแจ้งมีเหตุน้ำในอ่างเก็บน้ำของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสวอร์เตอร์ ตั้งอยู่หมู่ 2 ต.นิคมพัฒนา อ.นิคมพัฒนา ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำสำรองมาบข่าเกิดแตกน้ำไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรส่งผลให้ได้รับความเสียหายกว่า 30 หลังคาเรือน จึงได้รุดไปตรวจพร้อมนายเฉลิมพล ชูเพชร ผจก.ศูนย์ปฏิบัติการระยอง บริษัทดังกล่าว เมื่อเข้าตรวจสอบในหมู่บ้านมีแต่ทะเลโคลนเต็มหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างช่วยกันเร่งเก็บของทำความสะอาดบ้านพักข้าวของเครื่องใช้

ส่วนอู่ซ่อมรถน้ำ ได้ถูกน้ำพัดพารถ ที่จอดรอซ่อมไหลไปตามน้ำห่างจากหมู่บ้านกว่า 1 กม. ทาง อบต.หนองละลอก ได้นำรถน้ำมาระดมฉีดน้ำทำความสะอาด ค่าเสียหายกว่า 20 ล้านบาท ด้านนายเสนอ พลาสินธุ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 เปิดเผยว่า ขณะนี้ให้ชาวบ้านสำรวจความเสียหายแล้วไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯเพื่อให้ทางบริษัทมาถ่ายรูปทำบันทึกหลักฐาน โชคดีไม่มีใครเสียชีวิต ส่วนมากมีแต่ข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน รถยนต์ รถจยย.ที่จอดอยู่ได้รับความเสียหาย และจะเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องของบริษัทฯมาเพื่อหามาตรการป้องกัน

ด้านนายเฉลิมพล เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ทางเจ้าหน้าที่บริษัทฯ ได้ทำการล้างขี้เลนท้ายอ่างเก็บน้ำ และได้มีการระบายน้ำเข้าอ่าง เพื่อเก็บสำรองไว้ใช้ และอ่างน้ำนั้นบรรจุน้ำได้ 62,000 ลบ.ม. และน้ำที่ไหลเข้าสู่หมู่บ้านไปประมาณ 20,000-30,000 ลบ.ม. ส่วนสาเหตุของอ่างเก็บน้ำแตก เนื่องมาจากการฉีดน้ำล้างก้นอ่าง แล้วไปโดนผ้าใบพีซีที่ป้องกันการรั่วเสื่อมที่รองก้นอ่าง ทำให้มีรอยปริ และเกิดรั่วส่งผลให้อ่างแตกน้ำไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรทันที ขณะนี้ทางบริษัทฯ ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ออก สำรวจความเสียหายของประชาชน พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกกรณี ด้านนายสุเทพ เปิดเผยว่าเบื้องต้นได้ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายแล้ว พร้อมรายงานให้ ผวจ.ระยอง ทราบแล้ว พร้อมกับจัดรถบริการน้ำจืดมาบริการประชาชนด้วย

นายวิชัย ศรีขวัญ อธิบดีกรมการปกครอง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัด ทำให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของราษฎร ตลอดจนพื้นที่เพาะปลูกและการเกษตรเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย กรมการปกครองในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบในการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 จึงพิจารณาให้ยกเว้นหรือลดภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี 51 ซึ่งกำหนดชำระภายในเดือนเมษายน 52 ในพื้นที่เพาะปลูกที่ประสบอุทกภัย ส่วนหลักเกณฑ์ในการยกเว้นหรือลดภาษีบำรุงท้องที่ ได้แก่ การที่ผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่รายใดเสียหายเกินกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนเนื้อที่ที่ดินที่ใช้ในการเพาะปลูก ให้ยกเว้นภาษีทั้งหมด ส่วนที่เสียหายเกินกว่า 1 ใน 3 แต่ไม่เกิน 2 ใน 3 ของจำนวนเนื้อที่ที่ดินที่ใช้ในการเพาะปลูกให้ลดภาษีตามส่วนที่เสียหาย

ที่ จ.พิษณุโลก พบว่าในพื้นที่ หมู่ 10 บ้านแม่ระหัน ต.บ้านกร่าง อ.เมือง ปริมาณน้ำจากแม่น้ำยม ได้ไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรทำให้นาข้าวของเกษตรกรถูกน้ำท่วมจนได้รับความเสียหาย ชาวนาต้องเก็บเกี่ยวข้าวก่อนกำหนด ขณะที่ชาวบ้านบางส่วนได้ยึดอาชีพออกหางูเห่ามาขายให้กับเจ้าของร้านอาหารป่าสร้างรายได้อย่างดี ที่ จ.มหาสารคาม นายศรีเมือง เจริญศิริ รมว.ศึกษาธิการ ลงพื้นที่ แจกของช่วยเหลือน้ำท่วมตามโรงเรียนต่าง ๆ ซึ่งถูกน้ำท่วม ด้านชาวนาในพื้นที่ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา หลังจากที่น้ำท่วมต้องเก็บเกี่ยวข้าวก่อนกำหนด เพื่อหนีน้ำ ทำให้ข้าวที่เกษตรกรเก็บมานั้นยังเป็นเมล็ดสีเขียวอยู่ แต่ก็ต้องนำมาขายให้โรงสีและท่าข้าว ซึ่งได้ราคาไม่ดีมากนัก

วันเดียวกัน นายชาญชัย วิทูรปัญญากิจ ผอ.สำนักการระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 18.40 น. วันที่ 28 ก.ย. เป็นวันที่มีระดับน้ำทะเลหนุนสูงสุดในรอบเดือน อยู่ที่ 1.65 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ขณะที่ปริมาณน้ำเหนือไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ที่ 1,902 ลบ.ม.ต่อวินาที เมื่อบวกกับน้ำจากทุ่งบางไทรและเขื่อนป่าสักฯ พบว่ามีราว 2,500 ลบ.ม.ต่อวินาที ขณะที่เขื่อนริมแม่น้ำสูง 2.5 เมตร จึงไม่กระทบยกเว้นบริเวณนอกคันกั้นน้ำ เช่น บริเวณชุมชนรถไฟใกล้วัดสร้อยทอง เชิงสะพานพระราม 7 และท่าวังหลัง แต่กทม. มอบหมายให้เขตพื้นที่แจ้งชาวบ้านย้ายข้าวของป้องกันตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ในวันที่ 18 ต.ค. จะมีน้ำทะเลหนุนสูงอีกครั้ง แต่คาดว่าไม่มีปัญหาเพราะน้ำเหนือที่ปล่อยมามีปริมาณน้อย รวมทั้งกทม.ได้เตรียมพร้อมวางแนวกระสอบทรายเป็นระยะทาง 7 กม.ป้องกันจุดที่เขื่อนริมน้ำยังสร้างไม่เสร็จ.
บันทึกการเข้า
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #4 เมื่อ: กันยายน 29, 2008, 03:21:20 AM »

มติชน

ภาพยอดเยี่ยม "น้ำคือชีวิต" "สายธาร ธ ทรงก่อ ทรงเกื้อ เพื่อปวงชน"
โดย ศิวพร อ่องศรี



การถ่ายภาพเป็นหนึ่งในงานศิลปะหลากหลายแขนง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเชี่ยวชาญและสนพระราชหฤทัยมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ไม่ว่าจะเสด็จฯไปเยี่ยมราษฎร ณ ที่แห่งใด จะทรงมีกล้องคู่พระวรกายเสมอ

ทรงโปรดฉายภาพเพื่อบันทึกความคืบหน้าโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ อันเป็นอีกงานหนึ่งที่ทรงสนพระราชหฤทัย และทรงปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจริงจัง มาตั้งแต่ปี 2506 จนถึงปัจจุบัน นับได้กว่า 1,700 โครงการ ในทุกภูมิภาคของประเทศ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผนวกศาสตร์ทั้งสองแขนงที่ทรงโปรดให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติได้อย่างอเนกอนันต์ เมื่อทรงฉายภาพสถานที่และเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อประกอบพระบรมราชวินิจฉัยในการวางโครงการหรือพระราชทานแนวทางแก้ไขปัญหานั้นๆ

กรมชลประทาน ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานหนึ่งที่รับสนองพระราชดำริในโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งงานแก้ไขปัญหาอันเนื่องมาจากน้ำเป็นต้นเหตุได้จัดกิจกรรมประกวดภาพถ่าย "โครงการชลประทานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ" ภายใต้หัวข้อ " สายธาร ธ ทรงก่อ ทรงเกื้อ เพื่อปวงชน" ขึ้น
 


เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา และสะท้อนมุมมองหลากมิติจากโครงการชลประทานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่กรมชลประทานรับสนองพระราชดำริในการพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อช่วยเหลือพสกนิกรให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ภาพถ่ายที่ส่งเข้าประกวดครั้งนี้ มีความหลากหลายและสะท้อนมุมมองในหลากมิติจากโครงการชลประทานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่สื่อให้เห็นถึงความสวยงาม และประโยชน์ที่เกิดขึ้น รวมถึงวิถีชีวิตในแง่มุมต่างๆ จากน้ำพระราชหฤทัยและพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรไทยในการพัฒนาแหล่งน้ำ

พิสิฐ เสนานันท์กุล ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศภาพชุดยอดเยี่ยม ภายใต้แนวคิด "น้ำคือชีวิต" เล่าถึงแนวคิดในการถ่ายภาพ ว่าเป็นการนำเสนอถึงวิถีชีวิต ชีวิตที่มีความสุข และความหลากหลายที่ก่อเกิดจากน้ำของเขื่อนขุนด่านปราการชล ตั้งอยู่ที่บ้านท่าด่าน อ.เมือง จ.นครนายก สร้างขึ้นตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากที่เกิดกับประชาชนชาวนครนายก และจังหวัดใกล้เคียง เป็นโครงการพระราชดำริของในหลวง โดยเฉพาะเรื่องน้ำ ได้อำนวยประโยชน์ให้แก่ราษฎรในหลายด้าน
 


"เพราะน้ำจากโครงการชลประทานสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องอุปโภคบริโภค การเกษตร การเพาะปลูก และอาชีพอื่นๆ ที่เชื่อมโยง รวมถึงกิจกรรมที่มีความเกี่ยวร้อยโยงใยในเรื่องน้ำ ไม่ใช่เฉพาะในเรื่องของอาชีพเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงด้านชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่"

สุรกิจ สาทิพย์จันทร์ ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ ประเภทประชาชนทั่วไป เล่าถึงที่มาของภาพถ่ายที่ได้รับรางวัลครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกของสุรกิจที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดถ่ายภาพ ที่เจ้าตัวมีความภูมิใจมาก ว่าถ่ายภาพนี้ตอนที่ไปเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์กับเพื่อนๆ และเห็นบรรยากาศที่สดชื่นสดใสในยามเช้า ซึ่งเป็นภาพวิถีชีวิตของเด็กนักเรียนที่เดินทางด้วยรถไฟที่วิ่งบนอ่างเก็บน้ำ ทำให้เชิญชวนให้มองออกไปด้านนอก และเห็นความงดงามของทัศนียภาพ จึงเป็นจังหวะและโอกาสที่พอดีกับเวลา

ฉัตริน บุญส่ง ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศ ประเภทนักเรียน นิสิตนักศึกษา เป็นนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ที่มีใจรักด้านการถ่ายภาพและแบกเป้สะพายกล้องตระเวนถ่ายรูปอยู่เสมอ ได้เล่าถึงแนวคิดภาพที่ได้รับรางวัลว่า เป็นภาพของเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จ.เชียงใหม่ ซึ่งถ่ายภาพเก็บไว้เมื่อปี พ.ศ. 2547 ฉัตรินถ่ายด้วยฟิล์มสไลด์ จากมุมกล้องที่เห็นภาพนั้นเป็นเขื่อนที่มีภูเขาล้อมรอบ ซึ่งได้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเรือนแพ มีมนต์เสน่ห์ สวยงาม

"ผมเห็นภาพแล้วนึกถึงบรรยากาศเหมือนอยู่บ้านที่มีบรรยากาศของริมน้ำ ซึ่งผมชอบมาก ผมรักทางด้านการถ่ายภาพ ผมดีใจและภูมิใจที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ ในอนาคตผมจะเดินทางท่องเที่ยวเพื่อแสวงหาสถานที่สวยงามและถ่ายภาพมาให้คนที่ชอบและรักการถ่ายภาพแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ร่วมกัน"

สำหรับผู้สนใจที่สนใจและชอบบรรยากาศของภาพถ่าย สามารถติดตามผลการประกวดภาพถ่าย "สายธาร ธ ทรงก่อ ทรงเกื้อ เพื่อปวงชน" ได้ที่ www.rid.go.th และ www.photocontest.net46.net


บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.107 วินาที กับ 20 คำสั่ง