พฤศจิกายน 28, 2025, 03:01:24 PM
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว
: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ค้นหา
สมาชิก
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
กระดานข่าว Save Our Sea.net
>
หมวดหมู่ทั่วไป
>
ห้องรับแขก
(ผู้ดูแล:
สายชล
,
สายน้ำ
) >
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2551
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2551 (อ่าน 2832 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2551
«
เมื่อ:
ตุลาคม 28, 2008, 12:29:29 AM »
กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
ร่องความกดอากาศต่ำกำลังค่อนข้างแรงพาดผ่านภาคใต้ตอนบน และอ่าวไทย ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนตกหนาแน่น กับมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยโดยเฉพาะบริเวณจังหวัด ราชบุรี เพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนักในระยะนี้ไว้ด้วย
สำหรับบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้มีอากาศเย็น กับมีหมอกบางในตอนเช้า
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 33 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
คาดหมาย
ร่องความกดอากาศต่ำจะพาดผ่านภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออกตลอดช่วง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ ในช่วงวันที่ 27-31 ต.ค. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวอากาศอุ่นขึ้น และมีหมอกในตอนเช้า
ส่วนในช่วงวันที่ 1-2 พ.ย. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือจะมีฝนในระยะแรก จากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศา
ข้อควรระวัง
ในระยะนี้ ขอให้ประชาชนในภาคกลาง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออกบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ให้ระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนัก ส่วนชาวเรือในอ่าวไทยตอนบนโดยเฉพาะบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ขอให้ระวังอันตรายในการเดินเรือไว้ด้วย
Forecast2.jpg
(39.55 KB, 693x430 - ดู 323 ครั้ง.)
Earthquake.jpg
(33.43 KB, 400x436 - ดู 325 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2551
«
ตอบ #1 เมื่อ:
ตุลาคม 28, 2008, 01:04:13 AM »
สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
นักวิจัยไทยเชื่อโอกาสเกิดหิมะตกในไทยเป็นไปได้ยาก
นักวิจัยไทยเชื่อ โอกาสเกิดหิมะตกในไทยเป็นไปได้ยาก เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย พร้อมระบุเวียดนามมีโอกาสเกิดหิมะตกมากกว่า
ศ.ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (START) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีที่นักวิชาการออกมาระบุว่าประเทศไทยมีโอกาสเกิดหิมะตกว่า ประเทศไทยมีโอกาสจะเกิดหิมะตกน้อยมากและเกิดขึ้นบางบริเวณเท่านั้น อย่างเช่นแถบภูเขาสูงทางภาคเหนือของประเทศ ซึ่งภายใน 100 ปีจะพบเพียง 1 ครั้งเท่านั้น ซึ่งการจะเกิดหิมะตกได้ในประเทศไทยต้องพิจารณาจากมวลอากาศเย็นที่มีความชื้นเพียงพอ ประกอบกับปัจจัยด้านปรากฏการณ์ลานินญา และมีอุณหภูมิต่ำกว่าติดลบ ประมาณ -1 หรือ -2 องศาเซลเซียสลงไป มีผลทำให้ฝนจะตกหนักและถี่ขึ้น หากเกิดพร้อมกันก็มีโอกาสเกิดหิมะตกได้ แต่เป็นไปได้ยากมาก ส่วนใหญ่หากเกิดขึ้นก็จะเป็นเพียงน้ำค้างแข็ง หรือน้ำในแอ่งน้ำแข็งตัวเท่านั้น แต่เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ นอกจากนี้ นักวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลกระบุว่า ระหว่างปี พ.ศ.2551-2552 จะไม่เกิดปรากฏการณ์ทั้งลานินญา และเอลนินโญ ดังนั้น โอกาสเกิดหิมะตกในไทยคงเกิดขึ้นยาก อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับประเทศเวียดนามแล้ว มีโอกาสเกิดหิมะตกมากกว่าไทย เนื่องจากมวลอากาศเย็นที่พัดผ่านเข้าประเทศมาจากตอนกลางของจีน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีความชื้นมากกว่า
ศ.ดร.อานนท์ กล่าวอีกว่า การเกิดหิมะในประเทศไทยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย สำหรับการที่มีนักวิจัยบางรายระบุว่าอาจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของแกนโลก นั้น เรื่องนี้ยังไม่มีใครระบุได้ชัดเจน เพราะไม่เคยมีการศึกษามาก่อน
***************************************************************************************************************************
เชียงใหม่ ซู อควาเรียม ต้องเลื่อนเปิดให้บริการออกไปก่อนเนื่องจากระบบกรองน้ำมีปัญหา
ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ ระบุ เชียงใหม่ ซู อควาเรียม ต้องเลื่อนการเปิดให้ประชาชนเข้าชมออกไปก่อนเนื่องจากระบบกรองน้ำมีปัญหา โดยจะเปิดให้บริการอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ เป็นต้นไป
ช่วงเช้าที่ผ่านมาประชาชนที่ไปเที่ยวสวนสัตว์เชียงใหม่เพื่อจะเข้าชม เชียงใหม่ ซู อควาเรียม ต้องผิดหวัง เนื่องจากทางเชียงใหม่ ซู อควาเรียม ได้ติดป้ายประกาศไว้ว่าเลื่อนการเปิดเข้าชมไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด โดย นายโสภณ ดำนุ้ย ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ กล่าวว่า จำเป็นต้องปรับสมดุลของน้ำเพื่อให้ปลาได้ปรับตัว โดยจะเลื่อนเปิดให้ประชาชนเข้าชมเชียงใหม่ ซู อควาเรียม เป็นตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ขณะที่ นายธนภัทร พงษ์ภมร ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ กล่าวว่า ระบบกรองน้ำภายในเชียงใหม่ ซู อควาเรียม มีปัญหา น้ำด้านในจึงขุ่น ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะน้ำจึงจะใส ต้องใช้ระยะเวลาในการบำบัดโดยการเติมออกซิเจนและเปิดเครื่องบำบัดตลอดเวลาประมาณสองสัปดาห์ เมื่อเริ่มเปิดให้บริการจะเก็บค่าเข้าชมครึ่งราคาในระยะแรกจนกว่าจะประกาศเปลี่ยนแปลง
สำหรับ เชียงใหม่ ซู อควาเรียม มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวานที่ผ่านมา (26 ต.ค.51) โดย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี เป็นอควาเรียมที่มีอุโมงค์ยาวที่สุดในโลก เป็นอควาเรียมที่ตั้งบนภูเขาแห่งแรกของโลก มีสัตว์น้ำกว่า 8 พันตัว
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
เด็กน้อย
สี่ดาวยังอยู่แค่เอื้อม
ออฟไลน์
กระทู้: 190
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2551
«
ตอบ #2 เมื่อ:
ตุลาคม 28, 2008, 02:41:35 AM »
เดลินิวส์
เลี้ยงกุ้งเป็นมิตรต่อนาข้าว ความสมดุลที่ยั่งยืน
การทำธุรกิจรายได้ส่วนใหญ่ล้วนมาจากภาคสังคม การนำสิ่งดี ๆ กลับคืนสู่สังคมจึงถือเป็นภารกิจสำคัญที่ทุกองค์กรไม่ควรมองข้าม เครือเจริญโภคภัณฑ์หรือซีพี เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ให้ความสำคัญกับภารกิจเพื่อสังคมมาโดยตลอด โดยเฉพาะการดำเนิน โครงการตามแนวพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนี้มีอยู่ถึง 30 โครงการ ที่ได้ดำเนินการมาแล้วตลอดระยะเวลา 35 ปี
งานสนองพระราชดำริโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2514 ใน โครงการฟาร์มส่วนพระองค์หาดทรายใหญ่ ต.เขาเต่า อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเครือซีพีได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เข้าร่วมดำเนินการทางด้านปศุสัตว์ หลังจากนั้นเครือซีพีได้ดำเนินโครงการตามแนวพระราชดำริต่อเนื่องเรื่อยมา โดยเฉพาะงานที่ทรงรับสั่งพิเศษให้เครือซีพีนำมาดำเนินงาน
โครงการศึกษาและทดลองการทำฟาร์มเลี้ยงกุ้งที่เป็นมิตรต่อนาข้าว อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ซีพีได้รับพระราชทานพระราชดำริจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทำการศึกษาและทดลองการทำฟาร์มเลี้ยงกุ้งกุลาดำที่เป็นมิตรต่อนาข้าว เนื่องจากพระองค์ทรงเล็งเห็นปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการเลี้ยงกุ้ง จึงได้พระราชทานพระราชดำริแก่ นายวัลลภ เจียรวนนท์ กรรมการบริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2541 ให้ทำการศึกษาและทดลองทำฟาร์มเลี้ยงกุ้งที่เป็นมิตรต่อนาข้าว ในพื้นที่โครงการพัฒนาส่วนพระองค์ ณ ตำบล บางแตน อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี
นอกจากนี้
พระองค์ยังได้พระราชทานแนวคิดเกี่ยวกับการรีไซเคิลก่อนการปล่อยน้ำลงสู่ทะเล
หรืออาจกักไว้สำหรับเลี้ยงสัตว์น้ำที่กินพืชเพื่อย่อยอาหาร แล้วจึงปล่อยออกไป เนื่องจากน้ำที่ใช้เลี้ยงกุ้งมักก่อให้เกิดปัญหาต่อสภาพแวดล้อม ซีพีจึงได้ดำเนินการโดยกักเก็บน้ำจากการเลี้ยงกุ้งไว้ก่อน แล้วนำสัตว์น้ำ เช่น หอย ไปเลี้ยงในบ่อที่จับกุ้งแล้ว ส่วนการเลี้ยงกุ้งในนาข้าวนั้นพระองค์ทรงมองว่าทำได้และน่าจะมีการศึกษาไว้เผื่อว่าเกิดวิกฤติขึ้น มีความจำเป็นต้องเลี้ยงกุ้งในนาข้าวจะทำอย่างไร จึงนับเป็นอีกหนึ่งโครงการพระราชดำริที่มีความสำคัญต่อการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ ที่พระองค์ทรงเห็นความสำคัญ
ต่อมาในปี 2542 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) โดยกลุ่มธุรกิจเพาะเลี้ยง สัตว์น้ำ จึงได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ทางวิชาการเข้าไปดำเนินการตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2542 ในพื้นที่บ่อเลี้ยงกุ้งแปลงแรกจำนวน 24.90 ไร่ หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำริให้ขยายพื้นที่เพิ่มอีก 91 ไร่ เพื่อทำการเลี้ยงกุ้งโดยไม่มีการปลูกข้าว เปรียบเทียบกับพื้นที่แปลงแรก และได้ทำการศึกษาหลายรูปแบบ เช่น การเลี้ยงลูกกุ้งในบ่ออนุบาลระบบปิด หรืออนุบาลกุ้งภายในโรงเรือน Green House (Evaporation Cooling System) ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ช่วยให้อัตรารอดของลูกกุ้งดีขึ้นและผลผลิตเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังใช้ระยะเวลาการเลี้ยงในบ่อเลี้ยงสั้นลง ทำให้ผลผลิตต่อรุ่นเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ในช่วงปี 2542-2545 มีการทดลองเลี้ยงกุ้งกุลาดำเพียงอย่างเดียว ต่อมาปี 2545-2549 กระแสกุ้งขาวแวนาไมมาแรงจึงนำมาทดลองเลี้ยงด้วย ซึ่งตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงปัจจุบันมีการเลี้ยงกุ้งทั้งสองชนิดรวมแล้ว 15 รุ่น ปริมาณผลผลิตที่ได้เฉลี่ยดังนี้ กุ้งกุลาดำ 1 บ่อ ขนาด 30 ตัวต่อกิโลกรัม ได้รุ่นละ 800 กิโลกรัม ต้นทุนกิโลกรัมละ 150 บาท ส่วนกุ้งขาวแวนาไม 1 บ่อ ขนาด 40 ตัวต่อกิโลกรัม ได้รุ่นละ 1,500 กิโลกรัม ต้นทุนกิโลกรัมละ 100-110 บาท
ตลอดระยะเวลาที่ได้ศึกษาและทดลองจน ถึงเดือนมีนาคม 2551 สามารถสรุปโครงการศึกษาและทดลองการเลี้ยงกุ้งที่เป็นมิตรต่อนาข้าวตามแนวพระราชดำริ ที่สำคัญคือการเลี้ยงกุ้งและการปลูกข้าวสามารถที่จะเลี้ยงอยู่ในที่เดียวกันได้ โดยไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตข้าว การเลี้ยงกุ้งในที่ซึ่งมีน้ำเค็มท่วมถึงหรือมีน้ำ ใต้ดินเป็นน้ำเค็ม สามารถที่จะใช้ประโยชน์จากธรรมชาติได้ต่อเนื่องได้ทุกฤดูกาล เพื่อให้ได้ผลผลิตที่สูงสุดโดย ไม่พบการแพร่กระจายของความเค็มออกไปภายนอกฟาร์มในแนวระนาบและแนวดิ่ง เนื่องจากพื้นที่เป็นดินเค็มมาก่อน จึงกล่าวได้ว่า การเลี้ยงกุ้งและการทำนาข้าว สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและ ระบบนิเวศใกล้เคียง อีกทั้งยังเป็นการใช้พื้นที่เลี้ยงกุ้งอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรจากการทำนาข้าวควบคู่กับการทำนากุ้งอีกด้วย
ในอนาคตถ้าหากเกษตรกรสามารถปฏิบัติตามโครงการได้ นอกจากจะมีรายได้จากการปลูกข้าวและเลี้ยงกุ้งแล้ว ยังสามารถเลี้ยงปลาในคูน้ำจืดเสริมรายได้อีกต่อหนึ่ง โดยเฉพาะปลาทับทิม ซึ่งเป็นชื่อพระราชทาน ที่เลี้ยงได้ในสภาพน้ำทั่วทุกแห่งของประเทศไทย สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่าง
ดี.
บันทึกการเข้า
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 8186
Saaychol
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2551
«
ตอบ #3 เมื่อ:
ตุลาคม 28, 2008, 02:47:21 AM »
พอว่างก็มาช่วยต่อข่าวเลยนะจ๊ะ....น้องเด็กน้อย
ขอบคุณจ้ะ....
บันทึกการเข้า
Saaychol
myjoefiend
ได้2ดาวแล้วพยายามอีกหน่อยจะได้สอย3ดาว
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 63
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 28 ตุลาคม 2551
«
ตอบ #4 เมื่อ:
ตุลาคม 28, 2008, 02:51:23 AM »
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูล
โครงการในพระราชดำริมีแต่ดีๆเลย แต่ทำไมขาดผู้สนับสนุนกับคนไทยที่มีความรู้ความสามาร มาแจงให้ประชาชนที่ มีผลกระทบ รับรู้ข้อมูลกันถ้วนหน้า มีไม่กี่ตำบลที่มีการสนับสนุนจริงๆจังๆ น่าเสียดายที่คนไทยยังไม่กระตือรือร้น เศรฐกิจพอเพียง เมื่อไหร่จะปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนพื้นที่ๆ มีผลกระทบรับทราบได้ เหมือนกับเรื่องอวนและขยะในทะเลเลย ทั้งที่รู้แต่ก็ทำ
บันทึกการเข้า
มุ่งไปอย่างใจหวัง ไปกันกับเพื่อนคู่ชีพและคนรู้ใจ
2.5 MEGACAB GL.
http://www.thaitritonclub.com
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
หมวดหมู่ทั่วไป
-----------------------------
=> ห้องรับแขก
=> กิจกรรมและผลงาน
=> เรื่องเล่าชาวทะเล
=> ท่องเที่ยวทั่วแผ่นดิน
=> คุยเฟื่องเรื่องดำน้ำ
=> หลังเลนส์
=> สรรพชีวิตแห่งท้องทะเล
=> คลังกระทู้เก่า
กำลังโหลด...