กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 28, 2025, 05:02:39 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน 2551  (อ่าน 3377 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2008, 11:28:00 PM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนยังคงปกคลุมภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ประกอบกับร่องความกดอากาศต่ำกำลังปานกลางพาดผ่านภาคใต้ตอนบน และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ด้านตะวันตกของประเทศไทย และภาคใต้ตอนบนมีฝนกระจาย และมีฝนตกหนัก บางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี ระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนักในระยะนี้ อนึ่ง ระดับน้ำในลุ่มน้ำชี ที่อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนที่มีบ้านเรือนอาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชีระวังอันตรายจากสภาวะ น้ำล้นตลิ่งในระยะนี้ไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 33 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 5-7 พ.ย. บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนยังคงแผ่ปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออก เฉียงเหนือของประเทศไทย ทำให้ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และมีฝนฟ้าคะนองกระจาย สำหรับหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมอ่าวไทยตอนบน ทำให้ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้จะมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่ง ๆ ถึงกระจาย

ส่วนในช่วงวันที่ 8-9 พ.ย. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนระลอกใหม่จะแผ่เสริมลงมาปก คลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนืออีกละลอกหนึ่ง กับมีคลื่นกระแสลมตะวันตกจะเคลื่อนผ่านภาคเหนือ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางพื้นที่ในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง


ข้อควรระวัง

ในวันที่ 8-9 พ.ย. ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคเหนือ บริเวณจังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา และ เพชรบูรณ์ รวมทั้งภาคใต้บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ยังคงต้องระมัดระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนัก



* Forecast2.jpg (40.25 KB, 693x430 - ดู 357 ครั้ง.)

* Earthquake2.jpg (23 KB, 450x306 - ดู 315 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2008, 11:33:20 PM »

ผู้จัดการออนไลน์


สตูลเปิดยุทธการพิทักษ์สัตว์น้ำทางทะเลเขตน่านน้ำสตูล-เปอร์ลิส
 
  สตูล – จังหวัดสตูล ร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดยุทธการพิทักษ์สัตว์น้ำทางทะเลและชายฝั่ง เขตน่านน้ำสตูล-เปอร์ลิส ดึงชาวประมงชายฝั่งร่วมเครือข่ายป้องปราม
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นายสยุมพร ลิ่มไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่กระทรวงทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ร่วมออดลาดตระเวนตลอดชายฝั่งชายแดนสตูล-เปอร์ลิส และออกพบปะชาวบ้านตามพื้นที่เกาะปูยู เกาะยาว ต.ปูยู อ.เมืองสตูล ก่อนร่วมเปิดยุทธการพิทักษ์สัตว์น้ำทางทะเลและชายฝั่ง ที่เกาะปรัสมาน่า หรือเกาะรังนก ต.ปูยู อ.เมืองสตูล ที่มีระยะทางห่างจากรัฐเปอร์ลิส เพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น
       
       ในการนี้อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า ที่จังหวัดสตูลอุดมไปด้วยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยเฉพาะเรื่องสัตว์น้ำ ชาวจังหวัดสตูลกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ประกอบอาชีพประมง และโดยเฉพาะจังหวัดสตูลมีพื้นที่ติดกับรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย มีสัตว์น้ำชุกชุม มีความอุดสมบูรณ์มาก ทั้งนี้ เนื่องจากว่าประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีเครื่องมือทำประมงที่ทันสมัยกว่า มีทุนมากกว่าที่จะเข้ามาจับกุม ยกตัวอย่างอวนลาก โดยเฉพาะเรืออวนลากคู่นี้ถ้าไปลากที่ไหน สัตว์ตัวเล็ก สัตว์หน้าดินก็ไม่มีเหลือ ชาวบ้านจังหวัดสตูลเอง โดยเฉพาะบ้านตำมะลัง บ้านปูยู และ บ้านเกาะยาว ใช้การจับประมงโดยวิถีชายฝั่ง ใช้เครื่องมือง่ายๆ อย่างการตกปู วางอวนปู วางอวนปลา อวนกุ้ง อย่างนี้ถือว่าเป็นประมงพื้นบ้าน ซึ่งกฎหมายประมง สามารถให้ทำการประมงได้ในพื้นที่ที่ห่างจากฝั่ง 3 กิโลเมตร
       
       ส่วนอวนลากก็อนุญาตได้เฉพาะบริเวณที่เป็นน้ำลึก ห่างจากฝั่ง 3,000 เมตร แต่ความเป็นจริง ณ วันนี้ เวลากลางคืนก็ยังมีอวนรุน อวนลาก เข้ามาเป็นจำนวนมากในบริเวณนี้ เพราะว่าตรงนี้เป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำ
       
       เพราะฉะนั้นกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในฐานะที่รับผิดชอบก็ได้จัดทำในเรื่องของยุทธการในเรื่องของการป้องกันการ ลักลอบทำการประมงในแนวชายฝั่งเขตแดนไทย-มาเลเซีย โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ซึ่งได้มาร่วมเปิดยุทธการ ทั้งจะเป็นการดำเนินในรูปแบบการบูรณาการระหว่างจังหวัด และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและได้รับความร่วมมือกับประชาชน เรียกว่า เครือข่ายของชุมชนชายฝั่ง ซึ่งทางกรมได้มีการฝึกอบรมและได้จัดตั้งเป็นอาสาสมัคร เรียกว่า รสทช. ราษฎรอาสาพิทักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งจะทำงานร่วมกัน จะดำเนินการทั้งกลางวัน กลางคืน
       
       โดยจะนำเรือตรวจการณ์มาตั้งฐานอยู่ที่เกาะปรัสมาน่าหรือเกาะรังนกเมื่อพบ การกระทำผิด หรือได้รับแจ้งจาก รสทช.ก็จะดำเนินการทันที เพราะมีเรือสปีดโบทสามารถเข้าไปดำเนินการได้ในเวลา 1-2 นาที
       
       ด้าน นายสยุมพร ลิ่มไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล กล่าวด้วยว่า ทางจังหวัดสตูลร่วมมือกับทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งทางนายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ลงพื้นที่มาดูแลด้านนโยบายด้วยตัวเอง ในส่วนทางกรมจะสนับสนุนเรื่องของเรือตรวจการณ์ขนาดใหญ่และเรือเล็ก สำหรับตรวจการณ์ชายฝั่ง
       
       โดยจะลอยลำตรวจปฏิบัติการชายฝั่ง เพื่อดูแลในเรื่องของป่าชายแลนและดูแลปัญหาการลักลอบทำการประมงด้วย ในส่วนของพื้นที่ทางจังหวัดต้องร่วมกับทางองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นก็ต้อง ให้มีการสนับสนุนเรื่องของอาสาสมัครภาคประชาชนในการที่จะเข้ามาร่วมอีกทาง หนึ่ง ซึ่งอาจจะมีการทำแผนภาคประชาชนในการนำเรือประมงเข้ามาร่วมลาดตระเวนบ้าง อาสาสมัครรับแจ้งข่าวสารบ้าง เพราะฉะนั้นก็จะเป็นการดำเนินการร่วมกันทั้งในระดับนโยบาย โดยกรมทรพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และระดับพื้นที่โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและนายอำเภอในพื้นที่

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2008, 11:41:47 PM »

มติชน


นักวิชาการชี้ "ชาวเล"เสี่ยงสูญพันธุ์อีกไม่เกิน 10 ปี ถูกสารพัดปัญหารุม แนะตั้งเขตวัฒนธรรมพิเศษตาม ตปท.

นักวิชาการชี้อีกไม่เกิน 10 ปี จะไม่เหลือชาวเล หลังถูกปัญหารุมทึ้ง แนะทางออกต้องรับรองสิทธิในที่อยู่-ตั้งเขตวัฒนธรรมพิเศษ แก้ปัญหาถูกฟ้องไล่ที่ วธ.รับลูกเร่งศึกษา วอนรัฐร่วมมือ

น.ส.นฤมล อรุโณทัย นักวิชาการจากสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงสถานการณ์ของชนชาวเล ทั้งมอแกน มอแกลน และอุรักลาโว้ย ในอันดามันที่ตกอยู่ในภาวะยากลำบาก ที่ล่าสุดหญิงมอแกนกราบทูลสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ระหว่างเสด็จฯเปิดงานเทศกาลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทร (มหาชน) ว่าหากไม่เข้าไปช่วยเหลือดูแล เชื่อว่าอีกไม่เกิน 10 ปี อาจไม่เหลือชนชาวเล เนื่องจากประสบปัญหาสารพัด และขณะนี้หลายพื้นที่ประสบปัญหาเรื่องที่ดินและที่อยู่อาศัย จึงเสนอว่าเบื้องต้นหน่วยงานราชการควรหาวิธีการเข้าไปรับรองสิทธิเพื่อให้ชน ชาวเลมีความมั่นคงในที่อยู่อาศัยก่อน


ทั้งนี้ ต้องค่อยๆเข้าไปสร้างกระบวนการทำงาน ไม่ใช่ออกโฉนดที่ดินให้ทันที เพราะชาวเลอาจนำไปขาย และเสนอให้มีเขตวัฒนธรรมพิเศษสำหรับชาวเล ซึ่งไม่ได้แก้ไขแต่ปัญหาเรื่องที่ดินและที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ควรดูในเรื่องวัฒนธรรมด้วย เพราะหากย้ายชาวเลไปอยู่ในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย คนเหล่านี้ก็ไม่สามารถอยู่ได้ ขณะเดียวกันในเรื่องของการแก้ไขปัญหาการฟ้องร้อง ซึ่งขณะนี้ชาวเลหลายพื้นที่กำลังเผชิญอยู่นั้น เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจยิ่ง เพราะในระบบยุติธรรมมักยึดติดอยู่กับข้อกฎหมายเป็นพยานเอกสารราชการ ทั้งๆ ที่ชนชาวเลมีวัฒนธรรม จารีต และประเพณีที่สามารถยืนยันการเข้ามาอยู่อาศัยก่อนได้ เช่น ในหลายพื้นที่มีสุสาน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการตั้งถิ่นฐานมานานก่อนที่จะมีการออกเอกสารสิทธิของ เอกชน นอกจากนี้ยังมีคำบอกเล่าของผู้สูงอายุซึ่งสามารถเป็นพยานได้

น.ส.นฤมลกล่าวว่า วิถีชีวิตของชาวเลอยู่กันอย่างอนุรักษ์ เช่น กรณีชาวมอแกนที่หมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา มีการรักษาธรรมชาติเอาไว้จนกระทั่งมีเขตอุทยาน ดังนั้น ควรขมวดเอาข้อดีเหล่านี้ไว้ และควรอนุโลมให้คนเหล่านี้ได้ทำมาหากินในพื้นที่ต่อไป นอกจากนี้รัฐควรหาทางเลือกให้กับชนชาวเล เช่น การฝึกอาชีพ เพราะไม่ใช่ว่าชาวเลทั้งหมดต้องการทำประมงอย่างเดียว สำหรับเขตวัฒนธรรมพิเศษที่เสนอนี้ เป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น แต่ขณะนี้มีตัวอย่างในต่างประเทศหลายแห่งทั้งที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบ ความสำเร็จ เช่น ชาวอะบอริจินในประเทศออสเตรเลียสามารถอยู่ในอุทยานได้ โดยทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ทะเล ขณะที่การทำนิคมอินเดียแดงในสหรัฐอเมริกากลับไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น ทุกฝ่ายต้องเข้ามาช่วยกันคิด

ขณะที่นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิได้รวบรวมข้อมูลชาวเลที่ประสบปัญหา โดยพบว่ามีชาวมอแกนจำนวนมากกำลังถูกฟ้องร้องจากเอกชน และหน่วยราชการ ต้องประสบเรื่องที่อยู่อาศัย จนหวั่นว่าอนาคตเผ่าพันธุ์ชาวมอแกน และอุรักลาโว้ยจะสูญหายไปนั้นว่า เมื่อปี 2548 วธ.ได้จัดโครงการฟื้นฟูวิถีชีวิตชุมชนมอแกน อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา ซึ่งจัดสร้างห้องพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นมอแกน และห้องจัดแสดง รวมทั้งจัดกิจกรรมวิถีชีวิตมอแกน เพื่อเผยแพร่และอนุรักษ์วัฒนธรรมวิถีชีวิตมอแกนไว้ อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาจะให้เสร็จภายในวันสองวันคงได้ไม่ได้ แต่จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง

"ส่วนที่นักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิหลายคนเสนอว่าควรจัดทำพื้นที่ผ่อนปรนพิเศษ หรือเขตวัฒนธรรมพิเศษให้กับชาวมอแกนนั้น วธ.จะเร่งดำเนินการ และหารือกับฝ่ายต่างๆ ว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะทำเขตวัฒนธรรมพิเศษ เพื่ออนุรักษ์วิถีชีวิตของชาวเลไว้ รวมทั้งจะมีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยอนุรักษ์วิถีชีวิตมอแกน ทั้งนี้ จะให้ วธ.ทำแค่หน่วยงานเดียวคงไม่เพียงพอ รัฐบาลจะต้องสนับสนุนด้วย ตนเห็นด้วยว่าหากทิ้งไว้นานเกินไปอาจจะวิกฤตสำหรับชาวเล และในที่สุดวิถีชีวิตของชาวเลก็จะหายไปจากสังคม" นายวีระกล่าว

ขณะที่นายปองพล อดิเรกสาร ประธานคณะกรรมการว่าด้วยมรดกโลกประเทศไทย กล่าวว่า ในเมื่อชาวเลได้รับความเดือดร้อนก็เป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องเข้ามาดูแล และว่า เคยเสนอในที่ประชุมอุทยานให้เอาพื้นที่เกาะพระทอง จ.พังงา เป็นพื้นที่นำร่องในการทำเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเล เพราะเป็นเกาะที่อยู่ตรงกลาง ชาวเลสามารถทำมาหากินได้ และพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่กันชนของพื้นที่ที่จะเสนอเป็นเขตมรดกโลกคือ ตั้งแต่หมู่เกาะสุรินทร์ไปยันเกาะตะรุเตา

"ปัจจุบันบนเกาะพระทองมีชาวเลอาศัยอยู่ 2 หมู่บ้าน ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีความเหมาะสมมากที่จัดให้เป็นที่อยู่ของชาวเล แต่ต้องมีการวางแผนบริหารจัดการ ซึ่งอาจเอาชาวเลมาเป็นบุคลากรทำงานทางทะเล" นายปองพลกล่าว


***************************************************************************************************************************


หน.ดอยอินทนนท์แจงเข้าใจผิดห้ามรถส่วนตัวขึ้นดอย

นายจงคล้าย วงพงศธร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ พร้อมตัวแทนผู้ประกอบการรถสาธารณะ แถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีมีเวปไซต์บางแห่งอ้างข้อมูลเผยแพร่นักท่องเที่ยวว่าทางอุทยานฯ ห้ามนำรถส่วนตัวขึ้นไปบนดอย อินทนนท์ในฤดูท่องเที่ยวของปีนี้ว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นความเข้าใจผิดซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว โดยยืนยันว่าทางอุทยานยังอนุญาตให้นักท่องเที่ยวนำรถส่วนตัวขึ้นไปได้เช่นเดียวกับทุกปี

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้อุทยานฯได้ร่วมกับสำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ เพิ่มทางเลือกในการเดินทาง โดยจัดหารถสองแถวและรถตู้ให้บริการกับนักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะไม่นำรถส่วน ตัวขึ้นไปเอง โดยจะเปิดจุดรับส่งบริเวณหน้าที่ทำการอุทยานฯ บริเวณกิโลเมตรที่ 31 การนำรถโดยสารมาให้บริการ มีเป้าหมายเพื่อลดอุบัติเหตุจากนักท่องเที่ยวที่ไม่ชำนาญทางและสภาพรถไม่พร้อม ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ลดมลภาวะจากควันและเสียงของรถที่ขึ้นไปเป็นจำนวนมาก และลดความแออัดของปริมาณรถยนต์ในฤดูท่องเที่ยว ซึ่งในปีที่ผ่านๆมามีรถส่วนตัวนักท่องเที่ยวขึ้นไปเป็นจำนวนมากจนรถติดบนยอด ดอยยาวกว่า 3 กิโลเมตร ซึ่งการนำรถโดยสารมาให้บริการในปีนี้ตั้งเป้าลดปริมาณรถส่วนตัวให้ได้ร้อยละ 30 แต่หากนักท่องเที่ยวต้องการนำรถส่วนตัวขึ้นไปเองก็สามารถขับขึ้นไปได้ตามปกติ

นายจงคล้าย กล่าวว่า อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการจัดระบบและสร้างมาตรฐานการให้บริการเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกสบาย ประหยัด และปลอดภัยมากที่สุด ซึ่งหากนักท่องเที่ยวต้องการข้อมูลสามารถโทรศัพท์สอบถามได้โดยตรงที่หมาย เลขโทรศัพท์ 053-268550

สำหรับสถานการณ์ท่องเที่ยวปีนี้ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ คาดการว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกับทุกปี โดยล่าสุดนักท่องเที่ยวที่เดินทางแบบไปกลับได้เดินทางมาท่องเที่ยวมากขึ้นตามลำดับ ขณะที่ยอดจองห้องพักเริ่มทยอยจองเข้ามาอย่างต่อเนื่องจนเต็มไปถึงต้นเดือนมกราคมปีหน้า และซึ่งทางอุทยานฯยังได้ปรับพื้นที่หลายจุดให้เป็นลานกางเต้นท์รองรับนักท่องเที่ยวทีไม่สามารถจองห้องพักได้ซึ่งจะรองรับได้ทั้งหมดประมาณ 1,500 คนต่อคืน 

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2008, 11:44:12 PM »

ข่าวสด


ประมงเกาะลันตาร้องจว.-โวยเรือกุ้งโดนจับแหลก

กระบี่ - นายบุญเชิญ ชุ่มชื่น ผู้ประสานงานเครือข่ายชุมชนฟื้นฟูเกาะลันตา จ.กระบี่ กล่าวว่า ขณะนี้ชาวประมงพื้นบ้านทำอวนช้อนกุ้งกะปิได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก เนื่องจากไม่สามารถออกจับกุ้งได้ ทุกครั้งที่ออกไปจับกุ้งมักจะถูกเจ้าหน้าที่รัฐจับกุมตลอด โดยกล่าวหาชาวบ้านว่าทำการประมงผิดกฎหมาย ทำให้ชาวประมงเดือดร้อนมาก เพราะอาชีพดั้งเดิมของชาวเกาะลันตาก็คือการทำประมง แม้ว่าปัจจุบันเกาะลันตาจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแล้วก็ตาม แต่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็เป็นนายทุนต่างที่ ส่วนชาวเกาะลันตาเดิมส่วนใหญ่ก็ยังยึดอาชีพประมง

นายบุญเชิญกล่าวอีกว่า เมื่อเร็วๆ นี้ พวกตนได้เข้าพบนายชัยเลิศ ภิญโญรัตนโชติ รองผวจ.กระบี่ เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีดังกล่าว ซึ่งนายชัยเลิศได้รับเรื่องไว้ และบอกว่าจะให้ความเป็นธรรม แต่ขอให้ชาวประมงพื้นบ้านไปแก้ไขอุปกรณ์ในการจับให้ถูกต้อง เนื่องจากลักษณะการทำประมงคล้ายกับอวนรุนมาก แต่ลักษณะของอวนต่างกันเท่านั้น ซึ่งชาวประมงพื้นบ้านก็ยินดีจะแก้ไข

" อาชีพการทำประมงจับกุ้งมาทำกะปิ เป็นอาชีพดั้งเดิมที่ชาวบ้านได้ทำกันมานาน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นน่าจะมีการร้องเรียนกลั่นแกล้งจากผู้ประกอบอาชีพท่องเที่ยว เพราะการทำอวนกุ้งกะปิจะต้องทำใกล้ชายหาด หรือชายฝั่งทะเลน้ำไม่ลึกมาก ซึ่งอาจจะทำให้ถูกมองว่าดูแล้วไม่สวยงาม เกะกะ ผู้ประกอบการท่องเที่ยวกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่จับกุม และเจ้าหน้าที่เองก็ไม่แยกแยะว่าชาวประมงทำอวนรุนประเภทไหน ทำลายธรรมชาติสิ่งแวดล้อมหรือไม่ เมื่อได้รับแจ้งก็จับกุมอย่างเดียว" นายบุญเชิญกล่าว

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2008, 11:48:47 PM »

แนวหน้า


สตูลจัดงาน “เปิดฟ้าอันดามัน” ส่งเสริมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่

นายธานินทร์ ใจสมุทร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล กล่าวภายหลังเป็นประธานงานแถลงข่าวการจัดงาน “เปิดฟ้าอันดามันที่นี่...สตูล” ว่า นับเป็นโอกาสที่ดีที่ภาครัฐและเอกชน ได้ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)สตูล ในการตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดสตูล และกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวแนวใหม่เพื่อส่งเสริมให้การท่องเที่ยวเชิง สร้างสรรค์อย่างยั่งยืน

จังหวัดสตูลนับได้ว่าเป็นเพชรเม็ดงามแห่งท้องทะเลอันดามัน ภาคใต้ตอนล่างมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงคุณภาพอย่างยิ่ง มีเกาะแก่งน้อยใหญ่อีก 105 เกาะ จนได้สมญานาม “เมืองร้อยเกาะ” แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติทะเลบัน อุทยานแห่งชาติตะรุเตา เป็นต้น

ทั้งนี้งาน “เปิดฟ้าอันดามันที่นี่...สตูล” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 พ.ย.นี้ ซึ่งในงานดังกล่าวจะครอบคลุม 3 กิจกรรมหลัก ประกอบด้วย กิจกรรม “เปิดฟ้าอันดามันที่นี่..สตูล” ที่จะจัดในรูปแบบ “สตูล มิวสิค เฟสติวัล” กิจกรรม “ของดีเมืองสตูล” ซึ่งเป็นการออกร้านจำหน่ายสินค้าหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล (โอท็อป) และกิจกรรม “รักษ์เล ป่า ฟ้า สตูล” ที่จะเป็นการเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวของจังหวัดสตูลอย่างเต็มรูปแบบ

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
chickykai
สี่ดาวยังอยู่แค่เอื้อม
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 108



« ตอบ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2008, 02:41:30 AM »

ผู้จัดการออนไลน์

 อย่างนี้ถือว่าเป็นประมงพื้นบ้าน ซึ่งกฎหมายประมง สามารถให้ทำการประมงได้ในพื้นที่ที่ห่างจากฝั่ง 3 กิโลเมตร
       
       ส่วนอวนลากก็อนุญาตได้เฉพาะบริเวณที่เป็นน้ำลึก ห่างจากฝั่ง 3,000 เมตร


งงค่ะ ประมงพื้นบ้านจับปลาห่างฝั่ง 3 กม. ประมงอวนลาก ห่างฝั่ง 3000 เมตร
3000 เมตร มันก็ 3 กม. เหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ งี้มันก็ทับกันซิคะ พื้นที่ทำกินน่ะค่ะ
บันทึกการเข้า

***********************************************************************
ไม่สวย แต่เลือกมาก
ทางเลือกเป็นของทุกคน แต่เลือกแล้วต้องยอมรับผลทั้งหมดที่ตามมา
chickykai
สี่ดาวยังอยู่แค่เอื้อม
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 108



« ตอบ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2008, 02:51:06 AM »

ทส.เตรียมโอนย้าย อช.14 แห่งให้กรมทรัพยากรทางทะเลฯ ดูแล

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 4 พฤศจิกายน 2551 19:34 น.


นายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า สัปดาห์นี้จะเรียกประชุมคณะทำงานระดับกระทรวง เพื่อพิจารณาโอนย้ายอุทยานแห่งชาติทางทะเล 14 แห่ง จาก 21 แห่ง มาอยู่ในความดูแลของกรมทรัพยกรทางทะเลและชายฝั่ง ตามนโยบายของ นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากบุคลากรมีความพร้อมในการบริหารจัดการมากกว่า และยอมรับว่ามีนโยบายให้เอกชนเช่าพื้นที่อุทยานเพื่อการท่องเที่ยว เพราะมีความพร้อมในการบริหารจัดการทางด้านนี้
ก่อนหน้านี้ นางอนงค์วรรณมีหนังสือให้ตั้งคณะกรรมการระดับกระทรวง พิจารณาโอนย้ายอุทยานแห่งชาติทางทะเล จากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ไปอยู่ในความดูแลของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการประชุมหารือกันอย่างเป็นทางการ โดยหนึ่งในคณะกรรมการระดับกระทรวง ให้ความเห็นว่า การพิจารณาโอนย้ายต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งในด้านวิชาการ และการบริหาร เพราะเป็นแหล่งจัดเก็บรายได้อันดับ 1

****************************************************************************************************************************************************
 
บันทึกการเข้า

***********************************************************************
ไม่สวย แต่เลือกมาก
ทางเลือกเป็นของทุกคน แต่เลือกแล้วต้องยอมรับผลทั้งหมดที่ตามมา
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.038 วินาที กับ 19 คำสั่ง