พฤศจิกายน 28, 2025, 11:54:46 PM
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว
: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ค้นหา
สมาชิก
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
กระดานข่าว Save Our Sea.net
>
หมวดหมู่ทั่วไป
>
ห้องรับแขก
(ผู้ดูแล:
สายชล
,
สายน้ำ
) >
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2551
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2551 (อ่าน 4002 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2551
«
เมื่อ:
พฤศจิกายน 07, 2008, 12:29:26 AM »
กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนปกคลุมภาคเหนือ และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีลมตะวันออกพัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนกระจายและมีฝนตกหนักในระยะนี้
อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ำในทะเลจีนใต้ตอนล่าง จะเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคใต้ตอนล่างและประเทศมาเลเชีย ในช่วงวันที่ 8-9 พ.ย. 51 ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเพิ่มมากขึ้น
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 34องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
คาดหมาย
ในช่วงวันที่ 7-8 พ.ย. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ประกอบกับมีคลื่นกระแสลมตะวันตกจะเคลื่อนผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนอง และ มีฝนตกหนักบางพื้นที่ในระยะแรก จากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศา ส่วนร่องความกดอากาศต่ำยังคงพาดผ่านภาคใต้ตอนบน และอ่าวไทย ทำให้มีฝนกระจาย และมีฝนหนักบางแห่ง
สำหรับในช่วงวันที่ 9-12 พ.ย. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิจะลดลงอีก 1-3 องศา และมีลมแรง ส่งผลให้ร่องความกดอากาศต่ำมีกำลังแรงขึ้น และเลื่อนลงไปพาดผ่านภาคใต้ตอนกลาง และอ่าวไทย ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตรในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง
ข้อควรระวัง
ในวันที่ 7-8 พ.ย. ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้บริเวณจังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา เพชรบูรณ์ หนองคาย เลย อุดรธานี สกลนคร นครพนม ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี และในช่วงวันที่ 9-12 พ.ย. บริเวณจังหวัด สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา และระนองให้ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะฝนตกหนัก ส่วนชาวเรือในอ่าวไทยควรเพิ่มความระมัดระวังอันตรายจากการเดินเรือโดยเฉพาะ บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย
Forecast2.jpg
(40.98 KB, 693x430 - ดู 446 ครั้ง.)
Earthquake.jpg
(24.32 KB, 400x435 - ดู 431 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2551
«
ตอบ #1 เมื่อ:
พฤศจิกายน 07, 2008, 12:36:00 AM »
ไทยรัฐ
แคดเมียมในหมึกสด
:
มันมากับอาหาร
อาหารเป็นปัจจัย หนึ่งในสี่ที่สำคัญต่อร่างกาย เคยมีคนบอก ถ้าอยากมีสุขภาพดีต้องกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย
แต่อาหารที่ดีของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน บางคนว่า...อาหารที่กินอยู่ทุกวันนี้ดีอยู่แล้ว แต่บางคนก็ว่า ที่กินไปนั้นยังไม่พอต้องกินเพิ่มเข้าไปอีก
ถ้าจะให้ดีต้องดูคุณค่าทางโภชนาการของอาหารด้วย
อาหารทะเลเป็นอาหารอีกชนิดที่เราไม่ควรมองข้าม มีแร่ธาตุและสารอาหารมากมาย แต่ใครจะรู้ว่า ในสิ่งที่เรากำลังจะกินนั้น อาจมีโทษอยู่เหมือนกัน เช่น ปลาหมึก
เพราะในปลาหมึกอาจพบโลหะหนักแคดเมียมตกค้างอยู่
แคดเมียมเป็นโลหะหนักชนิดหนึ่ง ที่ใช้ในอุตสาหกรรมย้อมผ้า แพร กระดาษ หมึกพิมพ์
ปกติโลหะหนักเป็นสารที่คงตัว ไม่สามารถย่อยสลายได้ในกระบวนการธรรมชาติ จึงมีบางส่วนตกตะกอนสะสมอยู่ในดิน โดยเฉพาะดินตะกอนที่อยู่ในน้ำ
ดังนั้น การปนเปื้อนของโลหะหนักในสัตว์น้ำ เช่น ปลาหมึก จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่ผ่านมา เรา
พบแคดเมียมในหมึกกระดองและหมึกสายมากกว่าหมึกกล้วย
เนื่องจากหมึกสายจะหากินตามผิวดินเขต น้ำตื้น หมึกกระดองหากินตามผิวดินในทะเล ส่วนหมึกกล้วยจะหากินกลางทะเล การ สะสมแคดเมียมในหมึกจึงอยู่ในส่วนของไส้มากกว่าเนื้อ
ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยง จึงควรเอาไส้ออกทุกครั้งก่อนนำมารับประทาน แต่ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนก็ก่อให้เกิดอันตรายได้เช่นกัน
เมื่อร่างกายของเราได้รับแคดเมียมจะสะสมอยู่ในไตเป็นหลัก แต่ถ้าได้รับมากจะสะสมอยู่ใน ตับ
อาการเป็นพิษเนื่องจากได้รับแคดเมียมมากๆ จะทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ตะคริว จนถึงท้องร่วง
วันนี้สถาบันอาหารจึงสุ่มตัวอย่าง ปลาหมึกสดที่วางขายใน จ.สมุทรสาคร และกรุงเทพฯ 5 ตัวอย่าง เพื่อวิเคราะห์หาการตกค้างของแคดเมียม
ปรากฏว่า พบการตกค้างในทุกตัวอย่าง แต่ยังไม่เกินค่ามาตรฐาน!
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2551
«
ตอบ #2 เมื่อ:
พฤศจิกายน 07, 2008, 12:45:13 AM »
มติชน
นักวิชาการ ‘ชี้’ โครงการหรูพังระบบนิเวศอ่าวพังงา
คณะพนักงานสอบสวนพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ลงสำรวจการก่อสร้างริมอ่าวพังงา พบว่าหลายแห่งผิดกฎหมาย หลายโครงการมีการทำรายงานสิ่งแวดล้อมไม่ถูกต้อง เป็นโครงการขนาดใหญ่ส่งผลต่อทรัพยากรชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะระบบนิเวศชายฝั่ง เช่น ป่าชายเลน หญ้าทะเล และแนวปะการัง ซึ่งเป็นแหล่งทำกินของชาวบ้าน เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำที่มีค่าทางเศรษฐกิจ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นำรายได้สู่ประเทศ หากระบบเหล่านี้ถูกทำลายหรือเสื่อมโทรม จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตของชุมชนซึ่งมีผลต่อเนื่องไปถึงเศรษฐกิจระดับประเทศ
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2551
«
ตอบ #3 เมื่อ:
พฤศจิกายน 07, 2008, 12:52:24 AM »
ไทยโพสต์
พม่ายอมถอย ถอนเรือรบ พ้นเบงกอล
บังกลาเทศเผยพม่าถอนเรือรบ 2 ลำออกจากอ่าวเบงกอลแล้วเมื่อวันพฤหัสบดี หลังเกิดกรณีพิพาทแหล่งก๊าซระหว่างสองประเทศนี้อยู่นานหลายวัน
ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างพม่าและบังกลาเทศปะทุขึ้นหลังทางการพม่าส่ง รือรบออกช่วยบริษัทน้ำมันสัญชาติเกาหลีสำรวจแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน บริเวณน่านน้ำห่างจากเกาะเซนต์มาร์ตินของบังกลาเทศไปทางใต้ราว 50 กิโลเมตร จากนั้นทางการบังกลาเทศส่งเรือรบ 4 ลำออกตรวจตราพื้นที่พิพาททันที พร้อมประกาศจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ
"ฝ่ายพม่าได้ถอนเรือรบทั้ง 2 ลำกลับไปแล้ว ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดี แม้ขณะนี้ยังมีความตึงเครียดหลงเหลืออยู่บ้าง แต่คาดว่าพม่ากำลังเตรียมถอนเรือสำรวจน้ำมันอีก 4 ลำกลับไปเช่นกัน ส่วนฝ่ายเราจะถอนเรือกลับทันทีที่พม่าเรียกเรือสำรวจดังกล่าวกลับ" เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งของกองทัพเรือบังกลาเทศเผยกับสำนักข่าวต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับคำยืนยันของโฆษกกองทัพบังกลาเทศ
นายอีฟเตคาร์ อาห์เหม็ด ชาวดรีย์ รัฐมนตรีต่างประเทศของบังกลาเทศ เดินทางไปพม่าเมื่อวันพฤหัสบดี เพื่อเจรจาคลี่คลายข้อขัดแย้งของสองฝ่ายที่ดำเนินมา 4 วัน ด้านเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งของทางการพม่าระบุว่า รัฐบาลทหารพม่ายินดีเจรจากับบังกลาเทศ ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่าการสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมีขึ้นในเขตน่านน้ำ ของพม่าซึ่งอยู่ห่างจากพื้นที่พิพาทกับบังกลาเทศ เจ้าหน้าที่ผู้นี้อ้างด้วยว่ามีประเทศที่สามเขามาแทรกแซงปัญหานี้ โดยบอกเป็นนัยว่าคือสหรัฐ
ก่อนหน้านี้ พม่าเคยสำรวจพบแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ในอ่าวเบงกอล พร้อมประกาศชัดเจนว่าจะเดินหน้าการสำรวจต่อไป แต่บังกลาเทศอ้างว่าพื้นที่นอกชายฝั่งหลายจุดที่พม่าพยายามเข้าไปสำรวจนั้น อยู่ในเขตน่านน้ำของตน
สองประเทศเจรจาปักปันเขตแดนทางทะเลบริเวณพื้นที่พิพาทมานานหลายปี รวมถึงการหารือระดับรัฐมนตรีที่กรุงธากาเดือนที่แล้วด้วย แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้.
******************************************************************************************************************************
ขึ้นภู-ดูหมอก! ระวัง 4 โรคร้าย
คลินิกเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดินทาง เตือนนักท่องเที่ยวสัมผัสอากาศหนาวต้องฟิตร่างกายสม่ำเสมอ เผย 4 โรคสำคัญที่ป่วยกันมาก หากมีอาการให้รีบไปพบแพทย์
คลินิกเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดินทาง โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ออกคำเตือนว่า ช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงมกราคม เป็นช่วงที่มีอากาศหนาวจัด นักท่องเที่ยวมักนิยมเดินทางไปตั้งแคมป์บริเวณยอดดอยหรือยอดภูเพื่อชม ทัศนียภาพ เช่น แม่คะนิ้ง และทะเลหมอก แต่หลังกลับจากการท่องเที่ยวมักจะพบผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัด ปอดบวม โรคหัด โรคภูมิแพ้อากาศ และโรคหอบหืดเป็นจำนวนมาก
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ แก่นักท่องเที่ยวเกิดจากเชื้อไวรัสที่เจริญเติบโตและแพร่เชื้อได้ดีในสภาพ อากาศแห้งชื้น ซึ่งอากาศหนาวยิ่งส่งผลให้ความต้านทานโรคลดลง เนื่องจากร่างกายอาจปรับสภาพไม่ทัน ดังนั้นก่อนการเดินทางควรดูแลร่างกายโดยออกกำลังอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 30 นาที และควรเตรียมเสื้อกันหนาว ถุงมือ และผ้าห่มติดกระเป๋าไปด้วย เพื่อรักษาอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่
นอกจากนี้ควรดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ และอาบน้ำเร็วกว่าปกติเพื่อหลีกเลี่ยงอากาศเย็น เพราะน้ำเย็นมากอาจกระตุ้นทำให้เกิดไข้หวัดได้ง่าย ซึ่งพบผู้ป่วยมากในฤดูหนาว เชื้อไวรัสจะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และโรคนี้ติดต่อได้ง่ายโดยการหายใจ ไอ หรือจามรดกัน อาการเด่นคือมีไข้ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว น้ำมูกไหล ไอ จาม อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร การป้องกันควรหลีกเลี่ยงอยู่ในที่แออัดรวมกับผู้ป่วย และการรักษาควรพักผ่อนมากๆ รับประทานยาตามอาการ
"ปอดบวม"
ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อปอด หลอดลม และถุงลม ทำให้มีของเหลวเกิดขึ้นในถุงลม โรคนี้ส่วนใหญ่เป็นโรคแทรกซ้อนและเกิดหลังจากไข้หวัดประมาณ 2-3 วัน อาการเด่นมีอาการไอ เจ็บหน้าอก มีไข้สูงและหายใจหอบ
"โรคหัด"
เป็นโรคที่แพร่กระจายเชื้อได้อย่างรวดเร็ว มักพบมากในช่วงฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส พบมากในน้ำลายของผู้ป่วย ติดต่อโดยการไอ จาม หายใจรดกัน หรือการสัมผัสสิ่งของเครื่องใช้ร่วมกัน มีอาการระยะแรกคล้ายหวัด มีไข้สูงตลอดเวลา กินยาไข้ก็ไม่ลด และถ่ายเหลวบ่อยครั้งเหมือนท้องเดิน ผู้ป่วยเด็กอาจชักได้เมื่อไข้ขึ้นสูง
"โรคภูมิแพ้อากาศ"
พบในฤดูหนาวมากกว่าฤดูอื่น เกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ทางการหายใจ อาการเด่นชัดคือคันจมูก คันตา น้ำมูกใส จามบ่อย แน่นจมูกตอนเช้า หากไม่อยากให้โรคภูมิแพ้อากาศมารบกวนก่อนเตรียมตัวจัดกระเป๋าควรนำเสื้อกัน หนาวและที่นอนมาทำความสะอาดก่อนน้ำกลับมาใช้ใหม่ และที่สำคัญควรพักผ่อนให้พอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
"โรคหอบหืด"
เหตุคือมลภาวะในอากาศหน้าหนาวจะเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะหมอกและควันพิษจะไม่ลอยสูงขึ้นไปตามลม ทำให้เราหายใจนำมลพิษเข้าไปในปอด มลพิษเหล่านี้อาจเป็นสารกระตุ้นให้เกิดโรคหอบหืดได้ง่าย ดังนั้นหากไปเที่ยวในสภาพพื้นที่ที่มีอากาศหนาวควรเตรียมหน้ากากอนามัยไว้ สวมด้วยเพื่อเป็นการป้องกัน
หากนักท่องเที่ยวสงสัยว่าเป็นโรคดังกล่าว หรือมีอาการไม่สบายหลังจากการเดินทางท่องเที่ยวควรไปพบแพทย์ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้ที่คลินิกเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดินทาง ในวันและเวลาราชการ โทรศัพท์ 0-2354-9100 ต่อ 1405 และนอกเวลาราชการ ต่อ 1410 หรือเว็บไซต์
http://www.thaitravelclinic.com
.
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2551
«
ตอบ #4 เมื่อ:
พฤศจิกายน 07, 2008, 12:54:51 AM »
ข่าวสด
อธิบดีกรมป่าไม้รุดจี้คดีตัดป่า"กระบี่" ลั่นเอาผิดจอมบงการ-ขอทหารสนับสนุน
กระบี่ - เมื่อเร็วๆ นี้ นายสมชัย เพียรสถาพร อธิบดีกรมป่าไม้ เดินทางตรวจราชการที่สำนักจัดการป่าไม้ที่ 17 จังหวัดกระบี่ เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีบุกรุกทำลายป่าในพื้นที่ ม.6 ต.อ่าวลึกเหนือ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ พร้อมมอบนโยบายให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด โดยมีนายเชิดวิทย์ คงมีสุข ผอ.สำนักงานจัดการป่าไม้ที่ 17 จังหวัดกระบี่ให้การต้อนรับ
นายสมชัย กล่าวว่า ขณะนี้ก็เริ่มเข้าสู่หน้าแล้ง กอปรกับสภาวะเศรษฐกิจแบบที่เป็นอยู่ ทางกรมป่าไม้ได้ประเมินสถานการณ์เอาไว้ว่า น่าจะมีแนวโน้มในการบุกรุกทำลายป่าเพิ่มมากขึ้น และค่อนข้างจะรุนแรงในช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึงนี้ สำหรับการเตรียมความพร้อมในการดูแลรักษาป่าในช่วงฤดูแล้ง คือ วัตถุประสงค์ประการแรก ส่วนประการที่สอง คือ การติดตามเรื่องของผลคดีรายใหญ่ ซึ่งมีการจับกุมไปเมื่อวันที่ 28 ต.ค. ที่ผ่านมา
โดยหน่วยประสานงานป้องกันและปราบปรามการทำลายทรัพยากร ป่าไม้จังหวัดกระบี่ พร้อมเจ้าหน้าที่จากหน่วยป้องกันและรักษาป่า ที่กบ.5 ปลายพระยา เจ้าหน้าที่ตชด.426 กระบี่ เข้าทำการจับขบวนการลักลอบตัดไม้ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติฯ หมู่ที่ 6 ต.อ่าวลึกน้อย อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ พร้อมของกลางท่อนไม้ซุงทั้งหมด รวม 84 ท่อน ประกอบด้วย ไม้เต็งรัง ไม้ตะเคียนหิน ไม้ช้างแหก และไม้สักภูเขา พร้อมยึดรถบรรทุกสิบล้อ 6 คัน รถบรรทุก 6 ล้อ 5 คัน และรถกระบะ 5 คัน รถแบ๊กโฮไว้อีก 1 คัน เลื่อยโซ่ยนต์ อีก 3 เครื่อง รวบผู้ต้องหาไว้ได้รวม 8 ราย ซึ่งเป็นการจับกุมขบวนการลักลอบตัดไม้รายใหญ่ที่สุดในพื้นที่จังหวัดกระบี่ และเป็นที่สนใจของประชาชน ดังนั้น จึงต้องเร่งขยายผลสอบสวนในเรื่องนี้ต่อไป
"ในส่วนของการขยายผลนั้น เป็นหน้าที่ของกรมป่าไม้และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะดำเนินการต่อไป ขอยืนยันว่าเราจะดำเนินการถึงที่สุดและไม่ยกเว้นใครทั้งนั้น นอกจากนี้ จะขอความร่วมมือจากกองทัพ เพื่อให้ร่วมสอบสวนหาผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังคดีนี้ด้วย" อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าว
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2551
«
ตอบ #5 เมื่อ:
พฤศจิกายน 07, 2008, 12:57:57 AM »
แนวหน้า
‘พัทยา’ลุยพัฒนาเกาะล้าน หวังเจียระไนเพชรเม็ดงาม รองรับแหล่งท่องเที่ยวโลก
ชลบุรี:ที่เกาะล้าน เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี นายวชิรวิชย์ กุดกลาง หัวหน้าสำนักงานเมืองพัทยาสาขาเกาะล้าน ให้การต้อนรับคณะที่ปรึกษานายกเทศมนตรีเมืองพัทยา พร้อมทั้งสมาชิกเมืองพัทยา ในโอกาสที่ลงพื้นที่เพื่อศึกษาระบบพื้นที่เกาะล้านเกี่ยวกับศักยภาพระบบ สาธารณูปโภค เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและด้านการท่องเที่ยว ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เพื่อเปลี่ยนระบบให้เป็นสากลหวังรองรับนักท่องเที่ยวอนาคต
โดยนายวชิรวิชย์ เปิดเผยว่า เกาะล้านมีพื้นที่ทั้งหมด 3,500 ไร่เป็นพื้นที่ภูเขาจำนวน 70% มีพื้นที่เอกชนจำนวน 20% มีโฉนดจำนวน 18% ที่ออกเอกสารสิทธิ์ได้อย่างถูกต้อง มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวเฉลี่ยวันละ 7,000-12,000 คน ทั้งปีมีนักท่องเที่ยวมาเยือน 120,000 คน สร้างรายได้ให้กับเมืองพัทยาปีละหลายล้านบาท ปัจจุบันได้มีการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิง อนุรักษ์ อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังขาดในเรื่องของการจัดการระบบสาธารณูปโภคในเรื่องขยะ สิ่งแวดล้อม ไฟฟ้า ประปา ความปลอดภัยนักท่องเที่ยวรวมถึงพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง ซึ่งต้องมีการวางแผนอย่างมีระบบ
ด้าน ดร.วิษณุ พะลายานนท์ ประธานที่ปรึกษานายกเมืองพัทยา เปิดเผยว่า การเดินทางลงพื้นที่เกาะล้านในครั้งนี้เพื่อเจียระไนเพชรเม็ดงามของเกาะล้าน ซึ่งเป็นแหล่งสุดท้ายของเมืองพัทยาในการพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวให้ มากขึ้น ซึ่งในปีหน้าเมืองพัทยาจะได้ส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยการเร่งแก้ไขปัญหาจราจร การทำที่จอดรถจอดเรือ นำเรือจอดในน้ำทั้งหมด สร้างอาคารที่จอดรถบริเวณแหลมบาลีฮาย สร้างรถไฟฟ้า 11 กิโลเมตรซึ่งจะเชื่อมต่อแหลมบาลีฮายปรับปรุงสภาพแวดล้อมโดยรวมของแหลมบาลีฮา ย
ขณะที่นายนิรันดร์ วัฒนสาสตร์สาธร ที่ปรึกษานายกเทศมนตรีเมืองพัทยา เปิดเผยว่า เมืองพัทยาได้ทุ่มงบกว่า 30 ล้านบาทในการบริหารจัดการด้านประปาให้บริษัทเอกชนรับผิดชอบ ด้านระบบไฟฟ้าเมืองพัทยาทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาทในการจัดทำสายเคเบิ้ลใต้น้ำในการวางสายไฟฟ้าใต้ทะเลมายังเกาะล้าน คาดปีหน้าจะได้ดำเนินโครงการอย่างเต็มกำลังอย่างน้อย 2552-2553 ปีจึงจะเห็นเป็นรูปธรรม
**************************************************************************************************************************
กรมธนารักษ์ลงพื้นที่สตูล เก็บข้อมูลพิพาทรีสอร์ทดัง
สตูล:ภายหลังจากที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้แจ้งความพร้อมกับทำหนังสือถึงบริษัท อาดัง รีสอร์ท จำกัด ทำการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างพื้นที่ๆ ได้รับสัมปทานจากกรมธนารักษ์บนเกาะอาดัง อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อนที่มีปัญหาระหว่างกรมธนารักษ์และกรมอุทยานฯ เนื่องเดิมพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของกรมธนารักษ์ ต่อมาภายหลังได้มีการประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติขึ้น โดยพื้นที่ยังอยู่ในความรับผิดชอบกรมธนารักษ์ แต่กรมอุทยานฯ เองก็มีสิทธิ์ในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่อาจจะเกิดผลกระทบภายในอุทยานฯ ด้วยเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าล่าสุดนางสาวสุพัฒน์ตรา ล้อมลักษณ์ ผู้ตรวจราชการกรมธนารักษ์ พร้อมผู้อำนวยการสำนักบริหารที่ราชพัสดุ 2 กรมธนารักษ์ และคณะได้เข้าพบนายสยุมพร ลิ่มไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมรวบรวมให้อธิบดีกรมธนารักษ์ พิจารณาข้อพิพาทการทับซ้อนพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งในเรื่องนี้ทาง จ.สตูล ซึ่งมีนายสยุมพร ลิ่มไทย ผวจ.สตูล ผู้รับอำนาจเต็มจากกรมธนารักษ์ร่วมกันหารือและรวบรวมเอกสารข้อมูลในการ เตรียมเจรจากันระหว่างกรมอุทยานฯ กับกรมธนารักษ์ ในกรณีความขัดแย้งถึงพื้นที่พิพาทกันระหว่างรัฐเพื่อหาข้อยุติปัญหา ซึ่งหากยังหาข้อยุติไม่ได้จะมีแนวทางในการเจรจาในระดับสูงต่อไปในระดับ กระทรวง ซึ่งเป็นกลไกในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของรัฐโดยมีคณะกรรมการพิจารณาความขัด แย้งของรัฐเข้าแก้ปัญหาข้อยุติในครั้งนี้
โดยนายสยุมพร กล่าวว่า การเจราจาหารือระหว่างกรมธนารักษ์ และกรมอุทยานฯ จะเริ่มขึ้นเร็วที่สุด โดยจะมีการเจรจากันภายในกรมฯ พร้อมกันนี้ในส่วนของภาคเอกชนผู้รับสัมปทานก็สามารถยื่นอุทรหลังกรมอุทยานฯ ยื่นเรื่องร้องดำเนินคดีได้ และร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอความเป็นธรรมส่วนจะฟ้องใครเป็นจำเลยที่ 1 หรือที่ 2 นั้นก็ขึ้นอยู่กับเอกชนสามารถทำได้
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
หมวดหมู่ทั่วไป
-----------------------------
=> ห้องรับแขก
=> กิจกรรมและผลงาน
=> เรื่องเล่าชาวทะเล
=> ท่องเที่ยวทั่วแผ่นดิน
=> คุยเฟื่องเรื่องดำน้ำ
=> หลังเลนส์
=> สรรพชีวิตแห่งท้องทะเล
=> คลังกระทู้เก่า
กำลังโหลด...