กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 28, 2025, 11:55:13 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน 2551  (อ่าน 4173 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2008, 12:49:10 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

พายุโซนร้อน “นูล (Noul)” ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้(18 พ.ย.51) มีศูนย์กลางอยู่บริเวณประเทศกัมพูชา หรือที่ละติจูด 12.6 องศาเหนือ ลองจิจูด 104.2 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 50 กม./ชม. พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนืออย่างช้าๆ คาดว่า พายุนี้จะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำในระยะต่อไป ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนของ ประเทศไทยมีฝนเป็นแห่งๆ

อนึ่ง บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่ได้แผ่ลงมาปกคลุมถึงประเทศ ลาว และทะเลจีนใต้แล้ว คาดว่าจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนในช่วงสายวันนี้ (18 พ.ย. 51) โดยจะเริ่มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้มีเมฆเพิ่มขึ้นในระยะแรก จากนั้นอากาศจะเริ่มหนาวเย็นลง ส่วนมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้นโดยจะมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือระมัดระวังอันตรายจากการเดินเรือในช่วงวันที่ 19-21 พฤศจิกายนนี้ไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีเมฆเป็นส่วนมาก และมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24 องศา สูงสุด 35 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


คาดหมาย

บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลงด้วย ทำให้บริเวณภาคใต้มีฝนเป็นแห่ง ๆ ถึงกระจาย

สำหรับพายุโซนร้อน “นูล (Noul)” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางมีแนวโน้มเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศเวียดนามในวันที่ 18 พ.ย. และอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวไทย ในวันที่ 19 พ.ย. ทำให้ในวันที่ 19-20 พ.ย. บริเวณภาคใต้จะมีฝนเพิ่มมากขึ้น

ในช่วงวันที่ 18-21 พ.ย. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่เสริมลง มาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิลดลง 3 - 5 องศา ส่วนมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้คลื่นลมในอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น


ข้อควรระวัง

ในวันที่ 19-21 พ.ย. ประชาชนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือควรรักษาสุขภาพ ส่วนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไประมัด ระวังอันตรายจากสภาวะฝนที่ตกหนัก อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำล้นตลิ่ง ส่วนชาวเรือในอ่าวไทยควรระวังอันตรายในการเดินเรือในช่วงเวลาดังกล่าว



* Forecast2.jpg (40.7 KB, 693x430 - ดู 768 ครั้ง.)

* Earthquake2.jpg (22.56 KB, 450x307 - ดู 760 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2008, 01:07:19 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


วางทุ่น “สิมิลัน” เพื่อปะการัง เพื่อทะเลไทย


นักดำน้ำอาสาดำลงไปปฏิบัติภารกิจผูกทุ่นใต้น้ำ (ภาพ: กิตตินันท์ รอดสุพรรณ)

       หมู่เกาะสิมิลัน ดินแดนที่มีโลกใต้ทะเลน้ำลึกสวยติดอันดับโลก กำลังจะกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังฤดูกาลท่องเที่ยวกลับมาเยือน
       
       ด้วยเหตุนี้ ทรูวิชั่นส์ จึงร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กองทัพเรือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) และอีกหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน จัดโครงการ “อาสาฯอนุรักษ์ทะเลไทย 2551” ขึ้น เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งอันดามันหลังเกิดภัยพิบัติสึนามิ โดยร่วมทำการผูกทุ่นจอดเรือเพื่อรักษาแนวปะการัง จำนวน 70 ทุ่น ในบริเวณอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา


ตัวทุ่นลอยหลักที่จะลอยอยู่เหนือผิวน้ำ

       สุวรรณ พิทักษ์สินธร นักวิทยาศาสตร์ 8 สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เล่าว่า “ที่เราต้องวางทุ่นเพราะว่าเมื่อก่อนเวลามาเที่ยวมาทะเลก็มาดูปะการัง เรือก็ต้องทิ้งสมอ สมอก็จะโดนปะการัง และก็จะหัก พัง และก็ตาย วันหนึ่งโยนสมอลงมา 20-30 ลำ ปะการังมันก็พังไปเรื่อยๆ จนเกิดความเสียหายมาก เราจึงได้เริ่มการวางทุ่นตั้งแต่เมื่อ 15 ปีที่แล้ว แล้วก็พัฒนามาเรื่อยๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จนปัจจุบันเราหันมาใช้ทุ่นแบบแท่งซีเมนต์”
       
       สำหรับการวางทุ่นแบบฐานซีเมนต์นี้ ออกแบบโดยคุณสุวรรณ เพื่อใช้เป็นแบบทุ่นมาตรฐานของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และเมื่อปี พ.ศ.2548 ก็ได้ติดตั้งในเขตอุทยานแห่งชาติในทะเลอันดามันทั้งหมดให้เป็นระบบเดียวกัน
       
       ลักษณะโดยทั่วไปของทุ่นรุ่นนี้คือ ฐานทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กตัน ด้านบนเป็นห่วงโลหะไร้สนิมสำหรับนำเชือกมาผูก ด้านล่างมีลักษณะเป็นขอบยกสูงตรงกลางบุ๋มเข้าไป เพื่อให้เกิดแรงดูดที่พื้นทะเลอีกทั้งการยกขอบจะทำให้เกิดแรงจิกบนพื้นทราย ทำให้ฐานเคลื่อนที่ได้ยาก สายยึดโยงทำด้วยวัสดุ Polypropylene ทุ่นลอยหลักทำด้วยวัสดุ Polyethelene เชือกและทุ่นลอยหลักมีสีและขนาดต่างกันเพื่อให้ผู้ใช้จำแนกขนาดทุ่นได้ง่าย รวมทั้งแท่งซีเมนต์ก็มีขนาดและรูปร่างต่างกันเพื่อป้องกันการสับสนของผู้ทำการซ่อมบำรุง


เรือยางนำคณะอาสาปฏิบัติงานเปลี่ยนทุ่นเก่า เอาทุ่นใหม่วางแทนที่

       ทั้งนี้ทุ่นถูกแบ่งเป็น 3 ขนาด เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานของเรือขนาดต่างๆ โดย “ทุ่นขนาดเล็ก” ฐานซีเมนต์น้ำหนักไม่น้อยกว่า 1.3 ตัน ตัวทุ่นลอยหลักเป็นสีขาวขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 40 ซม. สายทุ่นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 มล. โดยแบ่งเป็น 2 เส้น คือ เส้นที่ 1 เป็นเชือกเส้นที่ติดกับฐานถักเป็นห่วงที่ปลายทั้งสองด้าน ห่วงด้านหนึ่งติดกับโลหะที่ฐานซีเมนต์ ห่วงอีกด้านติดกับห่วงของลูกทุ่น ส่วนเชือกอีกเส้นตอดกับทุ่นลอยหลักปลายสุดถักเป็นห่วงเพื่อให้เรือนำเชือก เรือมาร้อยผูก เหมาะสำหรับเรือขนาดความยาวไม่เกิน 12 ม.
       
       “ทุ่นขนาดกลาง” ฐานซีเมนต์น้ำหนักไม่น้อยกว่า 4 ตัน ตัวทุ่นลอยหลักเป็นสีแดงหรือส้มเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 ซม. สายทุ่นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 30มล. แบ่งเป็น 3 เส้น ได้แก่เส้นที่ 1 เป็นเชือกที่ติดกับฐาน ถักเป็นห่วงที่ปลายทั้งสองด้าน ห่วงด้านหนึ่งติดกับโลหะที่ฐานซีเมนต์ อีกด้านติดกับห่วงของเชือกเส้นที่ 2 ส่วนเชือกเส้นที่ 2 เป็นเส้นเชือกตรงกลาง เนื่องจากบริเวณที่ความลึกนี้เชือกมักถูกแสงแดดและใบพัดเรือฟันขาดชำรุดได้ง่าย ต้องมีการเปลี่ยนเชือกบ่อย จึงไม่ต้องเปลี่ยนเชือกสายทุ่นทั้งเส้น และเส้นที่ 3 ติดอยู่กับทุ่นลอยหลักปลายสุดถักเป็นห่วงเพื่อให้เรือนำเชือกเรือมาร้อยผูก เช่นเดียวกับเชือกเส้นที่ 2 ของทุ่นขนาดเล็ก เหมาะกับเรือขนาดความยาว 12-20 ม.


นักดำน้ำอาสาดำลงไปร้อยเชือกทุ่นต่อกับฐานซีเมนต์ (ภาพ: กิตตินันท์ รอดสุพรรณ)

       และ “ทุ่นขนาดใหญ่” ฐานซีเมนต์น้ำหนักไม่น้อยกว่า 10 ตัน ตัวทุ่นลอยหลักสีเหลืองเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 ซม. สายทุ่นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 38มล. แบ่งเป็น 3 เส้น เส้นแรกจะคล้ายกับเส้นแรกของทุ่นขนาดกลางแต่จะมีลักษณะเป็นสองทบเพื่อให้มี ความแข็งแรงมากกว่าเชือกเส้นอื่น เพราะทุ่นขนาดใหญ่มักติดตั้งในที่น้ำลึกการซ่อมแซมเชือกส่วนนี้ทำได้ลำบาก จึงต้องทำให้แข็งแรง ส่วนเชือกเส้นที่ 2 และ 3 ก็จะเหมือนกับทุ่นขนาดกลาง ทุ่นขนาดใหญ่นี้เหมาะกับเรือขนาดความยาว 20-30 ม.
       
       สุวรรณ กล่าวอีกว่า “ก่อนการวางทุ่นก็ต้องมีการสำรวจพื้นที่ การวางซีเมนต์ ต้องไปคุยกับคนที่ใช่ว่าเรือเขาจอดตรงไหนบ้าง และพอจะวางจริงก็ให้คนในพื้นที่ไปชี้จุดว่าจะเอาตรงไหน เพราะถ้าวางไม่ดีเรือมันจะฟาดกัน ส่วนการวางทุ่น อันดับแรกเราจะวางใกล้แนวปะการัง ใกล้แหล่งดำน้ำ เพื่อให้เรือที่นำนักท่องเที่ยวมาดำน้ำได้ผูกเรือที่ทุ่นใกล้แหล่งดำน้ำ อันนี้สองคือบริเวณที่เราต้องการให้เค้าจอดเรือ พักเรือ หรืออันที่สาม ถ้ามีเรือประมงเข้ามาใกล้แนวปะการัง พอเขาเห็นทุ่นเขาก็จะได้ไม่ทิ้งสมอแต่ใช้วิธีผูกทุ่นแทน”
       
       “ส่วนการวางฐานซีเมนต์ใต้น้ำก็จะต้องหาจุดวางที่ไม่โดนปะการัง เช่นบริเวณพื้นทรายไม่ทับปะการัง แต่จะวางใกล้ๆแนวปะการัง หรือหากเป็นแนวปะการังใหญ่ๆ เราก็อาจจะวางฐานซีเมนต์แทรกๆ อยู่ตามแนวปะการังโดยต้องไม่ทำให้ปะการังเสียหาย และสำหรับอายุการใช้งาน ในแต่ละส่วนก็ไม่เหมือนกัน ถ้าส่วนฐานซีเมนต์เราคิดว่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 30-40 ปี เชือกตัวล่างอาจจะถึง 40 ปี เชือกเส้นบนซึ่งจะรับแรงมากอาจต้องเปลี่ยนทุกปี ส่วนตัวทุ่นก็จะประมาณ 4-5 ปี” สุวรรณกล่าว


คณะอาสาเตรียมลงเรือยางไปผูกทุ่น ณ จุดผูกทุ่นที่ได้รับมอบหมาย

       ร้อยโทภาณุพัฒน์ ด่านพานิช กองปฏิบัติการพิเศษกรมรบพิเศษที่ 3 หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จ.ลพบุรี และหนึ่งในผู้ที่ดำน้ำลงไปวางทุ่น เล่าว่า “ก่อนการวางทุ่น เราต้องมีการซักซ้อมกันก่อน โดยที่หน่วย จ.ลพบุรี เราจะซ้อมกันที่สระว่ายน้ำ ว่าถ้ามีอุบัติเหตุฉุกเฉินใต้น้ำจะต้องทำอย่างไรบ้าง ถ้าเป็นบัดดี้ที่ลงไปด้วยกันเกิดหมดสติต้องทำอย่างไร ถ้าบั้ดดี้อากาศหมดจะทำอย่างไร รวมถึงทฤษฎีเกี่ยวกับการดำน้ำ การพักน้ำ ด้วย
       
       จากนั้นเมื่อมาถึงยังเกาะสี่หรือเกาะเมี่ยง หมู่เกาะสิมิลัน ก็จะมีผู้เชี่ยวชาญมาชี้แจงว่าทุ่นมีลักษณะแบบไหนบ้าง มีกี่ขนาด จากนั้นก็จะแบ่งมอบงานให้ว่าหน่วยงานของเรารับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องอะไร เกี่ยวกับทุ่นตัวไหน จากนั้นก็จะอธิบายเกี่ยวกับวิธีการผูกเชือก ผูกเงื่อนในแต่ละทุ่น”
       
       ร.ท.ภาณุพัฒน์ เล่าต่อว่า “ส่วนทุ่นที่ผมได้รับมอบหมายเป็นทุ่นขนาดใหญ่สีเหลือง โดยนำไปวางทางฝั่งตะวันตกของเกาะเมียง ที่ความลึก 28 ม. ใช้เวลาอยู่ใต้น้ำทั้งหมดประมาณ 25 นาที และในขณะปฏิบัติหน้าที่เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนอย่างหนึ่งคือ เราต้องไปตัดเชือกทุ่นอันเก่าก่อนที่จะเอาทุ่นอันใหม่ไปผูก แต่โชคดีที่ทีมของผมมีมีดติดตัวสำหรับปฏิบัติการใต้น้ำอยู่แล้ว จึงใช้มีดที่พกมาตัดเชือกเส้นเก่าได้เลยไม่ต้องเสียเวลาขึ้นไปหามีดบนเรือ อีก และอีกหนึ่งปัญหาคือการสื่อสารใต้น้ำ คือเราต้องมีการฝึกซ้อมสัญญาณมือที่จะใช้ใต้น้ำก่อน แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้อย่างเรียบร้อย”


กลุ่มดำน้ำอาสาปฏิบัติภารกิจวางทุ่นใต้น้ำ(ภาพ: กิตตินันท์ รอดสุพรรณ), นักดำน้ำจะนำเชือกที่เตรียมไว้มากร้อยผูกกับฐานซีเมนต์ใต้น้ำ (ภาพ: กิตตินันท์ รอดสุพรรณ)

       ในขณะเดียวกัน เรือเอกเจษฎา เหลืองวงษ์ หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ และหนึ่งในผู้ที่ดำน้ำลงไปวางทุ่น เล่าว่า ก่อนที่จะมาดำน้ำวางทุ่นในครั้งนี้ ตนเคยไปเข้าร่วมโครงการเพื่อสาธารณะประโยชน์ทางทะเลมาแล้วหลายครั้ง เช่น การเก็บขยะใต้ทะเลในโครงการรักษ์ทะเลแสมสาร หรือตอนสึนามิ ตนก็ไปช่วยค้นหาศพ กู้เรือ กู้รถ เป็นต้น จนมาในครั้งนี้ก็ได้มาร่วมโครงการอาสาฯอนุรักษ์ทะเลไทย 2551 และได้ดำน้ำลงไปวางทุ่น
       
       “สถานที่วางทุ่นที่กลุ่มของผมได้รับมอบหมายนั้นคือ เกาะ 8 เกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะสิมิลัน ทางด้านทิศตะวันออก 6 ทุ่น และก็บริเวณหินปูซา จำนวน 12 ทุ่น สำหรับตัวผมดำลงไปวางทุ่นสีเหลืองหรือทุ่นขนาดใหญ่ ที่ความลึก 30 ม. เมื่อดำลงไปในน้ำครั้งแรกเพื่อไปตรวจสภาพทุ่นเก่า และก็เริ่มดำลงไปสำรวจใต้น้ำว่าแท่นฐานซีเมนต์มันอยู่ในสภาพหงายหรือคว่ำ สามาตรผูกได้หรือไม่ จากนั้นก็นำเชือกที่เตรียมไว้ในความยาวที่พอดีกับความลึกน้ำไปผูก และก็ตัดเชือกเส้นเก่าออก แต่ก่อนจะทำสำเร็จนั้นก็เจอปัญหาว่าฐานซีเมนต์ที่อยู่ใต้น้ำมันเกิดพลิกคว่ำ หูที่จะร้อยเชือกจมอยู่ด้านใต้ เราจะพลิกฐานซีเมนต์ก็ไม่ไหวจึงทำโดยการถอดเชือกและผูกกับเชือกเส้นเดิมทำ ให้มันแน่นขึ้น ก็สำเร็จไปด้วยดี” ร.อ.เจษฎา กล่าว


เรือมาผูกเชือกต่อ จากเชือกทุ่นบริเวณชายหาดที่เกาะเมียง หมู่เกาะสิมิลัน, การต่อเชือกตามความลึกของน้ำและขนาดของทุ่นบนฝั่ง ก่อนลงผูกทุ่นใต้ทะเล

       จากนั้น ร.อ.เจษฎา ยังกล่าวถึงความประทับใจในการร่วมโครงการวางทุ่นครั้งนี้ว่า “ประทับใจการรวมตัวของคนที่มีใจอนุรักษ์ค่อนข้างเยอะ และเราได้ผู้นำที่ดี ส่วนในเรื่องของการปฏิบัติงานเราประสานงานกับประชาชนได้ดี ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเรือ ศูนย์อนุรักษ์ และส่วนอื่นๆ ก็ร่วมงานกันได้ดี และในครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงด้วย แล้วก็ได้ร่วมงานกันจนมืดแล้วเราค่อยกลับ เลยมีความประทับใจครับ”
       
       ด้าน เต๊ะ ศตวรรษ เศรษฐกร นักร้องนักแสดงและอาสาแพทย์ มูลนิธิธรรมรัศมีมณีรัตน์ หรือกู้ภัยมังกร จ.ชลบุรี อีกหนึ่งอาสาในโครงการในครั้งนี้ เล่าว่า “ผมดำน้ำมา 6-7 ปีแล้ว คือตอนแรกที่เริ่มดำเพราะว่าต้องถ่ายละคร แล้วก็เกิดติดใจ จึงได้ไปดำน้ำกับเพื่อนๆ อยู่เรื่อยๆ และตอนนี้ก็เป็นไดร์มาสเตอร์ โดยก่อนหน้านี้ช่วงที่ผมทำงานอยู่ไต้หวัน เมื่อได้กลับมาเมืองไทยก็เป็นช่วงก่อนเปิดฤดูท่องเที่ยวทางทะเล เขาจะมีกิจกรรมเก็บขยะใต้ทะเล ผมก็ได้เข้าร่วมโครงการแบบนี้อยู่บ่อยครั้งทั้งที่ ชลบุรี พัทยา หมู่เกาะสุรินทร์ หมู่เกาะสิมิลัน แล้วพอรู้เกี่ยวกับโครงการนี้ทางกลุ่มของผมกลุ่มกู้ภัยมังกรก็เลยมาช่วย ครับ”
       
       “ส่วนของผมเป็นการวางทุ่นครั้งแรก ภารกิจของผมคือดำลงไปเปลี่ยนเอาทุ่นเก่าออก แล้วนำทุ่นใหม่ลงไปผูกข้างล่าง ที่บริเวณเกาะสี่ โดยวางทุ่นขนาดกลางสีส้ม ที่ความลึกประมาณ 31 ม. ซึ่งผมคิดว่าพื้นฐานของการวางทุ่นนี้ไม่ยากเพียงแต่ว่าต้องทำความเข้าใจ เกี่ยวกับการผูกเงื่อน การคล้องเงื่อน คือถ้าเกิดคล้องบนบกมันไม่มีปัญหาเพราะเราใช้เวลาเท่าไรก็ได้ แต่พอลงไปใต้น้ำเรื่องของเวลา เรื่องของอากาศ เป็นข้อจำกัดมาก ต้องมีการซ้อมไม่เช่นนั้นอาจจะเป็นอันตรายกับตัวเราได้


เต๊ะ ศตวรรษ(คนซ้ายผูกผ้าพันคอกู้ชาติสีเหลือง)และกลุ่มเพื่อนอาสาลงไปผูกทุ่นใต้ทะเล

       ซึ่งสำหรับกิจกรรมนี้ผมคิดว่าเป็นกิจกรรมที่ดี ถึงแม้ว่าเราลงไปในครั้งนี้ไม่ได้ไปเชิงสันทนาการหรือว่าท่องเที่ยวเท่าไร แต่มันก็เป็นเชิงอนุรักษ์ที่แบบว่าอย่างน้อยทุกครั้งที่เรามาที่นี่ เราก็รู้ว่าทุ่นนี้เราเป็นคนวางนะ อย่างน้อยเราก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ทำให้ปะการังตรงนี้บริเวณนี้ยังคง สมบูรณ์อยู่” เต๊ะกล่าว
       
       เต๊ะ ยังได้กล่าวอีกว่า “จริงๆแล้วผมเชื่อนะว่าคนที่ชอบท่องเที่ยวในเชิงธรรมชาติ เป็นคนที่จิตใจดีอยู่แล้ว เป็นคนที่จิตใจค่อนข้างจะชอบอะไรที่มันเป็นธรรมชาติพยายามหลีกเลี่ยงออกมา จากสังคมที่ค่อนข้างวุ่นวาย แต่ด้วยบ้างครั้งที่เราไม่ตั้งใจอาจจะเป็นการทำลายธรรมชาติโดยที่รู้เท่าไม่ ถึงการณ์ อย่างเช่นการที่เราลงไปดำน้ำ อาจจะด้วยความที่เรายังไม่มีความชำนาญพอสมควร อาจจะไปทำให้ปะการังเสียหายได้ ข้อแรกๆ ที่อยากจะฝากนักดำน้ำ ก็จะต้องรู้ขีดจำกัดของตนเองว่าความสามารถของตนเองอยู่ที่ขนาดไหน ถ้าเกิดยังไม่พร้อมก็ต้องมีเพื่อนลงไปด้วย แล้วก็พยายามอย่าไปเตะปะการัง เพราะว่าแต่ละกิ่งแต่ละก้านถ้ามันพังไปแล้วมันใช้เวลาหลายปีกว่าจะกลับสู่ สภาพเดิมได้”
       
       เต๊ะยังกล่าวทิ้งทายว่า “หากมีโครงการเช่นนี้อีกผมก็คงทำไปเรื่อยๆ มันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เพราะว่าเวลาที่ผมไม่สบายใจ ผมก็จะออกทะเลอย่างเดียวเลย ก็เหมือนทะเลเป็นบ้านที่สอง อยู่ใต้น้ำแล้วรู้สึกเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเป็นโลกที่สงบแล้วก็ให้อะไรกับเราหลายๆ อย่าง บางทีเราอยู่กับความวุ่นวายเสียงเจี๊ยวจ๊าวทำให้เราสับสน แต่พอเราอยู่ใต้ทะเลเรามีโอกาสได้ฟังเสียงอากาศ บุ๋งๆๆ ขึ้นมา มันก็เป็นอะไรที่ทำให้เราสามารถคิดได้มากกว่าเดิม”


*********************************************************************************************************************************


มั่นใจ “ฝูงบินปะการัง” ทำนักดำน้ำเข้าเพิ่ม

       ศูนย์ข่าวภูเก็ต -ย้ายซากเครื่องบิน “ฝูงบินปะการังเพื่อทะเล” เสร็จเรียบร้อยแล้ว เชื่อหลังจากดำเนินการเสร็จนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าเพิ่มขึ้น
       
       นายสุทิน ศรีรัฐ ผู้รับผิดชอบโครงการ “ฝูงบินปะการังเพื่อทะเล” ของสมาคมดำน้ำ TDA (ประเทศไทย) กล่าวว่า การขนย้ายซากเครื่องบินจำนวน 10 ลำ เพื่อที่จะนำไปทำโครงการ “ฝูงบินปะการังเพื่อทะเล” จากด้านหลังท่าเทียบเรือน้ำลึก จังหวัดภูเก็ต ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต เพื่อนำมาตั้งบนฐานที่บริเวณหน้าท่าเทียบเรือ ขณะนี้การดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้นำเครื่องบินทั้ง 10 ลำขึ้นวางบนฐานเสร็จเรียบร้อยโดยไม่มีปัญหาอะไร
       
       ส่วนในวันพรุ่งนี้ เจ้าหน้าที่จะเริ่มทำการเชื่อมตัวเครื่องบินกับฐานและจัดสมดุลของตัวเครื่อง ก่อนที่จะนำไปวางในบริเวณที่กำหนดไว้ คือ ที่อ่าวบางเทา ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต
       
       ขณะที่ นายมาโนช พันธ์ฉลาด นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมในการจมเครื่องบินนั้น ขณะนี้มีความพร้อมเต็มที่แล้ว ซึ่งในวันงานจะมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเครื่องบิน ทั้ง 10 ลำด้วย เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้ทราบความเป็นมาของเครื่องบินปลดประจำการ นอกจากนั้นจะมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับความเป็นมาของโครงการด้วย
       
       อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า หลังจากโครงการนี้ดำเนินการแล้วเสร็จ จะทำให้นักท่องเที่ยวดำน้ำเดินทางมาดำน้ำในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดปัญหาเรื่องของใช้ทรัพยากรปะการังในแนวปะการังธรรมชาติลง และจะทำให้ปะการังธรรมชาติฟื้นตัวเร็วขึ้น
       
       นายมาโนช กล่าวต่อไปว่า การทำโครงการฝูงบินปะการังเพื่อทะเลจะเป็นการสร้างจุดสนใจให้นับนักดำน้ำทั่วโลก ซึ่งเครื่องบินทั้ง 10 ลำ ได้รับการอนุเคราะห์จากกองทัพอากาศ และโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือจากหลายฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ต้องการพัฒนาสภาพความสมบูรณ์ใต้ท้องทะเลไป พร้อมๆกับการเพิ่มแหล่งดำน้ำแห่งใหม่ให้กับพื้นที่


*****************************************************************************************************************************


โจรสลัดโซมาเลียปล้นเรือบรรทุกน้ำมันซาอุดีอาระเบีย

       โจรสลัดโซมาเลียบุกยึดเรือสินค้าขนาดใหญ่ Sirius Star ของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งบรรทุกน้ำมันมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์ บริเวณฝั่งทะเลตะวันออกของแอฟริกาและพามันมุ่งหน้าไปยังท่าเรือแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของโซมาเลีย
       
       การปล้นเรือบริษัทอารามโก บริษัทเเห่งชาติยักษ์ใหญ่ของซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันอาทิตย์(16) เพิ่มแรงกดดันให้นานาชาติต้องร่วมมือจัดการกับภัยคุกคามจากโจรสลัดที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆบริเวณน่านน้ำโซมาเลีย เส้นทางเดินเรือที่พลุกพล่านมากที่สุดในโลก
       
       "มันคือเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เท่าที่เราพบมา มันเป็นเรือขนาดใหญ่ที่สุดที่ถูกปล้น" เรือเอกนาธาน คริสเทนเซน โฆษกของฐานทัพเรือที่ 5 ของสหรัฐอเมริกา กล่าว "มันมีขนาดใหญ่กว่าเรือบรรทุกเครื่องบินรบถึง 3 เท่า"
       
       เรือ Sirius Star สามารถบรรทุกน้ำมันได้มากถึง 2 ล้านบาร์เรล -- มากกว่า 1 ใน 4 ที่ซาอุดีอาระเบีย ส่งออกในแต่ละวัน ซึ่งผลจากการปล้นครั้งนี้ทำให้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น 1 ดอลลาร์ อยู่ที่ 58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2008, 01:14:48 AM »

ข่าวสด


จัดยิ่งใหญ่งานอนุรักษ์หอยตะเภา

เมื่อ วันที่ 16 พ.ย. นายสมนึก เปลี่ยนเภท นายกอบต.ไม้ฝาด อ.สิเกา จ.ตรัง กล่าวว่า ทางอบต.ไม้ฝาด ร่วมกับ อ.สิเกา องค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง และมหาวิทยาลัยราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง จัดงานวันอนุรักษ์เทศกาลหอยตะเภา ครั้งที่ 23 ประจำปี 2551 ที่บริเวณชายหาดปากเมง ตั้งแต่วันที่ 21-30 พ.ย. เป็นเวลา 10 วัน 10 คืน โดยยังคงมีกิจกรรมต่างๆ มากมายเช่นทุกปีที่ผ่านมา แต่ในปีนี้มีการนำงานมหกรรมอาหารดีทะเลสวยเข้าร่วมด้วย เพื่อเพิ่มความยิ่งใหญ่ของงานมากกว่าปีที่ผ่านๆ มา

สำหรับงานมหกรรมอาหารดีทะเลสวย ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารใน อ.สิเกา ทั้งหมด การแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน รวมทั้งการแข่งขันเก็บหอยตะเภา ในระหว่างวันที่ 29-30 พ.ย. มีการประกวดธิดาหอยตะเภา การประกวดร้องเพลง การแสดงบนเวทีของนักเรียนและชุมชน การแสดงดนตรีจากโรงเรียนต่างๆ การแสดงรถยนต์และรถจักรยานยนต์จากค่ายรถยักษ์ใหญ่ และการจัดนิทรรศการทางวิชาการมากมาย และจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 28 พ.ย.

สำหรับเทศกาลเก็บหอยตะเภา จ.ตรัง ถือเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ประจำปีของชาวอำเภอสิเกา โดยทำให้ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวรู้จักหาดปากเมงเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ เพราะหอยตะเภาเป็นหอยที่พบได้ในพื้นที่จังหวัดตรัง และที่หาดปากเมงเท่านั้น พร้อมทั้งยังจะสามารถเก็บหอยตะเภาได้เฉพาะในช่วงฤดูกาล ฉะนั้น การจัดงานในปีนี้จึงยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเชื่อว่าจะมีนักท่องเที่ยวทั้งในพื้นที่และต่างจังหวัด ให้ความสนใจเดินทางท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก และคาดว่าจะสามารถนำรายได้เข้าสู่จังหวัดตรังไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท


***************************************************************************************************************************


ทม.ป่าตองผ่านงบฯขุดอุโมงค์

ภูเก็ต - นายธารินทร์ อรรถทรัพย์ ประธานสภาเทศบาลเมืองป่าตองเป็นประธานการประชุมสภาเทศบาลเมืองป่าตอง มีนายเปี่ยน กี่สิ้น นายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง คณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล เข้าร่วมวาระการประชุมที่สำคัญ มีการเสนอร่างญัตติเทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 กว่า 271 ล้านบาท ที่ประชุมสภาพิจารณาเห็นชอบในญัตติดังกล่าว ส่วนญัตติร่างเทศบัญญัติเทศบาลเมืองป่าตองกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้างดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารทุกชนิด ทุกประเภทในพื้นที่เทศบาลเมืองป่าตอง ด้านญัตติจ่ายขาดเงินสะสม เพื่อดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษา สำรวจ วิเคราะห์ข้อมูล เส้นทางจราจรรายใหม่ ระหว่างกะทู้-ป่าตอง กว่า 39 ล้านบาท ประชุมสภาเทศบาลเมืองป่าตองก็ได้ให้ความเห็นชอบเช่นกัน

นายเปี่ยน กล่าวว่าการที่สภาเห็นชอบญัตติจ่ายขาดเงินสะสมกว่า 39 ล้านบาท เพื่อดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษา สำรวจ วิเคราะห์ ข้อมูลเส้นทางจราจรใหม่ ระหว่างกะทู้-ป่าตอง จะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวภูเก็ตในอนาคตเนื่องจากจะเป็นการเพิ่มมาตรฐานความ ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว


******************************************************************************************************************************


สตูลเตือนลูกเรือประมงมาเลย์

สตูล - นางสาวรัตนา พละชัย แรงงานจังหวัดสตูล กล่าวว่าปัจจุบันมีประชาชนในพื้นที่จังหวัดสตูล และจังหวัดใกล้เคียง นิยมเดินทางไปทำงานในประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะการไปทำงานเป็นลูกเรือประมงสัญชาติมาเลเซีย หรือเรือประมงสองสัญชาติ(ไทย-มาเลเซีย) มีค่าตอบแทนเป็นแรงจูงใจ แต่บ่อยครั้งที่มีลูกเรือเหล่านี้ประสบปัญหาในเรื่องการถูกเบี้ยวค่าจ้าง ประสบอุบัติเหตุ ถึงแก่ชีวิตหรือทุพพลภาพ โดยไม่สามารถเรียกร้องหาความรับผิดชอบจากใครได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีการถูกจับกุมข้อหากระทำผิดกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองและการทำงานของบุคคลต่างด้าวของประเทศมาเลเซีย ไม่มีเอกสารการเดินทาง และใบอนุญาตทำงาน ต้องรับโทษจำคุก 2 เดือน หรือปรับ เป็นการยากที่หน่วยงานภาครัฐจะเข้าไปช่วยเหลือติดตามและหาตัวผู้รับผิดชอบ เนื่องจากนายจ้างเป็นชาวต่างชาติ และไม่ทราบรายละเอียดของนายจ้างไม่มีเลขทะเบียนเรือที่ชัดเจน ขอเตือนมายังลูกเรือประมงและไต้ก๋งเรือทุกคนที่ทำงานในน่านน้ำมาเลเซีย โดยเฉพาะต้องมีบัตรลูกเรือประมงที่ออกโดยด่านตรวจคนเข้าเมือง ศึกษาข้อห้ามต่างๆ เช่นอาณาบริเวณที่ทางการมาเลเซียอนุญาตให้จับปลา อาณาบริเวณที่อนุญาตให้ลูกเรือประมงขึ้นฝั่งได้

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2008, 01:21:06 AM »

คม ชัด ลึก


"อิงค์"ดำน้ำสำลักกลางทะเลรอดตายครั้งที่สอง



เมื่อ เวลา 13.00 น. วันที่ 17 พฤศจิกายน เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยสว่างบริบูรณ์พัทยา จ.ชลบุรี รับแจ้งเหตุนักท่องเที่ยวสำลักน้ำทะเล ซึ่งได้รับความช่วยเหลือและนำมาส่งที่ท่าเทียบเรือแหลมบาลีฮาย ท่าบี จึงเดินทางไปช่วยรับผู้บาดเจ็บ พร้อมคณะแพทย์และรถพยาบาลโรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา พบเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ 2 ชั้น ชื่อรุ่งทวีทรัพย์ กำลังเข้านำเรือเทียบท่า ส่วนคนเจ็บทราบชื่อ นายอชิตะ ปราโมช ณ อยุธยา หรืออิงค์ ดารานักร้องชื่อดัง สภาพอ่อนเพลียต้องอาศัยคนคอยพยุงตลอดเวลา แต่ยังมีสติและพูดเจรจารู้เรื่อง

 จากนั้นเจ้าหน้าที่นำตัว "อิงค์" อชิตะ ไปรักษาที่โรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา หลังแพทย์ตรวจอาการพบว่า "อิงค์" อชิตะ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยหลังจากสำลักน้ำทะเล โดยแพทย์อนุญาตให้เดินทางกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้

 "อิงค์" อชิตะ กล่าวถึงนาทีชีวิตว่า วันเกิดเหตุเดินทางมาพร้อมเพื่อนกว่า 10 คน และได้เช่าเหมาเรือท่องเที่ยวรุ่งทวีทรัพย์เพื่อไปดำน้ำชมปะการังบริเวณเกาะ สาก ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับเกาะล้าน ห่างจากชายฝั่งพัทยาไปประมาณ 10 กิโลเมตร แล้วเกิดสำลักน้ำทะเล เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต แต่ครั้งนี้ยังถือว่ามีอาการไม่รุนแรง แตกต่างจากครั้งแรกที่เกิดอาการ "น็อกน้ำ"  หรือที่เรียกว่า "โรคน้ำหนีบ" โดยมีฟองอากาศในเลือดเกิดจากการดำน้ำลึกๆ ซึ่งมีแรงดันอากาศภายนอกสูงมาก เมื่อขึ้นมาจากใต้น้ำเร็ว จะทำให้แรงดันอากาศลดลงอย่างรวดเร็ว ก๊าซต่างๆ ที่ละลายในเลือดกลายเป็นฟองอากาศ และไปอุดตันตามหลอดเลือด ทำให้ขาดออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ เกิดการหมดสติอย่างกะทันหัน หรืออัมพาตบางส่วน เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นที่สัตหีบ ถึงขั้นต้องนอนพักที่โรงพยาบาลสิริกิติ์


********************************************************************************************************************************


ฝูงบินปะการังเพื่อทะเล



จำเป็นต้องเลื่อนกำหนดการออกมาเพื่อความปลอดภัย ถึงวันนี้คณะผู้ดำเนินงานนำโดย มูลนิธิเพื่อทะเล กองทัพอากาศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต องค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล จ.ภูเก็ต ฯลฯ เห็นว่ามีความพร้อมที่จะสานต่อโครงการให้เกิดผลสำเร็จ จึงจัดงานแถลงข่าวอีกครั้งที่ สยามโอเชี่ยนเวิร์ล ศูนย์การค้าสยามพารากอน เมื่อวันก่อน

 วิทเยนทร์ มุตตามระ กรรมการและเลขานุการ มูลนิธิเพื่อทะเล กล่าวย้อนถึงที่มาของโครงการดังกล่าวว่า หลังจากกลุ่มนักดำน้ำได้สุ่มสำรวจสิ่งแวดล้อมใต้ทะเลบริเวณฝั่งอันดามัน หลังเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติคลื่นยักษ์สึนามิ  ก็พบว่ามีความเสียหายและทรุดโทรมอย่างหนัก มูลนิธิฯ จึงริเริ่มแนวคิดสร้างแนวปะการังเทียมขึ้นใหม่ เพื่อสร้างระบบนิเวศใหม่ให้สิ่งมีชีวิตในท้องทะเล และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์โดยการดึงดูดความสนใจนักท่องเที่ยวและ นักดำน้ำไปยังจุดใหม่ๆ

 "และจากการศึกษาอย่างละเอียดถึงสถานที่จัดวางแนวปะการังเทียมและ วัสดุที่จะนำมาใช้ในครั้งนี้ จึงได้ข้อสรุปที่ทะเลอันดามันบริเวณจังหวัดภูเก็ต โดยใช้เครื่องบินปลดประจำการซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากกองทัพอากาศ ซึ่งนอกจากเรื่องคุณสมบัติแล้ว แนวปะการังจากซากเครื่องบินเหล่านี้ จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่ได้รับความสนใจจากนักดำน้ำทั่วโลกอีก ด้วย เนื่องจากเป็นแนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก" วิทเยนทร์กล่าว

 ด้าน นอ.พงษ์ศักดิ์ เสมาชัย ผอ.กองประชาสัมพันธ์ กรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ กล่าวว่า กองทัพอากาศตระหนักถึงข้อดีที่เครื่องบินปลดประจำการจำนวน 10 ลำ ซึ่งได้แก่ เครื่องบินแบบดาโกต้า รุ่น ซี 47 จำนวน 4 ลำ และเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ ลำเลียงรุ่น เอส 58 ที จำนวน 6 ลำ ซึ่งเคยผ่านการปฏิบัติภารกิจมาเป็นจำนวนมาก นำกลับมาทำประโยชน์ ซึ่งเสมือนว่าโครงการนี้เป็นการนำเครื่องบินที่เคยเป็นวีรบุรุษของวงการบิน ไทยกลับมารับใช้ชาติอีกครั้งหนึ่ง

 "บางคนอาจจะกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เนื่องจากตัวเครื่องบินทำจากอะลูมิเนียม มีความคงทนต่อน้ำทะเลไม่เป็นสนิม อีกทั้งรูปทรงยังถูกออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ จึงไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมและไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำอย่างแน่นอน" ผอ.กองประชาสัมพันธ์กล่าว

 ขณะที่ วันเสด็จ ถาวรสุข รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวด้วยความมั่นใจว่า โครงการฝูงบินปะการังเพื่อทะเล จะเป็นแนวปะการังเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่จะกลายเป็นจุดท่องเที่ยวใหม่ที่มีชื่อเสียงของโลกซึ่งจะนำนักดำน้ำเข้ามา ท่องเที่ยวในประเทศไทยได้เป็นจำนวนมาก นอกจากจะช่วยสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศแล้ว ยังเป็นการสร้างรายได้เข้าสู่พื้นที่อีกด้วย

 ทั้งนี้ สาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด ได้กล่าวเสริมในฐานะองค์กรที่มุ่งเน้นเรื่องการตอบแทนสังคมว่า การสร้างแนวปะการังเทียมครั้งนี้นับเป็นโครงการที่มีประโยชน์มาก เพราะนอกจากช่วยสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่ปลาและสิ่งมีชีวิตใต้น้ำแล้ว ยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม จึงเชื่อว่าโครงการในครั้งนี้จะเป็นความภาคภูมิใจอีกครั้งของคนไทยทั้งประเทศ

 "และในวันที่ 29 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ จะมีพิธีวางเครื่องบินลำสุดท้ายลงสู่ที่หมาย และเปิดจุดดำน้ำท่องเที่ยวแห่งใหม่ของประเทศไทย โดยมี วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธี ทั้งนี้จะเปิดให้นักดำน้ำรุ่นแรกลงไปชมจุดดำน้ำใหม่ โดยจะมีการจำหน่ายบัตรให้แก่ผู้สนใจด้วย" กรรมการและเลขานุการมูลนิธิเพื่อทะเล ย้ำถึงผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมนี้อีกครั้ง

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2008, 01:30:09 AM »

กรุงเทพธุรกิจ


'อิงค์ อชิตะ' ดำดูปะการัง สำลักน้ำหวิดดับ


อิงค์ อชิตะ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ หลังประสบอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา

"อิงค์ อชิตะ" นักร้องนักแสดงชื่อดัง รอดตายแบบหวุดหวิด หลังสำลักน้ำทะเลขณะดำน้ำชมปะการัง บริเวณเกาะสาก พัทยา

เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (17 พ.ย.) เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยสว่างบริบูรณ์พัทยา จังหวัดชลบุรี ได้รับประสานงานจากเรือท่องเที่ยวรุ่งทวีทรัพย์ว่าได้นำนักท่องเที่ยวที่ สำลักน้ำทะเลมาส่งยังท่าเทียบเรือแหลมบาลีฮาย ท่าบี หลังรับแจ้งจึงประสานงานไปยังโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา และเดินทางไปรับผู้บาดเจ็บ พร้อมคณะแพทย์และรถพยาบาลกรุงเทพพัทยา

เมื่อเรือเทียบท่า พบเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่ 2 ชั้น ชื่อรุ่งทวีทรัพย์ กำลังนำเรือเทียบท่า ส่วนคนเจ็บทราบชื่อ นายอชิตะ ปราโมท ณ อยุธยา หรือ อิงค์ อชิตะ ดารานักร้องนักแสดงชื่อดัง ซึ่งมีอาการรู้สึกตัวดีพูดคุยได้ โดยเจ้าหน้าที่กำลังช่วยเหลือ เพื่อนำตังลงจากเรือ ด้วยอาการอ่อนเพลีย โดยมีคนช่วยผยุงตลอดเวลา

จากนั้นคณะแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา ได้นำตัวนักร้องชื่อดัง ขึ้นรถโรงพยาบาล เพื่อไปทำการรักษาอาการ ส่วนอาการหลังจากคณะแพทย์ได้ตรวจและรักษา ซึ่งนายอชิตะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากการสำลักน้ำ ซึ่งคณะแพทย์หลังทำการรักษาจึงอนุญาตให้เดินทางกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้

สำหรับ นายอิงค์ อชิตะ ได้เดินทางมาพร้อมเพื่อนกว่า 10 คน และได้เช่าเหมาเรือท่องเที่ยวรุ่งทวีทรัพย์ เพื่อไปดำน้ำชมปะการังบริเวณเกาะสาก ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับเกาะล้าน ห่างจากชายฝั่งพัทยาไปประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร แล้วเกิดสำลักน้ำทะเล

ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเป็น ครั้งที่ 2 แล้ว แต่ครั้งนี้ยังถือว่ามีอาการไม่รุนแรง ซึ่งแตกต่างจากครั้งที่แล้วที่เกิดขึ้นกับนายอิงค์ อชิตะ เพราะครั้งที่แล้วเกิดการน๊อคน้ำบริเวณทะเลสัตหีบ ถึงขั้นนอนโรงพยาบาลสิริกิตติ์

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2008, 01:33:37 AM »

สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น


ดินไหวในอินโดฯมีผู้เสียชีวิต 4 คน เจ็บ 44 คน

    เหตุแผ่นดินไหวในอินโดนีเซีย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 คนและบาดเจ็บ 77 คน ขณะที่บ้านเรือนประชาชนถูกทำลายกว่า 800 หลัง

    เหตุแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 7.5 ริกเตอร์ ในช่วงหลังเที่ยงคืนเมื่อวานนี้ ที่บริเวณนอกชายฝั่งทะเลของเกาะสุลาเวสี ล่าสุด สำนักข่าวเอพี รายงานว่า ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 คน ได้รับบาดเจ็บ 77 คน และยังทำให้บ้านเรือนประชาชนถูกทำลายอย่างย่อยยับถึง 800 หลังคาเรือน โดยหัวหน้าศูนย์หายนภัยของกระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซีย ระบุว่า เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ประชาชนที่อยู่ตามบ้านเรือน, โรงแรมที่พัก และแม้แต่ในโรงพยาบาล รู้สึกแตกตื่นและพากันวิ่งหนีตาย หลังบ้านเรือนหลายถูกถกพังราบเป็นหน้ากลองเพราะอิทธิพลของแรงสั่นสะเทือน

    ด้านผู้อยู่ในเหตุการณ์ระบุว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้กินเวลานานกว่า 2 นาที ซึ่งทำให้บ้านเรือนของเขาสั่นสะเทือน ทำให้เขาต้องรีบคุ้มกันความปลอดภัยแก่ลูกๆ และวิ่งออกมาอยู่นอกบ้าน ส่วนแขกที่เข้าพักในโรงแรมพาราดิสโซ่ ต่างรู้สึกกลัวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ ซึ่งบางรายถึงกับเป็นลมหมดสติคาที่พัก

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2008, 05:06:45 AM »


เดลินิวส์

"ชาวบ้านฮือฮา""เต่าตนุ"เผือกคู่แรกของไทย
   

 
ฮือฮา! เต่าตนุเผือกคู่แรกแห่งสยาม ถือกำเนิดที่ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลกองทัพเรือ สัตหีบ หลังคณะ สัตวแพทย์กับทหารเรือไปเก็บจากเกาะครามมาฝังทรายที่ชายหาดหน้าศูนย์ฯ สั่งดูแลอย่างดีเลี้ยงไว้ในศูนย์ฯ ไม่ปล่อยคืนสู่ทะเล หวั่นเป็นอาหารสัตว์ใหญ่ เพราะสีโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ อำพรางตัวไม่ได้ เชื่อเป็นสัตว์มงคล ชาวบ้านแห่ชมขอหวยแน่

เมื่อเช้าตรู่วันที่ 17 พ.ย. พล.ร.ต.จักรชัย ภู่เจริญยศ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (ผบ.สอ.รฝ.) ได้รับรายงานจาก นาวาเอก มนตรี จึงมั่นคง ผอ.ต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (ศสร.สอ.รฝ.) ซึ่ง เป็นหน่วยงานที่ดูแลศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ว่าไข่เต่าตนุที่ รศ.สพญ.ดร.นันทริกา ชันซื่อ ผอ.ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ สพญ.ฐนิดา เหตระกูล สพญ.นงนุช อัศวรรษ์เกษม สพญ.เยาว์ประภา มาธุระ นสพ. ต่อศักดิ์ ตั้งตรงไพโรจน์ รศ.นสพ.ดร.จิรศักดิ์ ตั้งตรงไพโรจน์ และนาวาเอก อารัญ เจียมอยู่ รอง ผอ.ศสร.สอ.รฝ. พร้อมเจ้าหน้าที่ศูนย์ เดินทางไปเก็บมาพร้อมกับไข่เต่ากระ จากเกาะคราม นำมาฝังทรายทำการเพาะฟักไว้ที่หาดทรายหน้าศูนย์ เพื่ออนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา ปรากฏว่าไข่ได้ฟักตัวออกมาแล้ว โดยมีลูกเต่าตนุสีขาว หรือเต่าตนุเผือก 2 ตัว ถือกำเนิดมาด้วย พล.ร.ต.จักรชัย พร้อม รศ.สพญ. ดร.นันทริกา และสพญ.ฐนิดา จึงเดินทางไปตรวจเยี่ยมและดูอาการของลูกเต่าตนุเผือก

รศ.สพญ.ดร.นันทริกา เปิดเผยว่า เบื้องต้นพบว่าลูกเต่าตนุเผือกทั้งสองตัว มีสุขภาพแข็งแรง มีการปล่อยให้คลานบนพื้นทราย และว่ายน้ำเพื่อขยายปอด แต่ไม่สามารถปล่อยคืนสู่ธรรมชาติได้เพราะเต่าเผือกมีเอกลักษณ์โดดเด่น ไม่สามารถอำพรางตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในทะเลได้ เมื่อลงไปในทะเลจะมีสีขาวแปลกกว่าชนิดอื่น ๆ จึงตกเป็นเป้าให้กับสัตว์ ใหญ่กัดกินเป็นอาหาร จำเป็นจะต้องเลี้ยงและดูแลอย่างดี โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพ ป้อง กันการติดเชื้อโรคของลูกเต่า เพื่อให้ประชาชน เยาวชน นิสิต นักศึกษา ได้มาชื่นชมลูกเต่าตนุเผือกคู่แรกของประเทศไทย หรือคู่แรกแห่งสยาม เพราะคนไทยเชื่อกันว่าสัตว์ทุกชนิดที่มีสีเผือกเป็นสัตว์มงคลคู่บ้านคู่ เมือง และมักนำไปถวายเลี้ยงไว้ในรั้วในวัง

ขณะที่ พล.ร.ต.จักรชัย กล่าวว่า รู้สึกดีใจไปพร้อมกับทุกคนที่ทราบข่าว เพราะเต่าเผือกเป็นสัตว์หายาก เท่าที่ติดตามข้อมูลเคยพบที่ประเทศออสเตรเลียและเม็กซิโก ส่วนในประเทศไทยไม่เคยพบมาก่อน ถือเป็นเต่าตนุเผือกคู่แรกแห่งสยาม ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดูแลอย่างดี โดยมี รศ.สพญ.ดร.นันทริกา พร้อมคณะสัตวแพทย์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาตรวจร่างกาย รักษาโรค แนะนำเจ้าหน้าที่ในการดูแลอย่างถูกวิธี เพื่อต้องการลดปริมาณการตายของลูกเต่าให้มากที่สุด สำหรับลูกเต่าคงต้องเลี้ยงไว้ที่บ่อเต่าทหารเรือจนกว่าจะตายไปตาม อายุ เพราะถ้าขืนปล่อยไปหากินตามธรรมชาติ เท่ากับปล่อยไปให้สัตว์ทะเลกินอย่างแน่นอน เชื่อว่าหลังเป็นข่าวออกไป คงมีประชาชนเข้ามาขอโชคลาภและเลขเด็ดกัน เพราะเชื่อกันว่าเป็นสัตว์มงคลหายาก.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 18, 2008, 06:30:20 AM โดย สายชล » บันทึกการเข้า

Saaychol
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.026 วินาที กับ 20 คำสั่ง