กระดานข่าว Save Our Sea.net
เมษายน 30, 2024, 02:52:05 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม 2552  (อ่าน 4542 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: มกราคม 08, 2009, 12:37:14 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนได้แผ่เข้าปกคลุมประเทศเวียดนาม ลาวตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทยแล้ว คาดว่าจะแผ่เข้าปกคลุมภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกในวันนี้ (8 ม.ค.52) ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศหนาวเย็นลงทั่วไป และอุณหภูมิลดลง 2-5 องศา กับมีลมแรง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรง ขึ้นด้วย ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและคลื่นลมในอ่าวไทยสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กในอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดสุราษฏร์ธานีลงไปควรงดออกจากฝั่ง ในช่วงวันที่ 9-14 ม.ค. 52


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศเย็น กับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 20-21 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-32 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


คาดหมาย

บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีอากาศหนาวเย็น ส่วนภาคใต้จะมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ สำหรับคลื่นลมในอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 8-12 ม.ค. 2552 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนอีกระลอกหนึ่งจะแผ่ลงมาปกคลุม ประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิลดลง 2-5 องศา อากาศหนาวเย็นลงโดยทั่วไปและมีลมแรง ส่วนภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและคลื่นลมในอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังแรง


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 9-13 ม.ค. ภาคใต้ตอนล่างจะมีฝนเพิ่มขึ้น ชาวเรือในอ่าวไทยควรระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กตั้งแต่จังหวัดสุราษฏร์ธานีลงไปควรงดออกจากฝั่ง



* Forecast2.jpg (38.35 KB, 684x423 - ดู 1147 ครั้ง.)

* Earthquake2.jpg (26.78 KB, 500x340 - ดู 1152 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 08, 2009, 12:42:38 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 08, 2009, 12:57:28 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


จับตา 5 ประเด็นร้อน สิ่งแวดล้อมใน "ปีกอริลลา"


การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 31 มี.ค.-4 เม.ย.51 ณ กรุงเทพฯ เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายหลังพิธีสารเกียวโตหมด อายุในปี 2555 (เอเอฟพี)

      สหประชาชาติจะได้ข้อสรุปแนวทางการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนหลังพิธีสารเกียวโตหมดอายุหรือไม่ ดาวเทียมไครโอแซต 2 ของอีซาจะซ้ำรอยเดิมหรือเปล่า ญี่ปุ่นจะได้ล่าวาฬสมใจนึกหรือไม่ แล้ว "ปีกอริลลา" จะช่วยให้กอริลลารอดพ้นจากการขึ้นบัญชีสัตว์สูญพันธุ์ได้จริงหรือ ผู้จัดการวิทยาศาสตร์ชวนจับตาประเด็นร้อนเรื่องสิ่งแวดล้อมในปี 52
       
       ภาวะโลกร้อนและนานาปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ก่อตัวและสั่งสมมายาวนานเริ่มแสดงอานุภาพให้มนุษย์เห็นและลิ้มรสกันไปบ้างแล้ว ซึ่งในปี 2552 นี้ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่พวกเราได้ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงจะมีการประชุมใหญ่เกิดขึ้นเพื่อหาข้อสรุปในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่ง ริชาร์ด แบล็ก (Richard Black) ได้เขียนบทความเกี่ยวกับ 5 เรื่องสิ่งแวดล้อมที่ควรจับตามองในปีนี้ลงในบีบีซีนิวส์ และทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ ได้สรุปออกมาดังนี้

       1. จับตาทิศทางโลกหลังพิธีสารเกียวโตหมดอายุ
       
       พิธีสารเกียวโตกำลังจะสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ฉะนั้นสหประชาชาติ (ยูเอ็น) จึงต้องประชุมหารือกันเพื่อจัดทำข้อตกลงร่วมกันขึ้นใหม่เพื่อเป็นแนวทางการ แก้ปัญหาภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งต้นเดือน ก.ค. 52 นี้ ประเทศที่เข้าร่วมเจรจาตกลงจะต้องลงมติเห็นชอบร่างพันธะสัญญาฉบับใหม่ฉบับแรกของสหประชาชาติ ที่มีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นไปตามเป้าการสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการปรับตัวเพื่อรับกับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน การถ่ายทอดเทคโนโลยีสะอาด การทุ่มทุนเพื่อรักษาป่าและอื่นๆ โดยคาดการณ์ว่าข้อตกลงฉบับนี้จะแล้วเสร็จและมีพิธีลงนามร่วมกันในการประชุมด้านการภูมิอากาศของสหประชาชาติที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ในเดือน ธ.ค. นี้
       
       ทว่าสิ่งสำคัญที่ต้องจับตามองก็คือเป้าหมายของสหรัฐฯ และญี่ปุ่นที่พวกเขากำหนดขึ้นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ภายในปี 2563 ซึ่งเป้าหมายอยู่ที่ประเทศกำลังพัฒนาที่มีทีท่าว่าพวกเขาเต็มใจที่จะยอมรับ ในข้อตกลงใหม่ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยลดการทำลายป่า และได้รับเงินทุนจำนวน 50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถบรรเทาปัญหาโลกร้อนได้
       
       ความซับซ้อนนี้ชวนให้สงสัย ถ้าหากว่ามันล้มเหลว มันจะอยู่ห่างไกลจากข้อตกลงทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และถ้าแบล็คเป็นหนึ่งในผู้เจรจา เขาคิดว่าเขาอยากหนอนหลับเสียเดี๋ยวนั้นเลยถ้าหากว่าทำได้


ปี 52 นาซาเตรียมปล่อยดาวเทียมโอซีโอ (OCO) เพื่อขึ้นไปเก็บข้อมูลปริมาณการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมของมนุษย์ และปริมาณที่ป่าไม้สามารถดูดซับได้ เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน (ภาพจาก http://oco.jpl.nasa.gov)

       2. ปฏิบัติการดาวเทียมไขปัญหาภาวะโลกร้อน
       
       ในขณะที่กระบวนการของสหประชาชาติดำเนินไปอย่างหนักแน่นภายใต้การควบคุมของนักการเมือง กลุ่มคณะทำงานทางด้านวิทยาศาสตร์ก็ค้นหาแนวทางใหม่ที่ดียิ่งขึ้นในการเก็บ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยและตัวแปรสำคัญของสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และในปี 2552
       
       ทั้งดาวเทียม โอซีโอ (Orbiting Carbon Observatory: OCO) ของสหรัฐฯ และโกแซต (Greenhouse gases Observing SATellite: GOSAT) ของญี่ปุ่น ซึ่งดาวเทียมทั้งสองได้รับการออกแบบมาเพื่อสำรวจปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมต่างๆ และศักยภาพในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศด้วยความแม่นยำใน แบบที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน วางแนวทางแก้ไขและสามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ ซึ่งข้อมูลการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของป่าไม้มีความสำคัญมากในทางการเมือง สามารถใช้ในการกำหนดเป้าหมายการรักษาป่าที่แม่นยำได้
       
       ขณะเดียวกันด้านองค์การอวกาศยุโรป หรืออีซา (European Space Agency: ESA) ก็มีแผนที่จะปล่อยดาวเทียมไครโอแซต 2 (CryoSat-2) ในปีนี้ เพื่อสำรวจปริมาณน้ำแข็งขั้วโลก หลังจากที่ไครโอแซตลำแรกที่ได้รับการวางตัวให้ปฏิบัติภารกิจเดียวกันนี้เกิดระเบิดเสียหายไปเสียก่อนในขณะขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อปี 2548 ซึ่งโครงการนี้จะให้ข้อมูลที่ดียิ่งกว่าว่าการที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเป็นตัวเร่งให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายลง และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นในศตวรรษที่จะถึงนี้ จริงหรือไม่


กอริลลาแม่ลูกในเขต อุทยานแห่งชาติของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ถ่ายไว้เมื่อ 12 ธ.ค. 52 ซึ่งกอริลลาเป็นสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ และนักอนุรักษ์ได้กำหนดให้ปีนี้เป็น "ปีของกอริลลา" (รอยเตอร์)

      3. ปี 52 ปีของกอริลลา
       
       กลุ่มนักอนุรักษ์สัตว์ป่ากำหนดให้ปี 2552 นี้เป็นปีของกอริลลา (Year of the Gorilla) เพื่อให้ผู้คนตระหนักถึงสาเหตุที่ทำให้สัตว์ป่าที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมนุษย์อย่างกอริลลาลดจำนวนลง
       
       การประกาศให้ปีเหล่านี้เป็น "ปีของ..." (years of the...) ได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความตระหนักไปเสียแล้วหรือ? ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปดูในปี 2551 ก็พบว่าได้มีการประกาศให้เป็นปีต่างๆ มากมาย เช่น ปีของกบ (the year of the frog) ปีของมันฝรั่ง (the year of the potato) หรือแม้กระทั่งปีของโลมา (the year of the dolphin) ทว่าตัวผู้เขียนเองก็ไม่แน่ใจว่าอนาคตของสิ่งเหล่านั้นจะดีขึ้นอย่างที่หวังไว้ได้จริงจากการรณรงค์เพื่อปรับปรุงแก้ไขแค่ในระยะเวลา 12 เดือน
       
       ทว่าในกรณีของกอริลลาก็ดูจะมีความหวังอยู่บ้าง อาทิ การดำเนินคดีกับผู้ที่ลักลอบล่ากอริลลา จัดตั้งองค์กรอนุรักษ์กอริลลา และลดปัญหาการปะทะกันระหว่างกอริลลากับมนุษย์ ซึ่งสาธารณรัฐแคเมอรูนก็เพิ่งได้จัดตั้งอุทยานแห่งชาติแห่งใหม่ขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อให้เป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์กอริลลาครอสริเวอร์ (Cross River gorilla) ซึ่งกำลังถูกคุกคามมากที่สุดในขณะนี้ ทว่าการปกป้องกอริลลาในเขตสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกนั้นยังเปราะบางอยู่มาก เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งของประชาชนภายในประเทศเอง


มนุษย์ไม่ควรทำให้สัตว์ใดๆ ต้องกลายเป็นสัตว์ป่าหายากเท่าๆกับไม่ทำให้กลายเป็นสัตว์สูญพันธุ์ (ภาพจาก www.gujaratindia.com)

       4. "แค่สัตว์หายาก" ไม่น่าตื่นเต้นเท่า "สัตว์สูญพันธุ์"
       
       สถาบันหลายแห่งต่างจัดงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่ให้กับวาระครบรอบ 200 ปี วันคล้ายวันเกิดของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) นักธรรมชาติวิทยาผู้ยิ่งใหญ่ของโลก พร้อมกับงานครบรอบ 150 ปี การตีพิมพ์หนังสือ ออน ดิ ออริจิน ออฟ สปีชีส์ (On the Origin of Species)
       
       บางส่วนในหนังสือกล่าวถึงเรื่องเกี่ยวกับการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต (On the Demise of Species) ซึ่งแบล็คสงสัยเหลือเกินว่าดาร์วินคงจะเข้าใจปัญหาของกอริลลาได้ไม่เลวที เดียว ซึ่งเขาได้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์คือผู้ที่จับสัตว์ต่างๆไปเลี้ยงและเพื่อให้มันรอดพ้นจากการสูญพันธุ์ ทว่าได้บอกใบ้เป็นนัยว่าการล่าอย่างตั้งอกตั้งใจ นั่นคือสิ่งที่เราทำสิ่งที่ผิดพลาดจนทำให้ธรรมชาติเสื่อมโทรมลง
       
       ทั้งนี้ การขึ้นบัญชีสิ่งมีชีวิตหายากก่อนที่จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้ว อาจให้ความรู้สึกที่ไร้ความตื่นเต้นกับสิ่งมีชีวิตที่เป็นสปีชีส์หายาก ทว่ามันจะเป็นเรื่องน่าตกตะลึงทันทีที่สัตว์นั้นเกิดสูญพันธุ์ขึ้นมา คล้ายกับที่ไม่มีคนรู้สึกประหลาดใจกับการที่ใครคนหนึ่งเจ็บไข้ได้ป่วย แต่เมื่อใดที่เขาเสียชีวิตลง ผู้คนก็จะตกใจและสงสัยในความรุนแรงของสิ่งที่เป็นสาเหตุการตายของเขาขึ้นมาทันที
       
       กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เราไม่ควรเป็นสาเหตุทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ เข้าข่ายเป็นสิ่งมีชีวิตหายากเท่าๆกับที่ไม่ควรทำให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปแล้ว


ซากวาฬที่ถูกชาว ประมงชำแหละบริเวณท่าเรือวาดะ เมืองมินามิโบโซ (Minamiboso) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงโตเกียว เมื่อเดือน ม.ค. 51 ซึ่งญี่ปุ่นเป็นประเทศที่สนับสนุนการล่าวาฬ (รอยเตอร์)

       5. วาฬและนักล่าวาฬ ใครจะมีชัยในการประชุมไอดับเบิลยูซีปี 52
       
       ถ้าปีนี้มีอิทธิพลต่อกรณีเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็คงสำคัญกับวาฬและผู้ล่าวาฬไม่น้อยไปกว่ากัน ฉะนั้นเราจึงต้องจับตาดูทั้งวาฬและการประของคณะกรรมการควบคุมการล่าวาฬระหว่างประเทศ หรือไอดับเบิลยูซี (International Whaling Commission: IWC) ที่จะจัดขึ้นที่ประเทศโปรตุเกสในเดือน มิ.ย. 52
       
       กว่าปีครึ่งที่นานาประเทศโต้แย้งกันถึงเรื่องการประนีประนอมการล่าวาฬและข้อกำหนดเรื่องการห้ามล่าวาฬเพื่อการค้าของไอดับเบิลยูซีที่บังคับใช้มากว่า 20 ปี ซึ่งการประชุมในปีนี้จะต้องได้ข้อสรุปในการปฏิรูปกฏเกณฑ์การล่าวาฬที่ยืดเยื้อมานาน ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากหลายฝ่าย
       
       อย่างไรก็ดี ปัญหาทางการเมืองเป็นเรื่องที่น่าหวาดหวั่น และคงไม่มีความชัดเจนแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วพรรคการเมืองต่างๆจะตกลงเห็นชอบด้วยก็ตาม และหากเป็นเช่นนั้นจริง ข้อบังคับห้ามล่าวาฬเชิงพาณิชย์ที่ยืนหยัดมายาวนานถึง 2 ทศวรรษ จะถูกคว่ำไปได้อย่างใด และอาจกล่าวอ้างได้ว่านี่เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จยิ่งใหญ่ของกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อการอนุรักษ์วาฬ
       
       ทั้งนี้ ในการประชุมของไอดับเบิลยูซีเมื่อปีกลางปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นได้ขู่ว่าจะถอนตัวจากไอดับเบิลยูซี หากไม่ยอมยกเลิกคำสั่งห้ามล่าวาฬเชิงพาณิชย์ ซึ่งญี่ปุ่น ไอซ์แลนด์ และนอร์เวย์ เป็นกลุ่มประเทศที่สนับสนุนการล่าวาฬ

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: มกราคม 08, 2009, 01:04:35 AM »

มติชน


ลุ่มน้ำโขง ที่สุวรรณภูมิ มีความหลากหลายทางชีวภาพ              :            คอลัมน์ สุวรรณภูมิ สังคมวัฒนธรรม  ปรับปรุงจากรายงานขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF)



รายงาน ล่าสุดจากองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) เผยถึงการค้นพบสัตว์และพืชสายพันธุ์ใหม่ครั้งสำคัญกว่า 1,000 ชนิดพันธุ์ในประเทศแถบลุ่มน้ำโขงในรอบทศวรรษที่ผ่านมา

First Contact in the Greater Mekong เป็นรายงานฉบับพิเศษครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่รวบรวมชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ที่ถูกค้นพบใหม่จำนวน 1,068 ชนิด ในแถบลุ่มน้ำโขงและยังไม่เคยมีการเผยแพร่อย่างเป็นทางการมาก่อน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ด้านความหลากหลายทางชีวภาพของลุ่มน้ำแห่งนี้

โดยสรุปชนิดพันธุ์พืชที่ถูกค้นพบมีถึง 519 ชนิด, ปลา 279 ชนิด, กบ 88 ชนิด, แมงมุม 88 ชนิด, จิ้งจก 46 ชนิด, งู 22 ชนิด, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 15 ชนิด, เต่า 4 ชนิด, นก 4 ชนิด, ซาลาเมนเดอร์ 2 ชนิด, คางคก 1 ชนิด, และคาดว่าจะมีสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอีกนับพันชนิด

การค้นพบชนิดพันธุ์ใหม่เหล่านี้ ไม่แตกต่างไปจากการค้นพบแผ่นดินใหม่บนโลกใบนี้ ตัวอย่างเช่น



หนูคะยุ (Laotian rock rat) ซึ่งเป็นหนูชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่บนเขาหินปูน ที่เราคิดว่าสูญพันธุ์ไปเมื่อ 11 ล้านปีที่แล้ว แต่นักวิทยาศาสตร์กลับพบโดยบังเอิญในตลาดสดเล็กๆแห่งหนึ่งในประเทศลาว

งูเขียวหางไหม้ท้องเขียวใต้ (Siamese Peninsula pitviper) ที่กำลังเลื้อยผ่านนักท่องเที่ยวในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในประเทศไทย

แมงมุมขายาว (Huntsman spider) ซึ่งเป็นแมงมุมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยขาแต่ละข้างยาวถึง 30 ซม. ลองคิดดูถ้าขาทั้ง 8 ของแมงมุมชนิดนี้กางออกพร้อมกัน ขนาดของมันจะใหญ่เพียงใด

กิ้งกือมังกรสีชมพู (Dragon millipede) ที่มีลำตัวสีชมพูจัดจ้าน แต่แฝงไปด้วยพิษของไซยาไนด์ที่มันสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเอง

" นี่คือ การยืนยันความมหัศจรรย์ในความหลากหลายทางชีวภาพในภูมิภาค" ดร.วิลเลียม เชดล่า ผู้อำนวยการ WWF ประเทศไทย ย้ำบันทึกหน้าสำคัญที่จะกลายเป็นประวัติธรรมชาติวิทยาของโลก พร้อมระบุเหตุผลที่สำคัญประการหนึ่งคือ "ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเสมือนชุมทางหรือจุดเชื่อมต่อของความ หลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทย คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่มีความสำคัญต่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ เพราะชนิดพันธุ์ต่างๆในถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ มีกระจายมาจากเทือกเขาหิมาลัย แม่น้ำโขง ทะเลอันดามัน และระบบนิเวศอื่นๆ อีกมากมาย"

" มีการรับรู้และเข้าใจที่ผิดๆที่ว่าภูมิภาคนี้ไม่มีความสำคัญด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ทรัพยากรจึงถูกคุกคามบนความไม่รู้มาก่อน แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์แล้ว เกือบทุกครั้งที่ออกไปสำรวจมักจะพบกับความหลากหลายของชนิดพันธุ์ใหม่ๆ แต่โชคร้ายว่าการสำรวจจะต้องแข่งกับการคุกคามที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว" ราอูล เบน ผู้เชี่ยวชาญด้านความหลากหลายทางชีวภาพ จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งอเมริกา แสดงความเห็นที่ต้องขบคิด

วันนี้ สายน้ำและผืนป่าที่โอบอุ้มความร่ำรวยของความหลากหลายทางชีวภาพอันล้ำค่า กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตท่ามกลางความกดดันและแรงบีบคั้นจากการพัฒนาทาง เศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น การที่จะปกป้องรักษาสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคง ในการดำรงอยู่ของมนุษย์โดยการลดปัญหาความยากจน และการสร้างความเชื่อมั่นที่จะเป็นหลักประกันในการดำรงอยู่ของชนิดพันธุ์และ ถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ในแถบประเทศลุ่มน้ำโขง

ขณะ นี้องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือ WWF ได้ประสานงานกับรัฐบาล และภาคอุตสาหกรรมของประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ทั้ง 6 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา พม่า และจีน (ตอนใต้) ในการวางแผนการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืน ครอบคลุมพื้นที่ที่ต่อเนื่องกันกว่า 600,000 ตร.กม.เพื่อดำเนินการอนุรักษ์ผืนป่า และแหล่งน้ำจืด อันเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติที่มีความโดดเด่น แต่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น ข้อตกลงร่วมกันระหว่าง 6 ประเทศ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนอย่างยิ่ง


สุวรรณภูมิ หลากหลายทางชีวภาพ



ดินแดนอุดมสมบูรณ์ของอุษาคเนย์ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพนี้ มีชื่อเรียกราว 2,000 ปีมาแล้วว่าสุวรรณภูมิ ดังคำอธิบายของ สุจิตต์ วงษ์เทศ ในหนังสือ ศิลปะสุวรรณภูมิ SUVARNABHUMI ART (กระทรวงวัฒนธรรม พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2550) ดังนี้

สุวรรณภูมิ แปลตามรูปศัพท์ว่าแผ่นดินทอง หรือดินแดนทอง แต่มีคำเฉพาะเรียกใช้มานานแล้วว่าแหลมทอง หมายถึงบริเวณผืนแผ่นดินใหญ่ของอุษาคเนย์ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อราว 2,500 ปีมาแล้ว อันเป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ประกอบด้วยสัตว์, พืชพันธุ์ธัญญาหาร และแร่ธาตุต่างๆ ทั้งเป็นแหล่งของกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายที่ล้วนเป็นเครือญาติทางสังคม วัฒนธรรม และเป็นบรรพชนของคนไทยทุกวันนี้

พจนานุกรม อธิบายคำ สุวรรณ [สุ-วัน] น. ทอง.(ส. สุวรฺณ; บ. สุวณฺณ). ภูมิ 1, ภูมิ- [พูม, พู-มิ, พูม-มิ-] น. แผ่นดิน, ที่ดิน. ภูมิ 2 น. พื้นความรู้, ปัญญา. ภูมิ 3 ว. สง่า, ผึ่งผาย, องอาจ. สุวรรณภูมิ น. ดินแดนทองคำ

สุวรรณภูมิ เป็นชื่อเก่าแก่มีในคัมภีร์โบราณ เช่น มหาวงศ์พงศาวดารลังกา, ชาดกพุทธศาสนาในอินเดีย, และนิทานเปอร์เซียในอิหร่าน ฯลฯ เนื่องเพราะชาวสิงหล (ลังกา) ชาวชมพูทวีป (อินเดีย) และชาวอาหรับ-เปอร์เซีย (อิหร่าน) ที่เป็นนักเดินทางผจญภัยแลกเปลี่ยนค้าขายสิ่งของเครื่องใช้ ต่างพากันเรียกผืนแผ่นดินใหญ่ของอุษาคเนย์โบราณว่า สุวรรณภูมิไม่น้อยกว่า 2,500 ปีมาแล้ว

ส่วนชาวฮั่น (จีน) ยุคโบราณ เรียกดินแดนนี้ว่า จินหลิน หรือ กิมหลิน มีความหมายเดียวกันกับชื่อสุวรรณภูมิว่าแผ่นดินทอง, ดินแดนทอง, แหลมทอง

ฉะนั้น สุวรรณภูมิจึงไม่ใช่ชื่อรัฐหรืออาณาจักร แต่เป็นชื่อดินแดนแผ่นดินใหญ่ของอุษาคเนย์หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบัน ที่ขนาบด้วย 2 มหาสมุทร คือ มหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ทางด้านตะวันออก กับมหาสมุทรอินเดีย อยู่ทางด้านตะวันตก ส่งผลให้ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนค้าขาย หรือ "จุดนัดพบ" "ระหว่างโลกตะวันตก (หมายถึงอินโด-เปอร์เซีย และอาหรับ) กับโลกตะวันออก (หมายถึงจีนฮั่นและอื่นๆ) มีความมั่งคั่งและมั่นคง แล้วมีรัฐใหญ่ๆเกิดขึ้นในยุคต่อๆ มา เช่น ทวารวดี, ฟูนัน, เจนละ, ศรีวิชัย, ทวารวดีศรีอยุธยา, ละโว้-อโยธยาศรีรามเทพ, จนถึงกรุงศรีอยุธยา ฯลฯ ดึงดูดให้ผู้คนจากที่ต่างๆทุกทิศทางเคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งหลักแหล่ง ทำให้เกิดความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่ผสมผสานทางสังคมวัฒนธรรมและเผ่า พันธุ์จนเป็น "คนไทย"และเครือญาติชาติต่างๆ ในอุษาคเนย์ปัจจุบัน

สุวรรณภูมิ คือนามอันเป็นมงคลที่คนแต่ก่อนยกย่องใช้เรียกชื่อบ้านนามเมืองสืบเนื่องหลาย ยุคหลายสมัย ได้แก่ รัฐสุพรรณภูมิ (ราวหลัง พ.ศ.1600) จนเป็นเมืองสุพรรณบุรี (ราวหลัง พ.ศ.1800) และจังหวัดสุพรรณบุรี รวมทั้งชื่อเมืองสุวรรณภูมิ (ราว พ.ศ. 2315 สมัยกรุงธนบุรี) แล้วเปลี่ยนเป็นอำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อราว 100 ปีมาแล้ว

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นนามพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ.2543


โขง, ของ มาจากไหน

ลุ่มน้ำโขง หมายถึงพื้นที่ลุ่มบริเวณสองฝั่งแม่น้ำโขง

แม่น้ำโขง เป็นคำไทย แต่คำลาวเรียกว่าน้ำแม่ของ

โขง กับของเป็นคำเดียวกัน มีรากจากคำมอญว่าคลอง มีคำอธิบายของ สุจิตต์ วงษ์เทศ อยู่ในหนังสือท้าวฮุ่ง ท้าวเจือง วีรบุรุษสองฝั่งโขง (มติชน พิมพ์ครั้งแรก 2548 หน้า 484) ดังนี้

พจนานุกรมมอญ-ไทย (ฉบับทุนพระยาอนุมานราชธน, 2531) ให้ศัพท์มอญไว้ 2 คำคือ โคฺลงฺ กับ คฺลงฺ อ่านว่า โคฺล้งฺ เหมือนกัน แล้วให้ความหมายว่า ทาง

คำมอญว่า โคฺลงฺ กับ คฺลงฺ นี่แหละ กลายเป็นคำไทยว่าคลอง แม้คำว่ากลองในชื่อแม่น้ำแม่กลองก็เพี้ยนมาจากคำมอญนี้เอง ทำให้น่าคิดว่าชื่อแม่น้ำโขงหรือของ น่าจะมาจากคำมอญว่า โคฺลงฺ กับ คฺลงฺ [ชาวขะมุ (ข่ามุ) ในลาวเหนือเรียกแม่น้ำนี้ว่าอมครอง]

แต่ลิ้น ตระกูลไทย-ลาวออกเสียงอย่างมอญไม่ได้ จึงเรียกเป็นกาหลงก่อน นานเข้าก็กลายเสียงเป็นโขงหรือของตามถนัดลิ้นแต่ละท้องถิ่น แม้ชื่อแม่น้ำคง (สาละวิน) ในพม่าก็ได้ชื่อจากโคฺลงฺ กับ คฺลงฺ ของมอญเช่นกัน

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: มกราคม 08, 2009, 01:22:51 AM »

X-cite  ไทยโพสต์


โวย อบจ.บีบไล่ที่ทำกินผุดท่องเที่ยวในป่

ชาวบ้านบนเทือกเขาบรรทัดโวย ถูก อบจ.ตรังบีบไล่ที่ เพื่อผุดโครงการที่ท่องเที่ยวในป่าด้วยงบ 3 ปี 16 ล้านบาท ทั้งที่ยังเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ นัดรวมตัวร้องผู้ว่าฯ สำนักนายกฯ และกรมธนารักษ์

นายสุรชัย  นานคงแนบ  อายุ 42 ปี  อยู่บ้านเลขที่ 68 บ้านน้ำราบ ต.ช่อง อ.นาโยง จ.ตรัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ชาวบ้านบนเทือกเขาบรรทัดกำลังไม่มีที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน เนื่องจาก อบจ.ตรังยื่นเรื่องขอเช่าที่ดินบนป่าเทือกเขาบรรทัดกว่า 200 ไร่ ดำเนินโครงการศูนย์ศึกษาและแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

นายสุรชัยกล่าวว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ภายในสถานีทดลองยางเขาช่อง บ้านน้ำราบ ชาวบ้านอยู่อาศัยกันมาก่อนกว่า 80 ปีแล้ว  เมื่อมีการก่อตั้งสถานีทดลองยาง โดยกระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้ดูแล ก็ให้ชาวบ้านเป็นลูกจ้างของสถานี  จนต่อมาได้มอบพื้นที่ให้กรมธนารักษ์ดูแลต่อ  ทำให้ชาวบ้านต้องออกจากพื้นที่ชั่วคราวเพื่อยื่นเรื่องขอเช่าที่ดินดังกล่าว ในการอยู่อาศัยทำกินต่อกรมธนารักษ์อีกครั้งหนึ่ง

แต่ระหว่างที่ชาวบ้านกำลังดำเนินการ ปรากฏว่า อบจ.ตรังได้ยื่นเรื่องตัดหน้าไปก่อน โดยมีโครงการสร้างศูนย์ศึกษาธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และเตรียมสร้างรีสอร์ตที่พักขึ้น  ซึ่งจะส่งผลให้ชาวบ้านไม่สามารถกลับเข้าไปอยู่อาศัยได้อีก ซึ่งโครงการดังกล่าวนอกจากจะกระทบต่อชาวบ้านแล้ว ยังกระทบต่อระบบนิเวศของพื้นที่ป่าด้วย  เพราะตามรายละเอียด อบจ.จะเข้าไปไถปรับสภาพพื้นที่กว่า 200 ไร่ และก่อสร้างอาคาร และพื้นที่ป่าดังกล่าวยังเป็นทางผ่านของน้ำป่า เวลาไหลหลากจะถูกกระแสน้ำเต็มๆ จึงเป็นที่มาของชื่อบ้านน้ำราบ แต่ที่ชาวบ้านซึ่งอยู่อาศัยมาแต่เดิมไม่เดือดร้อน เพราะทุกคนรู้จักวิธีหลบหลีก เนื่องจากอยู่อาศัยต่อกันมาหลายชั่วอายุคน

ข่าวแจ้งว่า พื้นที่ดังกล่าวทาง อบจ.ตรังยื่นเรื่องต่อกรมธนารักษ์ตั้งแต่ปี 47 โดยขอเช่าพื้นที่กว่า 200 ไร่ เพื่อดำเนินโครงการดังกล่าว โดยตั้งงบประมาณไว้ 3 ปี จำนวน 16 ล้านบาท ซึ่งชาวบ้านจะนัดรวมตัวกันวันที่ 9 ม.ค.นี้ เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านต่อนายสมพงษ์ อนุยุทธพงษ์  ผู้ว่าฯตรัง โดยนัดชาวบ้านในพื้นที่อื่นซึ่งได้รับผลกระทบมาร่วมด้วย จากนั้นจะยื่นเรื่องต่อสำนักนายกรัฐมนตรีและกรมธนารักษ์ด้วย เนื่องจากเห็นว่าเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่หลากหลาย และมีต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่จำนวนมากด้วย.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: มกราคม 08, 2009, 01:26:23 AM »

แนวหน้า


ประมงเปิด"อควาเรียม"เก่าแก่ สัมผัสสัตว์น้ำจืดใกล้สูญพันธุ์

ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า หนึ่งในพันธุ์ปลาน้ำจืดที่หาชมได้ยากนั่นคือ "ปลาเทพา" ซึ่งได้รับฉายาว่าเจ้าแห่งแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากเป็นปลาที่มีรูปร่างขนาดใหญ่ที่สุดในแม่น้ำแห่งนี้ โดยมีผู้เคยพบเห็นขนาดใหญ่ที่สุดมีความยาวถึง 2.5 เมตร และมีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม มีลักษณะโดดเด่นตรงที่มีก้านครีบขนาดใหญ่ เวลาว่ายน้ำจึงดูสง่างามมากกว่าปลาชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน ปัจจุบันพบหาได้ยากในแหล่งน้ำธรรมชาติเนื่องจากอยู่ในสภาวะใกล้สูญพันธุ์

อธิบดีกรมประมงกล่าวต่อไปว่า นอกจากปลาเทพาแล้ว สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำกรุงเทพฯ กรมประมง ยังจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำจืดที่หาชมได้ยากอีกหลายชนิด อาทิ ปลาบึก ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในแม่น้ำโขงและในโลก ปลาเสือตอซึ่งในอดีตเคยชุกชุมมากในบึงบอระเพ็ดแต่ปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปจากบึงแห่งนี้แล้ว ปลากระเบนกิตติพงษ์ ซึ่งเป็นปลากระเบนน้ำจืดที่ออกลูกเป็นตัว โดยพ่อแม่พันธุ์ที่เลี้ยงไว้ในตู้จัดแสดงก็ได้ให้กำเนิดลูกแล้วจำนวน 6 ตัว นอกจากนี้ยังมี ปลาเค้าดำ ปลากดดำ ปลากดแก้ว ปลายี่สก ปลากะโห้ ปลาช่อนงูเห่า และอื่นๆ อีกมากมายรวมกว่า 100 ชนิด

พร้อมชมความพิเศษกับนิทรรศการจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่น เช่น ปลาสเตอร์เจียน ปลากลับหัว ปลาคาร์พชนิดต่างๆ เต่าบิน เต่าคองู เป็นต้น ซึ่งเป็นนิทรรศการที่จะจัดผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนให้ผู้ชมได้เรียนรู้ตลอดเวลา โดยสามารถตรวจสอบหัวข้อนิทรรศการที่ท่านสนใจผ่านเว็บไซต์ www.fisheries.go.th และสำหรับผู้ที่สนใจกิจกรรมสาธิตการจัดตกแต่งตู้ปลาและพรรณไม้น้ำสวยงาม สามารถร่วมเรียนรู้เป็นหมู่คณะ โดยแจ้งความประสงค์ล่วงหน้า หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์หมายเลข 0 -2940- 6543 และ 0- 2562- 0600 -15 ต่อ 5118, 5222, 5224 ทั้งนี้ สถานที่แสดงพันธุ์สัตว์น้ำกรุงเทพฯ กรมประมง เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 10.00 - 16.00 น. ทุกวัน เว้นวันจันทร์หยุด 1 วัน อัตราค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก/นักเรียน นักศึกษา 10 บาทเท่านั้น ส่วนผู้สูงอายุ ชมฟรี

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: มกราคม 08, 2009, 01:30:31 AM »

สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์


กรมอุทยานแห่งชาติฯ ลดค่าเข้าชมอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ ครึ่งราคาในวันธรรมดา กระตุ้นการท่องเที่ยว

    กรม อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ลดค่าเข้าชมอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ ครึ่งราคาในวันธรรมดา ส่งเสริมการท่องเที่ยวตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วนของรัฐบาล

    นายอุภัย วายุพัฒน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้ลดค่าธรรมเนียมบัตรเข้าชมอุทยานแห่งชาติทั้ง 110 แห่งทั่วประเทศ ในวันธรรมดาลงครึ่งราคา เพื่อส่งเสริมให้คนไทยเข้ามาท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติมากขึ้นตามนโยบาย กระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วนของรัฐบาลด้านการท่องเที่ยว โดยคนไทยจะเสียค่าเข้าชมเพียง 20 บาท ส่วนชาวต่างชาติจะเหลือ 200 บาท อย่างไรก็ตาม ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จะยังเก็บในราคาปกติ ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในช่วงวันหยุด ไม่ให้เกิดวามแออัดเช่นที่ผ่านมา

    สำหรับมาตรการรองรับนักท่องเที่ยวที่มีตัวเลขเพิ่มสูงขึ้นทุกปีนั้น นายอุภัย กล่าวว่า ได้หารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อวางแผนระยะยาว ทั้งนี้ยืนยันว่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ จะไม่เพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มกำไรจากรายได้โดยยังคงเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวคนไทยเป็นหลัก ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมากรมอุทยานแห่งชาติฯ มีรายได้จากค่าเข้าชมประมาณ 525 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพื้นที่แหล่งธรรมชาติถือเป็นจุดขายสำคัญด้านการท่องเที่ยวของไทย ดังนั้น จึงได้มอบหมายให้หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแต่ละแห่ง ค้นหาพื้นที่ในอุทยานประเภท UNSEEN หรือจุดท่องเที่ยวที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก หรือยังไปน้อย มาเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศตามนโยบายรัฐบาลด้วย

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.15 วินาที กับ 20 คำสั่ง