กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 23, 2025, 09:13:55 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 20 มกราคม 2552  (อ่าน 5491 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: มกราคม 20, 2009, 01:00:55 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยและอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศา แต่ยังคงมีอากาศหนาวเย็นกับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาได้ในหลายพื้นที่ ขอให้ผู้เดินทางระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมในอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 20-21 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 19-22 ม.ค. 2552 บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยมีกำลังอ่อนลงเป็นลำดับ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศอุ่นขึ้น โดยอุณหภูมิจะสูงขึ้น 3-5 องศา กับมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในหลายพื้นที่

ต่อจากนั้นในช่วงวันที่ 23-25 ม.ค. 2552 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวอากาศเย็นลง ส่งผลให้มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยตอนล่างจะมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 19-22 ม.ค. ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย สำหรับในช่วงวันที่ 24-25 ม.ค. ขอให้ชาวเรือในอ่าวไทยตอนล่างระมัดระวังอันตรายจากการเดินเรือ



* Forecast2.jpg (37.88 KB, 684x423 - ดู 1344 ครั้ง.)

* Earthquake2.jpg (26.05 KB, 499x340 - ดู 1339 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 20, 2009, 01:05:47 AM »

ไทยรัฐ


ประมงระนองผวา'โรฮิงยา' หวั่นทำร้าย-ยึดเรือขึ้นฝั่ง
 
วานนี้ (19 ม.ค.) นายห้าสัน อาจหาญ กำนันตำบลม่วงกลวง อ.กะเปอร์ จ.ระนอง และประธานกลุ่มประมงชายฝั่ง อ.กะเปอร์ กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มประมงชายฝั่งซึ่งเป็นชาวประมงขนาดเล็ก รวมถึงประชาชนที่อาศัยอยู่ชายฝั่งทะเล มีความหวดกลัวกลุ่มโรฮิงยา หรืออาระกันเป็นอย่างมาก บางรายไม่กล้าออกทำการประมง หรือจะทำการประมงเฉพาะกลางวัน เนื่องจากมีข่าวลือว่าอาจมีกลุ่มอาระกันที่เล็ดรอดจากการจับกุม หรือสกัดกั้น จากเจ้าหน้าที่ จะเข้ามายึดเรือ และทำร้าย เพื่อนำทรัพย์สิน และอาหารเป็นเสบียงขึ้นฝั่งไทย

อย่างไรก็ตาม กำนันตำบลม่วงกลวง กล่าวเพิ่มว่า แม้ว่ากลุ่มโรฮิงยาจะไม่เคยมีประวัติทำร้ายคนไทย แต่การถูกกดดันให้จนตรอกก็อาจเป็นสิ่งเร้าให้กลุ่มคนเหล่านี้ต้องดิ้นรน เพื่อความอยู่รอด ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่จะใช้วิธีปล้นเรือประมง หรือปล้นบ้านเรือนผู้คน เพื่อสะสมอาหาร หรือเสบียง สำหรับใช้หลบหนีต่อไป โดยทางหมู่บ้านของตนเอง ขณะนี้ได้เรียกประชุมลูกบ้าน พร้อมจัดตั้งกองกำลังชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านขึ้น และฝึก เตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ ที่อาจเป็นภัยต่อชุมชน และได้จัดชุดลาดตระเวนทั้งบนบก และชายฝั่งทะเลตลอด 24 ชั่วโมง

ด้านนายวันชาติ วงษ์ชัยชนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง กล่าวว่า อาระกันเป็นกลุ่มบุคคล หรือชนชั้นคนพม่า ที่รัฐบาลพม่าไม่ยอมรับ เนื่องจากในอดีตบรรพบุรุษของกลุ่มบุคคลเหล่านี้โดนอังกฤษกวาดต้อนมาจาก บังกลาเทศ เพื่อมาร่วมทำสงครามหรือใช้แรงงานให้กับอังกฤษต่อสู้กับรัฐบาลพม่า ทำให้เกิดปัญหาไม่ยอมรับจากรัฐบาลพม่า อีกทั้งชาวโรฮิงยาก็ไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นชาวพม่า จึงถูกกดดันตลอดเวลาจากรัฐบาลพม่า ทำให้ชาวอาระกันพยายามหาทางออกจากประเทศพม่า เพื่อหาที่ตั้งรกรากใหม่ในประเทศที่ยอมรับ โดยเฉพาะประเทศที่นับถือศาสนาเดียวกันคือมุสลิม

ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง กล่าวต่อว่า ระหว่างเดือนตุลาคม ถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี ถือเป็นช่วงที่กลุ่มคนเหล่านี้เดินทางมากที่สุด เนื่องจากปลอดจากมรสุม และพายุต่างๆ โดยเฉพาะปีนี้ ทราบว่ากลุ่มโรฮิงยานับหมื่นคนจะเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย โดยเข้ามาขึ้นฝั่งที่ จ.ระนอง เพราะมีกลุ่มบุคคลนับถือศาสนาเดียวกันคอยช่วยเหลือ รวมถึงกลุ่มขบวนการค้าแรงงานเถื่อน ที่มีเครือข่ายคอยช่วยเหลืออีกทาง

ทั้งนี้ นายวันชาติ กล่าวด้วยว่า ได้ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจเข้มแนวชายแดนตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าพบจะใช้มาตรการไม่เหมือนกับช่วงที่ผ่านมา ที่มีการลากจูงเรือเข้าฝั่ง เพราะจะกลายเป็นการเอื้อ ให้กลุ่มอาระกันเข้ามาในไทยได้ง่ายขึ้น ดังนั้นปีนี้จะใช้วิธีผลักดันไม่ให้เข้ามาใกล้ฝั่ง หรือขึ้นฝั่งได้เป็นอันขาด แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: มกราคม 20, 2009, 01:14:37 AM »

มติชน


อึ้งเต่าตนุวัย 5 ปี ติดอวนเรือประมงรอดตายพบไข่เต็มท้อง

พลเรือตรี จักรชัย ภู่เจริญยศ ผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง กองทัพเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 ม.ค. ว่า ได้มีชาวประมง พื้นที่ตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี  พบลูกเต่าตนุติดอวนมากับเรืออวนลากอยู่กลางทะเลจึงได้ช่วยชีวิตเอาไว้ และไม่กล้าปล่อยกลับคืนสู่ทะเล เพราะไม่ทราบว่าเต่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ถ้าปล่อยไปแล้วอาจจะต้องติดอวนเรือมาอีก หรือถ้าพบคนใจร้ายอาจนำไปนำไปฆ่าแล่เนื้อทำเป็นอาหาร เอากระดองขายเป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้าน  จึงขอให้ทางศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลจัดเจ้าหน้าที่มารับเต่าไปดูแลต่อไป

จากนั้น พลเรือตรี จักรชัย ได้มอบหมายให้ นาวาเอก มนตรี จึงมั่นคง ผู้อำนวยการศูนย์ต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง พร้อมเจ้าหน้าที่เดินทางไปรับเต่าตนุ  พร้อมทั้งได้ประสานไปยัง  รศ.ส.พญ.ดร.นันทริกา ซันซื่อ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดินทางมาทำตรวจร่างกาย ฝังไปโครชิพ และทำการรักษาพยาบาลเต่าตนุเพศเมีย น้ำหนัก 12.5 กก. กระดองกว้าง 44 ซม.ยาว 47 ซม. ซึ่งเต่าตัวขนาดนี้จะมีอายุเพียง 5 ปี เท่านั้น และขณะที่ทำการตรวจด้วยเครื่องมือทันสมัย อัลตร้าซาวด์  พบเจ้าเต่า "บุญรอด" มีไข่ขนาดใหญ่อยู่ในรังไข่เต็มท้อง ปกติเต่าจะเจริญพันธุ์ตอนอายุ 15-18 ปี ซึ่งถือว่าเต่าตัวนี้แปลกทวนกระแสการวิจัยอย่างมาก ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าเป็นเพราะสาเหตุใด

 รศ.ส.พญ.ดร.นันทริกา ซันซื่อ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้ตรวจสภาพร่างกายลูกเต่าทะเลอย่างละเอียด พบว่า สภาพภายนอกทั่วไป มีสุขภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง ผลจากการตรวจอัลตร้าซาวด์พบไข่จำนวนมากอยู่ในท้องจำนวนมาก ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกสุด ๆ ไม่เคยพบเห็นมาก่อนว่าเต่าจะมีไข่ก่อนวัยเจริญพันธุ์มากเพียงนี้ จากการวัดความกว้าง ความยาวของกระดอง เต่าและน้ำหนักแล้วอายุประมาณ 5 ปี เท่านั้น จึงได้ให้ยาถ่ายพยาธิและยาบำรุง พร้อมทั้งฝังไมโครชิพที่บริเวณลำคอบนด้านขวา และได้มอบหมายให้ พลเรือตรี จักรชัย ทำพิธีปล่อยเจ้าลูกเต่าปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ เนื่องจากเต่าตัวดังกล่าวใช้ชีวิตในธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในทะเล จึงจำเป็นต้องปล่อยให้เต่าใช้ชีวิตในธรรมชาติอย่างแท้จริง เพื่อจะไปหาที่วางไข่ตามเกาะแก่งต่าง ๆ ในทะเลอ่าวสัตหีบหรือว่ายน้ำกลับไปยังพื้นที่ซึ่งถูกปล่อยมาในครั้งแรก

ทั้งนี้   ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งกล่าวว่า นับเป็นความสำเร็จอย่างสูงที่ กองทัพเรือได้อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนไม่ทำร้ายเต่า ไม่กินไข่เต่า จนในที่สุดก็พบว่าประชาชนมีจิตสำนึกในเรื่องนี้จึงได้นำเต่ามามอบให้กองทัพเรือ ถ้าหากชาวประมงพบเต่าว่ายน้ำอยู่ในทะเลขออย่าได้ทำร้ายหรือจับ หากพบติดอวนขอให้แกะออกและปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ หากเต่ามีอาการบาดเจ็บ ขอให้นำมามอบให้กับศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลกองทัพเรือ เพื่อให้การช่วยเหลือก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ เราต้องไม่กินเนื้อเต่าไม่กินไข่เต่า และไม่นำกระดองเต่ามาทำเครื่องประดับ พร้อมทั้งต้องช่วยกันอนุรักษ์เต่าทะเลให้แพร่พันธุ์ต่อไป เนื่องจากปัจจุบัน จำนวนประชากรเต่าทะเลมีปริมาณลดลงมาก

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: มกราคม 20, 2009, 01:50:18 AM »

คม ชัด ลึก


ศิลป์แห่งแผ่นดิน - สีชังชังแต่ชื่อ                                    โดย ศักดิ์สิริ  มีสมสืบ
 


ได้กลับไปเยือนเกาะสีชังเมื่อกลางปีที่ผ่านมา มีเรือจากเกาะลอยออกทุกครึ่งชั่วโมง เคยไปเกาะสีชังตั้งแต่สมัยยังเรียนหนังสืออยู่กรุงเทพฯ ก็นาน 30 ปีกว่า กลับมาอีกครั้งก็ด้วยมี “งานเข้า” คือ ได้รับชวนเชิญไปบรรยาย (พูดคุย) ให้เด็กๆ นักเรียนฟังเรื่องการอ่านการเขียน ในฐานะที่เป็น “กวีซีไรต์” หัวข้อการพูดคุยก็เรื่องเดิมๆ อันเป็นปัญหาทางการศึกษาของประเทศชาติเราก็คือ เด็กไทยไม่รักการอ่านการเขียน

  เกาะสีชังเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เสียงเพลงแว่วมากับเสียงคลื่น ที่ครวญเครง “สีชังชังแต่ชื่อ เกาะนั้นหรือจะชังใคร” ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ท่านขับร้องไว้ตั้งแต่สมัยผมยังเด็ก และท่านยังหนุ่ม น้ำเสียงและลีลาของท่านนุ่มนวลพร่างพลิ้ว มีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ “สีชังชังชื่อแล้ว อย่าชัง อย่าโกรธพี่จริงจัง จิตข้อง ตัวไกลแต่ใจยัง แน่วแนบ เสน่ห์สนิทน้อง นิจโอ้อาดูร” (ถูกผิดอย่างไรท้วงติงแก้ไขเอานะครับท่านผู้อ่าน)

 เกาะสีชัง แม้ไม่ได้ชื่อเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มตัวนัก แต่ก็มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ฝรั่ง ญี่ปุ่น หลบเกาะเสม็ดมาหามุมสงบ ซึ่งก็น่าจะสมหวัง เพราะเกาะสีชังไม่มีแสงสีเสียงที่เกินพอดี ไม่มีแหล่งบันเทิงแบบสุดเหวี่ยง ทั้งยังมี “พระจุฑาธุชราชฐาน” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2435

 นับจนถึงวันนี้ปีนี้ก็ 116 ปีแล้ว ทรงสร้างไว้สำหรับเป็นที่แปรพระราชฐานประทับในฤดูร้อน สร้างอยู่บนเนินเขาสูงต่ำ ต่างระดับกันลดหลั่น เหมาะสมกลมกลืน ประกอบด้วยพระที่นั่ง 4 องค์ พระตำหนัก 14 องค์ และศาลา 1 หลัง ระหว่างสถาปัตยาการ มีทางเดินเชื่อมต่อถึงกัน มองมุมดีมีวัด “อัษฎางคนิมิต” เด่นสง่าอยู่บนยอดเขาเป็นฉากหลัก โดยวัดนี้ “พระพุทธเจ้าหลวง” ของชาวไทยโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเช่นเดียวกัน วัดนี้ มี “พระอุโบสถเจดีย์” ที่สร้างขึ้นโดยมีลักษณะผสมผสานของศิลปะตะวันตก อาคารทรงกลมก่ออิฐถือปูน มีซุ้มประตูหน้าต่างรอบทิศ ส่วนยอดเป็นเจดีย์ทรงลังกา หรือทรงระฆัง ที่เรียกว่า “พระอุโบสถเจดีย์” ก็เพราะสถาปัตยาคารนี้ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ผนวกทั้งพระอุโบสถ และพระเจดีย์ไว้ด้วยกัน

 มาเกาะสีชังครั้งก่อน จำได้ว่าบ้านเมืองเงียบสงบ บริเวณท่าเทียบเรือเป็นตลาดเล็กๆ เดินลัดเลาะไปตามทางเล็กๆ ไปชมพระจุฑาธุชราชฐาน มีต้นลั่นทมต้นใหญ่ออกดอกพราวส่งกลิ่นหอมละมุน แม่กองใหญ่ผู้ควบคุมการก่อสร้าง คือ “เจ้าฟ้าภาณุรังสีฯ” การก่อสร้างไม่สู้ราบรื่น ด้วยมีเหตุการณ์วิกฤติ พิพาทกับฝรั่งเศส ร.ศ.112 จึงต้องระงับการก่อสร้างไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง

 เกาะสีชังอยู่ห่างจากฝั่งศรีราชาไม่มาก นั่งเรือเพียงครึ่งชั่วโมงกว่าเล็กน้อย บนเกาะเล็กๆ มีประชากรหนาแน่น ค่อนข้างอัตคัดน้ำจืด แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นปัญหามากนักหากรู้ใช้ มีโรงแรมที่พักสะดวกสบาย เหมือนที่อื่นๆ จะอย่างไรเกาะสีชังก็ยังน่าเดินทางมาเยี่ยมเยือน มาเดินเล่นในตัวตลาดเดินเรื่อยไปจนถึงท่าเทววงษ์ ไปชมจุฑาธุชราชฐาน ย้อนกาลเวลา หลับตาสูดกลิ่นทะเลใต้ต้นลีลาวดี หรือไม่ก็ใช้บริการรถสองแถวหรือตุ๊กๆ ตระเวนสักครึ่งวันเช้า

 บนเกาะยังมีต้น “มะนาวผี” อยู่ริมถนนสายหนึ่ง ซึ่งผมจะไม่เฉลย ต้นใหญ่กว่ามะนาวธรรมดาที่เรารู้จัก ลักษณะใบลำต้น และผล พอเห็นก็บอกได้ว่าหน้าตาเหมือนมะนาว แต่ความสูงใหญ่ทำให้ประหลาดใจว่านี่มะนาวยักษ์ หรือไร

 ผมเพิ่งกลับจากลาวเหนือ และได้เขียนถึงหลวงพระบาง เวียงจันทน์ไว้หลายตอน คงต้องหาเวลาตะลอนๆ แถวใกล้ๆ บ้าน เที่ยวชมและเขียนให้แฟนๆ อ่านกันพอรื่นรมย์ สำหรับวันนี้ สวัสดีลาทีครับ


*********************************************************************************************************************


ท่องเกาะสตูล ตะลุยตะรุเตา และอาดัง-ราวี ย้อนรอยประวัติศาสตร์ มุกเม็ดงามทะเลใต้                                 โดย  ไพศาล รัตนะ
 


จากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้าสู่ จ.สตูล ในปี 2551 กว่า 7.4 แสนคน ทำให้เม็ดเงินสะพัดจากการท่องเที่ยวนับพันล้านบาท ปลุกชีพจรเศรษฐกิจของจังหวัดเล็กๆ แห่งนี้ให้คึกคักขึ้นทันตาเห็น

ธานินทร์ ใจสมุทร นายก อบจ.สตูล จึงมุ่งมั่นยกระดับการท่องเที่ยวของจังหวัดให้ทัดเทียมมุกอันดามันอย่างภูเก็ต-พังงา-กระบี่ โดยชูจุดขายคือ เกาะสวาทหาดสวรรค์กลางทะเลที่สวยงามไม่แพ้มุกทั้ง 3 เม็ดข้างต้นแม้แต่น้อย

 เริ่มที่ "อุทยานแห่งชาติตะรุเตา" อุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งมีเสน่ห์ทางประวัติศาสตร์ และความสวยงามทางธรรมชาติ จนได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโก ในปี 2525 ให้เป็น "มรดกแห่งอาเซียน" มาแล้ว

 อุทยานแห่งชาติตะรุเตา มีพื้นที่ทั้งเกาะและทะเลรวมกัน 1,490 ตารางกิโลเมตร ได้แก่ หมู่เกาะใหญ่น้อย 51 เกาะ มีเกาะสำคัญเลื่องชื่อ 7 เกาะ คือ ตะรุเตา อาดัง ราวี หลีเป๊ะ กลาง บาตวง และบิสสี โดยแบ่งเป็น 2 หมู่เกาะ คือ ตะรุเตา และ อาดัง-ราวี

 หากลงรายละเอียดไปยังแต่ละเกาะก็จะพบเกร็ดทางประวัติศาสตร์ และจุดขายทางธรรมชาติซุกซ่อนอยู่มากมาย เช่น เกาะอาดัง ซึ่งในอดีตเป็นที่ซ่องสุมโจรสลัด แต่ปัจจุบันมีจุดขายที่หาดทรายขาวละเอียด และแนวปะการังรอบเกาะ เหมาะสำหรับดำน้ำชมปะการัง

เกาะราวี มีหาดทรายขาว น้ำใส บรรยากาศเงียบสงบ เหมาะแก่การกางเต็นท์พักผ่อน



 เกาะหลีเป๊ะ อยู่ห่างจากอาดังไปทางทิศใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นชุมชนชาวเล ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

 เกาะหินงาม มีหาดหิน อุดมไปด้วยก้อนหินสีดำ ลักษณะกลมเกลี้ยง เนื่องจากถูกขัดสีด้วยแรงคลื่น

 มีตำนานเล่าขานว่า หินทุกก้อนที่หาดแห่งนี้ต้องคำสาป "เจ้าพ่อตะรุเตา" ห้ามผู้ใดนำหินออกไปจากเกาะเป็นอันขาด

เกาะยาง อยู่ถัดจากเกาะหินงามขึ้นมาทางเหนือ รอบเกาะถูกปกคลุมไปด้วยปะการังแข็ง เช่น ปะการังเขากวาง ปะการังผักกาด ปะการังรูปโต๊ะ เหมาะสำหรับการดำน้ำตื้นดูปะการัง และปลาเล็กปลาน้อย

 เกาะไข่ มีหาดทรายขาวละเอียด งดงาม อยู่ระหว่างเกาะตะรุเตาและอาดัง มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่เป็นสัญลักษณ์ทางการท่องเที่ยวของจังหวัด คือ ซุ้มประตูหินธรรมชาติ ที่ทอดโค้งจากผืนทรายจรดท้องน้ำ

 คำว่า "เกาะไข่" ยังมีที่มาจากการเป็นแหล่งวางไข่ของเต่าทะเลอีกด้วย

 เกาะดง เป็นเกาะสุดท้ายในทะเลลึก มีความโดดเด่นด้วยแนวหินที่เรียงกันสลับซับซ้อนดูงดงาม แปลกตา และยังมีจุดดำน้ำลึกและดำน้ำตื้นให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงามรอบๆ เกาะอีกด้วย



 นอกจากเกาะแล้ว "อ่าว" ในเขตอุทยานแห่งนี้ก็สวยงามไม่แพ้กัน เช่น อ่าวตะโละวาว ซึ่งเคยเป็นนิคมฝึกอาชีพ หรือทัณฑสถานนักโทษเด็ดขาด นักโทษกักกัน ระหว่างปี พ.ศ.2480-2490

 อ่าวตะโละอุดัง อยู่ด้านทิศใต้ของเกาะตะรุเตา ห่างเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย ประมาณ 8 กิโลเมตร ในอดีตเป็นที่กักขังนักโทษการเมืองกบฏบวรเดช และกบฏนายสิบ

 อ่าวพันเตมะละกา เป็นที่ตั้งที่ทำการอุทยานแห่งชาติตะรุเตา มีหาดทรายขาวสะอาด เหมาะแก่การเดินชมชายหาด เล่นน้ำทะเล และพักผ่อนกางเต็นท์

 อ่าวมะขาม เป็นที่จอดพักเรือประมงขนาดเล็ก มีน้ำจืดสนิทให้ดื่ม ป่าไม้สมบูรณ์ มีสัตว์ป่า และนกชุม

 อ่าวสน มีหาดทรายยาวประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นที่วางไข่เต่าทะเล มีหาดหิน น้ำตก และธารน้ำใส

 เมื่อทรัพยากรธรรมชาติพร้อมสรรพขนาดนี้ อบจ.สตูล จึงจัดงานการส่งเสริมการท่องเที่ยว จ.สตูล โดยตั้งงบประมาณไว้ 4 ล้านบาท เพื่อประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยว "อันซีน" รอนักท่องเที่ยวไปค้นหา

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: มกราคม 20, 2009, 01:56:37 AM »

กรุงเทพธุรกิจ


ตัวขาวอ้วนกลมในเปลือกสีทึม



คนไทยนิยมบริโภค หอยนางรม (Oyster) โดยนำมาทำเป็นอาหารที่เรียกกันว่า หอยทอด

  หอยนางรมสดๆ ตัวประมาณปลายหัวแม่มือ ทอดกับแป้งในกระทะทรงแบน รับประทานกับถั่วงอกผัดเร็วๆ ใส่น้ำปลา โรยพริกไทยแกล้มซอสพริก หรือไม่ก็นำมาทำเป็น ยำหอยนางรม ใช้หอยนางรมสดตัวขนาดดังกล่าว คลุกเคล้ากับเครื่องยำไทยปรุงรสชาติจัดจ้าน และวิธีรับประทานอีกวิธีคือ หอยนางรมสด รับประทานคู่เครื่องเคียงยอดนิยม หอมแดงซอย-เจียว ยอดอ่อนกระถินสด น้ำจิ้มพริกขี้หนู-มะนาว เป็นการรับประทานหอยนางรมในแบบฉบับของคนไทย

 แต่สำหรับการรับประทานหอยนางรมในอีกครึ่งค่อนโลก หลายประเทศเห็นชอบกับวิธีรับประทานที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พวกเขารับประทาน หอยนางรมสด โดยไม่มีเครื่องจิ้มรสชาติเผ็ดร้อน ไม่มีเครื่องเคียงมากมาย เครื่องเคียงมากที่สุดคือมะนาวตระกูล เลมอน (Lemon) บริกรจะเสิร์ฟเฉพาะหอยนางรมสดในฝาหอยที่เปิดมาเรียบร้อยแล้ว และเลมอนฝาน 1 ชิ้น ร้านอาหารที่มีบริการหอยนางรมมักขึ้นป้ายว่า Oyster Bar คนไทยที่เคยมีประสบการณ์เดินทางท่องเที่ยวไปยังเมืองชายทะเลของประเทศในแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และเข้าไปสั่งหอยนางรมสดในร้านอาหารที่มี ออยสเตอร์บาร์ คงเคยได้รับประสบการณ์ทำนองนี้แล้ว

 วัฒนธรรมการรับประทานหอยนางรมสดของชาวตะวันตก พวกเขาต้องการได้ชิม รสชาติของหอยนางรมสด พวกเขาเพาะเลี้ยงหอยนางรมมากมายหลากหลายสายพันธุ์ นอกจากแต่ละสายพันธุ์ให้รสชาติที่แตกต่างกันแล้ว ลักษณะน้ำทะเลในแต่ละแหล่งเพาะเลี้ยงก็มีผลต่อรสชาติหอยนางรม เช่น ความเย็น-ความอุ่นและแร่ธาตุที่ละลายอยู่ในน้ำทะเล รวมทั้งคุณภาพของสภาพแวดล้อม

 ด้วยปัจจัยข้างต้น ชาวตะวันตกนิยาม รสชาติ และ สัมผัสขณะเคี้ยวหอยนางรมสด ไว้ด้วยคำศัพท์ซึ่งเป็นที่ยอมรับและที่ใช้อธิบายกันในหมู่นักบริโภคหอยนางรมสดไว้อย่างมากมายและเหลือเชื่อ เช่น Plump, Firm, Meaty, Crisp, Chewy, Silky, Watery, Bland, Brine, Ocean Wave, Seaweed, Honeydew, Cucumber, Rich Butter, Sweet Cream, Iron, Copper, Brass เป็นต้น 

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: มกราคม 20, 2009, 02:00:56 AM »

สำนักข่าว INN


ไร้วี่แววหนุ่มอุบลฯคลื่นซัดจมหาดสมิหลา
 
   

กองทัพเรือภาค 2 สงขลา ยังออกค้นหาร่างหนุ่มอุบลราชาธานี ที่ถูกคลื่นซัดจมหาดสมิหลา ทั้งทางน้ำและทางอากาศแต่ยังไร้วี่แวว

กองทัพเรือภาคที่ 2 สงขลายังคงออกค้นหาร่างของ นายบุญจันทร์ ธาตุมิน อายุ 21 ปี ชาว จ.อุบลราชธานี ที่ถูกคลื่นซัดจมน้ำเสียชีวิตบริเวณชายหาดแหลมสมิหลา อ.เมืองสงขลา ตั้งแต่เมื่อวานนี้และยังค้นหาศพไม่เจอ โดยล่าสุดเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาได้จัดมนุษย์กบนำเรือยางออกลาดตระเวนค้นหาตลอดแนวชายหาดของแหลมสมิหลา รวมทั้งได้นำเฉลิคอปเตอร์ออกบินค้นหาทางอากาศ บริเวณเกาะหนู, เกาะแมว เพราะเกรงว่า คลื่นอาจจะซัดร่างออกนอกฝั่ง และจากการค้นหา ทั้งพื้นน้ำและทางอากาศนานหลายชั่วโมงก็ยังไม่พบร่างของ นายบุญจันทร์ แต่อย่างใด

ในขณะที่ญาติและเพื่อน ๆ ของ นายบุญจันทร์ ยังคงเฝ้ารอรับศพอยู่ที่บริเวณชายหาดตลอดทั้งวัน และยังคงปักหลักรอจนกว่าจะค้นหาศพจนเจอ หรือ ลอยขึ้นมาตามกระแสน้ำ เพื่อนำกลับไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด ใน จ.อุบลราชธานี โดยเชื่อว่าในวันพรุ่งนี้ร่างของนายบุญจันทร์ อาจจะลอยขึ้นมา

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.027 วินาที กับ 21 คำสั่ง