กระดานข่าว Save Our Sea.net
เมษายน 29, 2024, 10:25:17 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม 2552  (อ่าน 5503 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: มกราคม 29, 2009, 12:42:22 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา



สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ มีกำลังอ่อนลง ประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคกลางและภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิจะสูงขึ้นอีก 1-2 องศา กับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในหลายพื้นที่ แต่ยังคงมีอากาศเย็น ขอให้ผู้ขับขี่ยวดยานพาหนะเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ และมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 30 ม.ค. -2 ก.พ. 52 บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิลดลง 1-3 องศา ส่วนภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและคลื่นลมในอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังปานกลาง หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 3-4 ก.พ. 52 บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิจะสูงขึ้นกับมีหมอกเพิ่มมากขึ้นและมีหมอกหนา ในบางพื้นที่


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 3-4 ก.พ. ขอให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย



* Forecast2.jpg (37.47 KB, 684x423 - ดู 2125 ครั้ง.)

* Earthquake.jpg (30.72 KB, 450x495 - ดู 2175 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 29, 2009, 01:03:40 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


ชาวบ้านตื่นพบซากปลาโอจำนวนมากลอยติดชายหาดเกาะราชาใหญ่ภูเก็ต



ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ชาวบ้านตื่นพบซากปลาโอจำนวนมาก ลอยติดชายหาดรอบเกาะราชาใหญ่ภูเก็ต ต้องเร่งจัดเก็บส่งกลิ่นรบกวนนักท่องเที่ยว
       
       วันนี้ (28 ม.ค.) นายโสภณ สุขรินทร์ รองประธานชมรมเครือข่ายอนุรักษ์และป้องกันตนเองเกาะราชาใหญ่ ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต เปิดเผยว่า ชาวบ้านเกาะราชาใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต พบซากปลาโอ ซึ่งเป็นทูน่าชนิดหนึ่ง ขนาดตัวละประมาณ 2 กิโลกรัม เป็นจำนวนมากถูกคลื่นซัดเข้าฝั่งตลอดแนวชายหาดรอบๆเกาะราชาใหญ่ เช่น อ่าวทือ อ่าวพลับพลา อ่าวสยาม อ่าวหลา หาดละ ประมาณ 100-200 ตัว โดยส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณเป็นวงกว้าง รบกวนนักท่องเที่ยวที่จะลงเล่นน้ำหรือนอนอาบแดดบริเวณชายหาดดังกล่าว
       
       โดยชาวบ้านได้พบเห็นซากปลาดังกล่าวมาตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา และค่อนข้างมีจำนวนมากขึ้นเมื่อช่วงเที่ยงคืนดังกล่าว เนื่องจากน้ำขึ้นและคลื่นซัดหาฝั่งค่อนข้างแรง โดยได้พยายามช่วยกันเก็บรวบรวมนำไปฝังและเผาแล้วจำนวนหนึ่ง แต่ไม่หมด จนถึงช่วงบ่ายของวันนี้ (28 ม.ค.) ยังคงมีหลงเหลืออยู่อีกจำนวนหนึ่งบริเวณชายหาดและบริเวณซอกโขดหินต่างๆ”
       
       นายโสภณ กล่าวว่า เบื้องต้นตนก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด เท่าที่สอบถามจากชาวประมงบริเวณดังกล่าว ทราบว่ามีเรืออวนดำเข้ามาหาปลาบริเวณเกาะราชา แต่บังเอิญอวนที่ลากปลาไปเกี่ยวเข้ากับโขดหิน ทำให้อวนฉีกขาด ส่งผลให้ปลาซึ่งจับได้เป็นจำนวนมากทะลักออกมา และเนื่องจากน้ำหนักของอวนที่ค่อนข้างมาก ทำให้เรือแบกรับน้ำหนักไม่ไหว จึงต้องเอาปลาที่อยู่บนเรือทิ้งลงมาในทะเลด้วยและถูกคลื่นซัดเข้าฝั่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คงต้องมีการตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดอีกครั้งว่าปลาดังกล่าวมาจากไหนกันแน่
       
       ขณะที่ นายสุเทพ ธานีรัตน์ หัวหน้าฝ่ายบริหารจัดการด้านการประมง สำนักงานประมง จ.ภูเก็ต กล่าวว่า ทางประมง จ.ภูเก็ต ก็เพิ่งได้รับแจ้งจากชาวประมงที่ทำการประมงอยู่ในละแวกเกาะราชาใหญ่เช่นกัน โดยบอกว่า ไม่มั่นใจว่ามีเรือประมงอวนดำจมหรือไม่ ซึ่งหลังรับแจ้งแล้วก็ได้ประสานไปยังเรือตรวจการณ์ของกรมประมงและเรือตรวจการณ์ของกรมทรัพยากรชายฝั่งให้ออกไปตรวจสอบ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่พบจุดที่คาดว่าจะมีเรือจมแต่อย่างใด


****************************************************************************************************************************************************


นักวิจัยพบความเป็นผู้ดีทำให้ชาวอังกฤษจมน้ำตายในเหตุไททานิกล่ม


ภาพอธิบายลักษณะการชนของเรือไททานิค

เอเอฟพี – นักวิจัยชาวสวิส และออสเตรเลียเผยชาวอังกฤษซึ่งเป็นเหยื่อหายนภัยเรือไททานิกล่มเมื่อปี 1912 อาจจมน้ำเสียชีวิตไปกับเรือ เนื่องจากความเป็นผู้ดีที่มีกิริยามารยาทเรียบร้อย
       
       หลังจากการตรวจสอบปูมหลังทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้โดยสาร 2,200 คน และลูกเรือบนเรือเดินสมุทรขนาดมหึมา บรูโน เฟรย์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวซูริกและเพื่อนร่วมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีควีนส์แลนด์ก็พบว่า ชาวอังกฤษที่อยู่บนเรือไททานิกซึ่งรอดชีวิตนั้นน้อยกว่าผู้โดยสารชาติอื่นๆ 10%
       
       ทีมนักวิจัยชี้ว่า มารยาทงาม หรือความเชื่อว่าผู้มั่งคั่งจะช่วยเหลือผู้ด้อยกว่า ต้องเป็นปัจจัยหนึ่งในระหว่างที่ผู้โดยสารทุกคนเร่งรีบหาเรือช่วยชีวิต
       
       อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาชิ้นใดที่ตีพิมพ์ออกมาแล้วสรุปได้ว่า บรรทัดฐานทางสังคม เช่น ผู้หญิงและเด็กก่อน จะทำให้รอดชีวิตในสถานการณ์บนเรือไททานิคในช่วง 3 ชั่วโมงหลังจากชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง
       
       ขณะที่พวกเขายังพบว่า ชาวอเมริกันมีอัตราการรอดชีวิตสูงกว่าชนชาติอื่นๆ เมื่อเรือสำราญลำนี้ค่อยๆจมลงสู่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก
       
       เฟรย์กล่าวว่า “เรารู้สึกสนใจว่าผู้คนปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่ออยู่ในเหตุการณ์เป็นหรือตาย”
       
       ทั้งนี้ เรือไททานิกมีเรือช่วยชีวิตไม่เพียงพอ และทำให้มีผู้คนต้องทิ้งชีวิตไว้ที่มหาสมุทรกว่า 1,500 คน เมื่อเรือที่เลื่องลือกันว่าไม่มีวันจม กลับล่มในการเดินทางข้ามมหาสมุทรครั้งแรก
       
       นอกจากนี้ การศึกษาของเฟรย์และคณะยังพบว่า ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ได้เปรียบกว่า ขณะที่ผู้หญิงทั้งหมดมีโอกาสรอดชีวิต 53% ทว่าโอกาสที่เด็กจะรอดชีวิตมากกว่าผู้ใหญ่มีเพียง 15% เท่านั้น
       
       ขณะที่ลูกเรือมีความเป็นไปได้ที่จะรอดชีวิตสูงกว่าผู้อื่น 18% อาจเป็นเพราะความได้เปรียบเรื่องข้อมูล และรู้เรื่องบนเรือดีกว่า เช่น สถานที่เก็บเรือช่วยชีวิต
       
       อย่างไรก็ตาม สมรรถภาพทางร่างกายและพื้นฐานทางสังคมก็ยังมีส่วนสำคัญในโอกาสรอดชีวิต ขณะที่ชนชั้นเป็นปัจจัยที่เด่นชัด
       
       ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาชิ้นนี้ยังพบว่า ผู้โดยสารชั้นหนึ่งที่ร่ำรวยมีโอกาสที่จะรอดชีวิตมากกว่าผู้โดยสารชั้นสามถึง 40% เนื่องจากพวกผู้โดยสารระดับล่างถูกกันให้อยู่ในห้องที่ลึกลงไปในตัวเรือ และยากที่จะฝ่าฟันมาถึงดาดฟ้าเรือได้

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: มกราคม 29, 2009, 01:12:04 AM »

คม ชัด ลึก


เลี้ยง "หอยแครง" ในบ่อดิน รูปแบบใหม่-ปลอดสารพิษ



การบริโภคอาหารให้ได้คุณค่าและรู้สึกปลอดภัยอย่างแท้จริงนั้น วัตถุดิบที่นำไปประกอบอาหารก็จะต้องสะอาดปราศจากสารปนเปื้อนด้วย เฉกดั่งกลุ่มเพาะเลี้ยงหอยแครงบ้านคลองช่อง ต.คลองโคน อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม

โดยการนำของ ขนิษฐา เนียมประพันธ์ ที่รวมตัวกันเลี้ยงหอยแครงในบ่อดิน ส่งจำหน่ายจนไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด เพราะนอกจากคุณสมบัติเด่นปลอดสารพิษแล้ว หอยที่เลี้ยงยังตัวใหญ่และให้คุณค่าทางอาหารสูง

ขนิษฐาเล่าว่า กลุ่มเพาะเลี้ยงหอยแครงบ้านคลองช่อง เป็นหนึ่งใน “โครงการอาหารทะเลปลอดภัยไร้สารพิษ” ที่สมัชชาอาหารปลอดภัย จ.สมุทรสงคราม และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้การสนับสนุนการเพาะเลี้ยง เพื่อพัฒนาระบบการผลิตอาหารทะเลให้ปราศจากสารปนเปื้อน และมุ่งหวังให้ประชาชนได้บริโภคอาหารทะเลที่สด สะอาด อร่อยและปลอดภัย



 " ครั้งแรกกลุ่มจะเพาะเลี้ยงหอยแครงเพื่อจำหน่ายเป็นลูกพันธุ์สำหรับไปเพาะเลี้ยงต่อ และจำหน่ายเป็นอาหารทะเลสดให้แก่พ่อค้าเพื่อไปจำหน่ายในตลาดแม่กลอง ต่อมาเมื่อมีการปรับเปลี่ยนจากเพาะเลี้ยงในทะเลอย่างเดียวมาเป็นเพาะเลี้ยงในบ่อดินริมชายทะเล แต่ก็ยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร" ประธานกลุ่มแจง

 พร้อม ยอมรับว่าที่ยังไม่ได้ผลเท่าที่ควรนั้น เพราะปัญหาน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ ซึ่งกลุ่มทำได้เพียงแค่เฝ้าระวังและคอยตรวจตราโรงงานที่อาจปล่อยสารพิษลงสู่ทะเล เมื่อใดที่น้ำทะเลปนเปื้อนสารพิษ น้ำจะมีสีแดงและขุ่น หอยแครงที่เลี้ยงจะตายหมด ทำให้ชาวประมงขาดทุนทันทีเช่นเดียวกัน กว่าจะสามารถเพาะเลี้ยงได้ใหม่จะต้องรอให้น้ำทะเลฟื้นตัวนานกว่า 4 เดือน สมัชชาอาหารปลอดภัยสมุทรสงคราม จึงเข้ามาแนะนำให้เพาะเลี้ยงในบ่อดินเนื่องจากสามารถหลีกเลี่ยงน้ำเสียได้

ต่อเมื่อสมัชชาโดยการนำของ อรุณ เกิดสวัสดิ์ ผจก.แผนงานอาหารปลอดภัย ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2547 เข้ามาสนับสนุนด้านเงินทุนในการทำบ่อดินในพื้นจำนวน 30 ไร่ และซื้อพันธุ์หอยแครงให้กลุ่มได้เพาะเลี้ยง



 “วิธีการเพาะเลี้ยงในบ่อดิน สมัชชาได้จัดทำบ่อดินขนาด 30 ไร่ริมชายทะเล มีการกักน้ำเค็มสูง 1 เมตร และนำหอยขนาดเล็กมาเลี้ยงไว้ เปลี่ยนน้ำทุก 5-7 วัน ช่วงใดที่น้ำทะเลเสียมีสารพิษ ชาวประมงก็จะไม่เปิดให้น้ำเข้า ทำให้หอยแครงในบ่อดินมีคุณภาพสูง ไม่มีอันตรายจากสารเคมี อีกทั้งยังโตเร็วกว่าหอยแครงที่เลี้ยงในทะเลธรรมชาติ” ขนิษฐาแจง พร้อมระบุว่าปัจจุบันกลุ่มผลิตหอยแครงปลอดสารยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ที่ปัจจุบันไม่เฉพาะในสมุทรสงคราม หรือจังหวัดใกล้เคียงเท่านั้น แต่ยังส่งจำหน่ายไปยังจังหวัดอื่นๆ ทั่วทุกภาคด้วย

 ด้านอรุณ กล่าวเสริมว่า พร้อมกันนี้สมัชชายังช่วยประสานเจ้าหน้าที่ภาครัฐเข้ามาเก็บหอยแครงไปตรวจหาสารพิษ รวมถึงตรวจวัดคุณภาพน้ำอย่างสม่ำเสมอ และช่วยเฝ้าระวังเรือที่จะลักลอบนำสารพิษมาทิ้งในทะเล ทำให้กลุ่มเพาะเลี้ยงหอยแครงมั่นใจได้ว่าจะมีผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาดสามารถ สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคก็ได้รับประทานหอยแครงที่สด สะอาด และปลอดภัย

 “เรื่องอาหารปลอดภัยเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องตระหนัก และรับผิดชอบร่วมกัน และเมื่อมีการประกาศนโยบายให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลก เราก็ควรทำให้อาหารที่มีต้นกำเนิดมีคุณภาพและปลอดภัยอย่างแท้จริง ซึ่งนอกจากจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคได้แล้ว ยังช่วยสร้างรายได้หมุนเวียนให้แก่ชาวบ้านได้อย่างน่าพอใจด้วย” อรุณ กล่าวสรุป

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: มกราคม 29, 2009, 01:14:40 AM »

X-cite  ไทยโพสต์


'เพนกวินจักรพรรดิ' ใกล้สูญพันธุ์                  :              คอลัมน์โลกน่ารู้

นักวิทยาศาสตร์บอกว่า  นกเพนกวินจักรพรรดิ ซึ่งฮอลลีวู้ดได้นำเรื่องราวของพวกมันมาสร้างเป็นสารคดี จนเป็นที่กล่าวขานกันทั่วโลกกำลังจะสูญพันธุ์

แบบจำลองภาวะโลกร้อนชี้ให้เห็นว่า ทะเลน้ำแข็งอันเป็นถิ่นอาศัยของพวกมันจะลดน้อยถอยลง จำนวนประชากรของเพนกวินสายพันธุ์นี้จะลดวูบลง 95% ภายในอีก 90 ปีข้างหน้า

นั่นแปลว่า เพนกวินจักรพรรดิที่จับคู่ผสมพันธุ์กันจะเหลือเพียง 600 คู่ในโลกนี้

เพนกวินจักรพรรดิ  ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ตัวโตที่สุดของนกชนิดนี้ มีความโดดเด่นตรงที่ว่า พวกมันเป็นเพนกวินชนิดเดียวที่ผสมพันธุ์ในช่วงหน้าหนาวอันทารุณของทวีปแอนตา ร์กติก

หลังจากเดินไกลข้ามภูเขาน้ำแข็ง  ฝูงเพนกวินชนิดนี้จะไปรวมตัวกันลึกเข้าไปในแผ่นดิน ตัวเมียจะวางไข่แค่ฟองเดียว แล้วให้ตัวผู้รับบทฟักไข่ ฉะนั้น น้ำแข็งจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการแพร่ขยายพันธุ์ของพวกมัน

ปริมาณน้ำแข็งบนพื้นผิวทะเลยังส่งอิทธิพลต่อความชุกชุมของกุ้งเคย และปลาที่มากินกุ้งเหล่านี้ ซึ่งทั้งปลาและกุ้งเป็นอาหารของเพนกวิน

ฮัล แคสเวลล์ แห่งสถาบันสมุทรศาสตร์วูดโฮล กับคณะ ได้ใช้ข้อมูลประมาณการปริมาณพื้นผิวน้ำแข็ง จากรายงานของคณะกรรมการนานาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ  และใช้แบบจำลอง  "พลวัตประชากร" ในการฉายภาพแบบแผนพฤติกรรมการจับคู่ผสมพันธุ์ และอัตราความสำเร็จในการขยายพันธุ์ของเพนกวินจักรพรรดิ

สเตฟานี  เจนูเฟรียร์ รายงานในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences  ว่า ถึงแม้เพนกวินอาจหลบเลี่ยงหายะภัยได้ โดยเปลี่ยนแบบแผนการผสมพันธุ์ให้สอดคล้องกับภูมิอากาศ แต่พวกมันคงไม่ทำ

"นกชนิดอื่นๆ ในแอนตาร์กติกได้ปรับเปลี่ยนวงจรชีวิตของพวกมันแล้ว  แต่เพนกวินปรับตัวได้ช้า ในขณะที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงเร็วมาก

งานวิจัยหลายชิ้นที่ผ่านมา พบว่าการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศสามารถส่งผลกระทบต่อการแพร่พันธุ์ และการกระจายพันธุ์ของสัตว์ต่างๆได้ แต่รายงานชิ้นนี้เป็นชิ้นแรกที่ทำนายชะตากรรมของสัตว์แบบเจาะจงชนิด.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: มกราคม 29, 2009, 01:18:37 AM »

กรุงเทพธุรกิจ


เรือสองลำติดอยู่กลางทะเลน้ำแข็งที่แคนาดา



เรือ 2 ลำพร้อมผู้โดยสาร 300 คนที่ติดอยู่ในทะเลน้ำแข็งที่แคนาดา ยังไม่สามารถนำเรือออกมาได้

สถานีโทรทัศน์ CTV ของแคนาดารายงานเมื่อวันอังคารว่า มีเรือเดินสมุทรสองลำ ติดอยู่ในน้ำแข็งที่ช่องทางเดินเรือแซงค์ โลรองซ์ นอกท่าเรือเมืองมาตาเน่ ทางตะวันออกของแคนาดา เพราะเรือตัดน้ำแข็ง"เทอร์รี่ ฟอกซ์"ไม่สามารถเคลียร์เส้นทางเดินเรือให้กับเรือทั้งสองลำ ซึ่งลำหนึ่งคือเรือข้ามฟากชื่อ" CTMA วาแคนเซียร์" พร้อมผู้โดยสาร 300 คน ส่วนอีกลำเป็นเรือสินค้าชื่อ "จอร์จ-อเล็กซองดร์-เลเบล " ของบริษัทชิปปิ้งชื่อ "โคเกม่า" ( COGEMA)ของแคนาดา แต่เรือตัดน้ำแข็งสามรถช่วยให้เรือลำที่สามหลุดจากน้ำแข็งไปได้เมื่อวันจันทร์

รายงานข่าวระบุว่าผู้โดยสารบนเรือข้ามฟากออกเดินทางเมื่อวันจันทร์ เพื่อไปทัวร์สกีข้ามประเทศนาน 1 สัปดาห์ ก่อนที่เรือจะติดอยู่ในน้ำแข็ง ผู้โดยสารคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่ามีงานปาร์ตี้ 4 ชั่วโมงบนเรือ เขาคิดว่าเป็นประสบการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ได้อยู่บนเรือโดยสารที่ติดอยู่กลางน้ำแข็งท่ามกลางอุณหุภูมิติดลบ 40 องศาเซลเซียส

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: มกราคม 29, 2009, 01:24:44 AM »

ประชาชาติธุรกิจ


   
"เกาะมันใน" มุดน้ำ...ปลูกปะการัง เยี่ยมบ้านเต่า              :             คอลัมน์ DESTINATION  โดน เกด-ริน/ภาพใต้น้ำ...กิตตินันท์ รอดสุพรรณ



" เคยปลูกปะการังมั้ย ?" เจ้าหน้าที่หนุ่มร้องถาม ขณะที่อีกมือก็กำลังสาธิตไขนอตตัวน้อยเพื่อยึดกิ่งปะการังเขากวางกับท่อพีวี ซีให้แน่นขึ้น

"กิ่งปะการังนี้เลือกตัดมาจากแปลงที่อาสาสมัครรุ่นก่อนมาช่วยกันปลูกไว้ สบายใจได้ว่าไม่ใช่การทำลายที่หนึ่งเพื่อไปปลูกอีกที่หนึ่ง จริงๆที่เกาะมันในมีปะการังหลายชนิด อย่างปะการังดอกกะหล่ำ ปะการังก้อน แต่ที่เลือกปะการังเขากวางมาปลูกก่อนนี่ก็เพราะโตเร็ว เลี้ยงไว้ 1-2 ปีก็ตัดมาขยายพันธุ์ต่อได้แล้ว..." ข้อมูลสั้นๆ ถูกบรรจุลงเส้นสมองอย่างรวดเร็วก่อนเริ่มลงมือปลูกปะการังร่วมกับอาสาสมัครชมรมดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์คนอื่นๆ

ไม่ใช่ทุกคนที่ดำน้ำได้ แต่ทุกคนก็มีหน้าที่ มีแม้แต่เด็กเล็กวัยไม่น่าเกิน 10 ขวบที่ติดตามพ่อแม่มาเป็นอาสาสมัครในครั้งนี้ด้วย

ภารกิจถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนเพื่อความคล่องตัว ใครดำน้ำไม่ได้ก็ช่วยไขนอตยึดกิ่งเขากวางติดกับท่อพีวีซีอยู่ที่หาดหน้าบ้าน ส่วนใครที่ดำน้ำได้ก็ช่วยกันนำแปลงปะการังที่ขึ้นโครงแล้วลงไปตอกยึดใต้ทะเล ก่อนที่นักดำน้ำอีกชุดจะนำกิ่งปะการังที่ไขนอตแล้วลงไปสวมติดกับแปลงปลูกใต้น้ำ

บริเวณท่าจอดเรือที่ความลึกประมาณ 3-4 เมตร อาสาสมัครหลายชีวิตกำลังปฏิบัติงานโดยไร้เสียงพูด มีเพียงเสียงสูดอากาศจากแท็งก์ ภาษามือและการเคลื่อนไหวที่เนิบช้า ทว่าเร็วพอแข่งกับเวลาและปริมาณอากาศในแท็งก์ที่ลดน้อยลงทุกที



เพียงไม่นาน โครงพีวีซีที่แปรสภาพเป็นแปลงปลูกปะการังเขากวางกว่า 100 แปลงก็กลายเป็นอาณาจักรใต้ทะเลแห่งใหม่ใกล้ท่าจอดเรือ

อากาศยังเหลือ...เวลายังเหลือ...

ช่วงสั้นๆที่แวะมุดน้ำเก็บขยะบริเวณรอบๆท่าจอดเรือนี่เองถึงได้เห็นว่าโลกใต้น้ำมีความงดงามซ่อนอยู่ ซึ่งนอกจากทากเปลือยและปลาสีสวยตัวเล็กตัวน้อย สังเกตที่เสาคอนกรีตก็มีปะการังอ่อนเกาะอยู่หลายกอ ยิ่งพอขยับฟินแล้วมันพัดพลิ้วลิ่วลู่ไปตามแรงน้ำ น่ารักน่าเอ็นดู...ดูได้ดูดี ดูเพลินตา เพลินจนบางคนเผลอดูดอากาศจนเกลี้ยงแท็งก์ !

สวย สงบ...สงบจนที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งวางไข่ของเต่าทะเลในน่านน้ำฝั่งตะวันออก

" เมื่อก่อนพอถึงช่วงเดือนพฤษภาคมไปจนถึงกรกฎาคมจะเห็นเต่าขึ้นมาวางไข่ที่นี่เยอะ พวกเต่าเขาชอบที่นี่เพราะหน้าหาดของเกาะไม่ชันมาก ที่สำคัญคือสงบ ไม่มีคนรบกวน" รณวัณ บุญประกอบ นักวิชาการประมงประจำศูนย์ฯเล่าให้ฟัง

แหล่งวางไข่ของเต่าบริเวณอ่าวไทยตอนบนหลักๆ คือที่เกาะมัน เกาะเสม็ด เกาะคราม ซึ่งเป็นเขตของกองทัพเรือ สำหรับเต่าที่ขึ้นไปไข่ในพื้นที่ไม่เหมาะสม เจ้าหน้าที่ก็จะย้ายมาในที่ที่ดูแลได้ เพราะไข่เต่าเมื่ออยู่บนบกก็เสี่ยงกับตะกวด ปูลม พอลงน้ำก็เสี่ยงกับปลาขนาดใหญ่ ทำให้อัตราการรอดตามธรรมชาติมีแค่ 1 ใน 1,000 เท่านั้น !



" เลี้ยงดูจนกระทั่งอายุประมาณ 1 ปีแล้วค่อยปล่อยกลับสู่ธรรมชาติ ตอนหลังนี่เองถึงได้มีการฝังไมโครชิปติดตามเส้นทางการใช้ชีวิต ซึ่งตามปกติของชีวิตเต่า ช่วงแรกเขาจะว่ายออกทะเลลึกเลย จนแข็งแรงดีแล้วค่อยกลับมาหากินตามแนวปะการังและกลับมาวางไข่ที่ชายหาดแห่งเดิม"

...น่าดีใจที่ระยะนี้มีรายงานจากนักดำน้ำว่าพบเต่าวัยรุ่นใน ทะเลมากขึ้น เพราะนั่นหมายถึงอัตรารอดชีวิตที่เพิ่มขึ้น เต่าเหล่านั้นอาจกำลังหาทางกลับสู่แหล่งที่เกิด อาจเพื่อหาแหล่งเหมาะๆ ในการวางไข่...

ในวันนี้ เกาะมันในเป็นที่ตั้งของศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก หน้าที่หลักๆ คืออนุรักษ์และอนุบาลเต่าทะเล ภายในโรงเลี้ยงมีเต่าใหญ่ไซซ์พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่มี อายุเกิน 10 ปีจำนวนกว่า 30 ตัว ใกล้ๆ กันคือโรงอนุบาลลูกเต่าจำนวนอีกกว่า 100 ตัวที่ต้อง แบ่งเลี้ยงเป็นบ่อๆ ว่ากันว่าหลายๆตัวเกิดมาอ่อนแอ ตัวแคระแกร็น กินอาหารไม่ทันตัวอื่นๆ จึงต้องแยกบ่อเพื่อดูแลเป็นพิเศษ

บ่อเต่าในศูนย์ฯมีเต่าหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งเต่าตนุ เต่ากระ เต่าหญ้า เต่าค้อน ขาดก็แต่ เต่ามะเฟือง ซึ่งเป็นเต่าท้องถิ่นแถบทะเลภาคใต้

เดินออกจากศูนย์ ตามป้ายบอกทางตามไปยัง "คอกเต่าทะเล" ที่เป็นคอกเลี้ยงตามธรรมชาติอยู่ชายหาดฝั่งตรงข้ามกับท่าจอดเรือ...กว้าง ใหญ่เหมือนเขื่อนไม่เหมือนคอก เต่าตัวใหญ่ใจดียอมโผล่หน้ามาทักทายให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนจากลา

...

เกาะมันในเป็นอีกที่ที่คิดไว้ว่า มีโอกาสเมื่อไหร่จะกลับไปอีก

อยากกลับไปดูปะการังเขากวางที่ปลูก...อยากกลับไปดูปะการังอ่อนใต้ท่าจอดเรือ...อยากกลับไปเยี่ยมเต่าน้อยที่ป่วยในบ่ออนุบาล...

อยากกลับไป...อืม สรุปว่าติดใจ หรือว่าจะโดนฝังไมโครชิปจากเกาะมันในเข้าซะแล้ว !


***************************************

การเดินทาง

จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนสุขุมวิทสู่ จ.ระยองมีทางแยกขวาไปแหลมแม่พิมพ์หลายเส้นทาง ได้แก่ ทางเลี้ยวที่ ก.ม.258, 265 และ 268 ผ่านอนุสาวรีย์สุนทรภู่ไปอีก 5 กิโลเมตร หรือห่างจากวังแก้วตามถนนเรียบชายหาดไปอีก 11 กิโลเมตร เกาะมันในอยู่ห่างจากแหลมแม่พิมพ์ 5 กิโลเมตร ใช้เวลานั่งเรือประมาณ 20-30 นาที นักท่องเที่ยวส่วนมากเดินทางไปเช้าเย็นกลับ บนเกาะไม่เปิดให้พักค้างคืน สอบถามที่โทร.0-3866-1693-4 (หน้าพิเศษ D-Life)

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.318 วินาที กับ 20 คำสั่ง