กระดานข่าว Save Our Sea.net
เมษายน 29, 2024, 08:25:48 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552  (อ่าน 4397 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2009, 12:39:14 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทย เข้ามาปกคลุม ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในหลายพื้นที่ แต่ยังคงมีอากาศหนาวเย็น ขอให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาในระยะนี้ไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีหมอกบางในตอนเช้า และมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 2-5 ก.พ. 52 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนที่แผ่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของประเทศไทยจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิจะสูงขึ้น โดยจะมีหมอกเพิ่มมากขึ้น และอาจมีฝนเล็กน้อยบางแห่งในระยะนี้ ส่วนลมตะวันออกเฉียงใต้และลมใต้จะพัดปกคลุมภาคกลางและภาคตะวันออก รวมทั้งภาคใต้ ทำให้มีฝนเล็กน้อยบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ และในบางพื้นที่จะมีหมอกหนาเกิดขึ้นได้ด้วย คลื่นลมในอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปถึงนราธิวาสมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร

หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 6-7 ก.พ. 52 จะมีบริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่ซึมเข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิลดลง 1-2 องศา


ข้อควรระวัง

 ในระยะนี้ขอให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนา และบริเวณที่มีฝนตกไว้ด้วย



* Forecast.jpg (32.91 KB, 230x380 - ดู 1116 ครั้ง.)

* Earthquake.jpg (30.95 KB, 450x502 - ดู 1199 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 02, 2009, 11:36:08 PM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2009, 12:58:44 AM »

ข่าวสด


ศอ.บต.จัดเฝ้าระวังชายฝั่งทะเล

ยะลา - นายพระนาย สุวรรณรัฐ ผู้อำนวยการศอ.บต.กล่าวว่า จากพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ได้พระราชทานโครงการฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งทะเลอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อหาทางฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งทะเลในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้อุดมสมบูรณ์ ส่งผลให้ชาวประมงพื้นที่บ้านสามารถประกอบอาชีพและมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่การเฝ้าระวังชายฝั่งทะเล การทำประมงอย่างมีความรับผิดชอบ และการสร้างสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากร ยังไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ด้วยข้อจำกัดของกำลังเจ้าหน้าที่ และงบประมาณ จึงได้จัดกิจกรรมเฝ้าระวังทรัพยากรชายฝั่งทะเลเพื่อสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในลักษณะให้ชุมชนมีส่วนร่วม โดยตั้งหน่วยกำลังชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจ เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรประมงแบบบูรณาการ ประกอบด้วยศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลจังหวัดปัตตานี เจ้าหน้าที่ประมงที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ กองกำลังเฉพาะกิจกองทัพเรือ และราษฎรอาสาจากกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านในพื้นที่ โดยศอ.บต.ได้สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ พร้อมทั้งเงินตอบแทนให้กับอาสาสมัครชาวประมงพื้นที่บ้านที่ร่วมออกปฏิบัติการลาดตระเวน เฝ้าระวัง ป้องกัน และปราบปรามการทำประมงที่ผิดกฎหมายวันละ 4 ชั่วโมง เดือนละ 12 วัน เป็นเวลา 8 เดือน


************************************************************************************************************************


ทึ่งโลมาเชฟแห่งทะเล-ปรุงหมึก


 
หนังสือพิมพ์แคนเบอร์ร่า ไทมส์ ของออส เตรเลีย รายงานว่า จากการติดตามดูพฤติกรรมโลมาจมูกขวด หรือ บอตเทิลโนส โดลฟิน นักวิทยาศาสตร์พบสัญญาณว่า มันเป็นเชฟแห่งทะเล จากการสมองของมันพัฒนาขึ้น จึงรู้จักกินหมึกกระดองโดยไม่โดนน้ำหมึกหรือกระดูกใสให้เสียรสชาติ
 


ทีมงานของนายมาร์ก นอร์แมน จากพิพิธภัณฑ์วิกตอเรีย ตามสำรวจพฤติกรรมของโลมาจมูกขวดอินโด-แปซิฟิก ในอ่าวสเปนเซอร์ บริเวณรัฐทางใต้ของออสเตรเลีย พบว่า โลมาจับหมึกกระดองกิน ด้วยการลากจากสาหร่ายแล้วใช้จมูกกดลงดิ่งพื้นทรายเพื่อฆ่าอย่างรวดเร็ว เพื่อบดกระดองหมึกที่เป็นกระดูกใสๆของปลาหมึกที่แหลมคมให้ละเอียด พร้อมกับป้องกันน้ำหมึก ด้วยการโผขึ้นไปแล้วสะบัดตีปลาหมึกด้วยจมูก เพื่อรีดเอาน้ำหมึกออกมาให้แห้ง ทำให้เนื้อปลาหมึกนุ่มนิ่มก่อนที่จะลิ้มรส

นอร์แมน และทอม เทรเซนก้า จากมหาวิทยาลัยเอ็กซีเตอร์ ผู้ร่วมเขียนงานวิจัย กล่าวว่า พฤติกรรมนี้พบเห็นในช่วงปี 2546-2550 จึงไม่ใช่พฤติกรรมที่หาดูยาก เหล่านักประดาน้ำหลายคนเห็นลักษณะการล่าเหยื่อและปรุงอาหารแบบนี้ของมันมาแล้ว


****************************************************************************************************************************


หวั่นสูญพันธุ์-เร่งอนุรักษ์เสือปลา-แมวป่าหัวแบน


 
ดร.นริศ ภูมิภาคพันธ์ หัวหน้าภาควิชาชีววิทยาป่าไม้ คณะวน ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงกรณีสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือไอยูซีเอ็น เลื่อนสถานภาพเสือปลาและแมวป่าหัวแบนของไทย อยู่ในบัญชีแดงเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ว่า ในการประชุมสุดยอดเรื่องการอนุรักษ์เสือลายเมฆเป็นครั้งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ไอยูซีเอ็น และเอ็นจีโอที่ทำงานอนุรักษ์เสือและแมวป่าขนาดเล็ก ได้ผลสรุปว่า จะร่วมกับประเทศในกลุ่มอาเซียน และสถาบันสมิธโซเนียนของสหรัฐ รวมถึงเอ็นจีโอ ประเมินสถานภาพเสือและแมวป่าขนาดเล็ก เพื่อหาแนวทางอนุรักษ์ไม่ให้สูญพันธุ์ โดยเตรียมหาเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ เข้ามาช่วยในการอนุรักษ์

ดร.นริศ กล่าวว่า ปัจจัยคุกคามของเสือขนาดเล็กและแมวป่าของไทย เกิดจากการสูญเสียพื้นที่ป่าที่เคยเป็นแหล่งอาศัย ในอดีตทั้งเสือปลาและแมวลายหินอ่อนเคยพบเห็นได้มากในพื้นที่บางขุนเทียน เพราะมีแหล่งน้ำที่เป็นแหล่งอาศัยและแหล่งอาหารอยู่มาก แต่ตอนนี้ไม่พบในเขตพื้นที่นี้อีก ภาพสุดท้ายที่เคยมีการบันทึกภาพไว้ได้เป็นเสือปลาที่หากินในป่าพรุของเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จ.พัทลุง ตั้งแต่ปี 2544 ขณะเดียวกันในหลายพื้นที่ เช่น แถวอ่างฤๅไน ก็ยังพบมีการใช้แร้วและบ่วงแอบลักลอบดักสัตว์ขนาดเล็กๆ ซึ่งเคยมีการกวาดล้างอุปกรณ์ชนิดนี้ในหมู่บ้านรอบอ่างฤๅไนเก็บแร้วกว่า 600 คัน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าห่วงมาก ขณะเดียวกัน ในแถบประเทศเพื่อนบ้านของไทย แถวลาว พม่า ก็ยังมีการล่าเสือและแมวป่าเพื่อการบริโภค และขายหนังเสือ

น.สพ.สุเมธ กมลนารถ ผู้อำนวยการส่วนวิชาการ องค์การสวนสัตว์ กล่าวว่า ในวันที่ 14 ก.พ.นี้ ทางองค์การสวนสัตว์จะจัดพิธีแต่งงานให้กับแมวป่าหัวแบนตัวเมียจากสวนสัตว์สงขลา กับแมวป่าหัวแบนตัวผู้ที่อยู่ในสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง จ.ราชบุรี เพื่อหาทางให้แมวป่าทั้งคู่มีโอกาสได้ผสมพันธุ์กันตามธรรมชาติ


*********************************************************************************************************************


ออสซี่ร้อนระเบิด ระอุที่สุดรอบร้อยปี                                    :                                     สกู๊ปพิเศษ


 
แฟนๆ เทนนิสทั่วโลกที่ติดตามชมการถ่าย ทอดการแข่งขันออสเตรเลียน โอเพ่น ในนครเมลเบิร์น ที่เพิ่งปิดฉากไปหมาดๆ คงได้เห็นสภาพอากาศร้อนระอุในคอร์ตแล้วว่าเป็นอย่างไร

ดูเหมือนว่า เกมการแข่งขันรายการแกรนด์ สแลมนี้ร้อนขึ้นทุกปี กลายเป็นสนามทด สอบความทรหดสำหรับนักกีฬา

นักเทนนิสไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายต่างบ่นอุบถึงสภาพอากาศดังกล่าวที่ตอกย้ำว่า โลกร้อนที่ว่า "ร้อนจริงๆ" เป็นอย่างไร

บางเกมการแข่งขัน ผู้จัดต้องตัดสินใจปิดหลังคาสนาม และคอยแจกถุงน้ำแข็งให้นักกีฬาคลายร้อน

นักกีฬาบางคนทนไม่ไหว ถอนตัวจากการแข่งขันกลางคัน

ในที่นี้รวมถึง โนวัก ยอโควิช แชมป์เก่าชาวเซิร์บ ที่หน้าซีดหน้าเซียวออกจากสนาม

ประเด็นความร้อนไม่ได้จำกัดเฉพาะในสนามเท่านั้น เพราะ "คลื่นความร้อน" ได้แผ่ไปทั่วพื้นที่ตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย บริเวณรัฐวิกตอเรียและรัฐเซาท์ออสเตรเลีย

ระดับความร้อนพุ่งปรี๊ดไปถึง 43-46 องศาเซลเซียสติดต่อกันหลายวัน ชาวบ้านโหมเปิดเครื่องทำความเย็นกันอย่างหนักทำให้ไฟฟ้าชอร์ต สถานีจ่ายไฟสถานีย่อยระเบิด และทำให้ไฟดับจนสถานีจ่ายไฟฟ้าย่อยระเบิด บ้านเรือนมากกว่า 5 แสนหลังคาเรือนในนครเมลเบิร์นไม่มีไฟฟ้าใช้

ไม่เท่านั้น อุณหภูมิที่ร้อนระอุยังปะทุไฟป่าให้ลามมาถึงบ้านเรือนถูกเผาไปกว่า 20 หลัง และพื้นที่ปลูกไม้สักไหม้เกรียมไปแล้ว 16,000 เอเคอร์ หรือราว 4 หมื่นไร่

ที่สำคัญคือมีคน "ร้อนตาย" ไปเกิน 20 ศพ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ

"เป็นสัปดาห์ที่ร้อนระเบิดจริงๆ ระบบสาธาร ณูปโภคไม่ได้เตรียมไว้สำหรับอุณหภูมิที่พุ่งไปถึง 46 องศาเซลเซียสแบบนี้" จอห์น บรัมบี ผู้นำรัฐวิกตอเรีย กล่าว

ช่วงที่อุณหภูมิในรัฐวิกตอเรียร้อนติดกันหลายวันยังส่งผลกระทบต่อการวิ่งรถไฟด้วย เพราะความร้อนทำให้รางโค้งงอ เจ้าหน้าที่ต้องหยุดให้บริการรถไฟหลายเที่ยว

ส่วนเด็กเล็ก ทางโรงเรียนตัดสินใจส่งกลับบ้าน ขณะที่ผู้คนหลายหมื่นโดดงานแห่ไปชาย หาดเพื่อหาทางดับร้อน จนชายหาดหนาแน่น ทำให้หน่วยกู้ภัยชายหาดต้องขยายเวลาทำงานกันออกไปจนดึกดื่น

ที่เกาะแทสมาเนีย ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นรัฐที่เย็นที่สุดในออสเตรเลียแล้ว ก็ยังวัดอุณหภูมิได้สุงถึง 42 องศาเซลเซียส

ที่เมืองอาดีเลด เมืองเอกของรัฐเซาท์ออสเตร เลีย ชาวเมืองเตรียมเผชิญกับอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส

หากถึงวันจันทร์ที่ 2 ก.พ.แล้วอุณหภูมิยังสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส จะถือ เป็นช่วงเวลาร้อนยาวนานที่สุดในรอบร้อยปี

ทั้งที่เมื่อปี 2551 ที่ผ่านมา เพิ่งเป็นปีที่ทำสถิติร้อนที่สุด 10 อันดับในประวัติศาสตร์

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ WMO ระบุว่า สภาพอากาศของโลกโดยรวมในปีที่แล้วเป็นไปแบบสุดโต่ง ทั้งร้อนจัด หนาวจัด แล้ง พายุหิมะถล่ม คลื่นความร้อนแผ่ และคลื่นความหนาวปกคลุม

อากาศที่หนาวจัดในอัฟกานิสถานและจีน คร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก

ส่วนทวีปเอเชียใต้ เผชิญพายุฤดูร้อน พายุฝนที่หนักหน่วง มีผู้เสียชีวิตในอินเดียและปากีสถานมากกว่า 2,600 ราย เฉพาะในอินเดีย ชาวบ้านต้องอพยพจากบ้านเรือนเกือบถึง 10 ล้านคน

คำอธิบายของสภาพอากาศหนาวเย็นในปี 2551 ก็คือปรากฏการณ์ "ลานีนา" ที่ทำให้ในยุโรปหนาวจัด ส่วนในซีกโลกใต้ อย่างออสเตรเลียร้อนจัด

ทำท่าว่า ปีนี้สภาพความแปรปรวนของอากาศจะต่อเนื่องจากปีที่แล้ว


*****************************************************************************************************************************


ปลายิ้ม                                   :                                  เอิ๊กอ๊ากอินเตอร์


 
ใครอารมณ์เสียแล้วผ่านไปเจอพุ่มไม้นี้เข้า คงจะช่วยให้ยิ้มออกได้บ้าง

คุณนายนิกกี้ เลกการ์ด วัย 59 ปี อาจารย์มหาวิทยาลัยแคนเทอบิวรี ประเทศอังกฤษ เป็นผู้สร้างสรรค์

"ตอนเดี๊ยนย้ายมาทีแรกเมื่อปี 2546 มันเป็นพุ่มไม้ใหญ่มาก เดี๊ยนก็เลยตัดแต่งซะ"

ปรากฏว่า พุ่มไม้รูปปลายิ้มนี้เตะตาผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา

"เด็กๆ ชอบมาจ้องดู น่ารักมากค่ะ เดิมฉันจะตัดแต่งในช่วงหน้าร้อน แต่พอคนชอบมากๆ อย่างนี้เลยเหมือนเป็นหน้าที่คอยดูแลตลอด" คุณนายเลกการ์ด กล่าว

...โดยเฉพาะรอยยิ้มนั่นแหละค่ะ ต้องคอยเล็มเป็นพิเศษ ไม่งั้นเดี๋ยวยิ้มหุบ!

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2009, 01:01:59 AM »

คม ชัด ลึก


อุทยานน้ำหนาววิกฤตินักท่องเที่ยวล้น-ขยะเกลื่อน
 
อุทยานแห่งชาติน้ำหนาววิกฤติ นักท่องเที่ยวล้น ทำขยะเกลื่อน ทั้งขวด-พลาสติก-โฟม ปริมาณเพิ่มเพียบ กำจัดไม่หมด ฝังกลบยังโผล่ ช้างป่าคุ้ยกินถุงพลาสติกเข้าไปด้วย หวั่นสัตว์ป่ากินขยะตาย หัวหน้าอุทยานเผยไม่มีงบทำเตาเผา ด้านอุทยานภูกระดึงออกกฎเหล็กให้นักท่องเที่ยวมัดจำบรรจุภัณฑ์ นับถุงพลาสติก-ขวดน้ำที่นำขึ้นไปบนภู ขากลับต้องเก็บลงมา หากไม่ปฏิบัติตามจะถูกริบเงินมัดจำ

 ปัญหานักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่เป็นวันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ ประกอบกับปีนี้สภาพอากาศหนาวเย็นทำให้พื้นที่ภูเขาและอุทยานต่างๆ มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาพักแรมจำนวนมาก ส่วนใหญ่มาประกอบอาหารและซื้อขนม เครื่องดื่มมาดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน ทำให้เกิดขยะจำนวนมากตามไปด้วย

 ล่าสุด ปัญหาขยะในสถานที่ท่องเที่ยวได้ส่งผลต่ออุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นแหล่งรวมสัตว์ป่านานาชนิด ขณะนี้ได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม เมื่อพบช้างป่ากินถุงพลาสติกที่เป็นขยะล้นอุทยาน หรือถูกทิ้งด้วยความมักง่ายของผู้คนที่ขับรถสัญจรผ่านไปมา โดยพบมูลช้างอยู่ข้างโป่งเทียม และแหล่งน้ำข้างหอส่องสัตว์ ส่วนใหญ่มีถุงพลาสติกปะปนมาด้วย มูลช้างบางกองมีเศษผ้าและขวดพลาสติกปะปนอยู่

 นายกำธร เสวีวัลลภ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว กล่าวว่า การดูแลและเก็บขยะมูลฝอยในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติน้ำหนาวในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวและในวันหยุดยาว ทำให้เกิดขยะล้นและมีจำนวนมากจริง เพราะผู้คนที่เดินทางมาท่องเที่ยวและพักแรมในอุทยานแห่งชาติน้ำหนาวมีจำนวนถึง 6-7 หมื่นคน แม้ว่าจะเป็นระยะสั้นก็ตาม แต่ปริมาณขยะมีจำนวนมากส่งผลทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา ประกอบกับอุทยานไม่มีงบประมาณสร้างเตาเผาขยะ จึงต้องใช้วิธีฝังกลบเท่านั้น

  นายกำธร กล่าวว่า การดูแลและเก็บขยะในอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ได้นำถุงขยะไปวางไว้ตามจุดท่องเที่ยวเพื่อให้นักท่องเที่ยวนำขยะทิ้งลงถังเพื่อให้เจ้าหน้าที่เก็บไปจากบริเวณอุทยานที่เป็นสถานที่พักแรม แต่เนื่องจากขยะมีจำนวนมาก เมื่อนำไปกำจัดด้วยการฝังกลบในพื้นที่ที่จัดทิ้งขยะตามป่าในอุทยานแห่งชาติ เจ้าหน้าที่อาจจะนำขยะลงหลุมไม่ได้ทั้งหมด จึงมีช้างป่ามากินในเวลากลางคืน เจ้าหน้าที่เองก็พบเห็นมูลช้างที่กินขยะเช่นกัน และได้กำชับให้ฝ่ายจัดเก็บขยะทำให้เรียบร้อย อย่าให้มีเศษขยะหลงเหลือเพราะอาจเป็นอันตรายต่อสัตว์ป่าที่กินเข้าไป ทั้งนี้ปัญหาเรื่องขยะล้นจนช้างป่าออกมากินนั้น เป็นเพียงชั่วเวลาที่สั้นๆ และเมื่อเข้าสู่ภาวะทั่วไป ปริมาณขยะก็ลดลงจนเป็นปกติ

 ผู้เชี่ยวชาญเรื่องช้างรายหนึ่งระบุว่า ตามที่ช้างป่ากินพลาสติกเข้าไป บ่งบอกว่าสัตว์ป่ากำลังได้รับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่กำลังจะกลายเป็นปัญหาที่ภาคส่วนของหน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องเร่งหามาตรการแก้ไข ช้างกินถุงพลาสติกไม่ส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร เพราะช้างไม่มีกระเพาะ มีเพียงลำไส้ใหญ่เท่านั้น แต่เป็นห่วงว่าหากกวาง เก้ง หรือสัตว์ป่าอื่นๆ กินถุงพลาสติกเข้าไปก็อาจถึงตายได้ เพราะสัตว์เหล่านี้มีกระเพาะอาหารเมื่อกินเข้าไปแล้วไม่ย่อย จึงอาจเสียชีวิตได้

 สำหรับอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว มีช้างป่ามากกว่า 100 ตัว สภาพป่าอุทยานแห่งชาติน้ำหนาวมีพื้นที่ 6 แสนไร่ อาณาเขตติดต่อกับเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเขาเขียว ทุ่งกะมัง จ.ชัยภูมิ เนื้อที่ 8 แสนไร่ และอุทยานแห่งชาติตาดหมอกอีก 4 แสนไร่ รวมเนื้อที่ของทางเดินของช้างป่าที่แยกกันออกหากินในเวลากลางคืนรวมเนื้อที่ประมาณ 1.8 ล้านไร่ ช้างป่าแต่ละโขลงแยกกันหากินโขลงละไม่เกิน 10 ตัว

  ด้านอุทยานแห่งชาติภูกระดึงเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งของ จ.เลย ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ทำให้อุทยานจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในการขึ้นอุทยานวันละไม่เกิน 5,000 คน แต่ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาสัมผัสบรรยากาศหนาวเย็นจำนวนมาก สิ่งที่ตามมาคือขยะ ประกอบกับภูกระดึงซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่อย่างชุกชุม เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศประกอบไปด้วยป่าไม้ ทุ่งหญ้า และลำธาร ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าภูกระดึงมีหลายชนิดที่พบเห็นทั่วไป อาทิ ช้างป่า เก้ง กวางป่า หมูป่า 

 ดังนั้นทำให้อุทยานแห่งชาติภูกระดึงจึงออกกฎห้ามนำภาชนะที่ทำด้วยโฟมเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติโดยเด็ดขาด ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดปริมาณมลพิษและขยะที่ย่อยสลายยาก อีกทั้งยังเป็นการป้องกันสัตว์ป่ากลืนกินกล่องโฟมเข้าไปด้วย

 นางเกษมศรี กองลาแซ หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เปิดเผยว่า อุทยานไม่อนุญาตให้นำกล่องโฟม ขวดแก้ว ถุงพลาสติกขึ้นโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะกล่องโฟม เพราะหากสัตว์ป่ากินเข้าไปก็จะเป็นอันตรายถึงตายได้ แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวบางส่วนที่ลักลอบนำถุงพลาสติกเหล่านี้ขึ้นไป อุทยานก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยเก็บขยะทุกสัปดาห์ ส่วนขยะที่เก็บได้นั้นก็จะทำการแยกขยะเปียก ขยะแห้ง โดยขยะแห้งที่ได้จะนำไปเผาในเตาเผาขยะ ที่ผ่านมาจึงไม่พบว่ามีสัตว์ป่ากินเศษพลาสติก เศษผ้าเข้าไปแต่อย่างใด

 ด้าน น.ส.ภัทรีภรณ์ กมลรัตน์ เจ้าหน้าที่ประจำโครงการอาสาสมัครพิทักษ์ภูกระดึง เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลวันหยุดยาว เช่น ปีใหม่ที่ผ่านมาจะมีปริมาณขยะไม่น้อยกว่าวันละ 2,000-3,000 ตัน หากเป็นวันปกติมีไม่มากนัก ซึ่งมาตรการในการรักษาความสะอาดและป้องกันสัตว์ป่ากินขยะ ถุงพลาสติกนั้น อุทยานได้จัดทำ 2 โครงการเพื่อกระตุ้นเตือนจิตสำนึกนักท่องเที่ยวให้ช่วยกันรักษาความสะอาด คือ โครงการมัดจำบรรจุภัณฑ์ และโครงการอาสาสมัครพิทักษ์ภูกระดึง

 สำหรับโครงการมัดจำบรรจุภัณฑ์ ซึ่งได้ริเริ่มโครงการมาเมื่อปี 2547 กรณีที่นักท่องเที่ยวนำขวดน้ำ ถุงบะหมี่ ถุงขนมขึ้นไปบนอุทยาน เราก็จะนับจำนวนถุง และขอเงินมัดจำไว้ก่อน ขากลับก็ให้นักท่องเที่ยวเก็บขยะที่นำขึ้นไปกลับมาด้วย ทางอุทยานจึงจะคืนเงินมัดจำให้ แต่ก็มีบ้างที่นักท่องเที่ยวไม่ได้เก็บขยะกลับคืนมา ก็จะถูกริบเงินมัดจำ แต่มีไม่มากนัก

 ส่วนโครงการอาสาอาสมัครพิทักษ์ภูกระดึง ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2537 ได้เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวที่สนใจเข้าร่วมโครงการได้ลงทะเบียน โดยโครงการนี้นักท่องเที่ยวจะต้องเก็บขยะจากยอดภูกระดึงลงมา นอกเหนือไปจากขยะที่ตนเองนำขึ้นไป โดยหากใครเก็บขยะลงมาได้ 1 กิโลกรัม ก็จะได้รับใบประกาศเกียรติคุณ

 "สองโครงการที่เราทำขึ้นมา ช่วยลดปริมาณขยะบนยอดภูได้เป็นอย่างมาก และเป็นการลดภาระให้แก่เจ้าหน้าที่ด้วย แต่หากมีขยะที่ยังตกค้าง เราก็จะประสานไปยังผู้ประกอบการร้านค้า และลูกหาบให้ช่วยเก็บเศษขยะ นอกจากเจ้าหน้าที่จะออกเก็บขยะตามเส้นทางต่างๆ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อนำมาเผาในเตาะเผาขยะ ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องสัตว์ป่ากินเศษถุงพลาสติกหรือกล่องโฟมแต่อย่างใด" น.ส.ภัทรีภรณ์ กล่าว

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2009, 01:06:25 AM »

X-cite  ไทยโพสต์


ดันอุทยานตะรุเตาขึ้นเป็นมรดกโลก

เตรียมผลักดันอุทยานแห่งชาติตะรุเตาเป็นมรดกโลก ผอ.อุทยานเผยจ้างทีมสำรวจเข้าไปศึกษา คาดแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนนี้ ยันมีลักษณะเด่นทั้งความงดงามทางธรรมชาติ ความอุดมสมบูรณ์ของพันธุ์พืชและสัตว์ป่า

นายณัฐพล รัตนพันธ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล เปิดเผยว่า ทางอุทยานอยู่ระหว่างประสานกับหลายฝ่ายเพื่อผลักดันให้อุทยานแห่งชาติตะรุเตาเป็นมรดกโลก ซึ่งจะทำให้พื้นที่ฝั่งทะเลอันดามันเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ทั้งนี้ เพราะเล็งเห็นว่าที่นี่มีลักษณะเด่นหลายอย่าง ทั้งทางด้านความงดงามของธรรมชาติ  ความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์และสัตว์ป่า  รวมไปจนถึงความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่  ซึ่งในปี 2549  ทางอุทยานแห่งชาติตะรุเตาก็ได้รับการยกย่องจากองค์การศึกษา  วิทยาศาสตร์  และพัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ  หรือยูเนสโก ให้เป็นมรดกอาเซียน  เพราะมีความสวยงามและความหลากหลายทางชีวภาพครบตามที่กำหนด "ขณะนี้ทางอุทยานฯ ก็ได้ว่าจ้างทีมสำรวจให้เข้ามาศึกษาภายในอุทยานฯ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบนบกหรือทะเล  เพื่อที่จะขอยื่นเรื่องเสนอให้อุทยานแห่งชาติตะรุเตาเป็นหนึ่งในมรดกโลกที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์   โดยคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้  เนื่องจากการสำรวจมีความคืบหน้าไปแล้วกว่า  70  เปอร์เซ็นต์  หากอุทยานแห่งชาติตะรุเตาได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก  ก็จะทำให้มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากขึ้น อย่างเช่น ลองแบของเวียดนาม  พอได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ก็มีนักท่องเที่ยวรู้จักและให้ความสนเข้ามาท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก" นายณัฐพลกล่าว

หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตากล่าวว่า  ความเป็นธรรมชาติของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ยังคงมีความสมบูรณ์อยู่มาก ต้นไม้บนเกาะและสัตว์ป่ายังคงอุดมสมบูรณ์ เพราะปราศจากสิ่งรบกวน  ไม่มีใครลักลอบเข้ามาทำลาย  ส่วนใต้ท้องทะเลปะการังต่างๆ ก็ยังคงมีความสวยงาม เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากสึนามิ  และจากการสำรวจก็พบว่า ปะการังเหล่านี้ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ  สวยงามขึ้นทุกวัน  โดยเฉพาะแนวปะการังรอบเกาะอาดัง  ราวี ด้วยความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ รวมไปจนถึงความหลากหลายทางชีวภาพ  น่าจะสามารถช่วยกันผลักดันให้อุทยานแห่งชาติแห่งชาติตะรุเตากลายเป็นมรดกโลกได้ในไม่ช้า   แต่นั่นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากทางภาครัฐด้วยเช่นกัน

นายณัฐพลเปิดเผยด้วยว่า วันที่ 14 กุมภาพันธ์ หรือวันวาเลนไทน์ปีนี้ อุทยานแห่งชาติตะรุเตาร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กำหนดจัดงานมงคลสมรสพร้อมจดทะเบียนหลังลอดซุ้มประตูหินบนบริเวณเกาะไข่   หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วิวาห์เกาะไข่" นั่นเอง

สาเหตุที่เลือกเกาะไข่เป็นสถานที่จัดงาน เนื่องจากเกาะไข่เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะตะรุเตาที่มีความสวยงาม  มีหาดทรายขาวนวล  น้ำทะเลสีเขียวใสจนเห็นผืนทรายใต้น้ำ และปะการังที่สวยงาม   ปลายเกาะด้านหนึ่งมีซุ้มประตูหินโค้ง อันเกิดจากประติมากรรมทางธรรมชาติ เปรียบเสมือนสะพานโค้งจากผืนทรายล้ำลงไปในทะเลอย่างงดงาม ได้สัดส่วนที่ลงตัว  ทำให้ปัจจุบันนี้ซุ้มประตูหินโค้งกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดสตูล และอุทยานแห่งชาติตะรุเตา นอกจากนี้ เกาะแห่งนี้ยังเป็นสถานที่วางไข่ของเต่าทะเลมากมายในแต่ละปี ทำให้เกิดความเชื่อว่า ผู้ใดที่ได้ลอดซุ้มประตูหินจะต้องกลับมาเยือนเกาะไข่อีก  เหมือนกับเต่าทะเลที่ขึ้นมาวางไข่บนเกาะไข่เสมอมา

นายณัฐพลกล่าวว่า  ขณะนี้มีคู่สมรสทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ แจ้งความจำนงขอเข้าร่วมงานแล้วประมาณ   25   คู่ และยังมีคู่ของดาราดังของเมืองไทย คือ ศิวัฒน์ และเอมี่ กลิ่นประทุม ที่ได้แจ้งความประสงค์ขอมาร่วมงานมงคลสมรสในครั้งนี้ด้วย.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2009, 01:19:43 AM »

กรุงเทพธุรกิจ


ล่อง ทะเลใต้ ปลายทาง ตะรุเตา                                               โดย : ชัยณรงค์ กิตินารถอินทราณี



เสียงคำรามครึกโครมหลังเงาเมฆฝน กำลังห่มคลุมเวิ้งฟ้าและเวิ้งน้ำ ยิ่งเพิ่มความกังวล ให้กับหลายคนบนเรือลำนี้พอสมควร

 หลังจากพวกเราโดนฝนไล่หลังออกมาจากฝั่งไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ถ้าโชคดี เราก็มีโอกาสไปถึงฝั่งก่อนฟ้าฝนจะคะนองอีกระลอก 

 เหมือนรู้ทัน...

 หยดน้ำใสๆ ทยอยร่วงลงมา ทำให้ภาพตรงหน้ามีแต่ฟากฟ้า ผืนน้ำ และสายฝน ทัศนวิสัยแบบนี้จึงเป็นเรื่องค่อนข้างลำบากพอสมควรที่นายท้ายจะมองเห็นทางข้างหน้า แต่เมื่อออกมาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไปตั้งหลัก ทำให้เรือสปีดโบตสีขาวนวลจำเป็นต้องแล่นต่อไป

 ความแรงของเม็ดฝนบวกกับความเร็วลมของเครื่องยนต์ขนาด 800 แรงม้า 4 เครื่อง ทำให้ผู้โดยสารกว่า 20 ชีวิตพากันเข้าไปหาที่กำบังตรงท้ายเรือโดยพร้อมเพรียงกัน

 "มิน่า... ตงิดๆ ตั้งแต่ออกจากฝั่งแล้ว" ใครบางคนตะโกนแทรกฟ้าฝน

 ยังไม่ทันจะมีเสียงตอบ คลื่นลูกโตก็หนุนท้องเรือให้ลอยขึ้นก่อนกระแทกผิวน้ำอย่างแรง แทบไม่ต้องคิดต่อเลยว่านับจากนี้ไปจนถึงปลายทางอีกราวครึ่งชั่วโมงจากนี้จะโขยกเขยกขนาดไหน


 
สุดอันดามันที่ 'กันตัง'

 เสียงสัญญาณภายในสถานีรถไฟหัวลำโพงดังตัดสลับเสียงประกาศขบวนรถไฟที่จะมาจะไประหว่างชานชาลา คลอด้วยภาพละครจากจอแอลซีดีขนาดใหญ่ที่ติดเอาไว้ให้คนรอเวลาเดินทางดูแก้เบื่อ ความคึกคักของที่นี่ยิ่งทวีคูณขึ้นอีกเมื่อเข้าสู่วันหยุดสุดสัปดาห์ โดยเฉพาะวันหยุดยาว บรรดาแบ็คแพ็คเกอร์ทั้งหน้าใหม่ มือเก๋าก็แทบจะเดินชนกันเองอยู่แล้ว ยังไม่นับคนต่างจังหวัดที่เดินทางกลับบ้าน บรรยากาศจึงเหมือนกับจราจรย่อยๆ ทีเดียว

 หากทดเรื่องค่าใช้จ่าย ความสะดวกสบาย และเรื่องตรงเวลาเอาไว้นอกใจก่อน รถไฟถือเป็นความรื่นรมย์ที่อยู่ในใจนักเดินทางมาอย่างยาวนาน บรรยากาศระหว่างทาง ขณะตู้เหล็กกำลังเคลื่อนไหวจึงมักปรากฏให้เห็นผ่านหน้ากระดาษบ่อยๆ หรือส่วนใหญ่ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยย่อมต้องมีการเดินทางสักครั้งที่เกี่ยวดองกับม้าเหล็กตัวนี้

 เมื่อพ้นความจอแจของผู้คน ภาพของเมืองกรุงก็ถูกเลื่อนออกไปจากริมหน้าต่าง กลายเป็น 'ชีวิต' ริมทางผลัดเปลี่ยนเข้ามาแทนที่อย่างสม่ำเสมอตามจังหวะจะโคนของรางรถไฟ ทั้งยอดไม้นานาพันธุ์ในราวป่าที่มีทิวเขาคอยโอบอุ้มเมื่อขึ้นเหนือ ภาพโคกเนินสลับคันนาสะท้อนวิถีชีวิตทางภาคอีสาน หรือกลิ่นชื้นฝนปนป่ายางเมื่อเยื้องย่างสู่ภาคใต้ ล้วนเป็นเสน่ห์สงวนไว้เฉพาะรางเท่านั้น

 ไม่รู้ว่าเพราะห่างหายจาก 'จังหวะ' ไปนานหรือ 'เสียงหวานๆ ' จากปลายสายโทรศัพท์กันแน่ รู้ตัวอีกทีก็กลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิก 'ทัวร์รถไฟ' ไปผจญภัยที่ 'อุทยานแห่งชาติตะรุเตา' คราวนี้แล้ว

 ชั่วโมงที่ 13 บนขบวนกรุงเทพฯ - ตรัง ฟ้าหมาดฝนจากฝั่งอันดามันแย้มต้อนรับผู้มาเยือนให้รู้ตัวว่าเรากำลังจะถึงจุดหมายในอีกไม่ช้า หลายคนยอมรับว่าทุกครั้งที่เดินทางด้วยรถไฟมักทำให้ร่างกายตื่นตัวตลอดเวลา เพราะเหล่าพ่อค้าแม่ค้าเร่ประจำสถานี ต่างงัดของเด่นของดีประจำจังหวัดมานำเสนอ ตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยวปากท่อมาถึงปาท่องโก๋ทุ่งสง ชนิดไม่ต้องรอให้คนซื้อได้มีโอกาสพักยกย่อย

 หลังขนสัมภาระลงจากรถไฟ ไปจัดการหมูย่างเมืองตรัง 'เอาแรง' กันเรียบร้อย โปรแกรมเดินทางถึงถูกกางดูต่อ ก่อนลงความเห็นกันว่า ไหนๆ จะให้สุดสายอันดามันทั้งที สถานีกันตังก็น่าจะเป็นหมุดหมายหนึ่งที่ไม่ควรพลาด

 สถานีรถไฟกันตัง ตั้งอยู่บนถนนหน้าค่าย ตำบลกันตัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นสถานีรถไฟสุดทางของทางรถไฟสายใต้ ฝั่งทะเลอันดามัน ที่เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2456 เพื่อรับส่งสินค้ากับต่างประเทศ ทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย มีรางรถไฟต่อไปเป็นระยะทางประมาณ 500 เมตร ถึงท่าเทียบเรือกันตัง ซึ่งเป็นท่าเรือเก่าแก่

 แม้ปัจจุบันสถานีกันตังจะลดบทบาทลงเป็นเพียงสถานีย่อยแห่งหนึ่งในสายการเดินรถไฟเท่านั้น แต่ภาพของการเป็นจุดขนส่งสำคัญในอดีตยังถ่ายทอดผ่านตัวสถานีรถไฟกันตังได้เป็นอย่างดี อาคารไม้ชั้นเดียวทรงปั้นหยาทาสีเหลืองมัสตาร์ดสลับน้ำตาลแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ด้านหน้ามีมุขยื่นประดับมุมเสาด้วยลวดลายไม้ฉลุ ประตูบานเฟี้ยมแบบเก่า คงเอกลักษณ์เดิมตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 รวมถึงการจัดวางผังที่อยู่อาศัยบริเวณโดยรอบสถานีที่สะท้อนถึงความมีระเบียบ แบบแผน พอให้ได้เดินเล่นทอดอารมณ์อีกด้วย

 "เห็นแล้วนึกออกเลยนะว่าที่นี่เมื่อก่อนเจริญขนาดไหน" ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นหลังพวกเราโบกมือลาสุดปลายสายอันดามัน   



'ตะรุเตา' วันฟ้าหม่น

 ถ้าไม่นับรอยขยึกขยือบนหน้ากระดาษเมื่อกี้ ครั้งนี้คงเป็นความพยายามจริงๆ จังๆ ในการจรดปลายปากกาเพื่อบันทึกเรื่องราวตามแบบฉบับที่นักเดินทางมืออาชีพเขาทำกันของเจ้าหนุ่มผม(เกือบ)ยาว เมื่อชายตาเห็นสาวที่นั่งตรงข้ามกำลังขะมักเขม้นจดบันทึกอย่างตั้งใจเช่นกัน ขณะที่รถกำลังวิ่งผ่านเมืองตรังในบรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนต่อไปยังสตูลจุดหมายปลายทางในทริปนี้

 "เห็นพยากรณ์อากาศเขาบอกว่าชายฝั่งจะมีเมฆมากนะ แสดงว่ากลางทะเลไม่น่าจะมีฝน" ไกด์ชาย - ภัทรพงศ์ ตันพานิช มัคคุเทศก์หนุ่มใหญ่ (แต่ตัวเล็ก) ให้ข้อมูล

 ความเห็นนี้เรียกกำลังใจจากใครหลายคนได้ดีพอสมควร เพราะเมื่อดูจากความขมุกขมัวของท้องฟ้าแล้ว ยังไม่แน่ว่าออกทะเลคราวนี้จะต้องเปียกฝนหรือเปล่า

 ไม่เกิน 1 ตื่นเมื่อรถจอดตรงท่าเรือปากบารา เรือสปีดโบตลำเขื่องก็ลอยลำรออยู่แล้ว หลังจากขนสัมภาระลงเรือเสร็จสรรพ เสียงเครื่องยนต์เบนซินก็ติดเครื่องพาเรามุ่งหน้าสู่ท้องน้ำอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาตรงหน้าทันที

 45 นาทีต่อมา เราก็มาถึงท่าเทียบเรือของที่ทำการอุทยานแห่งชาติตะรุเตา หาดทรายสีนวลเรียงเม็ดละเอียดตัดกับโขดหินตะปุ่มตะป่ำที่มีเต็นท์ผ้าใบของนักท่องเที่ยวแซมอยู่เป็นระยะนั้น ทำให้หลายคนแทบจะนึกภาพ 'คุก' ที่มีแต่นักโทษของที่นี่ไม่ออก

 "ที่นี่มีพื้นที่ประมาณ 1,490 ตร.กม. มีเกาะรวมกันประมาณ 51 เกาะ มีเกาะใหญ่ๆ เป็นเกาะตะรุเตา อาดัง-ราวี คนที่มาท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะมากางเต็นท์ค้างแรม ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ" โรจนพรรณ อุ่นเสียม เจ้าหน้าที่สาวประจำอุทยานฯ ให้ข้อมูลเบื้องต้น 

 ในเอกสารทางประวัติศาสตร์ระบุว่า ตะรุเตา เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า ตะโละเตรา ในภาษามลายู แปลว่า มีอ่าวมาก ต่อมาปี 2480 กรมราชทัณฑ์ได้ใช้บริเวณอ่าวตะโละอุดังและอ่าวตะโละวาวเป็นสถานที่กักกันนักโทษ โดยใช้ชื่อว่า นิคมฝึกอาชีพ ตามนโยบายของรัฐบาลในขณะนั้นที่ต้องการนำเอานักโทษที่มีสันดานเป็นผู้ร้ายไปไว้ในที่เดียวกัน  เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะกลางทะเลลึก มีคลื่นลมในฤดูมรสุมรุนแรงมาก อีกทั้งยังชุกชุมไปด้วยจระเข้และฉลาม เป็นแนวป้องกันการหลบหนีได้เป็นอย่างดี นักโทษคนสำคัญหลายๆ คนจึงถูกส่งมาอยู่ที่นี่ด้วย

 ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี (2481-2491) บนเกาะตะรุเตามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายทั้ง 'วีรกรรม' ของบรรดานักโทษการเมืองที่เสี่ยงชีวิต 'แหกคุก' หลังจากถูกส่งมาอยู่ที่นี่ได้เพียง 1 เดือน หรือเรื่องเล่าขานถึงโจรสลัดแห่งช่องแคบมะละกา ก่อนที่จะมีการจัดตั้งเกาะตะรุเตา เกาะอาดัง เกาะราวี และเกาะอื่นๆ ในบริเวณเดียวกันเป็นอุทยานแห่งชาติในปี 2515

  ดูจากเวลา ฟ้าฝน และคำแนะนำจากเจ้าถิ่น เราจึงเดินขึ้นสู่เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ผาโต๊ะบู ซึ่งอยู่ด้านหลังที่ทำการอุทยาน ตามคำบอกเล่า เส้นทางสายนี้ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 20 นาที ก็จะถึงจุดชมวิวที่มองเห็นทิวทัศน์ได้ 180 องศา อีกทั้งยังมีศาลาสำหรับพักผ่อนให้หายเหนื่อยอีกด้วย

 กลิ่นฝน และความชื้นของป่าบนเกาะถึงจะทำให้หลายคนรู้สึกอบอ้าวและเหนียวเนื้อตัวไปบ้าง ก็ไม่ได้ทำให้เสียอารมณ์ผจญภัย (เล็กๆ) ไปมากเท่าไหร่ หลังผ่านด่านทดสอบขึ้นมายังจุดชมวิวได้นั้น ตลอดแนวเท่าที่สายตาจะกวาดสุดอุดมไปด้วยสีเขียวชุ่มชื้น แม้เส้นขอบฟ้าจะเบาบางไปบ้างเพราะโดนเจือจางด้วยเมฆฝน ไม่เหมือนวันฟ้าใส แต่ก็ยังมีเสียงชมว่า สวยได้ใจอยู่เหมือนกัน

 ชักภาพ กินลม ชมวิว อยู่พอสมควรก่อนจะลงไปหามื้อกลางวันใส่ท้องเพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อ ระหว่างที่รอให้ข้าวเรียงเม็ดสายฝนก็โปรยปรายลงมาพร้อมเสียงฟ้าจนพาให้หาสำลีอุดหูแทบไม่ทัน ทำให้วงอาหารแตกกระเจิงไปคนละทิศละทางหลังโดนเซอร์ไพรส์หนนี้ หลังเม็ดฝนหมาดฟ้าทุกคนจึงพร้อมใจกันเดินทางต่อโดยไม่ต้องให้ใครมาไล่

 เหมือนระลอกแรกแค่ขู่ แล่นเรือออกจากฝั่งยังไม่ทันจะได้หายใจทั่วท้อง เค้าฝนก็ไล่หลังมาชนิดหายใจรดต้นคอ ยังไม่ทันที่ใครจะได้ทักอะไร ฝนเม็ดใหญ่ๆ ความเร็วลมกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผลักไสใครต่อใครเข้าไปหาที่กำบังท้ายเรือ ไม่เฉพาะฟ้าฝน ระลอกคลื่นที่เริ่มสูงขึ้นก็คอยโขยกเขยกคนในเรือให้กลิ้งไปมาได้ไม่ยากหากไม่หาอะไรยึดเอาไว้ สถานการณ์แบบนี้การผจญภัยเมื่อครู่ดูจะเป็นแค่ 'น้ำจิ้ม' ไปเลย

 "นี่อาศัยความจำอย่างเดียวเลยนะ เรืออีกลำหนึ่งเขาหลงอยู่เกือบชั่วโมงแน่ะ" นายท้ายเฉลย เมื่อเรือลอยลำอยู่หน้าเกาะหลีเป๊ะที่พักสำหรับคืนนี้อย่างปลอดภัย

 ไม่รู้จะว่ายังไง แต่ก็ดีแล้วที่มาทันเห็นบรรยากาศยามเย็นของที่นี่ น้ำทะเลสีมรกต ตัดหาดที่ระโยงระยางไปด้วยเรือรับจ้างสลับเรือหาปลา รวมทั้งแขกหัวแดงหัวทอง ให้ความรู้สึกไปอีกแบบ แม้มีเผลอไม่แน่ใจ แต่ปริมาณนักท่องเที่ยวของที่นี่ก็ถือเป็นหลักฐานชั้นดีถึงความเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ในโลกของหมู่เกาะทะเลใต้



'ปลายดี' ที่อาดัง

 ปล่อยคืนแรม และสายลมไปกับค่ำคืนของหลีเป๊ะ ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นของเช้าวันใหม่ ฟ้าสวย ทะเลใส จนหลายคนประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ยังไงวันนี้ลางดีค่อนข้างแน่

 "ต้นร้ายหรือเปล่าไม่รู้ แต่ปลายน่ะดีแน่ๆ" ดวงตานั้นแสดงความมั่นใจขณะที่การผจญภัยรอบใหม่ของวันเริ่มต้นขึ้น

 ความสดใสที่คาดไม่ถึงมาพร้อมกับความสวยงามของ เกาะไข่ เกาะหินงาม และเกาะอาดัง หมู่เกาะในอาณาเขตของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา นอกจากตำนานลอดถ้ำพิสูจน์รักบนเกาะไข่ และคำสาปจาก 'เจ้าพ่อหินงาม' หากใครเก็บหินสีมันวาวออกไปจากเกาะจะเป็นเรื่องเล่าติดปากใครต่อใครที่มาเยือนทะเลแถบนี้แล้ว น้ำทะเล 3 สีของ เกาะอาดัง - ราวีก็ดูจะเป็น 'ไฮไลต์' ไม่แพ้กัน

 "คำว่า อาดัง มาจากคำเดิมในภาษามลายูว่า อุดัง มีความหมายว่า กุ้ง เนื่องจากว่าบริเวณนี้เคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยกุ้งทะเล" ไกด์ชายชี้ให้ดูบริเวณรอบๆ เกาะที่เป็นที่อยู่อาศัยของกุ้งทะเล ก่อนอธิบายจุดดำน้ำตื้น (Snorkeling) สัญลักษณ์ธงแดงที่บอกถึงจุดอันตรายเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นก็เป็นเวลาที่ปล่อยให้นักท่องเที่ยวได้ชมธรรมชาติใต้ท้องทะเล หรือเดินชมวิวที่ขึ้นชื่อว่า 'สวยที่สุด' แห่งหนึ่งของเมืองไทย

 จากสภาพทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ทั้งในแง่การท่องเที่ยวและการเลี้ยงชีพของชาวบ้าน ทำให้ภาพเรือประมงแล่นสวนเรือสำราญมีให้เห็นอยู่เนืองๆ นอกจากนี้ยังหมายถึงเรือต่างชาติที่เข้ามาทอดสมอเพื่อร่วมใช้วิวธรรมชาติทะเลไทยเป็นที่เอ็นเตอร์เทนนักท่องเที่ยวอีกด้วย

 ไม่นาน ความสวยงามของหมู่เกาะทะเลใต้ก็ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง เมื่อเรือลำเดิมพาเรามุ่งหน้าเข้าฝั่งเพื่อปิดทริปล่องใต้หนนี้ ไล่มองสีหน้าและแววตาของแต่ละคนแม้จะอ่อนเพลียแต่ก็ดูมีความสุข

 "มีใครเห็นรองเท้าผมบ้างไหมครับ" เจ้าของดวงตามั่นคู่นั้นตะโกนขึ้นเมื่อรู้สึกตัวว่า อุปกรณ์สำคัญชิ้นหนึ่งในตัวหายไปจากเรือแล้ว

 โธ่! ไหนว่าปลายดีไง -  ใครบางคนอุบอิบเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2009, 01:24:17 AM »

สำนักข่าว INN


ชีวิตโรฮิงญา

   

ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงญา ยังคงถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนและถูกกดดันจากประเทศพม่า จนทำให้มีการอพยพหนีตายเพื่อหางานทำแลกเงินเพื่อความอยู่รอด ล่าสุดถูกจับกุมโดยทหารพม่าแถมต้องโทษจำคุก....โดยชาวโรฮิงญานับ 100 -130 คน มีทั้ง คนแก่-ผู้หญิงและเด็ก ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจพม่าจับกุมขณะเตรียมเดินทางเข้าไปทำงานในกรุงย่างกุ้งและลักลอบออกมายังชายแดนไทย ภายหลังจากการจับกุมชาวโรฮิงญาทั้งหมดถูกศาลพม่าพิพากษาให้จำคุกเป็นเวลา 6 เดือน โดยชาวมุสลิมโรฮิงญากลุ่มนี้ถูกจับใกล้กับเมืองชิดต่วย และทั้งหมดโดยสารมากับรถบัสของบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงย่างกุ้ง โดยชาวโรฮิงญาต้องเสียค่าใช้จ่ายเบิกทางให้นายหน้าเพื่อลักลอบเข้ามาทำงานจำนวนนับ 10,000 จ๊าต แต่มาถูกจับเสียก่อน สถานการณ์ของชนโรฮิงญา วันนี้ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ถูกจับตามอง

แหล่งข่าวกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทหารพม่าได้ยึดเงินชาวโรฮิงญาที่มากับรถโดยสารจำนวนมากที่นำมาใช้จ่ายเพื่อการลักลอบหลบหนีผ่านด่านต่างๆ ขณะที่นายหน้าขบวนการลักลอบพาชาวมุสลิมโรฮิงญาเข้ากรุงย่างกุ้งและมาชายแดนก็ถูกจับกุมเช่นกัน โดยถูกนำตัวส่งไปยังกรุงเนย์ปีดอ เมืองหลวงใหม่ของพม่าทันทีเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายทหารพม่า ขณะที่ยังไม่ทราบชะตากรรมของผู้ที่ถูกจับทั้งหมด ซึ่งขณะนี้ชาวโรฮิงญานับแสนคนกำลังดิ้นรนลักลอบเดินทางเพื่อหางานทำทั้งในพม่าและชายแดนไทย-มาเลเซีย-อินโดนีเซีย และชนกลุ่มนี้จะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนัก

“ทั้งนี้ ชาวมุสลิมโรฮิงญาซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศพม่าถูกทางการพม่าสั่งห้ามเดินทางออกนอกรัฐอาระกัน หากไม่ได้รับอนุญาตมาตั้งแต่ปี 2531 นอกจากนี้ทางการพม่ายังออกกฎหมายที่เป็นการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มชาวมุสลิมโรฮิงญา อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในพม่า รวมทั้งกฎข้อบังคับต่างๆ ที่เข้มงวด ทำให้ชาวมุสลิมโรฮิงญาจำนวนมากต้องไปทำงานต่างประเทศโดยอาศัยนายหน้าซึ่งจะลักลอบขนแรงงานมากับเรือสินค้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังมาเลเซีย หลายคนเดินทางมาถึงชายแดนไทย ขณะที่จำนวนไม่น้อยต้องจบชีวิตลงกลางทะเลอันดามัน” แหล่งข่าวกล่าว

นายอานายาต อุลเลาะห์ ( Enayat Ullah ) อายุ 55 ปี รักษาการเลขาธิการสมาคมชาวพม่า เชื้อสายโรฮิงญา ( Burmese Rohingya Association ) BRAT. ในพื้นที่ชายแดนไทย – พม่า จังหวัดตาก กล่าวว่า ได้ส่งหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อให้นำประเด็นปัญหาชาวโรฮิงญาอพยพไปสู่เวทีการประชุมอาเซียน โดยต้องการให้นายอภิสิทธิ์ใช้เวทีอาเซียนคุยกับรัฐบาลพม่า ไม่ใช่รัฐบาลไทย คุยกับ รัฐบาลพม่าโดยลำพัง เพราะปัญหาจะไม่จบ เพราะรัฐบาลพม่าไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงในการเจรจาลำพังเพียง 2 ประเทศ ซึ่งรัฐบาลบังคลาเทศเคยคุยปัญหานี้กับรัฐบาลพม่าแล้ว แต่ไม่ได้ผล

นายอานายาตกล่าวว่า อาเซียนควรตั้งคณะทำงานลงไปดูรากเหง้าของปัญหาที่ชาวโรฮิงญาอาศัยอยู่ในพม่า ถึงจะได้รู้ข้อเท็จจริงว่า เป็นอย่างไร และถ้าหากประเทศไทยสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ทำให้ไทยไม่ต้องรับผิดชอบ และชาวโรฮิงญาก็ไม่ต้องลักลอบเข้าไทยอีก ส่วนสิ่งที่ต้องแก้ไขคือ ให้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานกับชาวโรฮิงญา ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชน ได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป

“แม้นความเดือดร้อนของชาวโรฮิงญา จะเป็นความทุกข์ของชาวโรฮิงญาก็ตาม แต่สำหรับคนบางกลุ่มแล้ว ไม่ได้สนใจว่า พวกเขาจะเป็นเช่นไร จึงฉวยโอกาสเอาชาวโรฮิงญา เป็นสินค้าสำคัญเพื่อส่งไปยังประเทศต่างๆ โดยไม่มีความผิด แม้นว่า ผู้ถูกส่งไปจะเสียชีวิต หรือ เกิดอะไรขึ้นก็ตาม นายหน้าไม่เดือดร้อนอะไร ไม่ถูกดำเนินคดี และไม่มีใครทำอะไร

ขณะที่ชาวโรฮิงญารู้ดีว่า ต้องเสียเงินให้กลุ่มขบวนการค้ามนุษย์ แต่ก็ยินยอม เพราะความเดือดร้อน และถ้าอยู่ในแผ่นดินของตนเองอย่างมีความสุข ใครก็ไปชวนอย่างไรก็ไม่ได้” นายอนายาต ตุลเลาะห์ กล่าว

ปัญหาชนกลุ่มน้อยโรฮิงญาเชื้อสายมุสลิม ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ หากยังคงมีการลักลอบเดินทางเข้ามายังชายแดนไทยหรือด้านอื่นๆ เพราะพวกเค้าต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของชีวิต วันนี้อนาคตของพวกเค้าจึงไม่มีใครกำหนดชะตากรรมได้....

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.056 วินาที กับ 20 คำสั่ง