เมษายน 29, 2024, 10:52:13 PM
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว
: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ค้นหา
สมาชิก
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
กระดานข่าว Save Our Sea.net
>
หมวดหมู่ทั่วไป
>
ห้องรับแขก
(ผู้ดูแล:
สายชล
,
สายน้ำ
) >
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 (อ่าน 3119 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552
«
เมื่อ:
กุมภาพันธ์ 02, 2009, 11:32:45 PM »
กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในหลายพื้นที่ ขอให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับบริเวณประเทศไทยยังคงมีอากาศหนาวเย็นต่อไปอีก
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีหมอกบางในตอนเช้า และมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.
คาดหมาย
ในช่วงวันที่ 2-5 ก.พ. 52 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนที่แผ่ปกคลุมประเทศไทยและอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิจะสูงขึ้น โดยจะมีหมอกเพิ่มมากขึ้น และมีฝนเล็กน้อยบางแห่งในระยะนี้ แต่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศหนาวเย็นต่อไปอีก ส่วนลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้จะพัดปกคลุมภาคกลางและภาคตะวันออก รวมทั้งภาคใต้ ทำให้มีฝนเล็กน้อยบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ และจะมีหมอกหนาเกิดขึ้นได้ในบางพื้นที่
หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 6-8 ก.พ. 52 จะมีบริเวณความกดอากาศสูงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่ซึมเข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของประเทศไทย ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิลดลง 1-2 องศา
ข้อควรระวัง
ในระยะนี้ขอให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย
Forecast2.jpg
(36.24 KB, 684x423 - ดู 682 ครั้ง.)
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 02, 2009, 11:36:47 PM โดย สายน้ำ
»
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552
«
ตอบ #1 เมื่อ:
กุมภาพันธ์ 03, 2009, 12:11:10 AM »
ไทยรัฐ
ระทึกภูเขาไฟปะทุไล่เลี่ยที่ญี่ปุ่น-สหรัฐฯ
สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งญี่ปุ่นประกาศเตือนประชาชนมิให้เดินทางไปยังภูเขาไฟอาซามะ ซึ่งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ห่างจากกรุงโตเกียวไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 140 กม. หลังเกิดภูเขาไฟปะทุเมื่อ 01.51 น. ตามเวลาท้องถิ่นวันที่ 1 ก.พ. ทำให้มีเถ้าภูเขาไฟแพร่กระจายปกคลุมท้องฟ้าส่วนใหญ่ของภาคกลางและบางส่วนของกรุงโตเกียว แต่ไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อทัศนวิสัย
ด้านสัญญาณเตือนภัยภูเขาไฟอยู่ที่ระดับ 3 เป็นการเตือนให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่รอบภูเขาอาซามะเฝ้าระวังและรอฟังประกาศจากเจ้าหน้าที่ ส่วนสัญญาณเตือนภัยระดับ 4 เป็นการแจ้งให้ประชาชนเตรียมตัวอพยพ ขณะที่สัญญาณเตือนภัยระดับ 5 เป็นการสั่งอพยพอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม คนงานในเหมืองแร่ทางทิศใต้ของภูเขาอาซามะได้รับคำสั่งให้อพยพออกจากพื้นที่ทันที หลังมีควันพุ่งจากปล่องภูเขาที่ระดับความสูงประมาณ 2,568 กม. ทั้งยังมีสะเก็ดหินภูเขาไฟหล่นจากฟ้าในรัศมี 1,000 เมตร แต่ยังไม่มีลาวาไหลออกมา และไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือความเสียหายใดเกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน ศูนย์เฝ้าระวังภูเขาไฟแห่งอลาสกา แจ้งเตือนประชาชนในละแวกใกล้เคียงภูเขาไฟรีเดาบ์ในเมืองแองเคอเรจ รัฐอลาสกา ทางตอนเหนือของสหรัฐฯ เตรียมรับมือภัยภูเขาไฟ เนื่องจากมีไอร้อนพวยพุ่งขึ้นจากปากปล่องภูเขาต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค. และเกิดหลุมกว้างขนาดประมาณสนามฟุตบอลที่บริเวณธารน้ำแข็งใกล้กับภูเขาและตรวจพบแนวโน้มการเกิดแผ่น ดินไหว แต่ยังไม่มีควันหรือเถ้าภูเขาไฟพุ่งออกมา ด้านเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศซึ่งประจำการอยู่ที่เมืองเอลเมน-ดอร์ฟ ติดกับแองเคอเรจ สั่งย้ายเครื่องบินลำเลียง รุ่นซี-17 จำนวน 5 ลำ ไปยังกรุงวอชิงตัน เพื่อป้องกันความเสียหายของทรัพย์สินรัฐบาล.
**********************************************************************************************************************
หิมะถล่มยุโรปเดือดร้อนถ้วนหน้า
เมื่อ 2 ก.พ.หลายพื้นที่ทั่วยุโรปตะวันตกเผชิญสภาพอากาศหนาวเย็นและหิมะตกหนัก ก่อความเดือดร้อนถ้วนหน้า โดยที่อังกฤษมีหิมะตกหนักตลอดคืนวันอาทิตย์ล่วงถึงวันจันทร์ ส่งผลกระทบต่อการเดินทางและขนส่งทั่วประเทศรวมทั้งกรุงลอนดอน มีเที่ยวบินหลายเที่ยวเลื่อนเดินทางระบบขนส่งมวลชนเป็นอัมพาตทั้งใต้ดินและบนดิน เพราะสภาพอากาศไม่อำนวยและหวั่นเกิดอุบัติเหตุตามมา
พื้นที่แถบตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษถูกหิมะถล่มหนักสุด บางแห่งหิมะปกคลุมสูง 25 ซม. รวมทั้งเมืองเคนท์ เซอร์เรย์ และซัสเซ็กซ์ เฉพาะที่เมืองเคนท์ มีการสั่งปิดโรงเรียนด้วยกว่า 50 แห่ง ส่วนกรุงลอนดอนหิมะคลุมสูงราว 10 ซม. หนักสุดในรอบ 18 ปี ด้านบีบีเอซึ่งบริหารสนามบิน 7 แห่งในอังกฤษ เตือนผู้โดยสารตรวจสอบข้อมูลกับสายการบินให้ถ้วนถี่ป้องกันผิดพลาด
ส่วนที่ฝรั่งเศส ซึ่งเผชิญสภาพอากาศเลวร้ายเช่นกัน มีการเลื่อนเดินทางหลายเที่ยวบินในสนามบินออร์ลีและรอยส์ซี-ชาร์ลส์ เดอ โกลในกรุงปารีส และยังเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนนับสิบเหตุการณ์ แต่ไม่มีผู้บาดเจ็บ หิมะตกหนักยังสร้างความยุ่งเหยิงต่อการจราจรในหลายพื้นที่ของสเปนรวมทั้งในกรุงมาดริด ขณะที่อิตาลี เบลเยียม และสวิตเซอร์แลนด์ เผชิญภาพอากาศเลวร้ายและได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน.
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552
«
ตอบ #2 เมื่อ:
กุมภาพันธ์ 03, 2009, 12:46:28 AM »
มติชน
"วิวาห์ใต้สมุทร์"ตรัง สัมผัส"รัก"แห่งอันดามัน
"หนังตะลุง-โนราห์-ลิเกป่า" สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของความเป็นชาวใต้ได้แนบแน่น แม้กระแสวัฒนธรรมตะวันตกเบียดแทรกอย่างหนักหน่วง แต่หากใครได้มีโอกาสเดินทางมาเยือนตรัง ณ วันนี้ สามารถสัมผัสกลิ่นอายของความเป็นใต้ได้อย่างใกล้ชิด
ตรัง เป็นเมืองเล็กๆ ฝั่งทะเลอันดามัน ที่ผู้คนยังให้ความสนใจในเรื่องอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมมาอย่างต่อเนื่องรวมถึงให้ความสำคัญกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจนได้รับจัดวางให้เป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
ฝืนทะเลอันดามันทอดเป็นแนวยาว หาดทรายขาวสะอาด และดารดาษไปด้วยเกาะแก่งช่วยแต่งแต้มให้ "ตรัง" มีเสน่ห์มนต์ขลัง อีกทั้งยังเป็นที่มาของการจัดงาน "วิวาห์ใต้สมุทร์" ซึ่งจัดขึ้นเมื่อปี 2539 จนได้รับการบันทึกเป็นสถิติโลกในหนังสือกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส์ (Guinness World Records)
ท้องทะเลตรัง เป็นจุดเริ่มต้นของบรรดาคู่รักหนุ่มสาวดำดิ่งเพื่อประกาศความรักด้วยการจดทะเบียนบนผืนทรายใต้น้ำ สร้างความตื่นเต้นประทับใจที่ไม่อาจลืมเลือน
นายสมพงษ์ อนุยุทธพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ยืนยันว่า การจัดงานวิวาห์ใต้สมุทร์ของจังหวัดตรังปีนี้ซึ่งเข้าสู่ปีที่ 13 มีจุดประสงค์เพื่อเผยแพร่พิธีแต่งงานอันงดงามแบบไทยให้นักท่องเที่ยว คู่รักและนักดำน้ำ ชาวต่างประเทศได้ร่วมดื่มด่ำ
"วิวาห์ใต้สมุทร์" กำหนดจัดระหว่างวันที่ 13-15 กุมภาพันธ์ บริเวณชายหาดปากเมง อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม อ.สิเกา จ.ตรัง
มีคู่บ่าวสาวเข้าร่วมงานประมาณ 30 คู่
พิธีการต่างๆ จะทำตามขั้นตอนตามประเพณีแต่งงานของชาวใต้ เริ่มตั้งแต่พิธีทางศาสนาแห่ขันหมาก รดน้ำสังข์ ส่งตัวเข้าหอ
นอกจากนี้คู่รักที่เคยร่วมวิวาห์ใต้สมุทร์เมื่อปีก่อนๆ ได้รับการเชิญชวนเข้าร่วมงานด้วย
"เราต้องการให้พวกเขากลับมาร่วมพิธีซึ่งเป็นเหมือนฮันนีมูนและสร้างประสบการณ์ให้กับครั้งหนึ่งในชีวิต รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่รักการท่องเที่ยวและการดำน้ำสามารถเดินทางมาในร่วม ฉลองเทศกาลแห่งความรัก และสัมผัสกับบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรักและความงดงามของท้องทะเลตรัง" นายสมพงษ์แจงรายละเอียด
นายสลิล โตทับเที่ยง ประธานหอการค้าจังหวัดตรัง บอกว่า ในวันวิวาห์ใต้สมุทร์ปีนี้ขบวนแห่งของคู่บ่าวสาวจะเน้นเครื่องแต่งกายท้องถิ่นใต้ รูปขบวนนำด้วย ขบวนกลองยาวเด็ก, เด็กแฝด, ขันหมากจากชุมชนต่างๆ, ขบวนคู่บ่าวสาว แขกผู้ใหญ่ ขบวนคู่สมรสชาวตรังซึ่งจะมีผู้ร่วมงานประมาณ 2,000 คน โดยพิธีรดน้ำสังข์เลี้ยงต้อนรับคู่บ่าวสาวโดยจัดให้มีประเพณีกินเหนรยวซึ่งเป็นขั้นตอนในงานประเพณีแต่งงานพื้นเมืองของชาวตรังและภาคใต้
"วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งความรักคู่บ่าวสาวจะเดินทางไปร่วมพิธีจดทะเบียนสมรสใต้ท้องทะเลตรัง บริเวณเกาะปริง หาดปากเมง ที่ความลึกประมาณ 7 เมตร เราจัดเตรียมสถานที่บริเวณพื้นทรายไม่ใช่เป็นแหล่งปะการัง ให้คู่บ่าวสาวนั่งเรือหางยาวไปยังแพขนานยนต์ที่ตกแต่งอย่างสวยงามจากนั้นเปลี่ยนเป็นชุดดำน้ำแล้วดำลงไปจดทะเบียนสมรสใต้ท้องทะเลด้วยบรรยากาศแห่งความรักและสุขสดชื่น"
นายสลิลบอกอีกว่า กิจกรรมบนผืนทรายก่อนที่จะลงไปจดทะเบียนจะปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ อาทิ หอยมือเสือ พร้อมทั้งร่วมกันปล่อยลูกกุ้งจำนวนหนึ่งล้านตัวเพื่อความเป็นสิริมงคล
ในช่วงเย็นตะวันตกดินจะจัดเลี้ยงภายใต้บรรยากาศโรแมนติคห้อมล้อมด้วยหน้าผาและท้องทะเลภายในหาดวิวาห์ใต้สมุทร์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยวิทยาเขตตรัง อ.สิเกา และมีการแสดงดนตรีและจุดโคมสวรรค์และจุดพลุดอกไม้ไฟที่สวยงามท่ามกลางท้องทะเลยามค่ำคืน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ คู่บ่าวสาวจะร่วมกันปลูกต้นไม้แห่งความรักภายในสวนพฤษศาสตร์ภาคใต้ (ทุ่งค่าย) อ.ย่านตาขาว ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่สร้างความผูกพันระหว่างคู่บ่าวสาวกับจังหวัดตรังได้เป็นอย่างดี
"งานวิวาห์ใต้สมุทร์" ของจังหวัดตรัง ปีที่ 13 จะยังคงสร้างตำนานรักให้กับคู่บ่าวสาวที่ต้องการสัมผัสรูปแบบการแต่งงานที่ท้าทาย ตื่นเต้น ผสมผสานกับความตื่นตาตื่นใจกับการชมความงามภายใต้ท้องทะเลของมวลหมู่สัตว์น้ำ ปะการังและหญ้าทะเลอย่างมิรู้ลืม
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552
«
ตอบ #3 เมื่อ:
กุมภาพันธ์ 03, 2009, 12:52:28 AM »
ข่าวสด
เสือปลา-แมวป่าไทยหายไป ภารกิจอนุรักษ์พ้น "บัญชีแดง"
"สัตว์บางชนิดที่คนไทยเคยคิดว่ามีอยู่มาก และหาได้ทั่วไป เช่น เสือปลา เสือ ไฟ ปัจจุบันนี้แทบจะพบตัวเป็นๆ ไม่ได้เลย" ดร. นริศ ภูมิภาคพันธ์ หัวหน้าภาควิชาชีววิทยาป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) กล่าวในการประชุมสุดยอดเรื่อง "การอนุรักษ์เสือลายเมฆ" เมื่อวันที่ 30 ม.ค.
การประชุมดังกล่าวเป็นครั้งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดโดยรัฐบาลไทย ในนามขององค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ร่วมด้วยสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ไอยูซีเอ็น) และเอ็นจีโอด้านการอนุรักษ์เสือและแมวป่าขนาดเล็ก
ดร.นริศ กล่าวว่า สัตว์ป่าในกลุ่มเสือขนาดเล็กและแมวป่า เป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อกันว่าเป็นแหล่งที่มีสัตว์กลุ่มนี้ อยู่จำนวนมากในพื้นที่ป่าธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น ที่กัมพูชา ลาว พม่า ไทย และอินโดนีเซีย ในอดีตพบเห็นเสือขนาดเล็กชนิดต่างๆ รวมไปถึงแมวป่า ออกหากินในป่าทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีการศึกษาวิจัย หรือเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ประเภทนี้อย่างจริงจัง ทำให้นักวิชาการมีข้อมูลรายละเอียดในการนำมาศึกษาวิจัยน้อยมาก อาจเพราะสัตว์เหล่านี้เป็นสัตว์ประจำท้องถิ่น เคยมีอยู่จำนวนมาก ทำให้มองข้ามไป
จนกระทั่งเวลาผ่านมาถึงปัจจุบัน กลับพบว่า สัตว์หลายชนิดที่อยู่ในกลุ่มนี้กำลังลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว และอาจจะเข้าสู่ภาวะใกล้สูญพันธุ์เข้าไปทุกที เป็นสิ่งที่นักอนุรักษ์ และนักวิชาการสัตว์ป่า เป็นห่วงมาก
"ในอดีตคนไทยอาจจะคุ้นเคยกับการพบเห็น เสือปลา เสือไฟ หรือแมวป่าชนิดต่างๆ เนื่องจากสัตว์เหล่านี้มีอยู่มากในพื้นที่ป่าทั่วไปของไทย โดยเฉพาะเสือปลา หลายคนยังคิดว่าปัจจุบันมันยังมีให้เห็นอยู่จำนวนมาก แต่ความเป็นจริงแล้ว เสือปลาในปัจจุบันไม่เคยมีใครได้พบเห็นตัวเป็นๆ ของมันเลย นอกจากภาพถ่ายล่าสุดที่มีนักวิชาการถ่ายภาพเสือปลาตัวหนึ่ง ขณะกำลังออกมาหาปลากิน ที่บริเวณทะเลน้อย จ.ตรัง และภาพนั้นถ่ายไว้เมื่อปี พ.ศ.2544 จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครเคยพบเห็นเสือปลาในธรรมชาติอีก"
ดร.นริศ กล่าวอีกว่า ในอดีตคนไทยพบเห็นเสือปลา ซึ่งเป็นสัตว์ประจำถิ่นได้ไม่ยากนัก ตามป่าที่มีแหล่งน้ำทั่วไป หรือแม้กระทั่งพื้นที่ใกล้กรุงเทพฯ อย่าง เขตบางขุนเทียน ก็พบเจอได้ไม่ยากนัก แต่ปัจจุบันกลับไม่มีให้เห็นอีกนับว่าเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งว่าเสือปลาที่คนไทยคุ้นเคยอาจจะใกล้สูญพันธุ์ เพราะหาพบได้ยากมาก
ปัจจัยคุกคามทำให้สัตว์ป่าชนิดนี้ลดลงอย่างรวดเร็ว นอกจากเรื่องของพื้นที่ป่าที่ลดลง ทำให้สัตว์ขาดแหล่งอาศัยและหาอาหารแล้ว ก็คือการล่าสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมายของคนกลุ่มหนึ่ง ที่ยังคงออกล่าสัตว์ในพื้นที่ป่า หรือเขตห้ามล่าต่างๆ เนื่องจากในบางพื้นที่ โดยเฉพาะเขตห่างไกล หรือบริเวณชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน
เสือขนาดเล็กเหล่านี้ยังคงถูกใช้เป็นอาหาร ทำให้มีคนพยายามล่ามันมาขาย โดยใช้วิธีการดักบ่วงแร้ว ซึ่งดักสัตว์ได้หลายชนิด
เคยมีรายงานด้วยว่าในพื้นที่ป่าเขาอ่างฤๅไนย มีการพบแร้วดักสัตว์จำนวนมาก กว่า 700-600 แห่งด้วยกัน ซึ่งนับว่าเป็นการคุกคามสำคัญที่ทำ ให้สัตว์เหล่านี้หายไปจากป่าด้วย
การประชุมครั้งนี้จึงถือเป็นการประชุมครั้งแรกในโลก ที่จะมีการพูดถึงสัตว์เหล่านี้อย่างจริงจัง หลังจากที่พบว่ามีเสือขนาดเล็กและแมวป่าหลายชนิดกำลังใกล้จะสูญพันธุ์ไปจากโลกเต็มทีแล้ว
การแลกเปลี่ยนข้อมูลกันของนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ รวมไปถึงเอ็นจีโอที่ทำงานด้านอนุรักษ์ และยังจะมีการรวบรวมข้อมูลจำนวนประชากรของสัตว์ในกลุ่มนี้ที่ยังมีอยู่ในพื้นที่ป่าสำคัญๆ ของไทย เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ป่าภูเขียว เขาใหญ่-ดงพญาเย็น เขตรักษาพันธุ์สัตวป่าเขาอ่างฤๅไนย ก่อนที่จะสรุปเขียนเป็นรายงานสถานการณ์ออกเผยแพร่ทั่วโลก เพื่อเป็นแนวทางในการอนุรักษ์ และป้องกันการถูกคุกคามจนทำให้มันสูญพันธุ์ต่อไป
ปัจจุบัน เสือปลาเป็นหนึ่งในจำนวนสัตว์ในกลุ่มของเสือขนาดเล็กที่ไอยูซีเอ็นเลื่อนรายชื่อ เข้าบรรจุใน "บัญชีแดง" ของสัตว์ที่เสี่ยงต่อการ สูญพันธุ์มากที่สุด ร่วมกับ แมวป่าหัวแบน และแมวลายหินอ่อนที่อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์เช่นกัน
จากข้อมูลของวิกิพีเดีย เสือปลา มีชื่อวิทยา ศาสตร์ว่า Prionailurus viverrinus ในวงศ์ Felidae เป็นแมวป่าขนาดกลาง รูปร่างอ้วนป้อม ขนตามลำตัวค่อนข้างสั้นและหยาบมีสีเทา มีจุดสีน้ำตาลเข้มแกมดำเรียงเป็นแนวขนานไปกับความยาวลำตัว ดวงตามีสีเขียว หางสั้นมากยาวเพียงครึ่งหนึ่งของลำตัว มีพังผืดบางๆ ยึดระหว่างนิ้วเท้าหน้า ไม่สามารถเก็บเล็บได้เหมือนเสือชนิดอื่นๆ มีความยาวลำตัวและหัว 70-78 เซนติเมตร ความยาวหาง 25-29 เซนติเมตร น้ำหนัก 7-11 กิโลกรัม ลูกเสือปลาขนาดเล็กมีลักษณะคล้ายแมวดาวมาก
เคยมีการกระจายพันธุ์กว้างขวางพบได้ตั้งแต่ตะวันตกเฉียงใต้ และตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย เนปาล บังกลาเทศ พม่า ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา เกาะสุมาตรา และเกาะชวา มักอาศัยหากินอยู่ตามป่าพรุหรือป่าละเมาะหรือป่าชายเลน
อาหารหลัก คือ ปลา จึงเป็นที่มาของชื่อ จับปลาหรือสัตว์น้ำ สัตว์ขนาดเล็กกินได้เก่งมาก โดยจะตะครุบปลาในแหล่งน้ำตื้น สามารถว่ายน้ำและดำน้ำได้อีกด้วย ปีนต้นไม้ได้แต่จะไม่ค่อยอยู่บนต้นไม้เท่าไหร่นัก บางครั้งจะอาศัยอยู่ใกล้กับชุมชนเช่น ในเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร มีวัดแห่งหนึ่ง ชื่อ "วัดกระทุ่มเสือปลา" ก็แสดงหมายถึง ในอดีตเคยมีเสือปลาชุกชุม
เสือปลาใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 63 วัน ออก ลูกครั้งละ 1-4 ตัว เมื่ออายุได้ 10 เดือน ก็จะแยกจากแม่ไปหากินตามลำพัง
ส่วน "แมวป่าหัวแบน" มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Prionailurus planiceps อยู่ในวงศ์เสือและสิงโต (Felidae) ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
ลักษณะเด่นคือ หัวที่มีรูปร่างยาวและแบน อันเป็นที่มาของชื่อ ลูกแมวป่าหัวแบนจะมีจุดสีขาวบริเวณหลังหู อุ้งเท้าแคบและยาว มีขนาดลำตัวและหัวยาว 46.5-48.5 เซนติเมตร ความยาวหาง 12.8-13 เซนติเมตร น้ำหนัก 1.5-2.2 กิโลกรัม
มีการกระจายพันธุ์อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย มาเลเซีย เกาะสุมาตราและเกาะบอร์เนียว อาศัยและหากินอยู่ตามพื้นที่ชุ่มน้ำ เช่น ป่าพรุ หรือป่าที่น้ำท่วมขังหรือพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ อาหารได้แก่ สัตว์ขนาดเล็ก เช่น กบ ปลา สัตว์น้ำชนิดต่างๆ รวมถึงผลไม้บางประเภทด้วย
ในวันที่ 14 ก.พ.นี้ ทางองค์การสวนสัตว์ จะจัดพิธีแต่งงานให้กับแมวป่าหัวแบนตัวเมีย จากสวนสัตว์สงขลา กับแมวป่าหัวแบนตัวผู้ ที่อยู่ในสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาประทับช้าง จ.ราชบุรี ของกรมอุทยานฯ เพื่อหาทางให้แมวป่าทั้งคู่มีโอกาสได้ผสมพันธุ์กันตามธรรมชาติ
ถือฤกษ์วันแห่งความรักในการอนุรักษ์สัตว์หายาก
*************************************************************************************************************************
ภูเก็ตเร่งฟื้นฟู"ท่องเที่ยว-สิ่งแวดล้อม"
ภูเก็ต - ม.ล.ธนพงศ์ ศรีธนวัฒน์ ผู้แทนองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) เข้าพบนายปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เพื่อชี้แจงโครงการศึกษาความเหมาะสมการประกาศเขตพื้นที่พิเศษอ่าวภูเก็ต และพื้นที่เชื่อมโยงเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยม.ล.ธนพงศ์ กล่าวว่า การเดินทางเข้าพบครั้งนี้เพื่อต้องการปรึกษาหารือเรื่องการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้นำท้องถิ่นหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อรับทราบปัญหาในแต่ละพื้นที่เพื่อจะนำมาจัดสร้างเป็นโครงการในการฟื้นฟู พื้นที่พิเศษอ่าวภูเก็ตและพื้นที่เชื่อมโยงเพื่อการท่องเที่ยวให้เป็นไป อย่างยั่งยืน สำหรับการประชุมผู้นำจะมีขึ้นในวันที่ 23 ก.พ.นี้
นายปรีชากล่าวว่า การฟื้นฟูการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการท่องเที่ยวสามารถสร้างรายได้ และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามาภายในจังหวัด และนอกเหนือจากการฟื้นฟูการท่องเที่ยวทางจังหวัดภูเก็ต ยังมีการฟื้นฟูธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการปลูกป่า และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว แต่ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของงบประมาณที่จะนำมาพัฒนา บูรณาการแหล่งท่องเที่ยวให้ดีขึ้น
**************************************************************************************************************************
พิจิตรเริ่มแล้งแล้ว-ลุ่มแม่น้ำยมแห้งขอด ผู้ว่าฯตั้งศูนย์แจกน้ำช่วยด่วน
พิจิตร - นายสมชัย หทยะตันติ ผวจ.พิจิตร เปิดเผยว่า ภายหลังที่ตนได้ลงไปในพื้นเพื่อสำรวจ และรับฟังปัญหาข้อมูลภัยแล้งที่เกิด ขึ้นในแต่ละอำเภอ ปรากฏว่าขณะนี้ ในเขต อ.สามง่าม อ.โพธิ์ประทับช้าง อ.บึงนาราง อ.โพทะเล ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำจากแม่น้ำยม พบว่าขณะนี้น้ำในแม่น้ำยมแห้งขอด เห็นแต่หาดทราย กลายเป็นสนามเตะฟุตบอลสำหรับเด็กๆ ออกมาเล่นเตะฟุตบอลกันบนหาดทรายกลางแม่น้ำกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะที่บริเวณใต้สะพานแขวนหน้าวัดรังนก หมู่ 6 ต.รังนก อ.สามง่าม จ.พิจิตร มีชาวบ้านได้นำกระสอบทรายมาวางกั้นแม่น้ำยม ทำฝายแม้วตามพระราชดำริของในหลวง เพื่อกั้นน้ำไว้กินไว้ใช้ รวมถึงชาวนาที่ทำนาปรัง นอกเขตพื้นที่ชลประทาน เกือบ 8 พันไร่ ต่างก็เร่งแย่งกันทำการสูบน้ำจากแม่น้ำยมเข้านา ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำยมแห้งขอดลงอย่างรวดเร็ว
นายสมชัยกล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้มีการประชุมนายอำเภอ ทั้ง 12 อำเภอของจังหวัดพิจิตร และได้สั่งการให้หัวหน้าสำนักงานป้องกันสาธารณภัยจังหวัดพิจิตรดำเนินการจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาภัยแล้ง พร้อมทั้งแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รับผิดชอบในทุกพื้นที่แล้ว โดยให้จัดทำบัญชีชุมชนที่เสี่ยงต่อภัยแล้ง เพื่อทางส่วนราชการจะได้ทำการช่วยเหลือในการแจกจ่ายน้ำให้กับราษฎรได้อย่างทั่วถึง พร้อมทั้งให้จัดเตรียมรถบรรทุกน้ำให้พร้อมใช้การได้ทันที
นายพิเศษ ธีระการุณวงค์ นายอำเภอสามง่าม กล่าวว่า ขณะนี้ในเขตอำเภอสามง่าม โดยเฉพาะต.รังนก และต.สามง่าม กำลังเดือดร้อนเนื่องจากแม่น้ำยมแห้งขอดสามารถเดินข้ามได้ เป็นบางช่วง ส่วนน้ำในแม่น้ำยมที่ยังมีเป็นบางช่วง ทางเจ้าหน้าที่อำเภอร่วมกับชาวบ้านต.สามง่าม ได้ร่วมกันทำเป็นพนังกั้นน้ำ ไว้แล้วเพื่อกักน้ำไว้ทำนาในช่วงฤดูแล้งคือเดือนนี้
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552
«
ตอบ #4 เมื่อ:
กุมภาพันธ์ 03, 2009, 01:12:19 AM »
เนชั่นทันข่าว
พบโลมาหัวขวดหนักกว่า 300 กก.ตายในป้อมพระจุลฯ
พันจ่าเอกทวี แช่มชื่น ผู้จัดการร้านอาหารท้ายเรือ ป้อมพระจุลจอมเกล้า กองทัพเรือกรุงเทพ ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ เปิดเผยว่า ขณะที่กำลังต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวชมสวนนกธรรมชาติภายในวนอุทยานป้อมฯ ได้มีนักท่องเที่ยวมาแจ้งว่าเห็นซากโลมาขนาดใหญ่ลอยมาติดริมเขื่อน ซึ่งห่างออกจากฝั่งไปประมาณ 15 เมตร จึงให้คนงานนำเรือออกไปลากมา โดยใช้เชือกผูกไว้ที่ศาลาริมน้ำของสะพานกลางน้ำภายในป้อมพระจุลฯ
สำหรับโลมาดังกล่าวเป็นโลมาหัวขวดขนาดใหญ่ วัดความยาวตลอดลำตัวได้ 2.30 เมตร ความยาวรอบตัวประมาณ 80 เซนติเมตร มีน้ำหนักกว่า 300 กิโลกรัม เป็นเพศผู้ที่มีลักษณะสมบูรณ์ ไม่พบบาดแผลถูกของมีคมทิ่มตำ คาดว่าตายมาแล้วไม่เกิน 12 ชั่วโมง เพราะลักษณะเนื้อปลายังมีสีแดงให้เห็น ปกติแล้วโลมาชนิดนี้อาศัยอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาด้านบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา แต่ที่ลอยมาเสียชีวิตที่บริเวณนี้ดังกล่าว อาจเป็นเพราะพลัดหลงมาจากการโฉบกินปลาเล็ก และไม่ชินกับสภาพน้ำในปากอ่าวบริเวณจังหวัดสมุทรปราการซึ่งเป็นน้ำกร่อย ซึ่งจะประสานงานให้เจ้าหน้าที่สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรปราการ มาจัดเก็บไว้เพื่อศึกษาถึงสาเหตุการตายของปลาโลมาชนิดนี้ต่อไป
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
หมวดหมู่ทั่วไป
-----------------------------
=> ห้องรับแขก
=> กิจกรรมและผลงาน
=> เรื่องเล่าชาวทะเล
=> ท่องเที่ยวทั่วแผ่นดิน
=> คุยเฟื่องเรื่องดำน้ำ
=> หลังเลนส์
=> สรรพชีวิตแห่งท้องทะเล
=> คลังกระทู้เก่า
กำลังโหลด...