กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤษภาคม 01, 2024, 02:59:33 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2552  (อ่าน 2454 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เด็กน้อย
สี่ดาวยังอยู่แค่เอื้อม
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 190


« เมื่อ: มีนาคม 05, 2009, 02:02:27 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดเข้าปกคลุมประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้มีอากาศร้อนและยังคงมีฝนฟ้าคะนองและมีลมกระโชกแรงบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากลมกระโชกแรงในระยะนี้
อนึ่ง ในช่วงวันที่ 7-10 มี.ค. บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนอีกระลอกหนึ่งจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกของประเทศไทย ทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงเพิ่มขึ้น

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ และมีลมกระโชกแรงบางแห่ง
อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศา
ลมใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 5-6 มีค. บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ในขณะที่ลมใต้กับลมตะวันออกเฉียงใต้จะพัดเข้าปกคลุมประเทศไทยแทน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนขึ้น แต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนองกับลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้บางพื้นที่
หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 7-10 มีค. บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนอีกระลอกหนึ่งจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกของประเทศไทย ทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงเพิ่มขึ้น

ข้อควรระวัง

 ในช่วงวันที่ 7-9 มี.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน ซึ่งจะมีลักษณะฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรง


* Forecast050309.JPG (21.45 KB, 398x383 - ดู 305 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 05, 2009, 02:08:03 AM โดย เด็กน้อย » บันทึกการเข้า
เด็กน้อย
สี่ดาวยังอยู่แค่เอื้อม
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 190


« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 05, 2009, 02:09:44 AM »

ไทยรัฐ

ยอดผู้ป่วยพุ่ง หมอกควันเชียงราย-ลำพูนวิกฤติ
 
ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (5 มี.ค.) ถึงสถานการณ์หมอกควันปกคลุม จ.เชียงราย และลำพูน นานกว่า 2 สัปดาห์ ว่า ที่ จ.เชียงรายสถานการณ์ เข้าสู่จุดวิกฤติอีกครั้ง ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กสูงกว่าค่ามาตรฐานมาก  ชาวบ้านป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ เข้ารักษาตัวกระจายตามโรงพยาบาลหลายแห่งทั่ว จ.เชียงราย  สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า มีผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นวันละกว่า 800 คน

ด้าน  นพ.สุระ คุณคงคาพันธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแม่สาย  กล่าวว่า มีผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจเข้ารักษาตัวสูงถึงวันละ 200 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและเด็ก

เช่นเดียวกับที่ จ.ลำพูน หมอกควันยังคงปกคลุมทั่วบริเวณ แต่ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กลดลงต่ำกว่าค่ามาตรฐาน และยังมีผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจเข้ารักษาตัววันละกว่า 300 คน ขณะที่ทางจังหวัดสั่งการให้นายอำเภอ และผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควบคุมการลักลอบเผาป่า

*********************************************************************************************************
บันทึกการเข้า
เด็กน้อย
สี่ดาวยังอยู่แค่เอื้อม
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 190


« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 05, 2009, 02:12:41 AM »

เดลินิวส์

ชาวบ้านโคกสะตอหวั่นแล้งนี้สาหัส!
 
จังหวัดสนองพระราชดำริเร่งช่วย จัดหาน้ำแจกพื้นที่บรรเทาทุกข์

บ้านโคกสะตอ เป็นหมู่บ้านมานาน กว่า 60 ปี ชื่อหมู่บ้านเรียกตามภาษามลายูว่า “บาโงบือตา” (เรียกตามต้นสะตอขนาดใหญ่ จำนวน 2 ต้น ขนาด 2 คนโอบ แต่ตายไปแล้ว) เป็นหมู่บ้านย่อยของหมู่ที่ 7 ตำบลสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส มีราษฎรประมาณ 35 ครัวเรือน จำนวน 200 คน ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม อาชีพของราษฎรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้าง (คนงานก่อสร้าง) ตัดไม้เสม็ดเพื่อเผาถ่านขาย หาปลา การทำสวนยางพารา และไปเช่าที่ทำนาในหมู่บ้านอื่น ๆ สภาพพื้นที่ทั่วไปของบ้านโคกสะตอ เป็นที่ราบลุ่มรอบพรุโต๊ะแดง บริเวณหมู่บ้านมีพื้นที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ประมาณ 1,300 ไร่ เพราะน้ำท่วมขังเกือบตลอดทั้งปี ดินแปรสภาพเป็นดินเปรี้ยว น้ำเปรี้ยว เนื่องจากไม่มีน้ำจืดมาล้าง เมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา ราษฎรได้ทำนาในพื้นที่แห่งนี้ ข้าวให้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 30-40 ถัง โดยอาศัยน้ำจากคลองสุไหงปาดี ในปี 2526 กรมชลประทานได้ทำการก่อสร้างคันกั้นน้ำปิเหล็ง เพื่อป้องกันน้ำจากคลองสุไหงปาดีไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่หมู่บ้านปิเหล็ง ทำให้บ้านโคกสะตอได้รับผลกระทบไม่ มีน้ำในการทำนา และเมื่อกรมชลประทานก่อสร้างประตูระบายน้ำบางนราตอนบนและตอนล่างเสร็จในปี 2531 ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมหมู่บ้านเป็นประจำทุกปี ส่วนในช่วงฤดูแล้งจะเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค
 
เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2546 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ไปยังโครงการหมู่บ้านปศุสัตว์ เกษตรมูโนะ หมู่ 4 ตำบลโฆษิต อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เพื่อทรงงานศิลปาชีพและเยี่ยมเยียนราษฎร และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของราษฎรบ้านโคกสะตอ หมู่ 7 ตำบลสุไหงปาดี อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส และได้พระราชทานพระราชดำริกับ นายเทอดศักดิ์ บุญยขจร วิศวกรฯใหญ่ กรมชลประทาน นายสหัส บุญญาวิวัฒน์ ผู้ช่วยเลขาพระราชวังฝ่ายกิจ  กรรมพิเศษ, นายชัยวัฒน์ สิทธิบุศย์ รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน และเจ้าหน้าที่กรมชลประทาน ความว่า ควรนำรูปแบบการพัฒนาพื้นที่บ้านยูโย มาปรับปรุงใช้ในพื้นที่บ้านโคกสะตอ เพื่อจัดหาน้ำช่วย เหลือพื้นที่ทำการเกษตร และพิจารณาการจัดหาน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคให้แก่ราษฎร
 
และวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ณ ที่ทำการนิคมสหกรณ์ปิเหล็ง และในที่ประชุมมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสนอง พระราชดำริ ด้านพื้นที่ทำการเกษตร จากพื้นที่เป้าหมาย 1,300 ไร่ แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 พื้นที่นาร้าง ประมาณ 300 ไร่ ทำการพัฒนาพื้นที่ปลูกข้าว โดยงานพัฒนาที่ดิน ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ และทางกรมชลประทานเร่งดำเนินการสำรวจและออกแบบก่อสร้างระบบส่งน้ำ และระบบระบายน้ำทิ้ง ทั้งระบบ ส่วนที่ 2 เป็นพื้นที่ป่าเสม็ด ประมาณ 380 ไร่ อยู่ในเขตนิคมสหกรณ์ปิเหล็ง ให้นิคมสหกรณ์ปิเหล็งดำเนินการขุดยกร่องส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมัน และทางอำเภอสุไหงปาดี ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนด้านอาชีพเสริม การเกษตร ประมง ปศุสัตว์ และส่วนที่ 3 เป็นพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรม ประมาณ 570 ไร่ สำนักงานที่ดินอำเภอสุไหงปาดี จัดทำรังวัดแบ่งแยกการถือครองเพื่อออกเอกสาร สค.1 ตามนโยบายแปลงทรัพย์เป็นทุนของรัฐบาลแล้วทางสหกรณ์นิคมปิเหล็งวางแผนปลูกปาล์มน้ำมัน ด้านน้ำอุปโภคบริโภค ทางกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดิมได้วางแผนการ ใช้น้ำ ระบบผิวดิน แต่ในหน้าแล้งน้ำไม่เพียงพอ จึงดำเนินการพัฒนาเป็นระบบน้ำบาดาลเพื่อให้ราษฎร และนักเรียนมีน้ำใช้ตลอดทั้งปี ด้านชลประทาน จัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำชลประทาน อบรมตัวแทนกลุ่ม เพื่อทำหน้าที่ปิด-เปิดปากคลองส่งน้ำ ปากคลองระบายน้ำ ดูแลรักษาเครื่องสูบน้ำ และทำการสูบน้ำกรณีน้ำท่วมนาข้าวเมื่อฝนตกหนักหรือหน้าฝน
 
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯ โดยงานพัฒนาที่ดิน เข้าไปช่วยเหลือราษฎรพัฒนาปรับปรุงพื้นที่สามารถทำการเกษตรได้ โดยเฉพาะการทำนาทั้งหมด 350 ไร่ อีกทั้งดำเนินการพัฒนาพื้นที่นาร้าง 100 ไร่ ให้เกษตรกรปลูกข้าว โดยการจัดทำรูปแปลงนา ปั้นคันนา ไถเตรียมพื้นที่ พร้อมสนับสนุนหินปูนฝุ่นเพื่อปรับปรุงบำรุงดิน
 
ปี 2550 ได้ไถเตรียมพื้นที่ส่งเสริมการปลูกข้าวเพิ่มอีก 100 ไร่ สนับสนุนพันธุ์ข้าว ซือรีบูฆาแต หรือข้าวพันทะนาน แต่ข้าวให้ผลผลิตน้อยเฉลี่ย 30-35 ถังต่อไร่ เนื่องจากศัตรู นก หนู อีกทั้งพื้นที่เป็นที่ลุ่มน้ำท่วมขังแปลงนา จึงได้ทำการขุดยกร่องพื้นที่ ปี 2552 งานพัฒนาที่ดิน ได้สาธิตการปรับปรุงดินเปรี้ยว และไถเตรียมพื้นที่ส่งเสริมการปลูกข้าวพันธุ์ชัยนาท 1 และข้าวพันธุ์ซือรีบูฆาแต (ข้าวพันทะนาน) จำนวน 100 ไร่ และยังมีการสาธิตการใช้ปุ๋ยหมักและปุ๋ยอินทรีย์น้ำ เพื่อนำไปใช้กับพืชผัก ไม้ผล รวมทั้งมีการรณรงค์ส่งเสริมการปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ คาดว่าภายในปี 2553 จะดำเนินการปลูกข้าวให้เต็มพื้นที่ทั้ง 350 ไร่ ตามที่ราษฎรต้องการ
 
นายแสมิง เจ๊ะมะ เกษตรกรรายหนึ่งในหมู่บ้านโคกสะตอ อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 12/1 พร้อม ภรรยาและลูกอีก 3 คน บอกว่าบ้านมีพื้นที่ 2 ไร่ รอบ ๆ บ้านปลูกมะพร้าว ถั่วฝักยาว อ้อย มันสำปะหลัง และเลี้ยงเป็ด อาชีพหลัก หาปลาและดักปลาไหล มีรายได้ 100 บาทต่อวัน ก็พออยู่ได้ มีพื้นที่ทำนาได้ข้าวบ้างไม่ได้บ้าง เพราะแมลงรบกวน พอศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองฯเข้ามาช่วยเหลือก็ปลูกข้าวได้บ้าง ปลูกน้ำมันปาล์มได้บ้าง แต่หน้าแล้งไม่มีน้ำกินน้ำใช้ และน้ำกินต้องซื้อตลอดทั้งปี ส่วนน้ำใช้ต้องอาศัยน้ำในคลองสายเล็ก ๆ ที่มาจากคลองสุไหงปาดี อาบน้ำ ซักผ้า และทำกิจกรรมอื่น ๆ
 
ในหน้าแล้งปีนี้ความแห้งแล้งดูจะหนักกว่าทุกปีที่ผ่านมา น้ำในลำคลองที่ราษฎรบ้านโคกสะตอที่เคยใช้เริ่มลดน้อยลง แต่ความต้องการใช้น้ำยังมีอยู่ทุกวัน ราษฎรบ้านโคกสะตอยังรอคอยความช่วยเหลือจากส่วนราชการเกี่ยวกับน้ำเพื่อให้การดำรงชีวิตจะได้ไม่ลำบากและดียิ่งขึ้น.

นรินทร์ เทพพิรุณ

******************************************************************************************

'กองทัพไทยต้านภัยแล้ง'
 
 ปีนี้สถานการณ์ภัยแล้งเกิดเร็วขึ้นกว่าปีก่อน ที่ความแห้งแล้งจะมาเยือนช่วงเดือนเมษายน แต่ปีนี้พอย่างเข้าเดือนกุมภาพันธ์ ความแห้งแล้งร้อนระอุเริ่มก่อตัวขึ้น ระดับน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ ลดลง ส่งผลกระทบให้พี่น้องประชาชนและเกษตรกรประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเป็นอย่างมาก ดังนั้น เพื่อช่วยผ่อนคลายปัญหาภัยแล้งในปีนี้และป้องกันในระยะยาว หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ซึ่งเป็นหน่วยทหารในสังกัด กองบัญชาการกองทัพไทย ประกาศ พร้อมรับมือต่อสถานการณ์ภัยแล้งที่กำลังแผ่ขยายครอบคลุมในหลายจังหวัดอยู่นี้
 
โดยรับนโยบายจาก พลเอก ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชากาทหารสูงสุด ในการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อช่วยให้เกษตรกรมีน้ำเพียงพอต่อการทำการเกษตรนอกฤดู และทำการเพาะปลูกได้อย่างสมบูรณ์ตลอดปี ในการนี้ พลเอก เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา จึงมอบหมายให้ สำนักงานพัฒนาพิเศษ, สำนักงาน   พัฒนาภาค 1-4 ซึ่งมี หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ เป็นหน่วยขึ้นตรง รวมทั้งสิ้น 30 หน่วย รับผิดชอบด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่พี่น้องประชาชนใน 68  จังหวัดทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ดำเนินการขุดสระเก็บน้ำ 32 โครงการ ขุดคลอง 2 โครงการ สร้างฝาย      น้ำล้นคอนกรีตเสริมเหล็ก 35 โครงการ สร้างทำนบดินกั้นน้ำ 3 โครงการ สร้างฝายน้ำล้นแบบคอกหมูหินทิ้งกั้นน้ำ 3 โครงการ ขุดลอกลำน้ำเดิม 55 โครงการ ขุดลอกแหล่งน้ำเดิม 38 โครงการ ลอกคลองส่งน้ำ 5 โครงการ ก่อสร้างระบบประปา 26 โครงการ, ซ่อมปรับปรุงขยายระบบประปา 7 โครง  การ ก่อสร้างถังเก็บน้ำ 31 โครงการ เจาะบ่อน้ำตื้น 339 โครงการ เจาะบ่อน้ำบาดาล 97 โครง     การ และพัฒนาบ่อน้ำบาดาล 382 โครงการ โดยนำทรัพยากรที่มีอยู่ อาทิ กำลังพล ยานพาหนะ ยุทโธปกรณ์ ให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างคุ้มค่า อีกทั้งแหล่งน้ำที่พัฒนานี้ยังเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ได้เป็นอย่างดีเมื่อถึงช่วงหน้าฝน และเมื่อถึงหน้าแล้งก็ยังคงมีน้ำให้ได้ใช้อย่างต่อเนื่อง ยังผลให้เกษตรกรสามารถทำการเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี
 
พลเอก เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กล่าวว่า “หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ได้วางมาตรการในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถาน   การณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้น โดยบูรณาการมาตรการต่าง ๆ รับมือกับภัยแล้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผมเชื่อว่าจะรับมือได้ ตอนนี้ได้กำชับทุกหน่วยขึ้นตรงให้พร้อมเข้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ภัยแล้งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ตามแนวชายแดนที่ได้รับความเดือดร้อนขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ กองบัญชาการกองทัพไทย โดยหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ได้จัดทำโครงการ “กองทัพไทยต้านภัยแล้ง” เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมพรรษา  54 พรรษา ในวันที่ 2 เมษายน 2552 โดย         การสนับสนุนถังน้ำไฟเบอร์กลาส ขนาดความจุ 3,000 ลิตร จำนวน 696 ใบ ให้แก่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนในพื้นที่ทั่วประเทศจำนวน 173 แห่ง แห่งละ 4 ใบ และศูนย์ฝึกอบรมจำนวน 1 แห่ง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเป็นกรณีเร่งด่วนให้ทันเวลา   
 
ให้โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนที่ได้รับความเดือดร้อนมีความมั่นใจได้ว่าได้รับการดูแลอย่างรวดเร็วและทั่วถึง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ยังได้ให้การ    ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งเป็นการเร่งด่วน ด้วยการจัดกำลังพล พร้อมรถยนต์บรรทุกน้ำ รถประปา สนาม นำน้ำอุปโภคบริโภคไปแจกจ่ายให้แก่ประชาชนในพื้นที่ประสบภัยแล้งเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น โดยมีแผนการแจกจ่ายน้ำ จำนวน 37,000,000 ลิตร โดยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้จัดกำลังพลพร้อมรถยนต์บรรทุกน้ำออกแจกจ่ายน้ำ  เข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ 8 จังหวัด รวมจำนวน 112 เที่ยว รวมปริมาณน้ำทั้งสิ้น 875,000 ลิตร”
 
นอกเหนือจากการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบภัยแล้งได้สำรองน้ำกินน้ำใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคอย่าง   พอเพียงตามมาตรการดังกล่าวข้างต้นแล้ว หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ยังได้ดำเนินการทำความเข้าใจและประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้พี่น้องประชาชนรู้จักใช้น้ำอย่างประหยัด เพื่อให้มีน้ำไว้อุปโภคบริโภค ตลอดห้วงสภาวการณ์ภัยแล้ง นอกจากนี้ยังได้ให้การช่วยเหลือมอบฟางอัดฟ่อนให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงโค เนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้งทำให้เกษตรกรขาดแคลนอาหารในการเลี้ยงโค อีกด้วย.
 
*******************************************************************************
บันทึกการเข้า
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 06, 2009, 08:10:51 AM »



เคยอิจฉาคนทางเหนือที่มีอากาศบริสุทธิ์ไว้ใช้หายใจ  แต่ตอนนี้สงสารจริงๆเลยที่มีหมอกควันคละคลุ้งไปหมด  ส่วนหนึ่งมาจาการเผาซากพืชไร่ ซึ่งน่าประนามมากๆ...


ขอบคุณน้องเด็กน้อยที่ช่วยทำข่าวให้ค่ะ  มีคนบนเรือบ่นคิดถึงหลายรายนะจ๊ะ รวมทั้งพี่สองสายด้วย....
บันทึกการเข้า

Saaychol
เด็กน้อย
สี่ดาวยังอยู่แค่เอื้อม
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 190


« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 09, 2009, 03:01:02 AM »

แหะๆ ผมแค่มาทำข่าวเป็นครั้งคราวเองครับ ต้องขอบคุณพี่สายน้ำครับที่ทำข่าวตลอดเสมอมาครับ
ขอบคุณทุกคนที่ยังคิดถึงกันครับ 
ผมเองก็คิดถึงทุกคนด้วยเหมือนกันครับ 
กำลังหาโอกาส เหมาะ ๆ ไปร่วมทำกิจกรรมด้วยเร็ว ๆ นี้ครับ   
 
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.021 วินาที กับ 20 คำสั่ง