กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤษภาคม 01, 2024, 04:01:47 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 10 มีนาคม 2552  (อ่าน 6713 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 12:43:12 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้ ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากลมกระโชกแรงในระยะนี้ไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อน โดยมีฝนฟ้าคะนองและมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศา อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศา  ลมใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

 ในช่วงวันที่ 10-13 มี.ค. บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้มีอากาศร้อนอบอ้าวขึ้น ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดเข้ามาปกคลุมประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองได้บางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 14-15 มี.ค. ความกดอากาศสูงจากประเทศจีนอีกระลอกหนึ่งจะแผ่เข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้อีก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงได้อีก 
 

ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 14-15 มี.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากลมกระโชกแรงไว้ด้วย



* Forecast2.jpg (38.42 KB, 684x423 - ดู 1157 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 12:50:49 AM »

ไทยรัฐ


เรือท่องเที่ยวจมสยอง หายไป 7 ช่วยไว้ได้ 23 ชีวิต


 
เมื่อเช้าวันที่ 9 มี.ค. พ.ต.ท.ประเสริฐ ศรีคุณรัตน์ รอง ผกก.กก.8 บก.รน. รับแจ้งจากบริษัท ไดว์เอเชีย จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 24 ถนนกะรน ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต ว่า เรือของบริษัทชื่อเรือโชคสมบูรณ์ 19 พานักท่องเที่ยวและลูกเรือรวม 30 คน ไปดำน้ำชมปะการังที่เกาะสิมิลัน จ.พังงา และจะกลับมา จ.ภูเก็ต แต่ขาดการติดต่อไป อาจเกิดเหตุร้ายขึ้นเนื่องจากมีพายุรุนแรง

หลังรับแจ้ง พ.ต.ท.ประเสริฐได้ประสานงานกองทัพเรือภาค 3 และตำรวจน้ำออกค้นหา จนทราบว่าเรือลำดังกล่าวอับปางลงห่างจากหาดป่าตองค่อนไปทางเกาะแก้วพิสดารประมาณ 20 กิโลเมตร และมีเรือประมงช่วยเหลือผู้โดยสารไว้ได้ 23 คน เป็นคนไทย 8 คน และชาวต่างชาติ 15 คน ยังสูญหายอีก 7 คน พร้อมกันนั้น ได้ส่งเรือตรวจการณ์ ต. 814 (คุณพุ่ม) ออกไปรับผู้รอดชีวิตมาขึ้นฝั˜งที่ท่าเทียบเรือน้ำลึก ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปรอรับให้การช่วยเหลือ อาทิ นายสมิทธิ์ ปาลวัฒน์วิไชย รอง ผวจ.ภูเก็ต พ.ต.อ.อนันต์ ห่วงสายทอง ผกก.3 กก.8 บก.รน. พ.ต.ท.ประเสริฐ ศรีคุณรัตน์ รอง ผกก. พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต นายโอฬาร เฮงเจริญ ขนส่งทางน้ำภูมิภาคที่ 5 สาขาภูเก็ต นายโชตินรินทร์ เกิดสม ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต น.ส.อโนมา ทองใหญ่ ผู้ช่วย ผอ.ททท. ภูเก็ต และตัวแทนจากบริษัท ไดว์เอเชีย จำกัด เจ้าของเรือโชคสมบูรณ์ 19 

ขณะเดียวกัน มีแพทย์และพยาบาลของโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตมารอให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทั้งหมดอยู่ในสภาพอิดโรย บางคนสวมเพียงกางเกงในตัวเดียว เมื่อได้พบกับเพื่อนที่รออยู่บนฝั˜ง ต่างโผเข้ากอดและร้องไห้ เจ้าหน้าที่นำผู้รอดชีวิตทั้งหมดไปพักที่ห้องรับรองของท่าเรือ ซึ่งตั้งเป็นศูนย์ช่วยเหลือรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประสานงาน สำหรับคนที่หายไปยังไม่รู้ชะตากรรม มีกุ๊กคนไทย 1 คน นักท่องเที่ยวออสเตรเลีย 2 คน สวิตเซอร์แลนด์ 2 คน ญี่ปุ่น 1 คน และเยอรมนี 1 คน รวม 7 คน 

นายชาตรี หลีช่วย อายุ 54 ปี กัปตันเรือโชคสมบูรณ์ 19 อยู่บ้านเลขที่ 35 หมู่ 2 ต.ลำปี อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา เปิดเผยว่า นำเรือออกจากท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง ต.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต เมื่อวันที่ 6 มี.ค. พานักท่องเที่ยวต่างชาติและลูกเรือรวม 30 คน ไปดำน้ำชมปะการังที่เกาะสิมิลัน จ.พังงา และ 3 ทุ่มเมื่อคืนที่ผ่านมา นำเรือออกจากเกาะสิมิลันมุ่งหน้ามายังท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง ขณะนำเรือออกจากเกาะสิมิลันสภาพอากาศและคลื่นลมยังคงปกติ

กัปตันเล่าเหตุการณ์ระทึกขวัญต่อไปว่า ช่วง 5 ทุ่มขณะอยู่ห่างจากแหลมพรหมเทพ ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต ราว 12 ไมล์ทะเล ฝนตกหนักคลื่นลมแรง มีคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าตัวเรืออย่างจัง นักท่องเที่ยวและลูกเรือที่นอนหลับต่างตกใจตื่น ขณะที่เรือเอียงและจมลง ทุกคนพยายามช่วยตัวเองลงเรือยาง 2 ลำ บางคนจมไปกับเรือ ที่ผ่านมาพานักท่องเที่ยวกลับจากดำน้ำในเวลากลางคืนไม่เคยมีเหตุ ปัญหาเกิดจากคลื่นลมแรงและฝนตกหนัก 

ส่วนนายนรินทร์ โวหาร อยู่บ้านเลขที่ 116 หมู่ 12 ต.กำแพง อ.ละงู จ.สตูล หนึ่งในลูกเรือเล่าว่า ขณะเกิดเหตุอยู่บนชั้น 2 ของเรือ ลมแรงมากและฝนตกหนักทำให้เรือตะแคง จึงรีบลงเรือยาง บางคนลอยคอเกาะขอบเรือยางไว้ หลายคนถอดเสื้อผ้าออกเหลือกางเกงชั้นในตัวเดียว ตนตกใจมากทำงานมา 2 ปี ไม่เคยเจอมาก่อน ส่วน น.ส. ธนพร รสดี อายุ 33 ปี พนักงานบาร์ประจำเรือบอกว่า อยู่ที่ห้องพักพนักงาน ได้ยินเสียงตะโกนให้หาทางออกจากเรือไปลงเรือยาง ถือว่าโชคดีที่รอดมาได้

ด้าน พ.ต.อ.อนันต์ ห่วงสายทอง ผกก.3 กก.8 บก.รน.กล่าวว่า ต้องสอบปากคำกัปตันเรือ นักท่องเที่ยวต่างชาติ และลูกเรือที่รอดชีวิต ได้ประสานกับกองทัพเรือภาค 3 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกค้นหาเรือและผู้สูญหาย ใช้ทั้งเฮลิคอปเตอร์ และหมวดบินเฉพาะกิจ กองทัพเรือภาค 3 รวมทั้งเรือตำรวจน้ำ

สำหรับเรือลำเกิดเหตุสร้างได้ประมาณ 2 ปี เป็นเรือเหล็ก 2 ชั้น ขนาด 184 ตันกรอส ความยาวตลอดลำ 25.10 เมตร กว้าง 6.20 เมตร ลึก 2.50 เมตร บริษัท ไดว์เอเชีย จำกัด เป็นเจ้าของ ได้รับใบสำคัญรับรองการตรวจเรือ เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2551 ใช้งานได้ถึงวันที่ 8 ต.ค. 2552 บรรทุกผู้โดยสารได้ 38 คน คนประจำเรือ 8 คน และผู้โดยสาร 30 คน มูลค่ากว่า 30 ล้านบาท

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 12:58:18 AM »

เดลินิวส์


2 นักโต้คลื่นกับการผจญภัยในดินแดนคลื่นยักษ์ "เดนเจอรัลแบ็งค์ส"



ออสเตรเลียได้รับการยอมรับว่าเป็นดินแดนแห่งคลื่นและการโต้คลื่น จนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นกีฬาประจำชาติชนิดหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะเป็นหน้าร้อนหรือหน้าหนาว บรรดานักโต้คลื่นที่หลงใหลการพาตัวเองพร้อมกระดานโต้คลื่นออกไปผจญภัยต่างไม่เคยหยุดพัก และหนึ่งในจำนวนพวกนั้นก็คือ รอสส์ คลาร์ค-โจนส์และทอม แครอลล์ สองตำนานนักโต้คลื่นยักษ์

วันนี้พวกเขากำลังไล่ล่าคลื่นในดินแดนที่เรียกว่า “เดนเจอรัสแบ็งค์ส” กองทรายขนาดยักษ์ที่สะสมอยู่ คลื่นใต้น้ำจะเดินทางจากความลึก 60 เมตรมาถึงความลึก 6 เมตรในระยะทางอันสั้น และสามารถทำให้ทรายเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนที่ได้เหมือนเนินทรายในทะเลทรายด้วย

ต้นทศวรรษที่ 80 เมื่อกีฬาที่พวกเขาเล่นกลายเป็นกีฬาอาชีพ นักโต้คลื่นหนุ่มที่กระตือรือร้น 2 คนนี้ก็พบว่า พวกเขากำลังใช้ชีวิตเหมือนดารา เพลงร็อกที่กำลังออกทัวร์แข่งขันระดับอาชีพไปทั่วโลก รอสส์เป็นที่กล่าวขวัญอย่างรวดเร็วในฐานะคนที่ไม่กลัวคลื่นลูกใหญ่ ๆ ขณะที่ทอมเดินหน้าคว้าแชมป์โลกติดต่อกันสองสมัย หลังจากนั้นวันเวลาแห่งการแข่งขันของพวกเขาก็ต้องสิ้นสุดลง

กลางทศวรรษที่ 1990 เส้นทางอาชีพโต้คลื่นของรอสส์กับทอมก็ได้เริ่มขึ้นใหม่ เมื่อมีการคิดประดิษฐ์เจ็ตสกีและกีฬาใหม่ที่เรียกว่า “โทว์เซิร์ฟฟิง” คือ กระดานโต้คลื่นลาก เมื่อมีเจ็ตสกีขึ้นมา พวกเขาก็สามารถเข้าไปหาคลื่นยักษ์ ซึ่งใหญ่และเร็วเกินกว่าที่นักโต้คลื่นจะพายกระดานเข้าไปหามันได้โดยลำพัง

มันไม่เพียงทำให้พวกเขาสามารถโต้คลื่นลูกใหญ่ขึ้นเท่านั้น แต่มันยังเปิดจุดโต้คลื่นใหม่ ซึ่งก่อนหน้านั้นผู้คนเคยคิดว่ามันไม่มีทางเข้าถึงได้ด้วย และการโต้คลื่นยักษ์ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในเดนเจอรัสแบ็งค์สก็เกิดตามมา

เกาะทาสมาเนีย บ้านของจุดโต้คลื่นยักษ์ชั้นดีบนชายฝั่งด้านตะวันออกที่เรียกว่า ชิปสเติร์นส์ มันเป็นคลื่นอันตรายถึงตายที่รอสส์เคยโต้มาแล้ว และเขารู้สึกตื่นเต้นอยากไปเยือนที่นั่นอีกครั้ง แต่เบน แม็ทสัน นักพยากรณ์อากาศสำหรับการโต้คลื่นหนึ่งในทีม ดูจะสนใจทะเลที่ไม่น่าวางใจของช่องแคบบาสส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในท้องทะเลที่อันตรายต่อการเดินเรือมากที่สุดในโลก จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของตำนานการเดินเรือในศตวรรษที่ 19 เมื่อมันจมเรือไปหลายร้อยลำและบางลำก็ไม่ได้พบอีกเลยมากกว่า

เรือเดินสมุทรมักจะเลี้ยวหนีไปให้ไกลจากเดนเจอรัสแบ็งค์ส ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะมุ่งหน้าไปหามัน เพราะระยะทาง 35 กิโลเมตรที่ต้องฝ่าไปนั้น 25 กิโลเมตรต้องไปตามด้านที่ได้ รับการคุ้มครองของเกาะฮันเตอร์สู่เบสแคมป์ จากนั้นก็ฟันฝ่าทะเลเปิดไปอีก 10 กิโลเมตร สู่เดน เจอรัสแบ็งค์ส

ทุกครั้งที่นักโต้คลื่นคู่นี้ออกไปโต้คลื่นยักษ์ พวกเขาจะใช้ฝีมือทั้งหมดของตนต่อสู้กับความเกรี้ยวกราดของธรรมชาติ โดยต้องต่อกรคลื่นสูง 10 เมตรและตั้งเป็นแนวกว้าง 20 เมตร เฉพาะคลื่นส่วนนี้อย่างเดียวจึงมีน้ำหนักประมาณ 410 ตัน หรือเท่ากับรถยนต์ขนาดเล็ก 315 คัน ซึ่งเทลงมาด้วยความเร็ว 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

และเมื่อบวกเข้ากับความเร็วแนวระนาบที่คลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ก็จะได้น้ำประมาณครึ่งล้านกิโลกรัมเคลื่อนที่ด้วยความเร็วกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผลลัพธ์ก็คือน้ำที่เหมือนระเบิดซึ่งสามารถกดนักโต้คลื่นให้จมลงสู่ความลึก 5 เมตรหรือมากกว่านั้น และอาจระเบิดแก้วหูของเขา และทำให้แขนขาของเขาบิดไปข้างหลังได้



ขณะที่หย่อมความกดอากาศต่ำขนาดยักษ์กำลังเคลื่อนขึ้นมาจากแอนตาร์คติก ทีมงานก็กระวีกระวาดที่จะไปให้ถึงปลายสุดด้านตะวันตกเฉียงเหนือของทาสมาเนีย คลื่นใต้น้ำกำลังแรงที่สุดกำลังจะปะทะเดนเจอรัสแบ็งค์ส เพื่อให้รอสส์กับทอม จะสามารถเจอกับคลื่นรุนแรงที่สุดในสภาพอากาศอันโหดร้ายอย่างปลอดภัยที่สุด รอสส์จึงให้โทนี เรย์ ผู้เชี่ยวชาญการขับเจ็ตสกี บินมาที่นี่เพื่อขับเจ็ตสกีให้เขา ขณะที่ทอมจะจับคู่กับเอียน วอลช์ นักโต้คลื่นแบบโทว์เซิร์ฟฟิงหนุ่มชาวฮาวาย โดยมีเฮลิคอปเตอร์ เป็นกุญแจสู่ความปลอดภัย

สายลมและคลื่นที่ซัดกระหน่ำนั้นเลวร้าย กว่าที่คาดไว้ อุปกรณ์จีพีเอสของรอสส์บันทึกแรงปะทะขนาด 10 จีที่ร่างกายของเขา ในช่วงเวลา 40 นาทีที่เดินทางออกไปเดนเจอรัสแบ็งค์ส สภาพลมฟ้าอากาศแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากช่วงที่เดินทางมาสำรวจเบื้องต้น ทั้งสองหวังว่าจะเจอสักจุดหนึ่งที่มีคลื่นหัวแตกอย่างสม่ำเสมอ แต่วันนี้เดนเจอรัสแบ็งค์สสับสนอลหม่าน

รอสส์ก็ลองเสี่ยงกับบริเวณหนึ่งของเดนเจอรัสแบ็งค์ส แต่หลังจากพยายามทำทุกอย่าง เขาก็ยังไม่สามารถโต้คลื่นดี ๆ ได้ เขาเลือกกระดานโต้คลื่นที่หนักกว่าปกติมาก เพื่อให้ทรงตัวได้ดีขึ้น และเมื่อผนวกกับระยะทางมากมายที่เขาพยายามไล่ตาม คลื่น มันก็ทำให้เรี่ยวแรงของเขาหายไป

แต่ที่อีกฟากหนึ่งของเดนเจอรัสแบ็งค์ส ทอมโชคดีกว่า และสามารถลากวอลช์เข้าไปหาคลื่นอีกลูกหนึ่งได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาเกือบที่จะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ท่ามกลางคลื่นที่โหมกระหน่ำ แต่สุดท้ายก็สามารถรอดออกได้อย่างปลอดภัย อุปกรณ์จีพีเอสของเอียน วอลช์วัดความเร็วการโต้คลื่นของเขาได้ถึง 74 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


********************************************************************************************************************************************


จากอดีตสู่ปัจจุบันเส้นทางหายนะ!   ป่าไม้ถูกทำลาย...ลำปางวิกฤติ กระตุ้นสำนึกประชาชนร่วมดูแล

ในอดีตการตัด ฟัน ชักลากไม้สักในทางภาคเหนือของไทย เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2383 โดยมีชาวจีน พม่า และเงี้ยว (ไทยใหญ่) ขออนุญาตจากเจ้าผู้ครองหัวเมืองทางเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง เข้าไปตัดไม้สักออกจากป่า โดยเสียเงินค่า “ตอไม้” ให้แก่เจ้าผู้ครองนครที่เป็นเจ้าของป่า หลังจากที่ไทยได้ตกลงทำสนธิสัญญาบาว ริง (Bowring Treaty) เพื่อการติดต่อค้าขายกับอังกฤษ ใน พ.ศ. 2398 ชาวอังกฤษและคนในบังคับ ได้แก่ พม่า เงี้ยว และมอญได้เข้ามาร่วมดำเนินกิจการทำไม้สักมากขึ้น บริษัทบริติชบอร์ เนียว (British Borneo Company, Ltd.) ได้เข้ามาเริ่มดำเนินกิจการป่าไม้ในประเทศไทยใน พ.ศ. 2407 โดยรับซื้อไม้จากพวกที่ทำไม้อยู่ก่อนแล้ว ต่อมาใน พ.ศ. 2425 กัปตันเรือ เอช เอ็น แอน-เดอร์เซน (Captain H.N. Andersen) ชาวเดนมาร์ก ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันเรือสำเภาบรรทุกสินค้าระหว่างประเทศของไทย ในรัชกาลที่ 4 ได้บรรทุกไม้สักจากไทย ไปขายยังเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษเป็นครั้งแรก ปรากฏว่าไม้สักที่บรรทุกไปขายได้ราคาดีมาก และเป็นที่เลื่องลือกันในตลาดยุโรปถึงความงดงามของไม้สักชั้นดีจากเมืองไทย จึงทำให้ต่อมาได้มีบริษัทต่าง ๆ ในยุโรปสั่งจองซื้อไม้สักจากประเทศไทยเป็นจำนวนมาก
     
ดังนั้นในปี พ.ศ. 2426 รัฐบาลเราได้ เริ่มอนุญาตให้ชาวยุโรปเข้ารับสัมปทานทำไม้สัก   ในประเทศได้ โดยมีบริษัทบริติชบอร์เนียว ได้รับสัมปทานทำไม้สักใน พ.ศ. 2432 บริษัท บอมเบย์เบอร์มา (Bombay Burma Trading Corporation, Ltd.) ของอังกฤษ ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ในพม่า ได้เข้ามาใน พ.ศ. 2432 ต่อจากนั้นก็มีบริษัทสยามฟอเรสต์ (Siam Forest Com pany, Ltd.) บริษัทอีสต์เอเชียติค (East Asiatic Co.) ของเดนมาร์ก ในพ.ศ. 2437 และบริษัทหลุยส์ตีเลียวโนเวนส์ (Louis T. Leonowens Ltd.)
     
ต่อมาใน พ.ศ. 2439 รัฐบาลได้จัดตั้ง กรมป่าไม้ขึ้น มีสำนักงานอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ (สำนัก งานป่าไม้เขตเชียงใหม่ปัจจุบัน) ในตอนแรกกรมป่าไม้ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย จากนั้นรัฐบาล  ได้ประกาศใช้ พ.ร.บ. และกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับระเบียบการทำ ไม้ การป้องกันรักษา ป่า การตั้งด่านภาษีเป็นต้น และได้มีการปรับปรุงแก้ไขสัญญาอนุญาตทำป่าไม้สักกับบริษัทต่าง ๆ จากนั้นใน พ.ศ. 2453 ได้ย้ายที่ทำการกรมป่า ไม้จากเชียงใหม่มาอยู่ที่กรุงเทพฯ และได้ย้ายสังกัดจากกระทรวงมหาดไทยไปขึ้นกับ    กระทรวงเกษตราธิการหรือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เมื่อ พ.ศ. 2464 จนกระทั่ง พ.ศ. 2503 เมื่อหมดสัมปทาน รัฐบาลจึงได้มอบให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เป็นผู้ดำเนินกิจการทำไม้สักทั้งหมด ยกเว้นสัมปทานป่าสักของเอกชน ที่อายุสัญญายังเหลืออยู่
     
ในส่วนของจังหวัดลำปางในปัจจุบันนั้นหลังจากที่ทางรัฐบาลได้มาดูแลกิจการทำไม้ เอง โดยการควบคุมดูแลของหน่วยงาน ของรัฐ สถานการณ์ของป่าไม้ในจังหวัด   ลำปางในปัจจุบันนั้น ถือว่าน่า ห่วงมากโดย นายสามารถ ลอยฟ้า รองผู้ว่าราชการ จังหวัดลำปาง ที่ดูแลงาน ด้านนี้ กล่าวว่า สถานการณ์ของป่าไม้ใน จ.ลำปาง ถือว่าน่าห่วงมาก มีการลักลอบตัด ไม้ทำลายป่า มาตลอด โดยตลาดส่วนใหญ่  นำป้อนโรงงานจังหวัดข้างเคียง โดยเฉพาะล่าสุดที่เลวร้ายมาก ๆ ก็คือเมื่อปลายปีที่ผ่านมาในกรณีที่มีคนลัก ลอบตัดไม้สักทองอายุนับร้อยปี ในเขต อนุรักษ์และเป็นพื้นที่ของทหาร โดย นายสามารถ กล่าวว่า ในเรื่องของป่าไม้ที่ผ่านมาทางจังหวัดได้มีมาตร การ จุดประกายขายความคิดติดอาวุธทางปัญญากับผู้นำชุมชน ชาวบ้าน โดยการร่วมด้วยช่วยกันขอความร่วมมือแจ้งเบาะแสข้อมูลต่าง ๆ เข้ามา การสร้างกระ แสการอนุรักษ์ป่า ซึ่งที่ผ่าน มานั้นคิดว่าได้ผล แต่หลังจากเหตุ การณ์เมื่อปลาย  ปีและคืนเคานท์ ดาวน์ ที่ผ่านมาได้มีมอดไม้จำนวนหนึ่งได้ลักลอบตัดไม้ที่ บริเวณเขตทหารของกองร้อยฝึกรบพิเศษที่ 3 ค่ายประตูผา ถนนลำปาง-งาว เขต อ.แม่เมาะ และในพื้นที่โรงปูนซีเมนต์พื้นที่ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ซึ่งเป็นเขตอนุรักษ์ไม้สักทองที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลก อายุนับร้อยปีจำนวนหลายสิบต้น ซึ่งในเรื่อง นี้หลังจากที่ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตนเองมีความรู้สึกหดหู่ใจและเศร้าใจมาก เพราะแสดงว่าที่ผ่านมาการทุ่มเททำงานของเจ้าหน้าที่รัฐที่ตั้งใจทำงานได้สูญเปล่าไป ซึ่งแสดงว่ามาตรการของรัฐที่ผ่านมาล้มเหลวมาตลอด เพราะจากข้อมูลเชิงลึกพบว่า ในครั้งนี้มีเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งตำรวจและป่าไม้ ร่วมกระบวนการด้วย โดยมีผลประโยชน์  เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ใช้ในการปิดหูปิดตาเจ้าหน้าที่ของรัฐในการลำ เลียงไม้สักอายุนับร้อยปีที่แอบตัดไปยังจังหวัดใกล้เคียงและขายในราคาไม่กี่แสนบาท ซึ่งถ้าหากสถานการณ์ยังเป็น แบบนี้ต่อไป ป่าไม้ของจังหวัดลำปางอาจถึงสถานการณ์วิกฤติ ดังนั้นตนเอง อยากเรียกร้องจิตสำนึกของเจ้าหน้าที่ของรัฐคืนมา เพราะว่าบริเวณไม้ที่ถูกลักลอบตัดในครั้งนี้ถือว่าเป็นจุดที่ปลอดภัยที่สุด อยู่ห่างจากถนนใหญ่ไม่กี่เมตร อีกทั้งอยู่ในเขตที่ทหารดูแลรับผิดชอบ แต่ก็ยังถูกลักลอบตัดไปได้ อย่างไม่กลัวเกรง ซึ่งในเรื่องนี้ตนเองจะได้รายงานข้อมูลในเชิงลึกนี้ นำเสนอผู้ใหญ่ต่อไปว่ามีใครบ้างที่ร่วมขบวนการในครั้งนี้ ซึ่งเท่าที่มีข้อมูลนั้นมีทั้งป่าไม้และนายตำรวจ ทั้งนี้ถ้าไม่มีผลประโยชน์คงไม่มีใครกล้าทำข้าราชการมาแล้วก็ต้องไป แต่คนลำปางก็คงอาศัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นอยากฝากให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตาแจ้งเบาะแสผู้กระทำผิดและช่วยกันดูแลรักษาผืนป่าด้วย
       
ทางด้าน นายสมศักดิ์ เจียมสงวนวงศ์ ผอ.ส่วนป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 3 (ลำปาง) กรมป่าไม้ ที่ดูแลพื้นที่ใน 3 จังหวัดคือ อุตรดิตถ์ แพร่ และลำปาง กล่าวว่าในส่วนของจังหวัดลำปางนั้นมี 34 หน่วยป้องกันรักษาป่ากระจายอยู่ทั่วไป โดยปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่ของจังหวัดลำปางนั้น ในภาพทั่วไปถือว่ายังอยู่ในการควบคุมได้ แต่ยังมีจุดที่รุนแรงอยู่คือพื้นที่อำเภอแจ้ห่ม เขตติดต่ออำเภอเมืองกับอำเภอแจ้ห่ม อำเภองาว อำเภอเถิน ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าของจังหวัดลำปางมันเรื้อ รังมานาน เพราะเป็นพื้นที่มีอาชีพตัดไม้มาก่อน โดยมีความต้องการไม้ใช้สอยในรูปสิ่งประดิษฐ์ และค่านิยมสร้างบ้านจากไม้สัก และที่สำคัญขณะนี้ตนเองได้ทำการสับเปลี่ยนหัวหน้าหน่วยและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดเพื่อความเหมาะสม สำหรับสถิติการตรวจยึดจับกุมในปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 50 จนถึงเดือนกันยายน ปี 51 นั้น มี 751 คดีและมีผู้ต้องหา 101 คน และพื้นที่ป่าถูกบุกรุก 1,568 ไร่
       
 ซึ่งที่กล่าวมาถือว่าเป็นความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ของรัฐในระดับสูงของจังหวัดลำปาง ที่รับผิดชอบและห่วงใยผืนป่า ดังนั้นประชาชนคนลำปางก็ควรจะมีส่วนร่วมในการรักษาผืนป่าให้คงอยู่เพื่อให้คงอยู่ให้ลูกหลานสืบต่อไป.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 10, 2009, 01:00:11 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
Birdie ที่ไม่ใช่กาแฟ
อีกไม่กี่กระทู้ก็ได้5ดาวแล้วเร่งมือหน่อย
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 295



« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 01:00:33 AM »

ขอให้เจอนักท่องเที่ยวที่เหลืออีก 6 คนรวมทั้งพ่อครัวประจำเรือโชคสมบูรณ์ 19 ทั้งหมดโดยรอดปลอดภัยทุกคนด้วยค่ะ

ตอนสาวกทริปอันดามันใต้เตรียมตัวเดินทางกลับเช้าวันที่ 9 มีนา bird9774 ยังเห็นเรือคุณพุ่มจอดอยู่ที่ท่าเรือรัษฏาฯ ใกล้ ๆ เรือโชคศุลีเลยค่ะ
บันทึกการเข้า
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 01:05:30 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


ห่วงปูม้าสูญพันธุ์หลังพบจับมาบริโภคก่อนวัยอันควร-กลุ่มอนุรักษ์เสนอใช้กฎหมายคุม
 
       ศูนย์ข่าวภูเก็ต - กลุ่มอนุรักษ์ประมงพื้นบ้านห่วงปัญหาทำประมงลอบปูม้า บริเวณชายฝั่ง เกรงทำปูม้าสูญพันธุ์หลังจับปูม้าขนาดเล็กบริโภคก่อนกำหนด เสนอขยายเขตทำประมงลอบปูม้าออกไป พร้อมใช้กฎหมายบังคับ
       
       นายสุทา ประทีป ณ ถลาง ตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์ประมงพื้นบ้านอ่าวฉลอง จังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงปัญหาการทำประมงลอบปูม้าในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต หลังพบมีการทำลอบปูม้าในพื้นที่ชายฝั่งเพื่อจับปูม้าขนาดเล็กมาบริโภค ว่า การทำประมงลอบปูม้ามีปัญหาทุกพื้นที่ของจังหวัดภูเก็ต โดยเฉพาะพื้นที่ทางด้านฝั่งตะวันออกของเกาะ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของปูม้า โดยธรรมชาติปูม้าขนาดเล็กจะอาศัยอยู่ในบริเวณน้ำลึกประมาณ 5 เมตร และปูม้าขนาดใหญ่จะอาศัยอยู่ในบริเวณน้ำลึกประมาณ 20 เมตร
       
       แต่ปัจจุบันพบว่า มีการลักลอบทำประมงลอบปูม้าบริเวณชายฝั่งซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของปูม้าขนาดเล็กมากขึ้นเพื่อนำมาบริโภคและจำหน่ายตามร้านค้าต่างๆ ทั้งนำไปชุบแป้งทอด ส้มตำปูม้า และอื่นๆ ซึ่งการลักลอบจับปูม้าขนาดเล็กไปบริโภคก่อนกำหนด จะทำให้ปูม้าหายากขึ้น และสูญพันธุ์ไปในที่สุด เนื่องจากเครื่องมือการทำประมงชายฝั่ง และลอบปูม้า เป็นเครื่องมือที่ทำลายล้างขนาดใหญ่ จึงอยากให้ประมงจังหวัดไปศึกษาถึงธรรมชาติของปูม้า เพื่อหามาตรการออกกฎหมายมาบังคับ การกำหนดเขตการทำประมงลอบปูม้า เพื่อกั้นแนวเขตกลุ่มทำประมงลอบปู เพราะเชื่อว่าถ้ามีกฎหมายห้ามที่ชัดเจนประชาชนก็ยินดีที่จะทำตาม
       
       ในขณะที่ นางสาวเพราลัย นุชหมอน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งอันดามัน กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาการทำลายปูม้าขนาดเล็ก ว่า โดยส่วนตัวยังไม่เห็นด้วยกับการขยายเขตการทำประมงลอบปูม้า เพราะเกรงว่าจะกระทบกับวิถีชีวิตประมงพื้นบ้าน ซึ่งในการแก้ไขปัญหานั้นควรจะเสนอให้มีการแก้ที่อุปกรณ์การทำประมงลอบปูม้าก่อน อาจจะขยายขนาดท้องลอบเพื่อให้ปูม้าตัวเล็กสามารถลอดผ่านไปได้
       
       ในขณะที่ นายธนู แนบเนียน ผู้ประสานงานองค์การความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติฝั่งอันดามัน กล่าวในเรื่องเดียวกัน ว่า ปัญหาการจับปูม้าก่อนวัยอันควร ควรจะกำหนดให้มีมาตรการควบคุมการใช้เครื่องมือการทำประมงแทนการกำหนดเขตการทำประมง โดยเครื่องมือที่ใช้ทำการประมงจะต้องมีตาที่ขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้ปูขนาดเล็กสามารถออกไปได้ นอกจากนั้นควรจะต้องกำหนดให้มีการหามาตรการการเพิ่มผลผลิตปูม้าในแหล่งธรรมชาติ เช่น การไม่จับปูที่มีไข่ หรือการทำธนาคารปูไข่

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 01:09:48 AM »

ข่าวสด


เขตควบคุมมลพิษ                                  :                            คอลัมน์ คอลัมน์ที่13                   

การประกาศเขตควบคุมมลพิษในพื้นที่ต่างๆ จะอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 59 แห่งพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 ระบุว่า

ในกรณีที่ปรากฏว่าท้องที่ใดมีปัญหามลพิษ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะร้ายแรง ถึงขนาดเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม

ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดให้ท้องที่นั้นเป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษได้

และตามมาตรา 37 60 และ 61 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน

ระบุให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นในท้องที่เขตควบคุมมลพิษ จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ ที่ครอบคลุมการจัดการมลพิษที่พื้นที่นั้นประสบอยู่

และจะต้องมีการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ เพื่อลดและขจัดมลพิษอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษ

โดยกรมควบคุมมลพิษมีหน้าที่ประสานงาน ในการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ และให้คำแนะนำทางวิชาการ ในการประกาศให้พื้นที่หนึ่งพื้นที่ใดเป็นเขตควบคุมมลพิษ

โดยนับตั้งแต่มีการประกาศใช้พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 เป็นต้นมา มีการประกาศเขตควบคุมมลพิษมาแล้ว 9 ฉบับคือ

1.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2535) กำหนดให้ท้องที่เขตเมืองพัทยาเป็นเขตควบคุมมลพิษ

2.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2535) กำหนดให้ท้องที่เขต จ.ภูเก็ต เป็นเขตควบคุมมลพิษ

3.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2535) กำหนดให้ท้องที่เขต อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นเขตควบคุมมลพิษ

4.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2535) กำหนดให้ท้องที่เขตอำเภอเมือง จ.สงขลา เป็นเขตควบคุมมลพิษ

5.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2535) กำหนดให้ท้องที่เขตหมู่เกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ เป็นเขตควบคุมมลพิษ

6.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ.2537) กำหนดให้ท้องที่ จ.สมุทรปราการ เป็นเขตควบคุมมลพิษ

7.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2538) กำหนดให้ท้องที่เขต จ.ปทุมธานี จ.นนทบุรี จ.สมุทรสาคร และ จ.นครปฐม เป็นเขตควบคุมมลพิษ

8.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ.2539) กำหนดให้ท้องที่เขต อ.บ้านแหลม อ.เมืองเพชรบุรี อ.ท่ายาง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี และ อ.หัวหิน กับ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นเขตควบคุมมลพิษ

9.ประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 23 (พ.ศ.2547) กำหนดให้ท้องที่เขต ต.หน้าพระลาน อ.เฉลิม พระเกียรติ จ.สระบุรี เป็นเขตควบคุมมลพิษ

และล่าสุดคือกรณีมาบตาพุด และอ.เมืองระยอง

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #6 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 01:17:05 AM »

X-cite  ไทยโพสต์


วิกฤติช้างไทยแค่ 14 ปี ส่อสูญ



    เร่งวางแผนอนุรักษ์ช้างไทย  หลังมีแนวโน้มสูญพันธุ์ภายใน  14  ปี  เพราะขณะนี้ทั้งช้างป่าและช้างบ้านเหลือไม่ถึง  5  พันเชือก

     นายศักดิ์สิทธิ์  ตรีเดช  ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  แถลงเมื่อวันที่  9   มีนาคมนี้ว่า  จำนวนช้างไทยทั้งช้างป่าและช้างบ้าน  อยู่ในภาวะที่ลดลงอย่างรวดเร็ว  โดยขณะนี้มีอยู่ไม่ถึง  5  พันเชือก  และมีการประเมินว่า  หากไม่เร่งดำเนินการช่วยเหลือช้างไทย  อาจจะมีการสูญพันธุ์ภายใน  14  ปี  ดังนั้น  ในวันที่  13  มีนาคมนี้  ซึ่งเป็นวันช้างไทย  ทางสถาบันคชบาลแห่งชาติ  ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ  เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา  กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์  จึงได้จัดกิจกรรมเพื่อสร้างคุณค่าและยกระดับคุณภาพชีวิตช้างไทย

     ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ  กล่าวว่า  กิจกรรมที่สถาบันคชบาลจะจัดขึ้น  มี  4  โครงการ  โดยในวันที่  13  มี.ค.  จะมีการจัดพิธีทางศาสนาและบายศรีช้าง  เพื่อรำลึกบุญคุณของช้างที่มีต่อประเทศไทย  และงดกิจกรรมการแสดงช้างทุกประเภท  เพื่อให้ช้างได้พักผ่อนอย่างเต็มที่  นอกจากนั้นยังมีการจัดกิจกรรมพาลูกช้างที่มีอายุถึงเกณฑ์  เข้ารับการอบรมในโรงเรียนฝึกช้าง  โดยรุ่นนี้จะมีอยู่ด้วยกัน  3  เชือก  ซึ่งรวมถึงลูกช้างเชือกแรกที่เกิดจากการผสมเทียมสำเร็จเป็นครั้งแรกในเอเชียจากฝีมือของคนไทย  ทั้งนี้  จะมีการเร่งผลักดันการศึกษาวิจัยการผสมเทียมช้างให้สำเร็จ  เพื่อเพิ่มจำนวนประชากรช้างให้รอดพ้นจากภาวะวิกฤติในปัจจุบัน.


*************************************************************************************************************************


ส่งแร้งกลับบ้านคืนธรรมชาติห้วยขาแข้ง



     เตรียมส่ง  "อีแร้ง"  กลับบ้านเกิดหลังพักฟื้นร่างกาย  สัตวแพทย์หัวหน้าหน่วยฟื้นฟูนกล่าเหยื่อ  ม.เกษตรศาสตร์  เผย  2  เดือนที่ผ่านมา  มีนกแร้งสีน้ำตาลหิมาลัยอพยพหนีหนาวเข้าไทย  บินตกไป  8  ตัว  เพราะไม่มีซากสัตว์ให้กิน  ล่าสุดได้นำมาฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรง  ก่อนนำไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติที่ป่าห้วยขาแข้งในต้นเดือนเมษายนนี้

     เมื่อวันที่  9  มีนาคม  ผศ.น.สพ.ดร.ไชยยันต์  เกสรดอกบัว  หัวหน้าหน่วยชันสูตรโรคสัตว์  และหัวหน้าหน่วยฟื้นฟูนกล่าเหยื่อ  คณะสัตวแพทยศาสตร์  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  เปิดเผยว่า  ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงขณะนี้  มีนกแร้งสีน้ำตาลอพยพมาจากเทือกเขาหิมาลัยบินมาตกในพื้นที่ต่างๆ  ทั่วประเทศไทย  จำนวน  8  ตัว  ซึ่งอยู่ในการดูแลของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช  โดยส่งมอบให้หน่วยฟื้นฟูนกล่าเหยื่อฯ  ช่วยเยียวยารักษาอาการป่วยให้มีสุขภาพแข็งแรง  ก่อนปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติต่อไป

     "อีแร้งสีน้ำตาลหิมาลัยทั้ง  8  ตัวนี้  มีอาการบาดเจ็บหรือขาดอาหาร  หมดแรงจนบินตก  ตอนนี้อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมสภาพร่างกายให้แข็งแรง  ปราศจากโรคไข้หวัดนก  ฝึกบินได้คล่องแคล่ว  รวมทั้งสามารถกินอาหารได้ดี  และมีสัญชาตญาณระแวงภัยต่อมนุษย์  โดยจะนำไปปล่อยที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง   จ.อุทัยธานี  ในวันที่  9  เมษายนนี้"  ผศ.น.สพ.ดร.ไชยยันต์กล่าว

     หัวหน้าหน่วยฟื้นฟูนกล่าเหยื่อ  ม.เกษตรศาสตร์  กล่าวว่า  นกแร้งชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบประเทศมองโกเลีย  ทิเบต  และจีน  ในช่วงฤดูหนาวจะอพยพเข้ามาหากินในประเทศไทย  ส่วนมากจะพบว่าบินตกทางภาคใต้  เช่น  ภูเก็ต  พัทลุง  ตรัง  สตูล  และนครศรีธรรมราช   เนื่องจากมันจะบินร่อนไปตามกระแสลม   แล้วหากินซากสัตว์เน่าเปื่อยในธรรมชาติไม่ได้  จนประสบอุบัติเหตุหรือหมดแรงบิน  เมื่อเราได้รับมอบนกแร้ง  ก็จะดำเนินการฟื้นฟูสุขภาพตามขั้นตอน  ที่คณะสัตวแพทยศาสตร์  วิทยาเขตกำแพงแสน  จ.นครปฐม  หลังจากนกมีความพร้อมก็จะติดรหัสประจำตัว  เพื่อติดตามดูพฤติกรรมหลังคืนสู่ธรรมชาติ  และศึกษาเส้นทางการบินกลับถิ่นกำเนิด

     ส่วนสาเหตุที่เลือกปล่อยนกแร้งในป่าห้วยขาแข้งนั้น  สัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนกล่าเหยื่อขนาดใหญ่ระบุว่า  เนื่องจากเป็นพื้นที่อนุรักษ์  ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการถูกมนุษย์คุกคาม  อีกทั้งยังมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการทำรังวางไข่  มีแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์  เพราะมีซากสัตว์ในธรรมชาติ  พวกซากวัวและกวางเป็นจำนวนมาก  อันเกิดจากเสือที่เป็นผู้ล่าในห่วงโซ่อาหารได้ทิ้งไว้ให้   นอกจากนี้ยังต้องทำร้านอาหารแร้ง  เป็นซากวัวที่ปลอดเชื้อโรคติดต่อ  เช่น  ปากเท้าเปื่อย  วัณโรค  และท้องร่วง  เพื่อให้นกแร้งมีอาหารกินในช่วงแรกๆ  ก่อนจะอพยพกลับในช่วงฤดูร้อนนี้

     "อีแร้งจัดอยู่ในกลุ่มนกล่าเหยื่อขนาดใหญ่  เช่นเดียวกับเหยี่ยวและนกอินทรี  ถือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง  บุคคลทั่วไปไม่สามารถครอบครองได้  ยกเว้นเป็นไปเพื่อศึกษาวิจัยหรืออนุรักษ์  แต่ปัจจุบันอีแร้งอพยพเหล่านี้กำลังจะสูญพันธุ์  เพราะซากสัตว์ในธรรมชาติลดน้อยลง  การตัดไม้ทำลายป่า  และถูกมนุษย์ล่า  ดังนั้น  การฟื้นฟูสุขภาพเพื่อส่งกลับบ้าน  ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มประชากรนกเท่านั้น  ยังหวังว่าจะมีอีแร้งประจำถิ่นในเมืองไทยที่สูญพันธุ์ไปแล้วคือ  พญาแร้งและอีแร้งเทาหลังขาว  ที่อาจจะซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกบินเข้ามากินอาหารก็ได้"

     ผศ.น.สพ.ดร.ไชยยันต์กล่าวเพิ่มเติมว่า  หน่วยฟื้นฟูนกล่าเหยื่อถูกจุดประกายขึ้นจากโครงการฟื้นฟูนกแร้งดำหิมาลัยเมื่อปี  2550  ภารกิจแรกคือ  การช่วยเหลือฟื้นฟูนกแร้งดำหิมาลัยชื่อ  อนาคิน  1  ตัว  และนกแร้งสีน้ำตาลหิมาลัย  4  ตัว  ไปปล่อยที่ดอยลาง  จ.เชียงใหม่   จนคืนธรรมชาติได้สำเร็จ  นับตั้งแต่นั้นมาการฟื้นฟูช่วยเหลือนกล่าเหยื่อมีจำนวน  32  ตัว   เช่น  อีแร้งดำหิมาลัย  นกอินทรีหัวไหล่ขาว  เหยี่ยวปีกแดง  เหยี่ยวดำ  และนกแสก  เป็นต้น.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #7 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 01:19:18 AM »

แนวหน้า


ทม.กระบี่ลงนาม สร้างท่าเทียบเรือ ดันการท่องเที่ยว  
 
 กระบี่:นายศิวะ ศิริเสาวลักษณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ เป็นประธานและร่วมลงนามในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว กับเทศบาลเมือง (ทม.) กระบี่ ในการดำเนินการโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือพิเศษกระบี่มารีน่า ที่ห้องประชุมบันไทยสมอ สำนักงาน ทม.กระบี่

 นายกีรติศักดิ์ ภูเก้าล้วน นายก ทม.กระบี่ เปิดเผยว่า ตามที่ ทม.กระบี่ ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยวจำนวน 42.37 ล้านบาท เพื่อดำเนินการโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือพิเศษ มารีน่า ซึ่งเทศบาลได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เเพื่อให้การดำเนินการโครงการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงได้จัดให้มีพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยวกับ ทม.กระบี่ ขึ้น โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งสองจะสามารถก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้านการท่องเที่ยวแก่ประชาชน และ จ.กระบี่ได้เป็นอย่างดี 

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #8 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 05:08:57 AM »


ท่าเรือกระบี่นี่จะสร้างตรงไหนหรือคะ....


ใครทราบบ้าง ช่วยตอบที.....



หุๆ....แต่เห็นนามสกุลท่านนายกเทศมนตรีแล้ว กริ่งเกรงไปว่าท่าเรือจะไปตั้งอยู่ที่อ่าวนาง ข้างๆกระบี่รีสอร์ท....
บันทึกการเข้า

Saaychol
Sugary
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 628


« ตอบ #9 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 05:50:41 AM »

ขอให้พบเจอผู้สูญหายทั้งหมดโดยเร็ว และปลอดภัยกลับมาทุกคนนะคะ
บันทึกการเข้า
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #10 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 05:58:33 AM »


ข่าวเที่ยงช่อง 3 เพิ่งรายงานว่าพบศพผู้หญิงฝรั่งหนึ่งคนแล้ว กำลังส่งพิสูจน์ว่าเป็นหนึ่งในทีมดำน้ำที่หายไปหรือไม่ค่ะ....


พวกเราที่ลงไปอันดามันใต้โชคดีจริงๆ ที่ไม่เจอลมแรงและฝนตกหนักช่วงคืนวันที่เกิดเหตุ  เพราะเรือของเราเข้าเทียบท่ารัษฎาซุ่งอยู่ทางด้านตะวันออก (ตรงข้ามหาดป่าตอง) ตั้งแต่หัวค่ำ  ลมจะแรงและฝนจะตกหนักอย่างไร เราจึงไม่เดือดร้อน...
บันทึกการเข้า

Saaychol
Udomlert
สี่ดาวยังอยู่แค่เอื้อม
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 162


« ตอบ #11 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 06:12:36 AM »

ติดตามข่าวอยู่ ขอคัดลอกมาจาก 2 ฉบับ ครับ

จากเดลินิวส์

เทศบาลเมืองกระบี่ ทำประชาพิจารณ์ขอความเห็นจากประชนโครงการโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือพิเศษ หรือ มารีน่า ที่แม่น้ำกระบี่บริเวณสวนสาธารณะธาราเทศบาลเมืองกระบี่ และโครงการะมาณนดการดำเนินงานต่อไปสดงให้เห็นปรับปรุงพัฒนาเขาขนาบน้ำเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์  ผลประชาพิจารณ์ประกาศให้ทราบภายใน 15 วัน

             27 มกราคม 2552 ที่ห้องช้างเผือก สำนักงานเทศบาลเมืองกระบี่  ประชาชน  นายกอบต./ผู้นำหมู่บ้าน  ตัวแทนภาคธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่  กว่า 200 คน ได้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นในการทำประชาพิจารณ์ โครงการสำคัญ ของสำนักงานเทศบาลเมืองกระบี่   โดยมีนายกีรติศักดิ์ ภูเก้าล้วน นายกเทศมนตรีเมืองกระบี่   นายสมประสงค์ โขมพัตร รองผู้อำนวยการสำนักพัฒนาการท่องเที่ยว นายสนั่น ศิลารัตน์ รองปลัดเทศบาลเมืองกระบี่ เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียด พร้อมนำแบบแปลนการก่อสร้างแสดงให้เห็นจำนวน 2 โครงการ คือโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือพิเศษ หรือ มารีน่า ที่แม่น้ำกระบี่บริเวณสวนสาธารณะธาราเทศบาลเมืองกระบี่ งบประมาณจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจำนวน กว่า 42  ล้าน บาทโดยจะทำการก่อสร้างทุ่นจอดเรือที่สามารถรองรับเรือเข้าจอดเทียบท่าได้  จำนวน  49  ลำ  พร้อมสิ่งนำนวยความสะดวกต่าง ๆ และงบจากจังหวัด จากเทศบาล งบประมาณ 22 ล้านบาท เพื่อโครงการะมาณนดการดำเนินงานต่อไปสดงให้เห็นปรับปรุงพัฒนาเขาขนาบน้ำเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ จะทำการงก่อสร้าง สะพานจอดเรือ 3 แห่ง ทางเดินขึ้นชมความสวยงามภายในถ้ำ การปรับพื้นที่ภายในถ้ำ การสร้างมนุษย์ถ้ำหรือมนุษย์โบราณไว้ภายในถ้ำ จำลองภาพบรรยากาศ การใช้ชีวิตของมนุษย์ถ้ำ ในสมัยโบราณ อาคารอเนกประสงค์ ห้องสุขา ปรับปรุงภูมิทัศน์ บริเวณด้านหน้าถ้ำ และการเดินสายเคเบิ้ลไฟฟ้าใต้น้ำคาดว่าหลังจากพัฒนาแล้วจะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเพราะอยู่ใกล้เมืองกระบี่

              ซึ่งผลการทำประชาพิจารณ์ ของประชาชนทุกภาคส่วน ในวันนี้ มีทั้งที่เห็นด้วยในภาพรวมของโครงการ และไม่เห็นด้วยในรายละเอียดบางตอน มีการท้วงติงในส่วนที่ต้องหาแนวทางป้องกันการกระทบต่อประชาชนที่อาศัยในบริเวณที่จะทำท่าเรือมาริน่า ในอนาคต  แต่อย่างไรก็ตาม ทางเทศบาลเมืองกระบี่ จะสรุปผลการทำประชาพิจารณ์ และประกาศให้ทราบโดยทั่วกันภายใน 15 วันนับแต่วันนี้เพื่อกำหนดการดำเนินงานต่อไป
 
จากคุณ นิตยา มณีตน์ เมื่อวันที่ 27/1/2552 21:39:03   IP :   


ผู้จัดการ 23/1/52

 กระบี่ -เทศบาลเมืองกระบี่เชิญประชาชนร่วมทำประชาพิจารณ์ โครงการก่อสร้างท่าเรือมารีน่า และโครงการปรับปรุงเขาขนาบน้ำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ รวมงบประมาณทั้งสองโครงการกว่า 60 ล้านบาท
       
       นายกีรติศักดิ์ ภูเก้าล้วน นายกเทศมนตรีเมืองกระบี่ กล่าวว่า ตามที่เทศบาลเมืองกระบี่ได้รับงบประมาณจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจำนวน 42 ล้าน 3 แสนบาท เพื่อทำการก่อสร้างท่าเทียบเรือพิเศษ หรือ มารีน่า ที่ปากแม่น้ำกระบี่บริเวณสวนสาธารณะธาราเทศบาลเมืองกระบี่ โดยจะทำการก่อสร้างทุ่นจอดเรือ ที่สามารถรองรับเรือเข้าจอดเทียบท่าได้ จำนวน 49 ลำ พร้อมสิ่งนำนวยความสะดวกต่าง ๆ
       
       นอกจากนี้ เทศบาลเมืองกระบี่ ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากผู้ว่าราชการจังหวัด จำนวน 19,000,000 บาท และงบสนับสนุนจากเทศบาลกระบี่ อีก 300,000 บาท รวมเป็นงบประมาณ 22 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงพัฒนาเขาขนาบน้ำ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์
       
       ทั้งนี้ จะทำการก่อสร้างสะพานจอดเรือ 3 แห่ง ทางเดินขึ้นชมความสวยงามภายในถ้ำ การปรับพื้นที่ภายในถ้ำ การสร้างรูปมนุษย์ถ้ำหรือมนุษย์โบราณไว้ภายในถ้ำ จำลองภาพบรรยากาศ การใช้ชีวิตของมนุษย์ถ้ำ ในสมัยโบราณ อาคารอเนกประสงค์ ห้องสุขา ปรับปรุงภูมิทัศน์ บริเวณด้านหน้าถ้ำ และการเดินสายเคเบิลไฟฟ้าใต้น้ำ คาดว่าหลังจากพัฒนาแล้วจะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเพราะอยู่ใกล้เมืองกระบี่
       
       เทศบาลเมืองกระบี่ จึงขอเชิญประชาชนร่วมทำประชาพิจารณ์ เพื่อรับฝังความคิดเห็นต่อการก่อสร้างทั้ง 2 โครงการขึ้นในวันที่ 27 มกราคม นี้ ตั้งแต่เวลา 14.00 น.เป็นต้นไปที่ สำนักงานเทศบาลเมืองกระบี่

บันทึกการเข้า
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #12 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 06:19:13 AM »


ขอบคุณค่ะน้องจิ๋ว.....


โล่งอก....ที่ท่าเรือไม่ไปอยู่ที่อ่าวนางให้เป็นอุจาดทัศน์  จริงๆแล้วที่กระบี่ก็มีท่าเรืออย่างดีอยู่ที่คลองจิหลาดแล้วนะคะ  ไม่ทราบที่ใหม่นี้จะอยู่ที่เดิมแต่ปรับปรุงให้จอดเรือได้มากขึ้นหรือไม่...
บันทึกการเข้า

Saaychol
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #13 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 09:14:19 AM »


พบร่างแหม่มสาว1ศพ คาดเป็นชาวออสเตรีย-สวิส [10 มี.ค. 52 - 11:20]
 
ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (10 มี.ค.) ถึงความคืบหน้ากรณีเรือไดร์ฟวิ่ง หรือ เรือพานักท่องเที่ยวไปดำน้ำดูปะการังในทะเลอันดามัน”โชคสมบูรณ์ 19 “ของบริษัท ไดว์ฟ เอเชีย จำกัด ถูกคลื่นขนาดใหญ่ซัดจนล่มและจมลงสู่ก้นทะเลลึกกว่า 70 เมตรระหว่างเดินทางกลับจากเกาะสิมิลัน  จ.พังงา มายังท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง ต.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต ห่างจากแหลมพรหมเทพ ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ตราว 20 กิโลเมตร เมื่อกลางดึกวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติและลูกเรือรวมทั้งสิ้น 30 คน ส่งผลให้มีผู้สูญหาย 7 คน เป็นกุ๊กชาวไทย 1 ที่เหลือเป็นชาวต่างชาติ โดยตำรวจน้ำภูเก็ตได้ส่งเรือ ต.814 (คุณพุ่ม) ออกไปช่วยเหลือนักท่องเที่ยวและลูกเรือที่ได้รับการช่วยเหลือจากเรือประมงมาขึ้นฝั่งที่ท่าเรือน้ำลึก ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมาพร้อมกับให้การปฐมพยาบาลและดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติ-ลูกเรือชาวไทยที่รอดชีวิตจำนวน 23 คนเป็นอย่างดี  ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่จะมีอาการอ่อนเพลีย ขาดน้ำและมีบาดแผลตามผิวหนังเล็กน้อย ส่วนการค้นหาผู้สูญหายทั้ง 7 คนตำรวจน้ำภูเก็ต-ทัพเรือภาค 3 และตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตได้ยุติการค้นหาเมื่อช่วงค่ำวันที่ 9 มี.ค.เนื่องจากมีฝนตกและลมกรรโชกแรง โดยคาดว่าผู้สูญหายทั้ง 7 คนอาจเสียชีวิตแล้ว     

ล่าสุดเมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 10 มี.ค.ที่ห้องประชุมชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต (หลังเก่า) นายปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตพร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมและหารือในการวางแผนช่วยเหลือผู้สูญหายและเก็บกู้ซากเรือโชคสมบูรณ์ 19 ที่จมลงก้นทะเลอันดามัน
 
พ.ต.อ.อนันต์ ห่วงสายทอง ผกก.8 กก.3 บก.รน.กล่าวก่อนเข้าประชุมว่า นอกจากจะมีการประชุมร่วมกับทางจังหวัด เพื่อวางแผนและกำหนดมาตรการในการค้นหาผู้สูญหายและเก็บกู้ซากเรือที่จมลงสู่ก้นทะเลอันดามันให้เกิดความความครอบคลุม โดยในส่วนของตำรวจน้ำภูเก็ตได้ส่งเรือ ต.814 (คุณพุ่ม)พร้อมด้วยนักประดาน้ำ-มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตออกไปค้นหาผู้ที่สูญหาย พร้อมกับประสานกับทัพเรือภาค 3 ในการนำเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินสำรวจบริเวณจุดที่เกิดเหตุ เพื่อให้เกิดความคลอบคลุมและมีความชัดเจนมากขึ้น แม้ว่าจะทราบพิกัดในจุดเรือจมแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงการประมาณการณ์  เมื่อเรือจมลงไปในทะเลแล้วอาจจะมีการเลื่อนไหลไปในใต้ทะเลได้ เพราะบริเวณดังกล่าวนั้นเป็นร่องน้ำที่มีระดับความลึกกว่า 70 เมตร โดยขณะนี้ได้พบคราบน้ำมันที่ลอยตัวบนผิวน้ำบางแล้ว

 พ.ต.อ.อนันต์กล่าวต่อว่า นอกจากเรือของตำรวจน้ำแล้วยังมีเรือตรวจการณ์ของทัพเรือภาค 3 ที่สามารถระดมออกไปค้นหาร่วมด้วย รวมทั้งยังได้มีการประสานงานกับชมรมดำน้ำภูเก็ต นักประดาน้ำมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตกรณีที่จะต้องลงไปดำสำรวจหาจุดที่ชัดเจนร่วมกับนักประดาน้ำของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง แต่คงต้องรอความชัดเจนของการค้นหาหรือดำเนินการอื่นๆ ยืนยันว่าเรือที่จมนั้นไม่ได้ขวางเส้นทางการเดินเรืออื่นๆ เนื่องจากจมในระดับน้ำลึก ขณะที่เรือประมงปกติจะกินน้ำลึกประมาณ 1-2 เมตรเท่านั้น ส่วนกรณีเรือสินค้าจะกินน้ำลึกประมาณ 10 เมตร จึงไม่มีผลแต่อย่างใด 

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ล่าสุด เจ้าหน้าที่พบร่างนักท่องเที่ยวสาว  1 ศพ อยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็น 1 ใน 7 นักท่องเที่ยวชาวออสเตรีย หรือ สวิตเซอร์แลนด์ ที่สูญหายจากเรืออับปางหนนี้หรือไม่



http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=127089

 
 
บันทึกการเข้า

Saaychol
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #14 เมื่อ: มีนาคม 10, 2009, 09:16:55 AM »


'เทพเทือก' ล้อมคอกเรือท่องเที่ยวสิมิลันอับปาง[10 มี.ค. 52 - 12:10]
 
เมื่อเวลา 08.45น. วันนี้ (10 มี.ค.) ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงเหตุการณ์เรือบรรทุกนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาดำน้ำที่เกาะสิมิลัน จ.พังงา ถูกพายุซัดอับปาง ว่า ยอมรับว่าที่ผ่านมาไม่ได้สั่งการให้ทางจังหวัดดูแลเรื่องนี้ เพราะโดยปกติจะมีการแจ้งเตือนสภาพดินฟ้าอากาศคลื่นลมกันตามปกติ กรณีที่เกิดขึ้นเป็นความเสียใจจริง ๆ ตนไม่แน่ใจว่าเขาไม่ได้ฟังรายงานสภาพอากาศหรืออย่างไร อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่กังวลใจถ้าหากเป็นความประมาท เพราะบางทีอาจจะเคยชินกับการรายงานสภาพอากาศ บางวันก็เลยไม่รู้สึกตื่นเต้น ไม่นึกว่าจะเป็นอะไร ตนก็ไม่ทราบ แต่จะไปติดต่อดู เพราะเมื่อเกิดเหตุขึ้นมาก็ทำให้เสียชื่อเสียง กระทบต่อนักท่องเที่ยว

“เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ได้ร่วมประชุมเรื่องการป้องกันอุบัติภัยในคณะกรรมการก็พูดกันเรื่องนี้ แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น ซึ่งจะย้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดูแลต่อไป แต่คงไม่ถึงขนาดต้องเดินทางลงไปดูในพื้นที่ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต้องดำเนินการและต้องย้ำตักเตือนผู้ประกอบการให้เชื่อฟังสิ่งที่ราชการรายงาน” นายสุเทพ กล่าว



http://www.thairath.co.th/online.php?section=newsthairathonline&content=127092
 
 
บันทึกการเข้า

Saaychol
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.059 วินาที กับ 20 คำสั่ง