พฤศจิกายน 18, 2025, 12:36:07 AM
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว
: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ค้นหา
สมาชิก
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
กระดานข่าว Save Our Sea.net
>
หมวดหมู่ทั่วไป
>
ห้องรับแขก
(ผู้ดูแล:
สายชล
,
สายน้ำ
) >
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2552
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2552 (อ่าน 7577 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2552
«
เมื่อ:
มีนาคม 20, 2009, 12:00:46 AM »
กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
คลื่นกระแสลมตะวันตกได้เคลื่อนผ่านภาคเหนือ และกำลังจะผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือในขณะที่จะมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดเข้ามาปกคลุมบริเวณประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ และภาคกลางมีฝนลดลง ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกยังคงมีฝนกระจายในระยะนี้
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
คาดหมาย
ในช่วงวันที่ 19-22 มี.ค. ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้จะพัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ประกอบกับในช่วงวันที่ 19-20 มี.ค. มีคลื่นกระแสลมตะวันตกเคลื่อนผ่านภาคเหนือตอนบน ทำให้ภาคเหนือมีอุณหภูมิลดลง 2-3 องศา ส่วนในช่วงวันที่ 23-25 มี.ค. ลมใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้อากาศร้อนขึ้น และมีฝนลดลง
Forecast2.jpg
(40 KB, 684x423 - ดู 3087 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2552
«
ตอบ #1 เมื่อ:
มีนาคม 20, 2009, 12:06:33 AM »
เดลินิวส์
เปิดโลกใต้ทะเลเกาะเต่าครั้งที่ 6
มหัศจรรย์ความงามใต้สมุทร
ในโลกของผู้ชื่นชอบกีฬาดำน้ำจากทั่วโลก น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก เกาะเต่า เพราะเป็นเกาะที่ได้ชื่อว่า เป็น 1 ใน 10 แหล่งดำน้ำสุดยอดของ โลก และถูกโหวตให้เป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานหลายปีติดต่อกัน ทำให้ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยว และนักดำน้ำจากทั่วโลก ไม่น้อยกว่า 800,000 คน เดินทางเข้ามาเรียนดำน้ำ และดำน้ำ เพราะมนต์เสน่ห์ของโลกใต้ทะเลแห่งเกาะเต่า สร้างรายได้กว่าปีละ 2,000 ล้านบาท
เกาะเต่า เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวอยู่กลางอ่าวไทย มีเนื้อที่ประมาณ 13,000 ไร่ หรือประมาณ 17.9 ตร.กม. พื้นที่ทั้งหมดประกอบด้วยเกาะ 3 เกาะ คือ เกาะเต่า เกาะนางยวน และเกาะกงทรายแดง มีฐานะเป็นตำบลหนึ่งของ อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี เดิมทีเกาะเต่าเป็นเกาะที่กรมราชทัณฑ์ ใช้เป็นที่กักขังนักโทษการเมือง และที่สำคัญคือเป็นเกาะที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสในปี พ.ศ. 2442 ทรงชื่นชมและสลักพระปรมาภิไธยย่อของพระองค์บนหินที่ บ้านหาดทรายรี หลังจากการยกเลิกการเป็นสถานที่กักขังนักโทษแล้ว ได้มีประชาชนเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ทำสวนมะพร้าว การประมง และค้าขาย ในอดีตได้มีนักเดินทางที่อาศัยการโดยสารเรือหาปลามายังเกาะเต่า และพูดกันปากต่อปากว่าเป็นเกาะสวรรค์ จึงมีคนเริ่มทยอยเดินทางมาเกาะเต่า เมื่อพบว่าธรรมชาติหาดทราย ท้องทะเลนั้นสวยงามมาก จึงมีผู้บุกเบิกกิจกรรมดำน้ำขึ้น ทำให้เกาะเต่าเป็นที่เลื่องชื่อในการดำน้ำ มีโรงเรียนสอนดำน้ำมากมายที่สามารถผลิตนักดำน้ำได้เป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย และกลายเป็นจุดมุ่งหมายหลักของคนที่รักการท่องโลกใต้ทะเล ในการเดินทางเข้ามาเพื่อเรียนและดำน้ำบริเวณเกาะเต่า และถึงแม้ว่าเกาะเต่าจะอยู่ในทะเลด้านที่รับลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่ง พัดผ่านมาในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือน มีนาคม แต่ก็มีเกาะน้อยใหญ่ ช่วยกำบังคลื่นลมทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังเกาะเต่าได้ตลอดปี
กิจกรรมหลักของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาพักผ่อนที่เกาะเต่า คือ การดำน้ำดูปะการัง ซึ่งมีอยู่รอบเกาะเต่า และเกาะนางยวน รองลงมาคือ เล่นน้ำทะเล และนั่งเรือเที่ยวรอบเกาะ ชมแหล่งปะการังที่สวยงาม ด้วยความงามของโลกใต้ทะเล เกาะเต่าและเกาะนางยวน จึงเป็นแหล่งผลิตนักเรียนดำน้ำ แบบ SCUBA ตามหลักสูตรของ Padi จากสหรัฐอเมริกามากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นายประยุทธ ทองนวล นายก อบต. เกาะเต่า กล่าวว่า ในทุก ๆ ปี อบต.เกาะเต่า จะร่วมกับหน่วยงานราชการในจังหวัด และสำนักงานการท่องเที่ยว จ.สุราษฎร์ธานี ร่วมกันจัดงาน เปิดโลกใต้ทะเลเกาะเต่า เป็นประจำทุกปีอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวทางทะเลของเกาะเต่า ซึ่งการจัดงานครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 21-22 มีนาคม นี้ เพื่อเป็นการกระตุ้น ปลูกจิตสำนึกให้ประชาชน เยาวชน และผู้ประกอบการ ร่วมกันอนุรักษ์ธรรมชาติของเกาะเต่า ซึ่งแนวคิดการจัดงานในปีนี้ ด้วยความร่วมมือจากสมาคมท่องเที่ยวเกาะเต่า, ชมรมเรารักษ์เกาะเต่า องค์การ บริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เราใช้ชื่อว่า รักษ์เกาะเต่า ไม่เอาพลาสติกและโฟม นอกเหนือจากกิจกรรมการดำน้ำและชมปะการังใต้ทะเลแล้ว เราจะเน้นการรณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติกและโฟมอย่างจริงจัง เพราะเราเห็นว่าปัญหาขยะเป็นปัญหาสะสมที่จำเป็นต้องมีการจัดการอย่างเร่งด่วน ก่อนที่เกาะเล็ก ๆ ของเราจะบอบช้ำและเสื่อมโทรม และจะเป็นการสร้างกระแสร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติใต้ทะเลเกาะเต่า
สำหรับกิจกรรมที่กำหนดให้มีขึ้น ประกอบด้วย กิจกรรมเก็บขยะบนบกและใต้น้ำ บริเวณหาดทรายรี, การแสดงดนตรีริมสวน โดยวงดนตรีนานาชาติ, การแสดงนิทรรศการตามรอยประวัติศาสตร์พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5, การประกวด MISS SAVE KOH TAO รวมถึงการแนะนำแหล่งดำน้ำแห่งใหม่ของเกาะเต่า และกองทัพเรือ โดยทัพเรือภาคที่ 1 ให้การสนับสนุน เรือหลวงสุโขทัย และกำลังพลประจำเรือ ร่วมกิจกรรมผูกทุ่นเรือเพื่อป้องกันการทิ้งสมอเรือทำลายปะการัง พร้อมวิทยากรให้ความรู้การอนุรักษ์ปะการังทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษ นอกจากนั้นยังมีการจัดแข่งขันแรลลี่ใต้สมุทร การจัดแข่งขันกีฬาชายหาด การปล่อยลูกหอยมือเสือรอบเกาะเต่า การปล่อยเต่าตนุ การจัดกิจกรรมชายหาดใต้ทะเล และการจัดทัวร์ดำน้ำ ดูปะการัง
นอกเหนือจากกิจกรรมหลัก ๆ ที่ทางเกาะเต่าได้กำหนดขึ้นแล้ว ยังจะเป็นอีกโอกาสหนึ่งของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่จะได้เดินทางไปเยี่ยมชมความงามของท้องทะเลอ่าวไทย เพราะเกาะเต่า นอกจากจะเป็นแหล่งดำน้ำแล้ว ชายหาดอีกหลายแห่ง ยังคงความสวยงาม ไม่ว่าจะเป็น สวนหิน จปร. ทางด้านตะวันตกของเกาะ ซึ่งมีโขดหินรูปร่างประหลาด ๆ อยู่หย่อมหนึ่ง และมีรอยจารึกทางประวัติศาสตร์ถึงการเสด็จประพาสเกาะเต่าของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยการจารึกพระปรมาภิไธย จปร. ไว้ให้เป็นที่ปรากฏอยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ และรวมถึงจุดชมวิวจอห์น-สุวรรณ ที่โฉลกบ้านเก่า เกาะเต่า ด้านทิศใต้ จะเห็นอ่าวโฉลกบ้านเก่า และอ่าวเทียนออก และอีกเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ทางทิศเหนือของเกาะเต่า คือ เกาะนางยวน ประกอบด้วย เกาะเล็กเกาะน้อย 3 เกาะ ที่เชื่อมต่อกันด้วยสันทรายสีขาว จนบางครั้งยามน้ำลง ก็สามารถเดินถึงกัน และกลายเป็น เกาะเดียว ต่อเนื่องกันไปได้ สภาพธรรมชาติ โดยรอบประ กอบด้วย ดงปะการังอันอุดมสมบูรณ์อยู่ภายใต้ท้องทะเลสีเขียวมรกต จึงนับเป็นแหล่งที่เหมาะกับการเล่นน้ำ และ การดำน้ำ ดูปะการัง เป็นอย่างยิ่ง
เกาะเต่า เป็น 1 ใน 10 สุดยอดแหล่งดำน้ำของโลก และเป็นอันดับหนึ่งของภูมิภาคเอเชีย รองรับนักท่องเที่ยวที่ไหลเวียนมาจากทั่วโลก แต่ละปีไม่ต่ำกว่า 800,000 คน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่าปีละ 2,000 ล้านบาท ด้วยเสน่ห์ของโลกใต้ท้องทะเลที่ยังมีแนวปะการังที่สมบูรณ์และสวยงาม ส่งผลให้เกาะเต่ามีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ได้สร้างปัญหาขยะ น้ำเสีย การรุกล้ำแนวชายหาดและแหล่งต้นน้ำลำธาร และนับวันจะเป็นปัญหาใหญ่ และจำเป็นต้องหาแนวทางแก้ไขอย่างจริงจังต่อไปในอนาคต
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2552
«
ตอบ #2 เมื่อ:
มีนาคม 20, 2009, 12:14:34 AM »
มติชน
สำรวจ"คลองท่อม" ประตูการค้า"ยุคโบราณ" เชื่อมอันดามัน-อ่าวไทย
:
เรียบเรียงจากข้อมูล "หนังสือเมืองคลองท่อม" บนเส้นทางสายไหมอาจารย์กลิ่น คงเหมือนเพชร" ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดกระบี่
ทำเลที่เป็นที่ตั้งอำเภอคลองท่อม จ.กระบี่ ในปัจจุบันหรือที่เรียกกันว่า "ควนลูกปัด" มีร่องรอยที่บ่งบอกว่าเคยเป็นที่ตั้งชุมชนโบราณมาก่อน หลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดพบมีเป็นจำนวนมาก มีความเกี่ยวพันกับทางอียิปต์ อีนเดีย กรีก อาหรับ และจีน ทั้งนี้ พระครูอาทรสังวรกิจ อดีตเจ้าอาวาสวัดคลองท่อม เก็บรักษาสมบัติอันล้ำค่าไว้อีกส่วนหนึ่งในพิพิธภัณฑสถานคลองท่อม
คนกระบี่ไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก แต่คลองท่อมเป็นที่รู้จักของนักโบราณคดีทั่วโลกที่เดินทางเข้ามาศึกษาจากหลักฐานดังกล่าว นับได้ว่าพระครูอาทรสังวรกิจเป็นคนแรกที่เปิดประตูโบราณให้คนทั่วโลกรู้จัก
จากการศึกษาพบว่า คลองท่อมมีวัฒนธรรมซับซ้อนมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยเริ่มต้นประวัติศาสตร์ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นโบราณวัตถุมีโบราณสถานที่เป็นสิ่งก่อสร้างถาวร นักโบราณคดีให้ความเห็นว่า คลองท่อมเป็นเพียงท่าเรือขนส่งสินค้าเป็นประตูทางการค้า (Gate Way) ทางฝั่งตะวันตกที่เปิดข้ามฝั่งมหาสมุทรไปสู่ชุมชนโบราณที่เมืองเวียงสระ และอ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี ในสมัยเดียวกัน
ปัจจุบันมีคนพูดถึงเส้นทางการค้าที่สำคัญสายหนึ่งที่เรียกกันว่า "เส้นทางสายไหม" เป็นเส้นทางค้าไหมและเครื่องลายครามของจีน ถ้าหากว่าคลองท่อมเป็นท่าเรือและประตูการค้าเชื่อมสองฝากฝั่งทะเลก็ย่อมที่จะเป็นเส้นทางของบรรดาพ่อค้าวานิชทั้งหลายทุกชาติภาษา รวมทั้งพ่อค้าจีนด้วยอย่างแน่นอน จึงสันนิษฐานว่าบนเส้นทางสายนี้จัดอยู่ในเส้นทางค้าไหมทางทะเลด้วย
เส้นทางสายไหมกระจายออกไปหลายทาง ทางหนึ่งจะผ่านไปทางคาราคอรัม มีทางบกลงสู่ปากีสถานและอินเดีย เส้นทางนี้นอกจากใช้เป็นเส้นทางการค้าแล้ว ยังเป็นเส้นทางเผยแพร่ศาสตรพุทธจากอินเดียไปสู่จีน เกาหลี และญี่ปุ่น ร่องรอยพุทธศาสนาปรากฏตามถ้ำหลายแห่ง
การเดินทางไปสืบพระศาสนาของหลวงจีนฟาเหียน พระถังซำจั๋ง ก็ใช้เป็นเส้นทางนี้เดินทางทั้งสิ้น ขากลับได้อาศัยเรือพ่อค้าซึ่งใช้เส้นทางทะเลสำหรับดินแดนทางสุวรรณภูมิ ได้รับศาสนาพรามหมณ์และศาสนาพุทธก่อน ร่องรอยการเข้ามาของพุทธศาสนาผ่านเข้ามาบริเวณนี้อย่างต่อเนื่อง เช่น พระโสณะ และพระอุตระ มาเผยแผ่พุทธศาสนา ตามหลักฐานที่ปรากฏทางนครปฐม มหาสถูปบรมพุทโธในชวา พระบรมธาตุไชยา และนครศรีธรรมราช
นอกจากนี้ยังพบวัตถุทางพุทธศาสนาตามแหล่งถ้ำต่างๆ อีกมากมาย เช่น พบพระพิมพ์ดินดิบที่เขาขนาบน้ำ จ.กระบี่ นับเป็นพระพิมพ์ดินดิบที่เก่าแก่ที่สุดในภาคใต้ นอกจากนี้ยังพบวัตถุอื่นๆ เช่น สถูปเล็กๆ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "กรอบแก้ว" ในบริเวณคลองท่อมและถ้ำอื่นๆ อีกด้วย
เป็นที่ยอมรับกันว่าวัฒนธรรมไทยหลายอย่างมีรากฐานมาจากความเชื่อจากวัฒนธรรมอินเดีย คนอินเดียมาสู่สุวรรณภูมิตั้งแต่เมื่อใดนั้น ไม่สามารถบอกได้แน่ชัด คิดเอาว่าตั้งแต่ผู้คนแถบนั้นค้นพบความลับเรื่องลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้นั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานทางโบราณคดีหลายอย่างที่บ่งบอกว่า บรรดาผู้คนหรือพ่อค้าที่เดินทางมาแถบทะเลใต้นี้ มิได้มีเฉพาะชาวอินเดียเท่านั้น ยังมีอาหรับ กรีก โรมัน และชาวจีนอีกด้วย การเดินทางของบรรดาเรือพ่อค้าต้องผ่านช่องแคบมลายูแต่ภายหลังเกิดมีโจรสลัดชุกชุมคอยปล้นสะดมเรือสินค้า พ่อค้าจึงเปลี่ยนเส้นทางเป็นการขนส่งสินค้าข้ามฝั่งทางบกแทนฝั่งตะวันออก
เส้นทางข้ามแหลมที่สำคัญเฉพาะในส่วนประเทศไทย เช่น 1) เส้นทางเสียบยวน-ปากจั่น-กระบุรี-เขาสามแก้ว (ชุมพร) 2) เส้นทางกำพวน-อ่าวบ้านดอน-นางย่อน-อ่าวบ้านดอน-คุระบุรี อ่าวบ้านดอน (สุราษฎร์ธานี) 3) เส้นทางตะกั่วป่า-ข้ามเขาศก-อ่าวบ้านดอน 4) เส้นทางปากลาว-เขาต่อคลองพุมดวง-อ่าวบ้านดอน
5) เส้นทางคลองท่อม-คลองสินปุน-เวียงสระ-อ่าวบ้านดอน 6) เส้นทางสายตรัง-ยะรังหรือจากไทรบุรี-ผ่านปัตตานี และ
เส้นทางปะเหลียน-ข้ามช่องเขาบรรทัด-บางแก้ว ทะเลสาบสงขลา
จากการศึกษาร่องรอยทางโบราณคดี พบว่า จ.กระบี่ มีร่องรอยการเดินทางข้ามฝั่ง ได้แก่ 1) เส้นทางคลองปากลาวขึ้นไปทางนาเหนือ-เขาต่อ ลงคลองชะอุ่น ผ่านปากพนัง-คลองพุมดวง-พุนพิน ออกทะเลที่ปากพันคูหาอ่าวบ้านดอน (สายนี้จะไปตามคลองมะลุ่ยเขตต่อจังหวัดพังงาก็ได้ จะไปบรรจบทางเดียวกัน 2) เส้นทางคลองหินสุกปลายคลองไปต่อคลองหนุนไปออกคลองอีปันออกแม่น้ำหลวง (ตาปี) ที่บ้านย่านดินแดง ออกอ่าวบ้านดอน
3) เส้นทางคลองกระบี่น้อยขึ้นไปบรรจบกับคลองอีปันได้เหมือนกันแล้วออกแม่น้ำหลวง 4) เส้นทางคลองปกาไสออกคลองอีปัน หรือจะแยกจากปลายคลองไปพรุดินนา ลำทับ ทุ่งใหญ่ ออกแม่น้ำหลวงออกอ่าวบ้านดอนหรือแยกไปนครศรีธรรมราชก็ได้
5) เส้นทางเดินบกไปลำทับออกคลองสินปุน ออกแม่น้ำหลวงที่บ้านหนองปลาตาย แล้วล่องเรือผ่านพระแสง เวียงสระออกอ่าวบ้านดอน หรือแยกจากทุ่งใหญ่ไปนครศรีธรรมราชได้เหมือนกัน
สภาพทะเลกระบี่ เมื่อ 1,000 ปีก่อน เป็นที่ยอมรับกับสภาพทางภูมิศาสตร์แถบดินแดนทะเลใต้ว่าไม่ได้มีสภาพเช่นทุกวันนี้ ทะเลได้กินลึกเข้าไปในแผ่นดินใหญ่มาก ทั้งนี้ พิจารณาจากสภาพทางธรณีวิทยาที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ เช่น สภาพอ่าวไทยแต่เดิมอาจจะลึกขึ้นไปถึงบริเวณปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์
สภาพภูมิศาสตร์ของ จ.กระบี่ ถ้าสังเกตจะเห็นร่องรอยทะเลลึกเข้าไปมาก ภูเขาหินปูนที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ล้วนเคยอยู่ในทะเลทั้งสิ้นมีคนพบสมอเรือขนาดใหญ่เขาปราบปัจจุบันอยู่ห่างจากทะเลมาก
ร่องรอยหนองน้ำที่ชาวบ้านเรียกว่า "ลุ่มฝังยักษ์" สันนิษฐานว่าน่าจะมีซากเรือจมอยู่เพราะปรากฏว่าน้ำมีสีแดงคล้ายสนิมเรือ
หรือแม้แต่ที่ ต.คลองท่อม อ.คลองท่อม จ.กระบี่ แม้จะไม่มีใครพบร่องรอยการก่อสร้างอาคารโบราณสถานใหญ่โตเหมือนเมืองโบราณอื่นๆ แต่ทว่าพบหลักฐานต่างๆ มากมายที่แสดงว่าในอดีตเคยเป็นชุมชน
นักโบราณคดีระบุว่า "คลองท่อม" เป็นสถานีการค้า หรือเมือง "ตักโกลา" เป็นชื่อชุมชนโบราณบนทะเลตะวันตก บันทึกไว้ในจดหมายเหตุนายคลอดิอุส ปโตเลมี นักดาราศาสตร์และนักภูมิศาสตร์ชาวกรีก เมื่อราว พ.ศ.800
สันนิษฐานว่า เมืองตักโกลาทำหน้าที่เป็นประตูทางฝั่งทะเลตะวันตกที่เปิดไปสู่ทะเลฝั่งตะวันออกที่อ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี
ส่วนที่ตั้งแหล่งโบราณคดีคลองท่อมเหมาะจะเป็นที่ตั้งแหล่งอาศัยคือ สามารถติดต่อทางทะเลได้สะดวก โดยอาศัยลำคลองท่อมซึ่งสมัยก่อนคงลึกเข้าไปในแผ่นดินอีกมาก เรือขนาดใหญ่สามารถเข้าจอดพื่อขนถ่ายสินค้า สังเกตจากการขุดพบซากเรือหลายลำที่จม หลักฐานต่างๆ ที่ล้วนพบมีความเกี่ยวกันกับกรีก โรมัน อินเดีย อาหรับ จีน และไกลออกไปถึงอียิปต์
หลักฐานที่***สัดคลองท่อมเก็บรวบรวมไว้บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี อาทิ วัตถุที่ทำด้วยหิน เช่น เครื่องมือหิน หินดุ หินสลัก แม่พิมพ์ ตราประทับ ลูกปัดหิน ก้อนรัตนชาติ วัตถุทำด้วยแก้ว เช่น ลูกปัดแก้ว กำไล แก้วหล่อ แหวน เศษภาชนะ วัตถุที่ทำด้วยดินเผา อาทิ ภาชนะดินเผา ตะคันดินเผา แม่พิมพ์ลายประทับ วัตถุที่ทำด้วยสำริด เช่น แหวน กำไล ตุ้มหู รูปสัตว์ต่างๆ เหรียญรูปสัตว์ต่างๆ วัตถุที่ทำด้วยทอง เช่น ลูกปัดทองคำแท่งหรือแผ่นแหวนทองคำ
หลักฐานอีกส่วนหนึ่งที่บ่งบอกถึงความมั่งคั่งของชุมชนแห่งนี้ในอดีตที่นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า "คลองท่อม" เป็นตลาดการค้าเมื่อพิจารณาตามหลักฐานไม่ว่าจะเป็นการพบซากไม้กระดาน สมอเรือจมอยู่ในลำคลองหลายลำบ่งบอกว่าเป็นเรือสินค้า หรือการพบตราประทับหลายชิ้นบันทึกด้วยอักษรปัลลวะภาษาสันสฤกต คำนวณอายุระหว่าง พุทธศตวรรษที่ 10-12 ข้อความเกี่ยวข้องกับการค้า เมื่อเป็นท่าเทียบเรือหรือตลาดกลางแลกปลี่ยนน่าจะมีการตรวจตรา อนุญาต เก็บกักตุนสินค้าและการชำระภาษี
นักโบราณคดีระบุว่า นักเดินเรือจะตั้งทิศทางในแนวละติจูดที่ 7 อาศา หรือกว่าเล็กน้อย แต่ไม่เกินละติจูดที่ 8 องศา ซึ่งพิกัดดังกล่าวนี้จะอยู่ระหว่างตรังถึงพังงา เนื่องจากประสิทธิภาพของเรือสินค้าที่พัฒนาไม่เพียงพอที่จะเดินทางไกลมากได้ จึงจำเป็นต้องมีสถานีจอดพักเรือเพื่อซ่อมแซมหาเสบียงและน้ำจืด ซึ่งคลองท่อมอยู่ในพิกัดที่เหมาะสมเรื่องทิศทางลมมรสุมนั่นเอง
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2552
«
ตอบ #3 เมื่อ:
มีนาคม 20, 2009, 12:21:44 AM »
ข่าวสด
แผ่นดินไหวแปซิฟิกใต้ก่อสึนามิ 7.9 ริกเตอร์ ชาวบ้านตองกาเมินคำเตือน
ภาพ : ภูเขาไฟใต้ทะเลระเบิด
เอพีรายงานว่า เมื่อ 19 มี.ค. เกิดเหตุแผ่นดินไหวระดับรุนแรง 7.9 ริกเตอร์ ในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ห่างจากหมู่เกาะประเทศตองกา 200 กิโลเมตร สำนักงานธรณีวิทยาของสหรัฐอเมริกา ตรวจจับการก่อตัวของคลื่นยักษ์สึนามิ และทางศูนย์เตือนภัยสึนามิในฮาวายของสหรัฐ ได้แจ้งประกาศเตือนภัยไปยังหมู่เกาะต่างๆ เช่น ตองกา ซามัว แต่ชาวบ้านริมชายหาดที่ตองกายังไม่อพยพ ทั้งกล่าวตรงกับทางตำรวจว่า ยังไม่เห็นคลื่นลูกใหญ่แต่อย่างใด โดยบางคนหัวเราะกับคำเตือนนี้ ส่วนตำรวจไม่ได้ดำเนินมาตรการใดๆ เพิ่มเติม
ด้านประชาชนในเกาะฮาวายของสหรัฐ ได้รับคำแนะนำให้ออกห่างจากฝั่งเช่นกัน เพราะมีสัญญาณการเพิ่มระดับน้ำทะเล ที่อาจถูกคลื่นซัดในเวลาต่อมา
เหตุการณ์แผ่นดินไหวใกล้ตองกา เกิดขึ้นต่อเนื่องจากเหตุภูเขาไฟใต้ทะเลระเบิดในวันที่ 18 มี.ค. พ่นควันและขี้เถ้าทะลุผืนน้ำขึ้นไปถึงฟ้า แต่ไม่มีความเสียหายต่อประชาชนเกิดขึ้น นักธรณีวิทยาท้องถิ่น กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะตองกาตั้งอยู่ในแนววงแหวนไฟ ที่เป็นรอยต่อของเปลือกโลก เกิดแผ่นดินไหวอยู่บ่อยๆ
******************************************************************************************************************
อุทัยฯเฝ้าระวังล่าสัตว์-รุกป่า"ห้วยขาแข้ง"
อุทัยธานี - พ.ต.ท.สรานนท์ จันทร์สม ประธานกรรมการที่ปรึกษาของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง (กสป.) ถึงมาตรการเชิงรุกในการอนุรักษ์ผืนป่าห้วยขาแข้ง มรดกทางธรรมชาติของโลก ที่มีการกำหนดแผนงานหรือโครงการที่จะดำเนินการในปี 2552 ว่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งจะจัดตั้งเครือข่ายเฝ้าระวังภัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการอนุรักษ์ผืนป่าห้วยขาแข้งมรดกทางธรรมชาติของโลก อาทิ ภัยจากการลักลอบล่าสัตว์ ภัยจากไฟป่า ภัยจากการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ภัยจากการบุกรุกแผ้วถางป่า เป็นต้น โดยวิธีดำเนินการจะเน้นใช้การมีส่วนร่วมของประชาชนที่อาศัยและทำกินรอบแนวป่าห้วยขาแข้งด้านทิศตะวันออก ระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร เป็นกำลังหลัก โดยให้ประชาชนส่วนนี้ มีส่วนรับผิดชอบในการเป็นอาสาสมัครเฝ้าระวัง โดยจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังภัย บริเวณที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง มีเครือข่ายที่เป็นราษฎรอาสาสมัครประจำหมู่บ้านต่างๆ คอยแจ้งเหตุและความผิดปกติด้วยเครื่องมือสื่อสาร เช่น วิทยุสื่อสาร โทรศัพท์ โดยจะแจ้งเหตุเข้าไปยังศูนย์รับแจ้งเหตุที่จะตั้งขึ้น จากนั้นจะแจ้งผู้เกี่ยวข้องเข้าไปดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ เครือข่ายแจ้งเหตุที่จะตั้งขึ้นคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จเริ่มปฏิบัติงานได้ภายในเดือนเมษายนนี้
**************************************************************************************************************************
โลกร้อนหนักเกินคาด-หวั่นน้ำท่วมกลืนชายฝั่ง
ในการประชุมว่าด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดน มาร์ก คณะนักวิทยาศาสตร์เกือบ 2,000 คน รวมตัวเรียกร้องให้รัฐบาลประเทศต่างๆ เร่งหากลไกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน เนื่องจากผลกระทบจากปัญหาโลกร้อนนั้นจะเลวร้ายมากกว่าที่เคยคาดเอาไว้ และจะไม่สามารถทำให้สภาพอากาศโลกกลับคืนสู่ภาวะปกติได้อีก
ผลการศึกษาล่าสุดที่นำเสนอในที่ประชุมดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ภายในสิ้นศตวรรษนี้ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นราว 50 ซ.ม. ถึง 1 เมตร ส่งผลให้เมืองตามชายฝั่งทะเลถูกน้ำท่วม โดยเฉพาะประเทศยากจนจะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น
สำหรับมาตรการสำคัญประการหนึ่งในการลดและบรรเทาปัญหาโลกร้อนที่นักวิทยาศาสตร์เสนอแก่ภาครัฐ ได้แก่ ขอให้สนับสนุนการพัฒนายานยนต์ที่ใช้ พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนเพื่อลดการปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศ
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2552
«
ตอบ #4 เมื่อ:
มีนาคม 20, 2009, 12:24:36 AM »
คม ชัด ลึก
ยกเลิกเตือนสึนามิในแปซิฟิคหลังแผ่นดินไหว 7.9 ตองก้า
ศูนย์เตือนภัยสึนามิในมหาสมุทรแปซิฟิคแถลงว่า ได้สั่งยกเลิกประกาศเตือนภัยจากสึนามิ ในบรรดาหมู่เกาะแถบเซาท์แปซิฟิค ประกอบด้วยหมู่เกาะตองก้า , เกาะนีอูเอ,หมู่เกาะเคอร์มาเดค ,เกาะอเมริกันซามัว และฟิจิ ที่มีขึ้นหลังเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.9 ริคเตอร์ที่หมู่เกาะตองก้า เมื่อเวลาประมาณ 06.17 น.วันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 01.17 น. เช้ามืดวันนี้ตามเวลาในไทยแล้ว หลังจากตรวจไม่พบคลื่นขนาดยักษ์ภายในสองชั่วโมงหลังเกิดสึนามิแม้จะเกิดการก่อตัวของสึนามิที่อาจก่อให้เกิดหายนะภัยตามแนวชายฝั่งของภูมิภาคที่เป็นศูนย์กลางแผ่นดินไหวได้ โดยที่เกาะนีอูเอ ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นเพียง 4 เซ็นติเมตร
สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ หรือ USGS รายงานว่า แผ่นดินไหวรุนแรงครั้งนี้มีจุดศูนย์กลางห่างจากกรุงนูกู อะโรฟา เมืองหลวงของตองก้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้เฉียงไปทางใต้ 210 กิโลเมตร และเกิดที่ระดับความลึก10 กิโลเมตร สองชั่วโมงต่อมาก็เกิดอาฟเตอร์ช็อครุนแรงขนาด 5. 2 ริคเตอร์ ชาวกรุงนูกู อะโรฟาบอกว่าเกิดการสั่นสะเทือนอบย่างหนักประมาณ 1 นาที แต่ยังไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรงหรือผู้บาดเจ็บ และไฟฟ้ากับโทรศัพท์ยังใช้งานได้ตามปกติ นับเป็นแผ่นดินไหวล่าสุด เพราะช่วงนี้ เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้งแถวตองก้า กับเกิดการปะทุของภูเขาไฟใต้ทะเลที่นอกชายฝั่งเกาะตองก้าตาปู ซึ่งเป็นเกาะหลักด้วย แต่ไม่ถือเป็นภัยคุกคามสำหรับประชาชนแถบนั้น
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2552
«
ตอบ #5 เมื่อ:
มีนาคม 20, 2009, 12:27:21 AM »
สยามรัฐ
ทต.ตะกางเร่งปราบประมงใช้ยาเบื่อปูแสม
ตราด: นายอภิเดช บุญล้อม นายกเทศมนตรีตำบลตะกาง อ.เมือง จ.ตราด กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากกลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลน ต. ตะกางว่าขณะนี้มีกลุ่มชาวประมงกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาทำการจับปูแสมในพื้นที่ป่าชายเลน โดยใช้วิธีการวางยาเบื่อปูแสม ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นสารเคมีหรือน้ำยาชนิดใด ทางเทศบาลจึงได้นำนักวิชาการและเจ้าหน้า ที่ลงไปตรวจสอบ และพบว่า มีร่องรอยของซากปูแสมและตัวอ่อนของสัตว์น้ำหลายชนิดตายจำนวนมาก
มีความเป็นห่วงระบบนิเวศน์และสัตว์ที่อาศัยในบริเวณดังกล่าวว่าจะสูญพันธุ์ เนื่องจากน้ำยาที่ชาวบ้านนำมาใช้ จะมีฤทธิ์ตกค้างทำให้สัตว์น้ำเสียชีวิต ด้วยเหตุนี้ จึงได้ประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่ประมง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันจับกุมชาวประมงกลุ่มนี้มาดำเนินคดี เพราะหากไม่รีบดำเนินการสัตว์น้ำทะเลเหล่านี้อาจ จะสูญพันธุ์ได้นายกเทศมนตรีตำบลตะกาง กล่าว
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 4627
Re: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2552
«
ตอบ #6 เมื่อ:
มีนาคม 20, 2009, 12:32:57 AM »
สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
จ.ตราด จับมือ อทช.หมู่เกาะช้าง จัดโครงการคืนชีวิตสู่ธรรมชาติท้องทะเลตราด
จ.ตราด ร่วมกับ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง จัดโครงการคืนชีวิตสู่ธรรมชาติท้องทะเลตราด เพื่อเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์อย่างยั่งยืนให้กับท้องทะเลตราด
เมื่่อวันที่17 มี.ค.52 บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ กช. 5 (เกาะรัง) นายนพดล ศรีสุข ปลัดจังหวัดตราด พร้อมด้วยนายเฉลิม กลิ่นนิ่มนวล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ร่วมกันเปิดโครงการคืนชีวิตสู่ธรรมชาติท้องทะเลตราด ซึ่งจังหวัดตราดร่วมกับอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง สำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์เขต 2 (ศรีราชา) ร่วมกันจัดขึ้น เพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ สร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศน์บริเวณแนวปะการัง ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์อย่างยั่งยืนให้กับท้องทะเลตราด โดยนำประชาชนชาวเกาะช้าง และเกาะด เข้าร่วมกิจกรรมด้วยการนำปลาการ์ตูนจำนวนหลายร้อยตัว และปลาเก๋าจำนวนมากปล่อยลงทะเลบริเวณหน้าเกาะรัง
ทั้งนี้ ปัจจุบันมักมีผู้ลักลอบจับปลาทะเลตามธรรมชาติเข้าสู่ตลาดปลาสวยงาม โดยเฉพาะปลาการ์ตูนซึ่งเป็นที่นิยมของตลาด นอกจากส่งผลต่อการลดจำนวนปลาตามธรรมชาติแล้ว ยังเป็นการส่งผลเสียต่อระบบนิเวศน์ทางทะเล ประกอบกับปลาการ์ตูนตามธรรมชาติที่นำไปเลี้ยงในตู้ส่วนใหญ่จะตายเพราะไม่สามารถปรับตัวกับสภาพในตู้กระจกได้และไม่กินอาหารสำเร็จรูป จึงขอให้ประชาชนงดการซื้อปลาการ์ตูนมาเลี้ยงเป็นปลาสวยงามในบ้าน
บันทึกการเข้า
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
หมวดหมู่ทั่วไป
-----------------------------
=> ห้องรับแขก
=> กิจกรรมและผลงาน
=> เรื่องเล่าชาวทะเล
=> ท่องเที่ยวทั่วแผ่นดิน
=> คุยเฟื่องเรื่องดำน้ำ
=> หลังเลนส์
=> สรรพชีวิตแห่งท้องทะเล
=> คลังกระทู้เก่า
กำลังโหลด...