กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤษภาคม 01, 2024, 01:21:30 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม 2552  (อ่าน 3529 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: มีนาคม 21, 2009, 01:08:24 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

คลื่นกระแสลมตะวันตกที่พาดผ่านประเทศไทยตอนบนเริ่มมีกำลังอ่อนลงและลมตะวันออกเฉียงใต้จะพัดเข้ามาปกคลุมแทน ส่งผลให้บริเวณดังกล่าวยังมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ต่อไปอีก 1-2 วันนี้ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากลมกระโชกแรงในระยะนี้ไว้ด้วย
 
 
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศา ลมใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้จะพัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทย ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนองได้ในบางพื้นที่ในตอนบ่ายและค่ำ ส่วนในช่วงวันที่ 24-27 มี.ค. จะมีคลื่นกระแสลมตะวันตกเคลื่อนเข้าสู่ภาคเหนือ ประกอบกับจะมีบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองกับลมกระโชกแรง และอาจมีลูกเห็บตกบางพื้นที่


ข้อควรระวัง

 ในช่วงวันที่ 24-26 มี.ค. บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้น ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือระมัดระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนองที่เพิ่มขึ้น และลมกระโชกแรงกับลูกเห็บที่อาจตกได้ในระยะนี้



* Forecast2.jpg (38.62 KB, 684x423 - ดู 400 ครั้ง.)

* Earthquake.jpg (39.04 KB, 450x501 - ดู 407 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 21, 2009, 01:19:49 AM »

ไทยรัฐ


ตะวันรอนที่ “เกาะหลีเป๊ะ” อันดามัน...กำสรวล!                    :                    โลกหลากวิถี



“หลีเป๊ะ”

พีอาร์สาวสวยของ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โทรศัพท์แจ้งว่า คุณหมอพิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา จะพาสื่อมวลชนไปดูงานการคุ้มครองผู้บริโภคและเยี่ยมชมโครงการ อย.น้อยใน จ.สตูล หลังจากนั้นจะพาไปล่องอันดามันและพักค้างคืนที่ “เกาะหลีเป๊ะ”

คณะนัดพบกันที่สนามบินดอนเมืองตั้งแต่ตีห้า สายการบินไทยเที่ยวบินที่ TG 1231 พาเราไปถึงหาดใหญ่ราว 7 โมงครึ่ง จากนั้นพวกเราก็นั่งรถบัสปรับอากาศคันใหญ่มุ่งหน้าสู่จังหวัดสตูล

ระหว่างทางคณะผู้บริหารของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา แวะเยี่ยมชมกิจกรรม อย.น้อย ของโรงเรียนสตูลวิทยา ซึ่งได้รับรางวัล อย.น้อยดีเด่นระดับจังหวัดถึง 2 ปีซ้อน

สตูล จังหวัดเล็กๆ ห่างจากกรุงเทพฯ 973 กิโลเมตร มีรอยต่อเชื่อมกับจังหวัดสงขลา พัทลุง ตรัง ขณะ ที่ด้านใต้และด้านตะวันออกติดกับรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย ส่วนด้านตะวันตกติดกับทะเลอันดามัน แต่ ผู้คนส่วนใหญ่มักรู้จักสตูลจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของการกักขังนักโทษบนเกาะตะรุเตา และตำนานโจรสลัดในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มากกว่า

หลังอิ่มท้องกับอาหารพื้นเมืองรสเด็ดที่ทาง อย.เลือกสรรเพื่อความปลอดภัยเป็นพิเศษแล้ว คณะซึ่งประกอบด้วยผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ของ อย.และสื่อมวลชนกว่า 70 ชีวิต ก็เดินทางสู่ท่าเรือปากบารา ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 4052

ถึง ท่าเรือปากบารา ราวบ่ายโมงเศษๆ แต่กว่าจะขนสัมภาระของคนกว่า 70 คน พร้อมเสบียงที่พวกเราจะต้องไปติดเกาะถึงสองวันลงเรือเฟอร์รี่ ติดเครื่องยนต์สปีตโบ๊ตเสร็จก็ปาเข้าไปบ่ายสองโมง

ชั่วโมงกว่าๆบนเรือ เราก็มาถึงอุทยานแห่งชาติเกาะตะรุเตา ซึ่งระหว่างทาง คุณหมอสำรวม ด่านประชันกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสตูล กรุณาอธิบายถึงความเป็นมาของอุทยานแห่งชาติเกาะตะรุเตาให้ฟัง หลับๆตื่นๆ ฟังจับ ใจความได้ว่า เดิมทีเดียวเกาะนี้เป็นที่คุมขังนักโทษ กลางทะเล ถึงขนาดที่มีคนขนานนามว่า อัลคาทาซ เมืองไทย ต่อมาทั้งนักโทษและผู้คุมขาดแคลนอาหารและน้ำอย่างหนัก เลยจับมือกันกลายเป็นโจรสลัดที่น่าเกรงขาม ออกปล้นฆ่าเรือที่ผ่านมาในบริเวณนี้เพื่อยังชีพ จนเป็นที่เลื่องลือถึงความโหดเหี้ยม จำได้ว่าเคยมีคนนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง นรกตะรุเตา หรืออะไรประมาณนี้ จนในที่สุดรัฐบาลไทยต้องขอความร่วมมือจากกองทัพอังกฤษในสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 เข้าปราบปรามโจร สลัดกลุ่มนี้ กระทั่งในปี 2515 จึงมีการยกระดับเกาะตะรุเตาขึ้นเป็นอุทยานแห่งชาติตะรุเตาจนทุกวันนี้

อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ประกอบด้วยเกาะต่างๆถึง 51 เกาะ ในทะเลอันดามันตอนล่าง บริเวณรอยต่อระหว่างไทยและมาเลเซีย เกาะใหญ่ที่สุดคือ เกาะตะรุเตา เกาะไข่ ซึ่งจะอยู่ใกล้แผ่นดินใหญ่มากกว่า



ส่วนเกาะหลีเป๊ะ อยู่ในกลุ่มของหมู่เกาะอาดัง-ราวี ซึ่งประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่ เช่น เกาะหลีเป๊ะ เกาะอาดัง เกาะราวี และเกาะดง เกาะที่ใหญ่ที่สุดคือ เกาะอาดังและเกาะราวี

ใช้เวลาแบบฉุกละหุกทัวร์ ทั้งถ่ายรูป เดินเล่น และ สักการะเจ้าพ่อตะรุเตา บนเกาะตะรุเตาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ต้องรีบออกเดินทางก่อนที่น้ำจะลงจนเรือไม่สามารถออกจากท่าได้ และเพื่อให้ไปถึงเกาะหลีเป๊ะก่อนค่ำ

หลังจากเล่นเกมซ่อนตาดำบนเรือนานกว่า 2 ชั่วโมง เราก็มาถึงจุดหมายปลายทางคือ เกาะหลีเป๊ะ ซึ่งที่นี่เราจำเป็นต้องใช้เรือประมงลำเล็กขนถ่ายสัม ภาระและคนเข้าไปยังเกาะ ซึ่งกว่าจะขนสัมภาระเข้าที่พัก    อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ พระอาทิตย์ก็ตกดินพอดี

แม้น้ำทะเลที่เกาะหลีเป๊ะจะยังคงความงดงาม มีเสน่ห์ตามแบบฉบับของทะเลอันดามัน แต่ในความ รู้สึกลึกๆแล้ว บอกตามตรงว่า ค่อนข้างผิดหวังกับบรรยากาศและธรรมชาติที่กำลังจะเปลี่ยนไปของเกาะสวรรค์ ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นมัลดีฟส์ เมืองไทยแห่งนี้

ร้านขายของชำ ร้านอาหาร ผับ บาร์ ตลอดจนร้านรับสัก (Tatto) ที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ดบนเกาะ ไปจนถึงการมีถนนคนเดิน กำลังกลืนกินธรรมชาติบนเกาะหลีเป๊ะ รวมถึงวิถีวัฒนธรรมของชาวอูรักลาโว้ย  ชาวทะเลพื้นถิ่น ซึ่งเป็นเจ้าของเกาะตัวจริง

ไม่ใช่คนบนฝั่งที่แห่แหนกันเข้ามายึดพื้นที่ เมื่อที่ดินบนเกาะแห่งนี้สามารถออกโฉนดได้ คนบนเกาะเริ่มพูดกับคนไทยไม่รู้เรื่อง



เพราะส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจจากที่อื่นเข้ามาทำมาหากิน และมักให้ความสำคัญกับชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย

ในอนาคต หากภาครัฐไม่มีการจัดการที่ดีพอ หลีเป๊ะก็จะมีสภาพไม่ต่างจากเกาะเสม็ด หรือเกาะสมุย ที่มีทั้งปัญหาขยะ สิ่งแวดล้อม อาชญา-กรรมและยาเสพติด

ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น หลีเป๊ะก็คงเป็นแค่ตำนาน หรือไม่ก็ทางผ่านแวะพัก เพื่อไปดำน้ำยังเกาะอื่นๆในหมู่เกาะอาดังราวี เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องนั่งเรือมาไกลถึง 3-4 ชั่วโมง เพื่อมาเที่ยวเกาะที่ไม่มีธรรมชาติอันงดงามทั้งผู้คนและสถานที่อีกต่อไป


วันรุ่งขึ้น ตามโปรแกรมทัวร์ หลังจากเยี่ยมชม โรงเรียนบ้านเกาะอาดัง ซึ่งเป็นโรงเรียนในพระ อุปถัมภ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารี และทำบุญทอดผ้าป่าบนสำนักสงฆ์ที่เกาะหลีเป๊ะแล้ว คณะก็ออกเดินทางสู่ทะเลเพื่อดำน้ำดูปะการัง ที่ เกาะรอก เกาะหินงาม และ เกาะราวี

 

เสน่ห์ของการดำน้ำที่นี่คือ การดูปะการังซึ่งส่วนใหญ่เป็นปะการังน้ำตื้น ประเภท ปะการังสมอง ปะการังถ้วย ปะการังเขากวางพุ่ม ดอกไม้ทะเล และ ต้นกัลปังหา ส่วนสัตว์น้ำที่เห็นมากๆก็คือ หอยมือเสือ ปลานกแก้ว ปลานีโม่ ปลาเสือ และ ปลาสลิดทะเล

ไฮไลต์ของการเที่ยวเกาะวันนี้ เห็นจะเป็นการดำน้ำดูปะการัง 7 สี ที่ร่องน้ำจาบัง ซึ่งต้องบอกว่าน้ำแรงมาก คนเรือจึงให้พวกเราไต่เชือก เพื่อดำสน็อกเกิ้ลทีละคน ซึ่งดูยังไงก็เห็นแค่ 5 สี อาจจะเป็นเพราะน้ำขุ่นและเราไม่ได้มีโอกาสใช้เวลานานที่นี่ และการอธิษฐานเรียงหินบนเกาะหินงาม ซึ่งทุกคนพยายามเรียงหินให้ได้มากที่สุดสูงที่สุด

กลับจากดำน้ำ เรามีปาร์ตี้เล็กๆกันหน้าหาด ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอนเพราะเหนื่อยล้ากับการดำน้ำมาทั้งวัน ขากลับขึ้นฝั่งแวะชมความงดงามของเกาะไข่ ที่มีซุ้มหินธรรมชาติ ซึ่งคุณหมอสำรวม (สสจ.สตูล) บอกว่า ถ้าใครที่เป็นคู่รักกันมาลอดซุ้มนี้จะรักกันมากขึ้น ใครที่เป็นแฟนกันถ้าอธิษฐานลอดซุ้มก็จะได้แต่งงานกัน งานนี้บรรดาผู้บริหาร อย.หลายคนที่อายุเลยเลข 5 แต่ยังเป็นสาวโสด ไม่กล้าลอด เพราะกลัวจะได้แต่งงานเข้าจริงๆ (แหม! ก็อุตส่าห์ครองความเป็นสาวเป็นโสดมาซะขนาดนี้แล้ว)

 

ทัวร์หลีเป๊ะเที่ยวนี้สนุก! แต่ก็อย่างที่บอก อดเป็นห่วงเกาะหลีเป๊ะ ไม่ได้ กลัวเหลือเกินว่าอีกปีหรือสองปีกลับมา เราจะไม่ได้เห็นหลีเป๊ะแบบ ที่เป็นธรรมชาติ เหมือนที่นักท่องเที่ยวหลายคนรู้สึกกับการเสียเมืองปาย ไปแล้วในช่วงสองสามปีนี้

และถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เห็นทีทะเลอันดามัน...คงต้องร้องไห้ อาลัยเกาะหลีเป๊ะแน่ๆ!



*****************************************************************************************************************************


เรือรบมะกันประสบอุบัติเหตุชนกันกลางทะเล
 
สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน วานนี้ (21 มี.ค.) เรือสองลำของกองทัพเรือสหรัฐฯ ประสบอุบัติเหตุชนกันกลางทะเลในช่องแคบฮอร์มุซใกล้กับอิหร่าน ส่งผลให้ลูกเรือได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 15 นาย

รายงานดังกล่าวระบุว่า เรือที่ประสบอุบัติเหตุชนกันเป็นเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ยูเอสเอส ฮาร์ตฟอร์ด กับเรือยูเอสเอส นิวออร์ลีนส์ ซึ่งเป็นเรือสะเทินน้ำสะเทินบก ซึ่งเฉี่ยวชนกันเมื่อช่วงเช้ามืดวานนี้ ตามเวลาท้องถิ่น ในช่องแคบฮอร์มุซกั้นระหว่างอิหร่านกับคาบสมุทรอาระเบีย ส่งผลให้ลูกเรือบนเรือยูเอสเอส ฮาร์ตฟอร์ด ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 15 นาย แต่สามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่บนเรือได้ตามปกติ

ทั้งนี้ ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บบนเรือยูเอสเอส นิวออร์ลีนส์ แต่มีรายงานว่าเรือทั้งสองลำได้รับความเสียหายบางส่วน โดยเฉพาะเรือยูเอสเอส นิวออร์ลีนส์ ซึ่งได้รับความเสียหายที่ถังเชื้อเพลิง ส่งผลให้น้ำมันดีเซลกว่า 90,000 ลิตรรั่วไหลลงทะเล สำหรับสาเหตุที่ทำให้เรือทั้งสองลำชนกันอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 21, 2009, 01:29:22 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


กรมประมงไม่ยอมลดเขตปิดอ่าวอนุรักษ์สัตว์น้ำ-หวั่นกระทบต่อการเติบโตของสัตว์น้ำวัยอ่อน
 
       ชุมพร - กรมประมงไม่อนุญาตลดระยะแนวเขตการปิดอ่าวอนุรักษ์สัตว์น้ำตามที่กลุ่มชาวประมงร้องขอ จาก 60 ไมล์ทะเล ให้คงเหลือ 45 ไมล์ทะเล หวั่นกระทบต่อการเจริญเติบโตของลูกสัตว์น้ำวัยอ่อน
       
       นายสุพจน์ จึงแย้มปิ่น ประมงจังหวัดชุมพร เปิดเผยว่า ด้วยมีกลุ่มชาวประมงจังหวัดสุราษฎร์ธานี สมุทรสาคร และชุมพร เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เพื่อขอร่นระยะแนวเขตการประกาศปิดอ่าว เนื่องจากได้รับความเดือดร้อน และได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดอ่าว โดยขอให้จังหวัดได้พิจารณาให้ความช่วยเหลือโดยการร่นแนวเขตห้ามทำการประมงจากเดิมในระยะ 60 ไมล์ทะเล ให้คงเหลือ 45 ไมล์ทะเล
       
       นายสุพจน์ เปิดเผยด้วยว่า จากปัญหาและข้อเรียกร้องดังกล่าว ทางจังหวัดได้แจ้งให้กรมประมง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาในเรื่องดังกล่าว ผลปรากฏว่า ไม่สามารถผ่อนผันให้ตามที่กลุ่มประมงร้องขอได้
       
       ทั้งนี้ เนื่องจากพื้นที่ที่ห้ามทำการประมงตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกาศปิดอ่าวเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 15 กุมภาพันธ์-15 พฤษภาคม ของทุกปี ในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และ สุราษฎร์ธานี เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่แหล่งวางไข่ และเลี้ยงตัวอ่อนของสัตว์น้ำหมายชนิด ทั้งปลาผิวน้ำ ปลาหน้าดิน
       
       ประกอบกับเป็นพื้นที่ที่มีลูกปลาวัยอ่อนของปลาทู-ลัง ปลาสีกุน ปลาหางแข็ง และสัตว์น้ำวัยอ่อนหลายชนิด ซึ่งหากมีการลดพื้นที่ตามที่ชาวประมงร้องขอ จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของลูกสัตว์น้ำวัยอ่อน ทำให้ปริมาณทรัพยากรสัตว์น้ำลดลง อันจะส่งผลกระทบต่อชาวประมงได้ในระยะยาวได้



******************************************************************************************************************************


จีนเตรียมใช้เรือปลดระวาง ลาดตระเวนเพื่อการประมง


ภาพกราฟฟิกจากสำนักข่าวเอเอฟพีซึ่งแสดงที่ตั้งของเกาะสแปรตลีย์ที่อยู่ในทะเลจีนใต้

      เอเจนซี่ – จีนเตรียมนำเรือปลดระวางจากกองทัพเรือออกลาดตระเวนเพื่อการประมง หวังขยายอิทธิพลในทะเลจีนใต้ ขณะที่ผู้บัญชาการกองเรือสหรัฐฯ โจมตี จีนมีพฤติกรรมก้าวร้าวและทำตัวมีปัญหา
       
       ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของรัฐบาลจีน ไชน่า เดลี่ รายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (19 มีนาคม) โดยอ้าง นายอู๋ จ้วง ผู้อำนวยการกรมประมงของจีน ที่ระบุว่า รัฐบาลจีนจะใช้ประโยชน์จากเรือปลดระวางของกองทัพเรือให้คุ้มค่าที่สุด โดยนำเรือเหล่านี้ออกลาดตระเวนเพื่อการประมง แต่ได้ระบุว่าเรือเหล่านี้จะมีการติดอาวุธหรือไม่
       
       รายงานข่าวจากไชน่า เดลี่ ได้อ้างคำพูดของนายหวูด้วยว่า “การเผชิญหน้ากับเรืองประมงผิดกฎหมายที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งการที่มีหลายๆ ประเทศอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีน ทำให้จีนจำเป็นต้องเพิ่มเรือลาดตระเวนเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของประเทศ”
       
       อย่างไรก็ดี ในวันศุกร์ (20 มี.ค.) หนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ ได้รายงานเพิ่มเติมโดยอ้างแหล่งข่าวจากกองทัพเรือ ว่าผู้บัญชาการระดับสูงของกองทัพเรือจีนไม่มีแผนที่จะเพิ่มกำลังทหารในทะเลจีนใต้ หลังจากที่เกิดเหตุการเผชิญหน้าระหว่างเรือสำรวจของสหรัฐฯ และเรือของจีนเมื่อต้นเดือนมีนาคม แต่รายงานดังกล่าวก็ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม
       
       รายงานข่าวจากไชน่า เดลี่ เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์หลังจากเรือของจีนได้เผชิญหน้ากับเรือสำรวจอิมเพคเคเบิ้ล (Impeccable) ของสหรัฐฯ โดยทางการจีนระบุว่าเรือสำรวจลำดังกล่าวได้รุกล้ำน่านน้ำของจีน
       
       แม้ว่าทางการจีนได้พยายามลดการตอบโต้ด้วยวาจากับสหรัฐฯ แต่ผู้บัญชาการกองเรือสหรัฐฯ ในมหาสมุทรแปซิฟิค พล.ร.อ.ทิโมธี คีธติ้ง ได้กล่าวรายงานต่อวุฒิสมาชิกเมื่อวันพฤหัสบดี (19 มี.ค.) โดยระบุว่า จีนมีพฤติกรรมก้าวร้าวและเป็นตัวปัญหา และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรือ Impeccable ยังแสดงให้เห็นว่าจีนยังไม่พร้อมจะประพฤติตัวตามแบบอย่างที่ชาวโลกยอมรับกัน”
       
       ขณะที่ นายแซม เบทแมน จากมหาวิทยาลัยนานยางเทคโนโลยีในสิงคโปร์ เห็นว่า การที่จีนใช้เรือลาดตระเวนเพื่อการประมงแทนที่จะเป็นเรือรบทางทหาร แสดงให้เห็นว่าจีนไม่ต้องการเผชิญหน้าโดยตรงกับสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ที่อ้างกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะยุทธศาสตร์ในทะเลจีนใต้ที่ร่ำรวยไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ
       
       “นี่น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าจีนไม่ต้องการกระตุ้นให้เกิดการปะทะกัน แต่หากส่งเรือรบออกไปก็จะทำให้เกิดการปะทะกันทันที” นายเบทแมน ระบุ

  
ภาพถ่ายของกองทัพอากาศฟิลิปปินส์แสดงให้เห็นการก่อสร้างของจีนบน Mischief Reef ที่อยู่ในหมู่เกาะสแปรตลีย์ในทะเลจีนใต้ โดยเมื่อวันจันทร์ (16 มีนาคม) ทางจีนได้ออกมายืนยันว่า การส่งเรือไปลาดตระเวนในหมู่เกาะสแปรตลีย์ ไม่ถือว่าขัดต่อข้อตกลงร่วมกันที่จะรักษาสันติภาพในหมู่เกาะแห่งความขัดแย้งแห่งนี้-เอเอฟพี    
 
       ทะเลจีนใต้ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะเป็นเส้นทางที่ตัดผ่านระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิค กับมหาสมุทรอินเดีย และยังสามารถใช้เป็นเส้นทางไปสู่ช่องแคบมะละกา ดังนั้น ทะเลจีนใต้จึงถือเป็นเส้นทางเดินเรือที่หนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่ง และกว่าครึ่งหนึ่งของเรือขนส่งน้ำมันใช้เส้นทางนี้เดินทางไปสู่จุดต่างๆ ของโลก
       
       ช่วงต้นสัปดาห์นี้ จีนได้ส่งเรืออี่ว์เจิ้ง (Yuzheng 311) ซึ่งเป็นเรือลาดตระเวนทางประมงลำใหญ่ที่สุดออกไปลาดตระเวนรอบๆ หมู่เกาะสแปรตลีย์ ที่ถือเป็นแหล่งประมงที่สำคัญ และยังเชื่อกันว่าหมู่เกาะนี้ร่ำรวยไปด้วยทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
       
       “เราได้กล่าวย้ำถึงสถานะของจีนในทะเลจีนใต้มาหลายครั้งแล้ว ว่าเรามีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนนี้โดยไม่อาจโต้แย้งได้ และรัฐบาลจีนก็พิสูจน์ให้เห็นด้วยการแสดงสิทธิเหนือดินแดนนี้” นั่นคือคำยืนยันจากนายฉิน กังโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน
       
       เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้ออกกฎหมายที่อ้างสิทธิเหนือพื้นที่บางส่วนในหมู่เกาะ สแปรตลีย์ และหาด Scarborough Shoal และเมื่อวันที่ 5 มีนาคม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียก็ได้เดินทางไปแนวหินปะการัง Swallow Reef และ Ardasier Reef ในหมู่เกาะสแปรตลีย์ เพื่อยืนยันว่ามาเลเซียมีสิทธิเหนือดืนแดนทั้ง 2 แห่งนี้
       
       ด้านเจ้าหน้าที่จากไต้หวัน กล่าวว่า การที่ฟิลิปปินส์ผ่านกฎหมายเกี่ยวกับหมู่เกาะที่ยังเต็มไปด้วยข้อขัดแย้งนี้ ถือเป็นการดำเนินวิธีการทูตที่ไม่ฉลาดนัก ส่วนพฤติกรรมของจีนนั้น เจ้าหน้าที่รายนี้มองว่า จีนจะแสดงเจตนารมย์ไปในทางที่ก้าวร้าวมากขึ้น
       
       ขณะที่ ทางการเวียดนามกล่าวว่า เวียดนามได้จับตาดูความเคลื่อนไหวของเรือลาดตระเวน Yuzheng 311 อยู่
       
       ครั้งสุดท้ายที่กองทัพเรือจีนได้ทำสงครามในทะเลจีนใต้คือในปี พ.ศ. 2539 เมื่อเรือของจีน 3 ลำได้ยิงตอบโต้กับเรือปืนของฟิลิปปินส์เป็นเวลาสั้นๆ และสองปีหลังจากนั้นกองทัพเรือของฟิลิปปินส์ก็ได้จับกุมลูกเรือประมงชาวจีนในที่หาด Scarborough Shoal

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 21, 2009, 01:48:41 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 21, 2009, 01:32:34 AM »

มติชน


แหล่งน้ำผลิตประปาระยองเน่า รง.เอทานอลปล่อยทิ้ง

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม นายสุรพล แสวงศักดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง พร้อมนายบัณฑิต ธงศรีเจริญ อุตสาหรรมจังหวัดระยอง เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดระยอง และเจ้าหน้าที่สำนักงานประปาระยอง ตรวจสอบสภาพน้ำในคลองใหญ่ ที่เป็นแหล่งน้ำดิบผลิตน้ำประปา หลังรับแจ้งว่า มีการลักลอบปล่อยน้ำเสีย เบื้องต้น พบว่าสภาพน้ำในคลองใหญ่เกือบตลอดสายระยะทางนับสิบกิโลเมตร รวมถึงคลองซอยส่งน้ำต่างๆ มีสภาพเน่าเหม็นเป็นสีดำสัตว์น้ำทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา ตายเกลื่อนลำคลอง ทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่แจ้งความกับตำรวจไว้แล้ว

นายไพฑูรย์ อรชร ผู้จัดการประปาระยอง กล่าวว่า เหตุดังกล่าวส่งผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำประปา เนื่องจากเป็นแหล่งน้ำดิบสำหรับผลิตทำน้ำประปา การแก้ปัญหาเบื้องต้นได้ประสานโครงการชลประทานระยอง ให้ปล่อยน้ำดิบจากอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลลงมาไล่น้ำเสียในคลองใหญ่เพื่อให้เจือจางแล้ว พร้อมปล่อยน้ำเข้าเครื่องกรองน้ำให้ช้าลง และเติมปริมาณคลอรีนมากขึ้น เพื่อฆ่าเชื้อโรคและกำจัดกลิ่นเหม็น

วันเดียวกัน นายวีระชัย ปิยะ นายอำเภอบ้านค่าย พร้อมตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินเท้าตรวจตามริมคลอง พบโรงงานสยาม เอทานอล จำกัด ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 8 ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย ต่อท่อน้ำเสียออกด้านข้างโรงงานลงคลองบริเวณด้านหลังวัดละหารไร่โดยไม่ได้รับอนุญาต จึงแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เอาผิดกับโรงงานดังกล่าว

นายวีระชัยกล่าวว่า เบื้องต้นน่าจะเป็นโรงงานดังกล่าวฯที่ปล่อยน้ำเสียลงด้านหลังวัดละหารไร่ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเก็บตัวอย่างน้ำทั้ง 2 จุดไปตรวจสอบ หากพบว่าเป็นสารชนิดเดียวกัน จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเอาผิดโรงงานดังกล่าว 

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 21, 2009, 01:36:21 AM »

ข่าวสด


ตราดแฉยาเบื่อจับปูแสมทั่วป่าชายเลน พบสัตว์ทะเลวัยอ่อนตายอื้อ-หวั่นกระทบระบบนิเวศ

ตราด - นายอภิเดช บุญล้อม นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลตะกาง อ.เมือง จ.ตราด เปิดเผยถึงการลักลอบทำลายสิ่งแวดล้อมในจังหวัด โดยมีการพบสัตว์ทะเลวัยอ่อนตายเป็นจำนวนมาก หวั่นกระทบระบบนิเวศป่าชายเลนตะกาง ว่า ได้รับแจ้งจากกลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลน ต.ตะกางว่าขณะนี้มีกลุ่มชาวประมงกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาจับปูแสมในพื้นที่ป่าชายเลน ต.ตะกาง โดยใช้วิธีการเบื่อปูแสม ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นสารเคมีหรือน้ำยาชนิดใด ซึ่งทางเทศบาลตำบลตะกาง จึงได้นำนักวิชาการและเจ้าหน้าที่เทศบาลลงไปตรวจสอบในพื้นที่ป่าชายเลนพบว่า มีร่องรอยของซากปูแสมและสัตว์น้ำวัยอ่อนขนาดเล็กตายอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งพื้นที่จับปูแสมจะอยู่ในพื้นที่ป่าชายเลนที่มีความอุดมสมบูรณ์ ปัญหานี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงต่อป่าชายเลนและสัตว์น้ำวัยอ่อนที่ถูกฆ่าโดยไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้

"ผมเป็นห่วงระบบนิเวศใน ต.ตะกาง จะสูญเสีย และเสียหายไปมากกว่านี้ เพราะการใช้น้ำยาเบื่อที่ไม่รู้ว่าเป็นสารเคมีประเภทใดมีฤทธิ์ตกค้างอยู่ในพื้นที่เบื่อยาหรือไม่ และจะมีผลต่อป่าชายเลนหรือสัตว์น้ำวัยอ่อนนานแค่ไหน แน่นอนมันไม่เป็นผลดี เพราะสัตว์น้ำขนาดเล็กต้องตายทั้งหมด รวมทั้งปูแสมที่ไม่ได้ขนาดด้วย ผมห่วงว่าในอนาคตสัตว์ทะเลวัยอ่อนในป่าชายเลนตะกางจะหมดไป หากยังพบว่ากลุ่มประมงเหล่านี้เข้ามาใช้ยาเบื่อจับปูแสมอยู่" นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลตะกางกล่าว

นายอภิเดช บุญล้อม นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลตะกาง ยังกล่าวถึงแนวทางการป้องกันและปราบปรามการลักลอบทำลายระบบนิเวศดังกล่าว ว่า เทศบาลตำบลตะกางได้ประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่ประมง และเจ้าหน้าที่ทรัพยากรชายฝั่ง เพื่อร่วมกันจับกุมชาวประมงกลุ่มนี้เพื่อจับกุมมาดำเนินคดี เพราะหากไม่รีบดำเนินการสัตว์น้ำทะเลวัยอ่อนของ ต.ตะกาง และพื้นที่อื่นจะได้รับผลกระทบจากปัญหาเช่นนี้ รวมทั้งปูแสมที่จับได้และนำไปขายในตลาดสดเทศบาลหรือตลาดอื่นๆ จะได้รับผลกระทบจากสารเคมีหรือยาเบื่อปูแสมที่ตกค้างในปูแสมก็ได้

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: มีนาคม 21, 2009, 01:46:55 AM »

สำนักข่าว INN


เรือขนสินค้าอับปางทะเลตรังสูญกว่า 20 ลบ.  

เกิดเหตุเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์อับปาง มูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานเกิดจากคนขับเรือไม่ชำนาญเส้นทาง

ตู้คอนเทนเนอร์ กว่า 30 ตู้ ลอยเกลื่อนทะเลทะเลบริเวณหน้าประภาคารเกาะนก ต.นาเกลือ อ.กันตัง จ.ตรัง หลังเกิดเหตุ เรือบรรทุกขนาดใหญ่ซึ่ง บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 80 ตู้ น้ำหนักประมาณ 2000 ตันชนหินโสโครกอับปางกลางทะเล จากการสอบสวน ทราบว่า เรือสินค้ากำลังนำตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งภายในบรรจุยางพาราอัดแท่ง และไม้ยางพารา มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ของ บ.อันดามัน เวิร์ล ไวด์ ชิบปิ้ง จำกัดไปยังประเทศจีน สวีเดน สเปน มาเลเซีย และประเทศแถบยุโรป ขณะออกจากท่าเทียบเรือต่างประเทศ อ.กันตรัง  จ.ตรัง ประมาณ 1 ชั่วโมง เรือบรรทุกสินค้า ได้ชนหินโสโครก เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานเกิดจากคนขับเรือไม่ชำนาญเส้นทาง

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
Birdie ที่ไม่ใช่กาแฟ
อีกไม่กี่กระทู้ก็ได้5ดาวแล้วเร่งมือหน่อย
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 295



« ตอบ #6 เมื่อ: มีนาคม 21, 2009, 02:11:03 AM »

วันนี้มีแต่ข่าวเศร้า ๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ ที่จะน่าชื่นใจอย่างเดียวก็คือ การไม่ยอมผ่อนผันตามคำขอของชาวประมงที่จะร่นเขตห้ามทำการประมง ในเขตประจวบฯ ชุมพร และ สุราษฏร์
บันทึกการเข้า
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #7 เมื่อ: มีนาคม 21, 2009, 03:50:46 AM »


อืมมมม.....นักข่าวไทยรัฐไปเห็นสภาพบนเกาะหลีเป๊ะแล้วก็อดห่วงไม่ได้เหมือนกับที่สองสายรู้สึกเป๊ะ...  


แต่สงสัยว่าผู้สื่อข่าวจะยังไม่เคยไปเกาะเต่าและเกาะพีพีนะคะ ถึงได้เปรียบเทียบเหลีเป๊ะซึ่งเป็นเกาะกลางทะเล กับเมืองปาย ซึ่งเป็นเมืองบนเขาไม่ใช่เกาะในทะเล....

 


แต่จะหลีเป๊ะ....เมืองปาย....เกาะเต่า....พีพี...ก็มีสภาพที่น่าห่วงใยทั้งสิ้น  เกาะเต่านั้นเห็นเริ่มมีการรณรงค์ฟื้นฟูเกาะกันแล้ว  ถึงจะช้าไปหน่อย ก็ดีกว่าจะไม่เริ่มเสียเลยเหมือนที่อื่นอีกสามที่นั่น  อย่ามัวปล่อยให้เป็นไปตามบุญตามกรรมอยู่เลย  เดี๋ยวจะสายจนเกินแก้นะคะ.... 
บันทึกการเข้า

Saaychol
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.026 วินาที กับ 20 คำสั่ง