กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤษภาคม 01, 2024, 01:11:48 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2552  (อ่าน 3146 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: มีนาคม 22, 2009, 12:49:19 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นเข้ามาปกคลุมประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้บริเวณประเทศไทยตอนบนยังมีฝนฟ้าคะนองได้ในระยะนี้ ส่วนภาคใต้มีฝนกระจาย ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากลมกระโชกแรงในระยะนี้ไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศา อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศา ลมใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้จะพัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทย ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนองได้ในบางพื้นที่ในตอนบ่ายและค่ำ ส่วนในช่วงวันที่ 24-28 มี.ค. บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ประกอบกับจะมีคลื่นกระแสลมตะวันตกเคลื่อนเข้าสู่ภาคเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองกับลมกระโชกแรง และอาจมีลูกเห็บตกบางพื้นที่


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 24-28 มี.ค. บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้น ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือระมัดระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนองที่เพิ่มขึ้น และลมกระโชกแรงกับลูกเห็บที่อาจตกได้ในระยะนี้



* Forecast2.jpg (37.34 KB, 684x423 - ดู 512 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 22, 2009, 12:59:24 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


อีก 20 ปีที่ราบใหญ่เวียดนามเข้าสู่ยุค Water World


บรรยากาศของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ฤดูกาลต่างๆ กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง มองไปยังอนาคตอีกเพียง 20 ปี จังหวัดต่างๆ ในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขงจะเข้าสู่กลียุค

สถาบันวิจัยเกี่ยวกับสภาพการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขงเวียดนาม ได้เผยแพร่ผลงานศึกษาวิจัยในสัปดาห์นี้ระบุว่า อีก 20 ปีข้างหน้าคือในปี 2573 ที่ราบอู่ข้าวอู่น้ำใหญ่ที่สุดของประเทศเกือบทั้งหมดจะจมอยู่ใต้น้ำทะเลราว 1 เมตร
       
       ไม่เพียงแต่กำลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ในฤดูน้ำหลากเท่านั้น แต่ในฤดูแล้งอาณาบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของประเทศแห่งนี้จะเกิดความแล้งเข็ญไปทั่วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สถาบันวิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Climate Change Research Institute) มหาวิทยาลัยนครเกิ่นเทอ (University of Can Tho) ออกเผยแพร่ผลงานวิจัยชิ้นนี้ในวันพฤหัสบดี (19 มี.ค.)
       
       ฤดูแล้งเข็ญในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขงจะอยู่ระหว่างเดือน ม.ค.-ก.ค.ของทุกปี มีฝนตกน้อยหรือไม่มีเลย ตลอดเวลาเกือบครึ่งปี โดยช่วงแห้งแล้งอย่างรุนแรงที่สุดจะอยู่ระหว่างปลาย เม.ย.-ต้น พ.ค. กับ ปลาย ก.ค.-ต้น ส.ค. สถาบันดังกล่าวอ้างตัวเลขวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอาหาศของโกทั้งในออสเตรเลียและในสหรัฐฯ
       
       หมายความว่า ในเขตที่ราบอู่ข้าวใหญ่นี้จะทำนาได้เพียงครั้งเดียว หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวฤดูใหญ่ต้นปีแล้วเสร็จจะไม่สามารถทำนาได้อีก และ กลางปีก็จะเริ่มช่วงเดือนแห่งน้ำท่วมใหญ่ ไม่สามารถทำนาปีได้ตามปกติ จนกว่าจะถึงปลายปี
       
       "ในปี 2570 ปริมาณน้ำฝนในระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคมจะลดลงราว 20% เทียบกับเมื่อปี 2523 การลดลงของปริมาณน้ำฝนกับฤดูฝนที่ล่าช้าออกไปจะทำให้เกิดช่วงฤดูแล้งยาวนานและเกิดความแล้งเข็ญ" รายงานระบุ

   
อาณาบริเวณที่ราบปากแม่น้ำเมืองมองจากห้วงหาว ทั่วอาณาบริเวณจะแล้งจัดในฤดูร้อนที่ยาวนานเกือบครึ่งปี น้ำท่วมสูงในหน้าฝน และ เขตอู่ข้าวใหญ่ที่สุดของประเทศจะทำนาได้เพียงฤดูเดียว มีเพียงป่าสงวนแห่งชาติสองแห่ง ใน จ.ด่งท๊าป กับ จ.ลองอาน เท่านั้นที่จะรอดพ้น "น้ำท่วมโลก"   
 
       น้ำฝนจะลดลง 25% กินพื้นที่กว้างขวางตั้งแต่เขตชายฝั่งทะเลอ่าวไทย จ.เกียนยาง (Kien Giang) และทะเลจีนใต้ด้าน จ.ก่าเมา (Ca Mau) กับเขตเขาใน จ.อานยาง (An Giang) และ เมื่อฤดูแล้งมาถึงจะมีพื้นที่เหลืออยู่น้อยนิด จะมีเพียงเขตป่าสงวนสองแห่งใน จ.ด่งท๊าป (Dong Thap) ที่รอดพ้นจากภัยแล้งเข็ญ
       
       และเมื่อเข้าสู่ยุคแล้งเข็ญก็จะเป็นช่วงที่ระดับน้ำทะเลเอ่อล้น ขณะที่หิมะขั้วโลกละลายเข้าผสมโรง ระดับน้ำทะเลจะท่วมขึ้นสูงถึง 1 เมตร เอ่อเข้าไปถึงลำน้ำสาขาทุกสาย ทำให้เกิดน้ำท่วมกินอาณาบริเวณปากแม่น้ำโขงเกือบทั้งหมด
       
       "น้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นนี้จะอยู่ในระดับเหนือการคาดคิดของมนุษย์และจะเห็นได้จริงในปี 2573 ปริมาณน้ำฝนในช่วงเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายนจะไม่ลดลงเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำฝนในปี 2523 หรือเมื่อ 20 ปีก่อน.. น้ำท่วมจะรุนแรงมากอันเนื่องมาจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น"
       
       เมื่อน้ำทะเลสูงขึ้นถึง 1 เมตร หลายจังหวัดในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขงจะจมน้ำ หนักหน่วงมากที่สุดคือ จ.เบ๊นแจ (Ben Tre) ซึ่งกว่า 51% ของพื้นที่จังหวัดนี้จะจมอยู่ใต้น้ำ รองลงไปเป็น จ.ลองอาน (49.4%) และ นครเกิ่นเทอ ถูกท่วมน้อยที่สุด (24.7%)
       
       จังหวัดที่ไม่เคยถูกน้ำท่วมเลยในปัจจุบันคือ ซ๊อกจาง (Soc Trang) กับ บั๊กเลียว (Bac Lieu) จะถูกปกคลุมด้วนน้ำทะเลกินอาณาบริเวณถึง 43.7% กับ 24.7% ของพื้นที่ ตามลำดับ และ นครโฮจิมินห์ที่อยู่เหนือขึ้นไป 43% ของตัวเมืองจะจมอยู่ใต้น้ำ
       
       เมื่อเกิดความแห้งแล้งรุนแรง น้ำท่วมกินอาณาบริเวณกว้าง ก็จะทำให้เกิดพายุพัดกระหน่ำรุนแรงตามธรรมชาติและจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง กระทบถึงการพัฒนาเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้น เกิดความหิวโหยเนื่องจากผลิตอาหารได้น้อยลง เกิดโรคระบาด เกิดมลพิษ และความหลากหลายทางชีวะภาพในท้องถิ่นต่างๆ เสื่อมลง รายงานระบุ
       
       อาหารสำคัญที่เคยผลิตได้ในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารทะเลและข้าว จะไม่สามารถผลิตได้อีก.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 22, 2009, 01:07:33 AM »

มติชน


อยากเรียนวิทยาศาสตร์ทางทะเล                 โดย ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์


 
สมัยผมเป็นนิสิต เวลาเจอเพื่อนของคุณพ่อคุณแม่ ท่านถามว่า ธรณ์เรียนอะไรเอ่ย? พอผมตอบไป คุณๆ เหล่านั้นมักทำหน้าปูเลี่ยน ปากไม่เอ่ยแต่ในใจคงนึก ไฉนเพื่อนเราถึงยอมให้ลูกเรียนอะไรแปลกปานนั้น เรียนเกี่ยวกับทะเล จะไปทำมาหากินอะไรล่ะจ๊ะ?

สภาพแวดล้อมมีผลต่อความคิดของมนุษย์ คนที่อยู่ในเมืองในออฟฟิศ คงนึกไม่ออกว่า ทะเลมีความสำคัญยังไง แม้แต่ชาวชนบทที่ไม่ได้อยู่ใกล้โลกสีคราม พวกเขาก็นึกไม่ออกครับ เผอิญผมโชคดี คุณพ่อของผมแม้เป็นข้าราชการ แต่ท่านชอบทำงานอยู่ในโลกมากกว่าในห้องประชุม โลกจึงสอนท่าน ทะเลคือจุดกำเนิดของสรรพชีวิต และทะเลคืออนาคตกำหนดสรรพชีวิต ท่านจึงไม่ลังเลสนับสนุนให้ลูกชายคนโตของท่านเรียนด้านนี้

เวลาผ่านไปนาน จนผมกลายเป็นอาจารย์สอนมาแล้วสิบห้าปี ถึงตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยน ทะเลกลายเป็นหนึ่งในจุดสนใจของคนไทย ประโยคนี้ไม่ได้มั่วครับ ผมยกตัวอย่างให้ชัดก็ได้ สมัยผมเรียนเรื่องนี้ แต่ละปีมีคนเรียนจบเรื่องทะเลเพียงไม่กี่สิบคนจากทุกสถาบันอุดมศึกษาของเมืองไทยรวมกัน แต่ปัจจุบัน เฉพาะภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง ม.เกษตรศาสตร์ เรามีนิสิตชั้นปีละเกือบหนึ่งร้อยคน และปีนี้ทำท่าว่าจะเกินร้อยไปไม่ยาก หากนับทุกสถาบันรวมกัน คงได้หลายร้อยเป็นแน่ หรือเอาตัวอย่างที่เพิ่งผ่านมา ผมเขียนเรื่องค่ายฤดูร้อน Sea Summer Camp ใน "มติชน" เมื่อสามสัปดาห์ก่อน มีน้องๆ สนใจส่งใบสมัครมาหลายร้อย ค่ายเรารับได้แค่กึ่งร้อย เฉพาะแค่อ่านใบสมัครเลือกน้องเข้าค่าย พี่ก็ตาโหลแทบตายแล้วน้องเอย หากใครไม่ได้เข้าร่วม ขออภัยไว้ ณ ตรงนี้ ปีหน้าเศรษฐกิจดี สปอนเซอร์เค้าคงให้เงินเยอะขึ้นเนอะ

ตัวอย่างล่าสุดที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจของสังคม เกิดขึ้นในรอบเดือนที่ผ่านมา นักข่าวสาวจากสามสำนักพิมพ์เข้ามาขอสัมภาษณ์ผม เกี่ยวกับเรื่องการเรียนวิทยาศาสตร์ทางทะเลนี่แหละครับ เพราะตอนนี้ใกล้ช่วงต้องเลือกที่เรียนสำหรับน้องๆ ผู้สอบตรง หากทะเลไม่น่าสน จะมีคนมาอยากรู้เรื่องเพียงนี้หรือ

ให้สัมภาษณ์ไปแล้ว เขียนเองบ้างดีกว่า ประเด็นหลักสำหรับบทความนี้ คือสร้างความเชื่อมั่นให้คุณผู้ปกครองและน้องผู้สนใจเรื่องทะเล โดยพยายามตอบคำถามสำคัญ เริ่มจากเรียนวิทยาศาสตร์ทางทะเล เรียนอะไรเอ่ย?

คำถามนี้ตอบง่ายมาก น้ำใดที่มีความเค็มเกิน 0.5 เปอร์เซ็นต์ นั่นคือทะเล (รวมน้ำกร่อยด้วยครับ) อะไรที่เกี่ยวข้องกับน้ำคุณสมบัติดังกล่าว ล้วนเป็นเรื่องของเรา ข้อความนี้อาจยากต่อความเข้าใจไปนิด ผมสรุปให้ง่ายขึ้นหน่อย เราเรียนเกี่ยวกับน้ำร้อยละ 98 ของโลก และเกี่ยวกับพื้นที่ประมาณ 2 ใน 3 ของโลก (ร้อยละ 70.8 ของผิวโลกคือทะเล)

การเรียนเรื่องทะเล ไม่ใช่จำกัดเฉพาะกุ้งหอยปูปลาเหมือนที่พวกเราเข้าใจ ไม่ได้หมายความเพียงอาหารซีฟู้ด แต่ทะเลยังเกี่ยวข้องไปแทบทุกส่วน ลองแหงนหน้าดูหลอดไฟก็ได้ครับ ทะเลก็เกี่ยวกับหลอดไฟ เพราะค่อนหนึ่งของพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยมาจากก๊าซธรรมชาติ และเกือบร้อยทั้งร้อยของก๊าซธรรมชาติมาจากทะเล เกิดจากแพลงก์ตอนตัวน้อยที่ตายสะสมกันมาไม่รู้กี่ร้อยล้านปี จนกลายเป็นแหล่งพลังงานปิโตรเลียมในปัจจุบัน

ทะเลไม่เพียงเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว แต่ทะเลแทบเป็นการท่องเที่ยว ข้อมูลจากการศึกษาหลายปีต่อเนื่อง ยืนยันว่า แรงจูงใจอันดับหนึ่งตลอดกาลของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเมืองไทยคือทะเล กิจกรรมค่อนหนึ่งของนักเที่ยวทั้งไทยทั้งเทศ ล้วนเกี่ยวข้องกับทะเล ลูกศิษย์ของผมจำนวนมากที่จบไป ก็ทำงานด้านการท่องเที่ยว บางคนอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร แถวสยามพารากอน แต่เขาและเธอก็ยังทำงานอยู่ในทะเล (เป็นคนเลี้ยงฉลามในอะควอเรียมครับ)

ทะเลยังเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เกี่ยวข้องกับการกัดเซาะชายฝั่ง เกี่ยวข้องกับโรงงานอุตสาหกรรมมหาศาล เกี่ยวข้องกับการขนส่งคมนาคม เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับศิลปะ เกี่ยวกับดารานักร้องบันเทิงเริงใจ เกี่ยวกับสื่อสารมวลชน ว่าง่ายๆ คือไม่มีศาสตร์ใดกว้างไกลไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะเราไม่ได้เรียนเพียงความชำนาญด้านใดด้านหนึ่ง แต่เราเรียนกี่ยวกับโลกทั้งใบ และเรียนเกี่ยวกับกิจกรรมแทบทุกอย่างของมนุษย์ที่เกิดในโลกใบนี้

จบแล้วทำอะไร? ด้วยความกว้างใหญ่ของทะเล ทำให้เราทำงานได้สารพัดรูปแบบ ทั้งที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และศาสตร์อื่นที่เกี่ยวข้องกับทะเล ผมไม่รู้จะระบุอาชีพทั้งหมดได้ยังไง เพราะแม้แต่ตัวเอง ผมยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองทำอาชีพอะไร หากนับงานประจำ ผมเป็นอาจารย์ แต่ถ้าอาชีพหมายถึงรายได้มากสุด ผมเป็นนักเขียน ช่างภาพ และเป็นนักวิจัย ถ้าอาชีพหมายถึงการทำงานเพื่อสังคม ผมเคยเป็นที่ปรึกษามาแล้วเกือบทุกรูปแบบ ไล่มาตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรีจนถึงกลุ่มชาวบ้าน เป็นนักพูดเป็นผู้จัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ เป็นโน่นเป็นนี่ กล้ารับประกันว่า ในบรรดาเพื่อนๆ ที่จบมาจากโรงเรียนมัธยมพร้อมกัน (สาธิตจุฬาฯครับ) ผมเป็นคนที่ได้ทำงานหลากหลายมากสุด คำว่า "น่าเบื่อและจนตรอก" ไม่เคยมีอยู่ในสารบบของคนที่ทำงานด้านทะเล

เรียนยากไหม? ผมไม่เคยคิดว่า โลกนี้มีศาสตร์ไหนเรียนยาก หากเรารักอยากรู้ คำถามนี้จึงตกไป ไม่ต้องตอบ

ค่าใช้จ่ายสูงไหม? เคราะห์ดีที่ทะเลเป็นศาสตร์ว่าด้วยโลกและสิ่งแวดล้อม เป็นวิชาที่มีความสำคัญต่อการดำรงอยู่อย่างมีความสุขของมนุษย์บนดาวดวงนี้ รัฐบาลของแทบทุกประเทศจึงให้ทุนการศึกษามากมาย ทั้งในระดับประเทศและในระดับโลก ลูกศิษย์ของผมที่สนใจทำงานต่อในองค์กรภาครัฐ แทบทุกคนได้ทุนไปเรียนนอกทั้งนั้น

มั่นคงไหม? บางอาชีพอาจเปลี่ยนแปลงไปตามค่านิยมของสังคม แต่วิทยาศาสตร์ทางทะเลไม่ใช่เช่นนั้น ค่านิยมไม่มีความหมาย เพราะทะเลคืออนาคต คือความเป็นความตาย ทุกวินาทีคนในโลกมีมากขึ้น เราต้องการอาหารมากขึ้น ต้องการทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น มีแต่ทะเลเท่านั้นที่ใหญ่พอจะให้เราได้ และใหญ่พอจะทำลายเราได้ เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับทะเลมากขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะในภาวะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลง

ท้ายสุด ถึงเวลาสารภาพ คำถามคำตอบทั้งหมดที่ผมเขียนมา ตอนสมัยผมเลือกเรียนด้านนี้ ผมไม่เคยคิดถึงเลยครับ รู้เพียงอย่างเดียว ผมกำลังจะได้เรียนเกี่ยวกับสิ่งที่ผมรัก และผมจะได้จบไปเพื่อทำงานในห้องทำงานใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดในโลก (ห้องทำงานของผมคือทะเลและมหาสมุทร พื้นที่กว้าง 30 ล้านตารางกิโลเมตร ต่อให้ CEO อันดับหนึ่งของโลกก็มีห้องทำงานเล็กกว่าผม 30 ล้านเท่า)

สำหรับน้องที่ตัดสินใจว่า จะเรียนด้านนี้แหละ แต่เลือกสถาบันไหนดี ในฐานะที่ผมเคยเป็นศิษย์ของจุฬาฯ 20 ปี (ประถมหนึ่งจนจบปริญญาโท) และเป็นอาจารย์ของเกษตรศาสตร์ 15 ปี ผมไม่อาจตอบคำถามนี้ แต่ในใจยังหวังอยากได้สอนน้องครับ (ประโยคปริศนา คิดเองนะจ๊ะ)


**************************************************************************************************************************


สิมิลัน..... สวรรค์กลางอันดามัน                          :                            คอลัมน์ บันทึกเดินทาง  โดย สุรเชต เพชรน้ำไหล


ฟ้าสวย น้ำใส ถึงสิมิลันอย่างสะบักสะบอม

 
แดดยามสายที่ท่าเรือบ้านทับละมุแผดจ้า ท้องทะเลเบื้องหน้าเงียบสงบ ฟ้าสีฟ้าตัดกับท้องน้ำสีครามเข้มมองดูสบายตา ฟากหนึ่ง มองเห็นแนวเขาทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ คล้ายงูตัวใหญ่กำลังกินน้ำ

ท่าเรือยามนี้มีเรือสปีดโบ๊ต 2 ลำจอดรออยู่

นักเดินทางหลายสิบชีวิตที่มาไม่ทันเรือใหญ่ (ของกองทัพเรือ) กำลังช่วยกันขนข้าวของลงเรือทั้ง 2 ลำ จัดแจงแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ในที่สุดเรือเร็วก็แล่นฉิวออกจากท่า

ไกลห่างจากฝั่งมาทุกทีๆ ด้วยความเร็วขนาดนี้ คนขับบอกว่า คงจะถึงหมู่เกาะสิมิลันพร้อมๆ กับคณะที่ล่วงหน้าไปก่อน เรือสปีดโบ๊ต 2 ลำนี้ ลำหนึ่งเป็นเรือ 2 เครื่องยนต์ แล่นบนผืนน้ำราบเรียบ คนนั่งสบาย ส่วนอีกลำมีเพียงเครื่องยนต์เดียว คนนั่งต้องทนกับการโคลงเคลง น้ำที่ซัดสาดใส่ สุดท้ายเมื่อถึงปลายทาง ปรากฏว่า ผู้ที่นั่งเรือสปีดโบ๊ตลำหลังเปียกปอนหนาวสั่นไปตามๆ กัน

"เรากำลังจะไปร่วมงาน "โครงการอาสาฯอนุรักษ์ทะเลไทย" ซึ่ง "บริษัท ทรู วิชั่นส์" ร่วมกับอีกหลายหน่วยงานจัดขึ้น ชักชวนอาสาสมัครนักดำน้ำไปผูกทุ่นกลางทะเล สำหรับเป็นที่จอดเรือท่องเที่ยว แทนการทิ้งสมอ เพราะอาจทำลายแนวปะการังได้"

มาถึงหมู่เกาะสิมิลันอย่างสะบักสะบอม หากแต่เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าก็ลืมเหนื่อย

ภาพที่เห็น เล่นเอาบางคนอุทานออกมาว่า "สวรรค์!" (ทั้งที่ไม่รู้ว่าเขาเคยไปเยือนสถานที่ที่เอ่ยมาเมื่อไหร่)

สปีดโบ๊ตส่งนักเดินทางขึ้นหาดที่เกาะสี่ (เกาะเมียง) ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ที่นี่จะมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ร้านอาหาร บ้านพักนักท่องเที่ยว และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ


หินรองเท้าบู๊ต   /   ปูไก่

"และที่สำคัญ บนเกาะแห่งนี้มีแนวหาดทรายสำหรับให้นอนอาบแดด หรือเล่นน้ำ ดำผุดดำว่ายได้ถึงสองหาด คือ "หาดหน้า" มีทรายขาวเม็ดละเอียด น้ำทะเลใสจนมองเห็นผืนทรายด้านล่าง ส่วนอีกหาดคือ "หาดเล็ก" สามารถเดินเท้าลัดป่าดิบชื้นไปเยือนได้นั้น ความสวยงามก็ไม่ยิ่งหย่อน เหมาะสำหรับกิจกรรมดำน้ำตื้น (Snokerling) เพราะเป็นแหล่งที่มีปะการังขนาดเล็กกระจายอยู่ มีปลาสวยงามแหวกว่ายให้ได้ชื่นชม"

ในค่ำคืนแรกของการเดินทางมาเยือนอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน เราชักชวนกันไปดู "ปูน้ำจืด" ชนิดหนึ่ง

ได้ยินครั้งแรก นึกว่าหูแว่ว จะเป็นไปได้อย่างไร มีปูน้ำจืดอยู่บนเกาะ - เกาะซึ่งอยู่กลางทะเลอันดามัน ไกลจากฝั่งที่สุดแล้วในอาณาเขตประเทศไทย และที่แปลกใจยกกำลังสอง คือ ชื่อของปูชนิดนี้ ที่ชื่อว่า "ปูไก่" (ตกลงจะเป็นปู หรือ จะเป็นไก่)

"แต่ความสงสัยนี้ก็ได้ไขกระจ่าง เมื่อเจ้าหน้าที่อุทยานฯคนหนึ่งบอกว่า "ที่มีชื่อว่า "ปูไก่" เพราะเวลาที่ก้ามของมันเสียดสีกัน จะได้ยินเสียงเหมือนไก่ร้อง กุ๊กๆ ก๊อกๆ...กุ๊กๆ ก๊อกๆ""

ข้อมูลหนึ่งที่ผมค้นมาได้จากที่ทำการอุทยานฯ ระบุว่า "ปูไก่" แม้จะอาศัอยู่ที่เกาะสิมิลันแต่กลับเป็นปูน้ำจืด ลักษณะลำตัวมีสีแดงสด มีก้ามสีแดงเข้มออกดำ ตัวอ่อนจะมีก้ามสีแดงเหลือบส้ม พบได้ทั่วไปในภาคใต้ แต่ปัจจุบันถูกจับกินเป็นอาหารเกือบหมด แต่ถ้าหากอยากดูปูชนิดนี้ จึงต้องเดินทางไปดูถึงหมู่เกาะสิมิลัน โดยเจ้าสัตว์น้ำจืด (ที่ดั้นด้นมาอยู่ไกลกลางทะเลชนิดนี้) จะอาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นที่ลัดเลาะไปหาดเล็กนั่นเอง โดยปูไก่จะออกหากินในเวลากลางคืน


ป่ายปีนไปสู่จุดชมวิว   /   จุดกางเต๊นท์

หากแต่คืนนั้น คณะของเราอาจส่งเสียงดังไปหน่อย ปูไก่จึงโผล่มาให้เห็นน้อย ไม่เหมือนดังที่คาดไว้

""สิมิลัน" แปลว่า "เก้า" เป็นภาษายาวี ที่ชาวประมงในแถบถิ่นนี้เรียกหมู่เกาะที่เรียงตัวกันอยู่ในแนวเหนือ-ใต้ ทั้ง 9 เกาะ"

อันประกอบด้วยเกาะบอน, เกาะบางู, เกาะสิมิลัน, เกาะปายู, เกาะห้า, เกาะเมียง, เกาะปาหยัน, เกาะปายัง และเกาะหูยง โดยได้ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติในปี พ.ศ.2525 และต่อมา ในปี 2543 ได้ประกาศรวมเกาะตาชัย และเกาะ.....รวมในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันด้วย จึงกลายเป็นว่าในตอนนี้มีทั้งสิ้น 11 เกาะ

แต่แม้จะมีจำนวนเกาะมากขึ้น คนเมืองผู้มีเวลาหลบหนีเมืองใหญ่มาทะเลอย่างผม ก็ไม่มีเวลาเที่ยวได้ถ้วนทั่ว

โดยเฉพาะเกาะซึ่งที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันได้สงวนให้เป็นพื้นที่วางไข่ของเต่าทะเล อย่างเกาะหูยง เกาะปายัง และเกาะปาหยัน

แต่เกาะหนึ่งที่ผมได้เดินทางไปเยือนแล้วรู้สึกประทับใจ คือ "เกาะแปด" หรือ "เกาะสิมิลัน" สำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพ มุมสูงตรงหินเรือใบ งดงามอย่างยิ่ง ขนาดที่ไม่ต้องเป็นนายแบบ-นางแบบมืออาชีพ เพราะเพียงขยับแข้ง ขยับขา เชิดหน้า เชิดคางเล็กน้อยแค่นั้น ฉากหลังอันเป็นท้องน้ำทะเลใสแจ๋ว ตัดกับหาดทรายสีขาวสะอาดตา ก็ช่วยขับให้นายแบบ-นางแบบจำเป็นดูดีขึ้นมาทันตาได้แล้ว

ช่วงสายของวันที่เราป่ายปีนเขาสูง ขึ้นไปหามุมถ่ายภาพ...

แรกเริ่ม หลายคนอิดออดไม่เอา เพราะจากเบื้องล่าง มองไปตรงตำแหน่งหินเรือใบแล้วรู้สึกว่าไกลเหลือเกิน บางคนบอกไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย กลัวปีนขึ้นไปไม่ถึง บ้างก็ว่า อาจขึ้นถึงแต่กลัวจะกลับไม่ได้ เราปรึกษาหารือกันอยู่พักใหญ่ แต่ความอยากเห็นภาพจากมุมสูง ประกอบกับได้ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกจากมุมสูง ก็มีพลังมากกว่า ดึงดูดให้คนที่บอกว่าไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ป่ายปีนขึ้นไปจนถึงจุดชมวิวสำคัญ

"คุ้มว่ะ" ใครบางคนว่า

"สวยนะ" อีกคนกล่าวเหมือนขอความเห็น แต่ก่อนที่จะมีคนตอบ เห็นเธอหลับตาพริ้ม สูดอากาศสดชื่นเข้าปอดอึดใหญ่ไม่สนใจคนรอบข้างซะแล้ว

เราชื่นชมวิวทิวทัศน์จากมุมหินเรือใบอยู่พักใหญ่ ถ่ายรูปกันจนมันมือ

"สิมิลัน" นอกจากจะมีหาดทรายขาว ทะเลสวยใสแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้หมู่เกาะแห่งนี้โด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก คือ พืชพรรณและสัตว์ป่าที่มีความหลากหลาย

เพราะมีทั้งป่าชายหาด, ป่าละเมาะ และป่าดงดิบ สามารถพบเห็นพืชพันธุ์และสัตว์ป่าต่างๆ ได้ทั่วไป และบางทีอาจใกล้ชิดกับมนุษย์ ดังเช่นเช้านั้น ในขณะที่ขณะของเรานั่งกินข้าวเช้ากันอยู่ แล้วมีงูเหลือมตัวใหญ่ตกลงมาจากต้นไม้ มองดูใกล้ๆ เห็นมันรัดค้างคาวแม่ไก่ตัวหนึ่งไว้แน่น

การเดินทางมาเยือนหมู่เกาะสิมิลันครั้งนี้ เสียดายที่ผมดำน้ำลึก (Scuba) ไม่เป็น

เพราะจุดดำน้ำของหมู่เกาะสิมิลันนั้น ได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำ โลกใต้ทะเลจากภาพที่พี่สาวคนหนึ่งได้มีโอกาสดำน้ำไปดู งดงาม แปลกตา จนผมอยากเรียนดำน้ำบ้าง

แต่นาทีนี้ ผมคงต้องดำน้ำตื้นไปก่อนพลางๆ

ก่อนกลับ สัญญากับ "หินเรือใบ" และ "หินรองเท้าบู๊ต" สัญลักษณ์ของเกาะสิมิลันแล้วว่า...

""ดำน้ำลึกเป็นเมื่อไหร่...เจอกัน""


*****************************************************************************************************************************


ตื่นตา ตื่นใจ เมอร์เมดตัวน้อย


 
เคยแต่ได้ยินชื่อ "เมอร์เมด" และดูภาพยนตร์มาบ้าง สัตว์ตัวน้อยแสนสวยที่คล้ายนางเหงือก ใครที่เคยได้สัมผัสเชื่อว่าต้องหลงใหลในความน่ารักน่าชังของเมอร์เมดแน่นอน เช่นเดียวกับ ฮานาห์ เฟรเซอร์ (Hannah Fraser) เธอมีอาชีพที่เด็กๆ ใฝ่ฝันหลายคน เธอเป็นเมอร์เมด ที่ผ่านงานบันเทิงมากมาย ทั้งถ่ายแบบให้กับแบรนด์เสื้อผ้าเซิร์ฟฟิ่ง (surfing) ถ่ายภาพยนตร์เรื่องไลฟ์ ไลท์ ลิควิด (Life like liquid) และผลงานล่าสุดกับการเดินทางมาถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ของ สยาม โอเชี่ยน เวิร์ล เพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมต้อนรับปิดเทอมที่ทางสยาม โอเชี่ยน เวิร์ล ได้เตรียมเนรมิตโลกของเมอร์เมดให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่อลังการ

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 22, 2009, 01:12:29 AM »

สยามรัฐ


เรือขนส่งสินค้าไทยถูกเรือตรวจการณ์ประมงอินโดนีเซียไล่ยิงเขตมาเลเซีย

                เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 20 มีนาคม 2552 ที่ท่าเทียบเรือประมงสงขลา   เรือ ช.นนทรี 2ซึ่งเป็นเรือทัวร์ขนส่งสินค้าสัตว์น้ำของไทย ได้เข้าเทียบท่าที่ท่าเทียบเรือประมงสงขลาเพื่อเร่งขนถ่ายสินค้าซึ่งเป็นสัตว์น้ำลงจากเรือ หลังจากที่ได้พยายามนำเรือเข้าฝั่งหลังถูกเรือตรวจการของอินโดนีเซียไล่ยิงกลางทะเลน่านน้ำมาเลเซียเมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้เรือได้รับความเสียหายถูกยิงจนพรุนทั้งลำโดยเฉพาะกราบด้านซ้ายและห้องควบคุมเรือ ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คนคือ นายจักรชัย อยู่ประเสริฐอายุ 20 ปี ซึ่งทำหน้าที่ผู้ช่วยนายท้ายควบคุมเรือและเป็นลูกชายไต้ก๋งเรือถูกยิงเข้าที่ข้อมือขวาจนทะลุ ส่วนที่เหลืออีก 24 คนปลอดภัยแต่ต่างอยู่ในอาการหวาดผวา นายพนม อยู่ประเสริฐ อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 14/1 ถ.ไทรบุรี ซอย 39 อ.เมืองสงขลา ซึ่งเป็นไต้ก๋งเรือ เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า เมื่อเวลา 06.00 น.วันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา

              ในขณะที่กำลังขนถ่ายสินค้าจากเรือประมงไทยในน่านน้ำมาเลเซียโดยมีลูกเรืออยู่บนทั้งหมด 25 คน ได้ถูกเรือจำนวน 2 ลำขับเข้ามาประกบแต่ตนพยายามหนีเพราะขณะนั้นเรือทั้งสองลำไม่ติดธงแสดงสัญชาติเกรงว่าจะถูกปล้น แต่ขณะเร่งเครื่องเรือหลบหนีได้ถูกเรือทั้งสองลำระดมยิงเข้าใส่จนลูกเรือต้องลงไปหลบอยู่ใต้ท้องเรือ  และมาทราบอีกทีว่าเรือทั้งสองลำเป็นเรือตรวจการณ์ประมงของประเทศอินโดนีเซียหลังจากที่ได้แสดงธงชาติอินโดนีเซียขึ้นมา

                    โดยเรือทั้งสองลำได้ตามประกบยิงอยู่นานร่วม 2 ชั่วโมงจนกระสุนหมด ก่อนที่จะขับมาประชิดตัวเรือขนาบเรือทั้งสองข้างและใช้ขวดน้ำมันจุดไฟโยนขึ้นมาบนเรือเพื่อเผาเรือ แต่โชคดีที่สามารถนำเรือเข้าเขตน่านน้ำไทยได้ทันเรือทั้งสองลำจึงล่าถอยไป สำหรับความเสียหายในห้องควบคุมเรือเครื่องมือที่ใช้ในการเดินเรือด้วยดาวเทียมเสียหาย ทั้งหมด กระจกด้านข้างทั้งสองกราบพรุน ตัวเรือเป็นเหล็กมีรอยกระสุนทั้งสองข้าง ถังแก๊สขนาดใหญ่ก็ถูกกระสุนเกือบ 20 นัด  รวมทั้งในห้องพักผู้ช่วยไต๋ก็มีกระสุนติดอยู่ที่ฝาไม้หลายสิบรู ได้สั่งลูกเรือลงไปหลบกระสุนในห้องเก็บปลาใต้ท้องเรือ ส่วนตนเองบุตรชายและช่างเครื่องได้อยู่ในห้องควบคุมเรือ ลูกชายโดนกระสุนเข้าที่มือทะลุเลือดสาด ขณะนี้นำส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลสงขลาแล้ว

                     นายพนม บอกว่ายังไม่ทราบสาเหตุที่เรือตรวจการณ์ประมงของประเทศอินโดนีเซียทั้งสองลำตามไล่ยิง แต่เชื่อว่าน่าจะต้องการปล้นเพราะขณะนั้นอยู่ในน่านน้ำมาเลเซียซึ่งมีใบผ่านเรียบร้อย เนื่องจากในเรือทัวร์มีสินค้าสัตว์น้ำอยู่จำนวนมากถึง 2,500 ถังมูลค่ารวมทั้งเรือกว่า30 ล้านบาท แต่โชคดีที่หนีรอดมาได้  จึงต้องการให้หน่วยงานของไทยเร่งตรวจสอบเรือตรวจการณ์ประมง   ตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าทำไมเรือตรวจการณ์ประมงของประเทศอินโดนีเซียจึงได้ข้ามเขตน่านน้ำเข้ามายังน่านน้ำมาเลเซียและมาไล่ยิงเรือขนส่งสินค้าสัตว์น้ำของไทย

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: มีนาคม 22, 2009, 01:14:30 AM »

เนชั่นทันข่าว


จับเรืออวนลากคู่ลอบทำประมงเขตหวงห้าม
 
เจ้าหน้าที่ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 ภูเก็ต โดยนายสุจินต์ อินทรัตน์ เจ้าพนักงานประมง ระดับชำนาญงาน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ภายใต้การอำนวยการของนายไพทูล แพนชัยภูมิ หัวหน้าศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 ภูเก็ต ได้นำเรือประมงอวนลากคู่จำนวน 2 ลำ เข้าเทียบท่าที่บริเวณท่าเทียบเรือสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต

หลังจากเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากอาสาสมัครพิทักษ์สิ่งแวดล้อมชายฝั่งว่า มีการลักลอบทำการประมงในเขตหวงห้ามบริเวณอ่าวกะตะ อ.เมือง จ.ภูเก็ต และได้มีการจัดเจ้าหน้าที่ออกลาดตระเวนทางทะเลมาประมาณ 1 สัปดาห์จึงสามารถจับกุมเรือประมงอวนลาก ลักลอบจับปลาบริเวณหน้าเกาะปู อ่าวกะตะ ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต ห่างจากชายหาดกะตะ ประมาณ 300-400 เมตร ซึ่งเป็นเขตหวงห้ามการทำประมง 3,000 เมตร และภายในเรือพบปลาขนาดต่างๆเป็นจำนวนมาก จึงได้ควบคุมตัวผู้ควบคุมเรือและลูกเรือรวม 15 คน มีทั้งคนไทยและชาวพม่า ส่งดำเนินคดีที่สถานีตำรวจภูธรฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต

นายไพทูล แพนชัยภูมิ หัวหน้าศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 ภูเก็ต กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่ได้มีการออกลาดตระเวนบริเวณพื้นที่ซึ่งได้รับการแจ้งจากชาวบ้านว่ามีการลักลอบทำการประมงในเขตหวงห้ามมาอย่างต่อเนื่อง และเข้มงวด

ล่าสุดเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาก็ได้รับแจ้งจากชาวประมงซึ่งนำลอบไปวางเพื่อดักปลา และเครื่องมือประมงอื่นๆ ว่าเครื่องมือประมงถูกทำลายจากเรือประมงอวนลาก ดังนั้นจึงได้มีการจัดเจ้าหน้าที่ออกไปลาดตระเวนในพื้นที่บริเวณดังกล่าว และสามารถจับกุมเรือประมงอวนลากคู่ได้ 2 ลำในขณะที่กำลังทำการลักลอบจับปลาในเขตหวงห้าม

สำหรับการลักลอบจับปลาของเรือประมงอวนลากในเขตหวงห้าม 3,000 เมตรนั้น นายไพทูล กล่าวว่า มักจะทำกันในช่วงที่คลื่นลมแรง และการเข้าไปตรวจตราของทางเจ้าหน้าที่ลำบาก เนื่องจากมีเพียงเรือขนาดเล็ก ในขณะที่เรือของผู้ลักลอบมีขนาดใหญ่ และมีอุปกรณ์เรดาห์ สามารถทราบความเคลื่อนไหวของทางเจ้าหน้าที่ได้ รวมทั้งระยะเวลาที่ใช้ก็ไม่นานประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมง โดยจะแล่นเรืออยู่บริเวณรอยตะเข็บ 3,000 เมตร เมื่อไม่เห็นเจ้าหน้าที่ก็จะรีบเข้าทำการลากปลาและออกไปในเวลาอันรวดเร็ว

นายไพทูล กล่าวด้วยว่า การดำเนินการของเจ้าหน้าที่นั้นเป็นการป้องปราม ภายใต้แผนการอำนวยการของศรชลเขต 3 และกองอำนวยความมั่นคงระดับจังหวัด ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการจับกุมได้อย่างต่อเนื่อง เพราะพื้นที่เขตหวงห้าม 3,000 เมตร จะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำเป็นจำนวนมาก ทั้งพ่อแม่พันธุ์ เป็นแหล่งวางไข่และอนุบาลสัตว์วัยอ่อน หากปล่อยให้เรืออวนลากเข้ามาทำประมงก็จะลากเอาปลาทุกขนาดไปหมด ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของสัตว์น้ำ และทำให้ปริมาณสัตว์น้ำหมดไปในที่สุด

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.33 วินาที กับ 20 คำสั่ง