กระดานข่าว Save Our Sea.net
เมษายน 16, 2024, 12:31:11 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันเสาร์ที่ 11 เมษายน 2552  (อ่าน 4674 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« เมื่อ: เมษายน 11, 2009, 02:21:40 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา

ลักษณะอากาศทั่วไป    
 
ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน มีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองกระจายกับลมกระโชกแรงบางแห่ง ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากลมกระโชกแรง ไว้ด้วย สำหรับภาคใต้ฝั่งตะวันตกยังมีฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยยังมีกำลังแรงโดยเฉพาะบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือในช่วงวันที่ 11-12 เม.ย. 2552 

คาดหมาย
     
ในช่วงวันที่ 11-14 เม.ย. ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองกระจาย และมีลมกระโชกแรงบางแห่ง หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 15-17 เม.ย. ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้ปริมาณฝนลดลง และมีอากาศร้อนขึ้น
     
ข้อควรระวัง
     ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะนี้ สำหรับในช่วงวันที่ 11-14 เม.ย. ชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือโดยเฉพาะบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง 

บันทึกการเข้า
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #1 เมื่อ: เมษายน 11, 2009, 02:23:31 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


คอมมานโดฝรั่งเศสจู่โจมโจรสลัดยึดเรือยอชต์-ตัวประกันตาย 1


   
(ไฟล์ภาพ) ภาพเรือยอชต์แทนิต เมื่อครั้งแล่นอยู่ในเมืองแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส
 
 
       เอเอฟพี - หน่วยคอมมานโดฝรั่งเศส บุกจู่โจมเรือยอชต์ลำหนึ่งซึ่งถูกควบคุมโดยโจรสลัดเมื่อวันศุกร์(10) ในปฏิบัติการที่สามารถช่วยเหลือตัวประกันชาวน้ำหอมได้ 1 รายและสังหารคนร้ายได้ 2 คน ส่วนกรณีกัปตันเรือสินค้าชาวอเมริกันถูกจับเรียกค่าไถ่นั้นมีข่าวว่าเขาพยายามโดดลงน้ำหนีออกมาทว่าถูกจับกุมตัวได้อีกครั้ง
       
       ทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศสเปิดเผยว่าปฏิบัติการจู่โจมครั้งนี้มีขึ้น 6 วันหลังจากเรือแทนิต ถูกยึดโดยโจรสลัดในอ่าวเอเดนและการเจรจาต่อรองล้มเหลว
       
       ตัวประกัน 1 คนและโจรสลัด 2 คน เสียชีวิต ขณะที่ตัวประกันผู้ใหญ่ 3 คนและเด็กอีก 1 คนได้รับการช่วยเหลือออกมา "วันนี้ ด้วยคำขู่ต่างๆนาๆและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ประกอบกับโจรสลัดปฏิเสธข้อเสนอที่ยื่นให้และเรือแทนิตมุ่งหน้าไปยังชายฝั่ง จึงมีการตัดสินใจเลือกใช้ปฏิบัติการช่วยเหลือตามสถานการณ์ดังกล่าว" โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีระบุ
       
       "ระหว่างปฎิบัติการโชคร้ายที่ตัวประกันหนึ่งคนถูกสังหาร แต่อีก 4 ในนั้นเป็น 1 เด็กคนปลอดภัย โจรสลัด 2 คนถูกฆ่า และเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัว 3 คนที่เหลือได้" โฆษกระบุ ทั้งนี้เรือยอชต์ที่บรรทุก สามีภรรยา 2 คู่และเด็ก 1 คน ถูกโจรสลัดบุกยึดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา(4)
       
       เหตุการณ์ยึดเรือคราวนี้นับเป็นครั้งล่าสุด ของการกระทำอันอุกอาจเหิมเกริมของโจรสลัดในบริเวณน่านน้ำนอกชายฝั่งโซมาเลีย ที่ลงมือเรือปล้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
       
       ทหารเรือสหรัฐฯ ถูกส่งเข้ามายังภูมิภาคแห่งนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางกรณีสมาชิกกลุ่มโจรสลัดโซมาเลีย พยายามเข้าปล้นและเรือสินค้าบริษัทเมิร์สก์แห่งเดนมาร์กซึ่งกำลังลอยลำอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย บริเวณนอกชายฝั่งโซมาเลียราว 300 ไมล์
       
       เรือดังกล่าวอยู่ในระหว่างการนำเสบียงอาหารเข้าไปช่วยเหลือชาวโซมาเลียและยูกันดา โดยใช้เส้นทางจากกรุงจิบูตี ประเทศจิบูตีไปยังเมืองมอมบาซาในประเทศเคนยา
       
       แม้ลูกเรือชาวอเมริกัน 20 คนจะสามารถต่อสู้จนยึดเรือกลับคืนมาได้ แต่ กลุ่มโจรสลัดก็ได้จับตัว กัปตันเรือ ริชาร์ด ฟิลลิปส์ ลงเรือชูชีพไป ทั้งนี้มีรายงานว่า ฟิลลิปส์ ได้แอบกระโดดลงน้ำในช่วงกลางคืนและพยายามว่ายไปยังเรือพิฆาต "เบนบริดจ์" ของสหรัฐฯที่อยู่ใกล้เคียง ทว่าโจรสลัดกระโดดตามลงมาจับเขาได้เสียก่อน
       
       ทั้งนี้สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าโจรสลัดที่ควบคุมต้วกัปตันเรือชาวสหรัฐฯ บนเรือชูชีพ ได้เรียกเงินค่าไถ่ 2 ล้านดอลลาร์ สำหรับปล่อยตัวเขา
 
บันทึกการเข้า
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #2 เมื่อ: เมษายน 11, 2009, 02:28:14 AM »

ประหลาดคางคก.. มีหนวดด้วย

 

พระเอกคนใหม่..คางคกหนวด Leptobrachium promustache Rao พบในมณฑลหยุนหนันเมื่อปี 2549 แต่เอาไปเอามากลายเป็นว่า พบในเวียดนามตั้งสองปีก่อนหน้านั้น 

       
ASTVผู้จัดการออนไลน์- นักวิทยาศาสตร์แห่งพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History) กับสถาบันเพื่อชีววิทยาและนิเวศวิทยาเวียดนาม (Institute for Ecological and Biological Resources of Vietnam) ได้ร่วมกันประกาศการค้นพบคางคกสายพันธุ์พิเศษในดินแดนเวียดนาม เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำพันธุ์ที่มีหนวด
       
       ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์อเมริกันกับนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนได้ร่วมกันประกาศการค้นพบคางคกพันธุ์นี้เมื่อปี 2549 ในเขตเมืองต้าเว่ย (Dawei) มณฑลหยุนหนันของจีน และตั้งชื่อสายพันธุ์ใหม่นี้ว่า Leptobrachium promustache Rao
       
       แต่นักวิทยาศาสตร์อเมริกันกับนักวิทยาศาสตร์เวียดนามกล่าวในรายงาน Herpetology Notes เล่มที่ 2 ปี 2009 ระบุว่า ได้ค้นพบสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำประหลาดนี้ตั้งแต่ปี 2547 ระหว่างออกสำรวจเก็บตัวอย่างชีวะนานาพันธุ์ ในเขตภูเขาหว่างเลียนเซิน (Hoang Lien Son) บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,300-1,400 เมตร ในท้องที่ อ.เวินบ่าน (Van Ban) จ.ก๋าวบ่าง (Cao Bang)
       
       นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ได้กล่าวว่า หลังจากเก็บตัวอย่างคางคกสายพันธุ์มีหนวดจากจุดสูงนั้นแล้ว ได้ออกสำรวจเก็บตัวอย่างต่อไปในอีกบริเวณหนึ่ง ห่างจากจุดเดิมราว 130 กม. บนความสูงจากระดับน้ำทะเลราว 700 เมตร และได้พบคางคกพันธุ์หนวดนี้อีก
       
       ตามข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์อเมริกันกับนักวิทยาศาสตร์จีนนั้น คางคกมีหนวดอาศัยอยู่ในเขตป่าดิบร้อนชื้นบนความสูงจากน้ำทะเล 2,500 เมตร


 
รูปหล่อ Limnonectes dabanus ตัวนี้ พบมากว่า 100 ปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรแน่ จนกระทั่งเมื่อปลายปีที่แล้วจึงทราบว่า อ๋อ.. เป็นกบหน้าตาแปลกๆ 
 
 
       อย่างไรก็ตามยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดอื่นๆ อีกเกี่ยวกับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำพันธุ์ใหม่นี้ นักวิทยาศาสตร์กล่าวแต่เพียงว่าเป็นสัตว์ที่ออกหากินในเวลากลางคืน
       
       หลายพื้นที่ของเวียดนามยังเป็นเขตที่มีชีวะนานาพันธุ์สมบูรณ์ มีการค้นพบสัตว์และพืชสายพันธุ์ใหม่ๆ มาเป็นระยะๆ
       
       เมื่อเร็วๆ นี้นักวิทยาศาสตร์สถาบันเพื่อชีววิทยาและนิเวศวิทยาเวียดนาม ได้ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์จากสวนสัตว์เมืองโคโลญจ์ (Cologne Zoo) แห่งเยอรมนี ประกาศค้นพบงูอีกสายพันหนึ่งและได้ตั้งชื่อว่า “ยาลายบอนการ์” (Gia Lai bongar) ตามแหล่งที่ค้นพบคือ จ.ซยาลาย ในเขตที่ราบสูงภาคกลาง
       
       เดือน ส.ค.ปีที่แล้วนักอนุรักษ์ธรรมชาติกับนักวิทยาศาสตร์เวียดนามได้ค้นพบกบสายพันธุ์ใหม่ รูปร่างประหลาดระหว่างออกสำรวจเขตป่าสงวนหวีงกู๋ (Vinh Cuu) จ.ด่งนาย (Dong Nai)


 
และนี่.. ซยาลายบอนการ์ (Gia Lai bongar) อสรพิษร้ายแห่ง จ.ซยาลาย ในเขตที่ราบสูงภาคกลาง 
 
 
       ที่นั่นเป็นผืนป่าที่ความหลากหลายทางชีวะนานาพันธุ์ยังคงสภาพที่สมบูรณ์สุดอีกแห่งหนึ่ง แม้ว่าสภาพแวดล้อมของจังหวัดนี้กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นศูนย์อุตสาหกรรมใหญ่ของประเทศ
       
       กบสเปชี่ใหม่ที่ถูกตั้งชื่อว่า Limnonectes dabanus นี้หาพบได้ยาก เคยมีผู้พบเมื่อปี 2440 หรือเมื่อกว่า 100 ปีก่อนบนเกาะฟุก๊วก (Phu Quoc) ในเขตอ่าวไทย จ.เกียนซยาง (Kien Giang) ปัจจุบัน แต่ยังไม่เคยมีการศึกษาชีวิตธรรมชาติของมันอย่างจริงจัง
       
       ก่อนหน้านั้นเพียงไม่นานก็มีการค้นพบนาคพันธุ์จมูกขน (hairy-nosed otto) ในเขตป่าภาคใต้ จ.ก่าเมา (Ca Mau) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าเป็นนาคสายพันธุ์หาพบยากที่สุด ก่อนหน้านี้เคยเชื่อกันว่าได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว.


 
 
บันทึกการเข้า
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #3 เมื่อ: เมษายน 11, 2009, 02:31:37 AM »

"ฟ้าผ่า" อาจเตือนได้ว่า พายุช่วงไหนรุนแรง



ปรากฏการณ์ฟ้าผ่าอาจตามมาด้วยพายุที่รุนแรง (ภาพจากเนชันแนลจีโอกราฟิก/Joel Sartore)
 
 
       เทคโนโลยีดาวเทียมและเรดาร์ในปัจจุบัน สามารถทำนายเส้นทางของพายุเฮอร์ริเคนได้ค่อนข้างแม่นยำ และการชี้ชัดลงไปว่า จะเกิดพายุเมื่อใด และมีความรุนแรงแค่ไหนั้น ยังเป็นเรื่องยากอยู่ แต่ปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่าง "ฟ้าผ่า" อาจช่วยพยากรณ์ได้ว่าพายุช่วงไหนรุนแรงที่สุด
       
       เนชันแนลจีโอกราฟิก ได้อ้างถึงรายงานล่าสุดของนักวิจัยเรื่องฟ้าผ่า จากมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ (Tel Aviv University) ในอิสราเอล นามว่า "คอลิน ไพรซ์" (Colin Price) ซึ่งเขาอธิบายว่า ความเร็วของสายฟ้าฟาดและความเร็วลมนั้นมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยมีช่วงที่ฟ้าผ่าสูงสุดประมาณ 30 นาทีก่อนเกิดลมแรงสูงสุด ซึ่งปรากฏการณ์ฟ้าผ่านี้ ทำให้เราได้ลางบอกเหตุล่วงหน้าก่อนเกิดพายุเฮอร์ริเคน และการใช้ฟ้าผ่าทำนายความรุนแรงของพายุ จะช่วยเหลือพื้นที่ซึ่งขาดเทคโนดลยีในการติดตามพายุเฮอร์ริเคน
       
       สำหรับงานวิจัยเพื่อหาความเชื่อมโยงระหว่างฟ้าผ่า และความรุนแรงของพายุเฮอร์ริเคนนั้น เริ่มมาเกือบ 20 ปีแล้ว โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่าพายุที่รุนแรงนั้นมักจะเกิดเหนือพื้นที่ซึ่งมีน้ำร้อนอันเนื่องจากการหมุนเวียนความร้อนของของเหลว โดยไพรซ์กล่าวว่า บางครั้งการหมุนเวียนความร้อนของพายุฝนฟ้าคะนองภายในพายุเฮอร์ริเคนนี้ ดูคล้ายจะจัดเตรียมพายุเฮอร์ริเคนได้ดีขึ้น และยังปรับการหมุนของพายุด้วย
       
       ไพรซ์และคณะ ได้เลือกข้อมูลความเร็วลมในพายุเฮอร์ริเคนใหญ่ๆ 56 ลูก ซึ่งมีระดับความรุนแรงอยู่ที่ระดับ 4 และ 5 ระหว่างปี 2548-2550 จากนั้นเปรียบเทียบกับข้อมูลฟ้าผ่าจากเครือข่ายเซนเซอร์ที่ติดตั้งทั่วโลก และพวกเขาได้พบความสัมพันธ์ว่ายิ่งมีฟ้าผ่ามากขึ้นก็มีความเร็วลมมากขึ้นด้วย ในสัดส่วนกว่า 95% และมากกว่า 70% ปรากฏการณ์ฟ่าผ่าเกิดขึ้นสูงในช่วง 30 ชั่วโมงก่อนเกิดลมที่มีความเร็วสูงสุด ซึ่งพวกเขาหวังว่า การทดสอบเชิงฟิสิกส์ในความเชือ่มโยงของ 2 ปรากฏการณ์นี้จะช่วยปรับปรุงการพยากร์ณการเกิดพายุเฮอร์ริเคนได้
       
       "ไม่ต้องสงสัยเลย คุณต่อกรกับเฮอร์ริเคนไม่ได้ แต่คุณก็อพยพผู้คนได้ก่อนที่พายุอันเลวร้ายจะเข้าถล่ม และคุณจะได้รับข้อมูลที่ดีกว่า หากคุณติดตามการเกิดปรากฏการณ์ฟ้าผ่า" ไพรซ์ให้ความเห็น.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 11, 2009, 02:38:43 AM โดย แมลงปอ » บันทึกการเข้า
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #4 เมื่อ: เมษายน 11, 2009, 02:38:13 AM »

ไทยเริ่มติดฉลากคาร์บอน ประเดิม "สตรอเบอรี่อบแห้งดอยคำ

"สินค้ามีฉลากคาร์บอน" หนึ่งในวิธีช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศเริ่มแจ้งเกิดในไทย ประเดิมที่ "สตรอเบอรี่อบแห้งดอยคำ" เป็นชิ้นแรก แต่จะมีตามมาอีกมากน้อยแค่ไหน และจะช่วยแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนได้จริงหรือไม่ นักวิชาการต่างลงความเห็นว่า "วิสัยทัศน์" ผู้ประกอบการคือตัวแปรสำคัญ และผู้บริโภคต้องมีส่วนช่วยผลักดัน
       
       ในการประชุมวิชาการประจำปี 2552 ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เมื่อวันที่ 12 มี.ค.52 ได้จัดเวทีเสวนา เรื่อง “การจัดทำฉลาก การปล่อยคาร์บอนที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย” โดยมี รศ.ดร.ธำรงรัตน์ มุ่งเจริญ เจ้าภาพโปรแกรมเทคโนโลยีรักษ์สิ่งแวดล้อม สวทช. เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ได้เข้าร่วมฟังด้วย
       
       ดร.รัตนวรรณ มั่งคั่ง อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้ประสานงานโครงการนำร่องการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมอาหารไทย เกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์และฉลากคาร์บอน สนับสนุนโดยสหภาพยุโรป (European Union) กล่าวถึงการจัดทำฉลากคาร์บอนในประเทศอังกฤษว่า มีการพัฒนาฉลากคาร์บอนควบคู่ไปกับการพัฒนาหน่วยงานรับรองฉลากคาร์บอน และมาตรฐานคาร์บอนฟุตพริ้นต์ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นและไว้วางใจ


ตัวอย่างฉลากคาร์บอนที่จะนำมาใช้ในประเทศไทย (ภาพจาก อบก.)
       
       ปัจจุบันนี้ ในอังกฤษมีสินค้าอุปโภคบริโภคหลากหลายชนิดที่ติดฉลากคาร์บอนแล้ว แต่ก็ยังมีการสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภค เพื่อพัฒนาฉลากคาร์บอนที่เหมาะสมต่อไป โดยผู้บริโภคกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยากให้มีการปรับเปลี่ยนฉลาคาร์บอนที่บ่งบอกในเชิงปริมาณหรือเป็นตัวเลขมากกว่าการบ่งบอกในเชิงคุณภาพ
       
       ด้าน ดร.รุ้งนภา ทองพูล นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) กล่าวว่า ในประเทศญี่ปุ่นมีการพัฒนาฉลากคาร์บอนโดยแสดงตัวเลขบ่งบอกปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นตลอดช่วงอายุ ซึ่งพิจารณาตั้งแต่วัตถุดิบที่ใช้ กระบวนการผลิต การการหรือจัดวางในซูเปอร์มาร์เก็ต การใช้งานของผู้บริโภค และการกำจัดหรือนำมารีไซเคิล อีกทั้งยังมีแนวทางแนะนำสำหรับผู้บริโภคในการใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นเพื่อให้ให้สูญเสียพลังงานหรือปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยที่สุด
       
       สำหรับการจัดทำฉลากคาร์บอนในประเทศไทยนั้น นักวิจัยเอ็มเทคบอกว่า ไทยต้องพิจารณาด้วยว่าจะจัดทำฉลากโดยคิดพิจารณาจากก๊าซเรือนกี่ชนิดจึงจะเหมาะสม จะคิดเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียงชนิดเดียว หรือจะรวมก๊าซชนิดอื่นด้วย ซึ่งที่ญี่ปุ่นคำนวนคาร์บอนฟุตพริ้นต์โดยพิจารณาก๊าซเรือนกระจกรวม 6 ชนิด
       
       ดร.ปัญจพร เวชยันต์วิวัฒน์ จากสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ผู้ดำเนินโครงการฉลากคาร์บอน ร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) กล่าวว่าฉลากคาร์บอนเป็นสื่อถึงผู้บริโภคว่าสินค้าชนิดนั้นปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณเท่าไหร่

      
       ทั้งนี้ จุดประสงค์ของการทำฉลากคาร์บอน ก็เพื่อสร้างความตระหนักทางด้านกลไกการตลาด ให้ผู้ประกอบการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และเป็นข้อมูลให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้า อีกทั้งยังเป็นการแสดงออกถึงการมีส่วนร่วมกับประชาคมโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
       
       ขณะนี้มีสินค้าไทยหลายชนิดแล้วที่ได้รับการอนุมัติ ให้ติดฉลากคาร์บอน โดยชนิดแรกคือสตรอเบอรี่อบแห้ง ตราดอยคำ ของบริษัทดอยคำผลิตอาหาร ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค.52


สตรอเบอรี่อบแห้ง ตราดอยคำ ที่ได้รับอนุมัติให้ติดฉลากคาร์บอนเป็นผลิตภัณฑ์แรกในประเทศไทย (ภาพจาก อบก.)
       
       ส่วนสินค้าประเภทอื่นที่ได้รับอนุมัติฉลากคาร์บอนแล้ว มีทั้งผลิตภัณฑ์ซีเมนต์, ไม้เทียม, ข้าวสารบรรจุถุง และถุงยางอนามัย
       
       ทั้งนี้ หลักเกณฑ์หลักๆ ในการพิจารณาอนุมัติสินค้าให้ติดฉลากคาร์บอนได้คือ ต้องเป็นสินค้าที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต ร้อยละ 10 ขึ้นไป เมื่อเทียบกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปีฐาน (ปี พ.ศ. 2545) และในกระบวนการผลิตจะต้องใช้ไฟฟ้าที่ได้จากชีวมวลหรือของเสียในโรงงานโดยอาจซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตภายนอกได้แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 5 ของปริมาณไฟฟ้าทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตสินค้า
       
       ดร.ปัญจพร กล่าวต่อว่า สิ่งที่ผู้บริโภคจะได้รับจากการจัดทำฉลากคาร์บอนคือ มีทางเลือกใหม่ในการซื้อสินค้าและมีส่วนร่วมในการช่วยลดการปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศได้ และเป็นการช่วยกระต้นให้ผู้ผลิตหันมาใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมโดยการปรับปรุงวัตถุดิบที่ใช้ กระบวนการผลิต การขนส่ง เพื่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณที่ลดลงกว่าเดิม ส่วนผู้ผลิตจะได้แสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสังคม สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัท หาวิธีปรับเปลี่ยนวัตถุดิบและกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานและช่วยลดต้นทุนได้ในที่สุด
       
       อย่างไรก็ดี แม้ว่าวิทยากรแต่ละคนที่มานำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับฉลากคาร์บอนในต่างประเทศและของประเทศไทยเอง ต่างมีความเห็นพ้องต้องกันว่าประเทศไทยควรมีการพัฒนาแนวทางการติดฉลากคาร์บอน ที่สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกการมีส่วนร่วมของคนไทย ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และพัฒนาศักยภาพของอุตสาหรรมไทยให้มีประสิทธิภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
       
       ทว่าปัญหาสำคัญของเรื่องนี้ ความเข้าใจในเรื่องรอยเท้าคาร์บอน หรือ คาร์บอนฟุตพรินต์ (carbon foot print) ของคนไทย และวิสัยทัศน์ของผู้ประกอบการ โดย ดร.อรรคเจตต์ อภิขจรศิลป์ รองเลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่าผู้ประกอบการมักมองที่ความคุ้มค่าเป็นหลัก และจำนวนไม่น้อยยังขาดความเข้าใจในเรื่องคาร์บอนฟุตพรินต์
       
       "แม้จะมีการจัดสัมมนาเรื่องเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นต์อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็อาจไม่ช่วยอะไรได้ เนื่องจากผู้ที่มาเข้าร่วมสัมมนาส่วนใหญ่คือนักวิทยาศาสตร์ นักสิ่งแวดล้อม ของบริษัทนั้นๆ ซึ่งไม่มีอำนาจตัดสินใจ แต่คนที่มีอำนาจตัดสินใจได้ก็มักไม่มาเข้าร่วมสัมมนาด้วยตัวเอง" ดร.อรรคเจตต์กล่าว
       
       นอกจากนี้ เขายังบอกว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประชาคมโลก เพราะฉะนั้นต้องมีส่วนร่วมและผลักดันเรื่องนี้ให้เกิดผลกันต่อไป ซึ่งวิสัยทัศน์ของผู้บริหารนับว่าเป็นตัวแปรที่สำคัญมากในการติดฉลากคาร์บอน องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกก็พัฒนาแนวทางการจัดทำฉลากคาร์บอนต่อไปให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น.


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 11, 2009, 02:40:06 AM โดย แมลงปอ » บันทึกการเข้า
Birdie ที่ไม่ใช่กาแฟ
อีกไม่กี่กระทู้ก็ได้5ดาวแล้วเร่งมือหน่อย
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 295



« ตอบ #5 เมื่อ: เมษายน 11, 2009, 03:19:01 AM »

ขอบคุณค่ะ สำหรับสรุปข่าว บ้านนี้น่ารักกันจริง ๆ        

พอพูดถึงกบกะคางคกจมูกขน คิดถึงผู้ชายที่มีขนจมูกแล้วไม่ยอมตกแต่ง.... เหมือนกันมั้ยเนี่ย ..... คราวหน้าจะได้แอบไปเรียกผู้ชายพวกนี้ว่าคางคก....555555
บันทึกการเข้า
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #6 เมื่อ: เมษายน 11, 2009, 03:23:48 AM »

  มาส่งเสียงฮาแต่เช้าเลยนะ 
บันทึกการเข้า
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #7 เมื่อ: เมษายน 11, 2009, 03:40:06 AM »


 
มาส่งเสียงด้วยอีกคนจ้า......


ขอบคุณหนูแมลงปอมากๆนะจ๊ะสำหรับข่าวสารน่ารู้.....


ตอนนี้หิวข่าวกันมากๆจ้ะ  ดูทีวีที่ฟิลิปปินส์อย่างไงก็ไม่เหมือนข่าวจากบ้านเรา



บันทึกการเข้า

Saaychol
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.025 วินาที กับ 21 คำสั่ง