กระดานข่าว Save Our Sea.net
มีนาคม 29, 2024, 12:07:57 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันเสาร์ที่ 18 เมษายน 2552  (อ่าน 2846 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: เมษายน 18, 2009, 02:19:02 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ประกาศเตือนภัย "พายุไซโคลน “บิจลี (Bijli)”"   ฉบับที่ 2 (69/2552) ลงวันที่ 18 เมษายน 2552
 
     พายุไซโคลน “ บิจลี (Bijli) ” บริเวณอ่าวเบงกอลตอนบน เมื่อเวลา 01.00 น. วันนี้ (18 เมษายน 2552) ได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชั่นแล้ว โดยเมื่อเวลา 04.00 น. มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 260 กิโลเมตรทางทิศตะวันตกค่อนไปทางใต้ของเมืองมันดาเลย์ ประเทศพม่า หรือที่ ละติจูด 22.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 91.5 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันออกค่อนไปทางเหนือเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่า พายุนี้จะเคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศบังคลาเทศ และด้านตะวันตกของประเทศพม่า ในแนวเมืองจิตตะกอง และเมืองมันดาเลย์ตามลำดับ ในช่วงวันที่ 18-19 เมษายน 2552 ลักษณะเช่นนี้ทำให้ด้านตะวันตกของภาคเหนือและภาคกลางของประเทศไทยมีฝนตกมากกว่าบริเวณอื่นๆในช่วงวันที่ 18-20 เมษายน 2552 รวมทั้งคลื่นลมในทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตรโดยเฉพาะในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ขอให้ประชาชนและชาวเรือในบริเวณดังกล่าวระมัดระวังอันตรายจากสภาวะอากาศดังกล่าวไว้ด้วย 


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อน อุณหภูมิสูงสุด 37-38 องศาโดยมีฝนฟ้าคะนองและมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ส่วนมากปริมณฑล ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 18-19 เม.ย. พายุไซโคลนบิจลี “BIJLI” (01B) ที่อยู่บริเวณอ่าวเบงกอลตอนบนจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศบังคลาเทศและด้านตะวันตกของพม่า ส่งผลให้ลมตะวันตกและลมตะวันตกเฉียงใต้พัดเข้าปกคลุมประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยทางด้านตะวันตกมีฝนเพิ่มมากขึ้น โดยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย และมีลมกระโชกแรงบางแห่ง หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 20-24 เม.ย. ลมตะวันตกและลมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนลดลง และมีอากาศร้อนขึ้น


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะนี้



* Forecast2.jpg (39.7 KB, 684x423 - ดู 571 ครั้ง.)

* Earthquake.jpg (40.1 KB, 450x497 - ดู 576 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: เมษายน 18, 2009, 02:56:32 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


เที่ยวบางสะพาน ยลหาดทรายสงบงาม ที่"บ้านกรูด"


เรือน้อยลอยสงบนิ่งอยู่ในทะเลหน้าหาดบ้านกรูด 
 
       พูดถึงชายหาดขึ้นชื่อของจังหวัดประจวบฯ แทบทุกคนต้องนึกถึงหาดหัวหิน แหล่งตากอากาศคลาสสิคของชาวกรุงมาทุกยุคทุกสมัย มนต์เสน่ห์หัวหินงดงามไม่เสื่อมคลายก็จริง แต่ในช่วงหน้าร้อนที่ใครๆก็ต้องการไปดับร้อนที่ชายทะเล ก็ทำให้หัวหินคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ จนอาจขาดความสงบไปสักเล็กน้อย
       
       แต่หากนั่งรถเลยหัวหินมาอีกซักหน่อย ความสงบเงียบแต่งดงามของหาด "บ้านกรูด" ในอำเภอบางสะพาน ก็อาจทำให้ใครหลายๆคนเกิดความประทับใจได้ไม่น้อยเช่นกัน

   
ชายหาดอันเงียบสงบที่หาดบ้านกรูด   
 
       "ตะลอนเที่ยว" ได้ยินชื่อเสียงความสงบงามของบ้านกรูดมานาน แต่เพิ่งได้มาสัมผัสอย่างใกล้ชิดก็วันนี้ โดยเราเลือกเดินทางไปเยือนบ้านกรูดโดยรถไฟ ซึ่งหากไปกับขบวนรถด่วนพิเศษหรือสปรินเตอร์ก็จะใช้เวลาราว 5 ชั่วโมง ออกเดินทางตอนเช้าก็จะมาถึงสถานีบ้านกรูดตอนบ่ายพอดี
       
       ทริปนี้เราเลือก "คีรีวารี ซีไซด์ วิลล่า แอนด์ สปา" บูติครีสอร์ทน่ารักๆเป็นสถานที่พักผ่อน ก่อนจะออกมาสำรวจชายหาดบ้านกรูด และพบว่าความสวยงามและเงียบสงบที่ร่ำลือกันมานั้นไม่ผิดไปจากความเป็นจริง น้ำทะเลสีเขียวสดใส หาดทรายสีขาวทอดยาวไปไกลเหมาะแก่การเดินเล่นสัมผัสบรรยากาศสบายๆ ถนนเส้นเล็กๆ ที่คั่นระหว่างชายหาดและรีสอร์ทหลากหลายแห่งก็เป็นเส้นทางขี่จักรยานกินลมทะเลที่น่าเพลิดเพลินไม่น้อย และการมีถนนมาคั่นนี้ทำให้เราไม่รู้สึกว่าหาดทรายถูกครอบครองเป็นหาดส่วนตัวโดยรีสอร์ทแห่งใดแห่งหนึ่งอีกด้วย

   
หลวงพ่อใหญ่ หรือพระพุทธกิติสิริชัย 
 
       ที่บ้านกรูดนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวอันงดงามอย่าง "พระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ" พระเจดีย์อลังการบนเขาธงชัยที่สามารถมองเห็นได้ไกลตั้งแต่เดินเล่นอยู่บนชายหาดบ้านกรูดนั่นแหละ พระมหาธาตุองค์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ "วัดทางสาย" ได้รับการออกแบบโดย ม.ร.ว.มิตรารุณ เกษมศรี ศิลปินแห่งชาติและสถาปนิกในสำนักพระราชวัง สร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 50 พรรษานั่นเอง
       
       ก่อนจะขึ้นไปถึงองค์พระธาตุ นักท่องเที่ยวแทบทุกคนก็จะต้องแวะกราบ "หลวงพ่อใหญ่" หรือ "พระพุทธกิติสิริชัย" พระพุทธรูปปางสมาธิขนาดใหญ่ ศิลปะแบบคันธาระที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะกรีกนั่นเอง สร้างขึ้นในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงมีพระชนมายุครบ 5 รอบ พระพุทธรูปองค์นี้มีขนาดหน้าตักกว้างถึง 10 เมตร มองเห็นได้เด่นชัดในระยะไกลเช่นกัน และบริเวณองค์หลวงพ่อก็ยังเป็นจุดชมวิวหาดบ้านกรูดในมุมสูงที่สวยงามอีกด้วย

   
พระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ 
 
       จากองค์หลวงพ่อใหญ่เราเดินขึ้นเขาไปอีกนิดหน่อย ก็จะถึงองค์เจดีย์ซึ่งประกอบไปด้วยหมู่เจดีย์ 9 องค์ มีเจดีย์องค์ประธานอยู่ตรงกลาง บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายใน
       
       "ตะลอนเที่ยว" ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆภายในพระมหาธาตุเจดีย์นี้จากน้องๆมัคคุเทศก์น้อยจากโรงเรียนธงชัยวิทยา ทำให้ทราบว่าภายในนี้นั้นแบ่งเป็น 5 ชั้นด้วยกัน ชั้นล่างสุดเป็นชั้นใต้ดินเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ชั้นที่สองเป็นศาลาอเนกประสงค์ ส่วนชั้นที่ 3 ซึ่งเป็นชั้นที่เราเดินขึ้นบันไดมานั้น ก็เป็นชั้นพระวิหาร ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป 4 อิริยาบถประจำ 4 ทิศ และมีงานจิตรกรรมฝาผนังเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับงานพระราชพิธี 12 เดือน และประเพณีท้องถิ่นของภาคต่างๆ

   
พระพุทธรูปงดงามในชั้น 4 ซึ่งเป็นชั้นพระอุโบสถ 
 
       ส่วนบนชั้น 4 เป็นชั้นพระอุโบสถ มีพระพุทธรูปปางลีลาอันสง่างามเป็นพระประธานอยู่กลางห้อง และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันประณีต โดยเฉพาะภาพที่อยู่ด้านหลังพระประธานนั้นเป็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์วาดได้งดงามเป็นอย่างยิ่ง และในชั้นนี้ยังมีการประดับแผ่นกระจกสีตามช่องหน้าต่าง โดยบนแผ่นกระจกสีนั้นเป็นเรื่องราวของเรื่องพระมหาชนก มีจำนวน 20 ภาพด้วยกัน สามารถเดินชมได้ตามอัธยาศัย
       
       และด้านชั้นบนสุดหรือชั้น 5 นั้น เป็นชั้นที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปทองคำปางประจำพระชนมวารของในหลวง แต่สำหรับคนที่อยากขึ้นไปกราบสักการะนั้นก็ต้องเตรียมตัวให้ดี เพราะทางวัดนั้นจะเปิดให้ขึ้นไปไหว้เพียงแค่ปีละ 3 วันเท่านั้น คือวันวิสาขบูชา วันก่อนวันวิสาขบูชา และหลังวันวิสาขบูชาเท่านั้น

   
ปลามากมายมาเล่นน้ำด้วยที่อ่าวกรวด เกาะทะลุ 
 
       มาทะเลทั้งทีก็ต้องได้สัมผัสน้ำทะเลกันหน่อย นอกจากจะเล่นน้ำกันตรงหน้าหาดบ้านกรูดแล้ว ใครที่ชอบดำน้ำแบบผิวน้ำ (Snorkeling) ก็ต้องไม่พลาดการไปดำน้ำที่ "เกาะทะลุ" เกาะใหญ่ในอำเภอบางสะพานน้อยที่อยู่ห่างจากฝั่งไป 7 กิโลเมตร และเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังที่สวยงามแห่งหนึ่งของฝั่งอ่าวไทย เหตุที่ได้ชื่อว่าเกาะทะลุก็เนื่องจากภูเขาทางทิศเหนือที่มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงนั้นมีช่องทะลุทางด้านล่างของเกาะ สามารถมองลอดไปได้ ช่องดังกล่าวนั้นเกิดจากการกัดกร่อนของคลื่นลมและกระแสน้ำ เวลาน้ำลงจะเห็นเป็นโพรงชัดเจนนั่นเอง
       
       เรือของ "สุชาติทัวร์" เป็นคนพาเรามาดำน้ำที่เกาะทะลุ แต่ในครั้งนี้เราไม่ได้ขึ้นไปเหยียบเกาะ เพียงแค่ไปดำน้ำที่ "อ่าวกรวด" อ่าวด้านหนึ่งของเกาะทะลุ ที่เต็มไปด้วยปลาตะกรับลายที่ว่ายวนเวียนกันเป็นฝูง นักท่องเที่ยวมักเตรียมขนมเล็กๆน้อยๆ ไปฝากเจ้าปลาพวกนี้

   
เกาะสิงห์ แหล่งดำน้ำขึ้นชื่อของจังหวัดประจวบฯ 
 
       ปะการังบริเวณอ่าวกรวดนั้นก็มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นปะการังโขด และปะการังเขากวาง ดอกไม้ทะเลที่มีปลาการ์ตูนยื่นหน้าออกมาเยี่ยมๆมองๆ ส่วนบรรดาปลานั้นนอกจากปลาตะกรับลายที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีทั้งปลานกแก้ว ปลาผีเสื้อ และอีกหลายชนิดที่ระบุชื่อไม่ได้ ส่วนอีกที่หนึ่งที่เราจะไปดำกันนั้นก็คือที่ "เกาะสิงห์" เกาะเล็กๆที่อยู่ไม่ห่างจากเกาะทะลุมากนัก ที่นี่ก็เป็นจุดดำน้ำอีกแห่งหนึ่งที่มีปะการังโขด ปะการังเขากวาง และปลานานาชนิดให้ชมเช่นกัน
       
       และเมื่อได้เดินทางมาถึงอำเภอบางสะพานน้อยแล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะไปเยี่ยมชม "สถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากร" หรือหากเอ่ยว่า "ฟาร์มบางเบิด" อาจจะคุ้นหูมากกว่า เพราะเป็นถิ่นกำเนิดของ "แตงโมบางเบิด" ซึ่ง มจ.สิทธิพร กฤดากร บิดาแห่งการเกษตรแผนใหม่ ได้ทรงนำแตงโมพันธุ์ทอม วัตสัน จากอเมริกามาปลูกได้ผลผลิตน้ำหนักถึง 30 กิโลกรัม จนเป็นที่ฮือฮา และทำให้คนรู้จักบางเบิดกันมากขึ้น

   
ตำหนักที่สร้างจำลองตำหนักของ มจ.สิทธิพร ปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ 
 
       วันนี้ฟาร์มบางเบิดหรือสถานีวิจัยสิทธิพรกฤดากรอยู่ในความดูแลของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำหน้าที่ทดลอง ค้นคว้า ศึกษาหาวิธีทำการเกษตรที่เหมาะสมแก่พื้นที่ในภาคใต้ ซึ่งภายในสถานีฯก็มีแปลงทดลองพันธุ์พืชต่างๆ เช่นปาล์ม ข้าวโพด ยางพารา กระบองเพชรชนิดต่างๆ ฯลฯ แต่ที่ฉันมาเยี่ยมชมที่สถานีฯในวันนี้ก็เพราะอยากมาชม "พิพิธภัณฑ์หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร" ซึ่งตั้งอยู่ในตำหนักบางเบิด ตำหนักที่สร้างจำลองจากตำหนักบางเบิดเก่าอันเป็นที่ประทับของ มจ.สิทธิพร ซึ่งตอนนี้เหลือให้ชมเพียงฐานรากของอาคารเท่านั้น
       
       ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแต่งอย่างเรียบง่าย แต่มีพระประวัติของ มจ.สิทธิพรอย่างครบถ้วน ทำให้เราได้ทราบเรื่องราวชีวิตของเชื้อพระวงศ์ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่โตอยู่ในราชการ แต่กลับเลือกที่ถวายบังคมลาออกมาทำไร่ทำสวนอยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญในขณะนั้น ได้ทราบเรื่องราวของชายาของพระองค์คือ เจ้าศรีพรหมา ซึ่งก็มีพระประวัติน่าสนใจไม่แพ้กัน รวมไปถึงมีข้าวของส่วนพระองค์บางส่วนจัดแสดงไว้ให้ชม และมีเหรียญรางวัลแมกไซไซที่ทรงได้รับการถวายใน พ.ศ.2510 จัดแสดงไว้ด้วย

   
ภายในพิพิธภัณฑ์หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร 
 
       จากสถานีฯ เดินทางต่อไปอีกนิดเดียวก็จะได้ชมสิ่งมหัศจรรย์ของเมืองไทย เพราะฉะนั้นเดินทางไปต่อกันที่ "สันทรายบางเบิด" สันทรายขนาดใหญ่มหึมาที่ทอดตัวอยู่ริมชายฝั่งระหว่างอำเภอบางสะพานน้อย ของจังหวัดประจวบฯ และอำเภอปะทิว ของจังหวัดชุมพร ซึ่งถือเป็นแนวสันทรายที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเลยทีเดียว
       
       คนที่ยังไม่เคยเห็นอาจจะไม่คิดว่าแปลกตรงไหน ในเมื่ออยู่ติดทะเลก็ต้องมีเนินทรายเป็นธรรมดา แต่ขอบอกว่าที่นี่ไม่ธรรมดา เพราะเป็นเนินทรายสูงกว่า 30 เมตร หรือเนินเขาขนาดย่อมๆ มีเม็ดทรายขาวละเอียดตลอดระยะทางที่ยาวถึง 10 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ เกิดขึ้นจากฝีมือของธรรมชาติมายาวนานเป็นพันปี โดยมีส่วนสำคัญจากลมที่พัดต้องแรงสม่ำเสมอต่อเนื่องยาวนาน หน้าทะเลเปิดโล่ง หาดทรายต้องมีระยะน้ำขึ้นลงกว้าง ส่วนเมล็ดทรายนั้นก็ต้องละเอียดและมีน้ำหนักเบามากพอที่จะปลิวตามแรงลมทับถมกันขึ้นมาอย่างต่อเนื่องทีละเล็กทีละน้อยจนกลายเป็นเนินสันทรายขนาดมหึมาอย่างที่เห็น และบนสันทรายนี้ก็ยังมีพืชพันธุ์เฉพาะถิ่นกว่า 150 ชนิดที่หาดูได้ยาก

   
สันทรายบางเบิด อีกหนึ่งความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ  
 
       ใช้เวลาสัก 3 วัน 2 คืน กับการพักผ่อนบนหาดบ้านกรูด และท่องเที่ยวไปในอำเภอบางสะพาน เป็นเวลาที่กำลังดี ไม่เหนื่อยกับการเดินทางมากจนเกินไป แต่เชื่อว่าใครที่ได้มาถึงที่นี่แล้ว อาจจะคิดว่า 2 คืนยังน้อยไป ขออยู่ต่ออีกซัก 3-4 หรือ 5 คืน อันนี้ก็ตามแต่ใจ ไม่ขัดศรัทธา

   
เส้นทางชมธรรมชาติที่สันทรายบางเบิด
 
 
       *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *   
       
       การเดินทางมายังหาดบ้านกรูด สามารถเดินทางได้โดยรถทัวร์ หรือรถไฟ หากขับรถยนต์ส่วนตัวจากหัวหินให้วิ่งมาทาง อ.ปราณบุรี ผ่าน อ.สามร้อยยอด ผ่าน อ.เมืองประจวบฯ และผ่าน อ.ทับสะแก จาก อ.ทับสะแกไป 19 ก.ม. จะมีทางแยกซ้ายมือเข้าบ้านกรูด วิ่งตามถนนไปอีกประมาณ 10 ก.ม.ก็จะถึงชายหาดบ้านกรูด
       
       "พิพิธภัณฑ์ มจ.สิทธิพร กฤดากร" เปิดให้บริการวันจันทร์-วันเสาร์ เวลา 08.00-17.00 น. หากต้องการเข้าชมควรแจ้งลวงหน้าที่โทร.08-1868-2022
   


*******************************************************************************************************************************************


ไทยลดก๊าซเรือนกระจกได้ 4 ล้านตัน/ปี อบก. เดินหน้าหนุนเอสเอ็มอีทำ CDM

อบก. รับรอง CDM ของไทยไปแล้ว 60 โครงการ หลังเริ่มทำได้ 1 ปี มี 16 โครงการของไทย ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับยูเอ็นแล้ว ทำให้ไทยช่วยลดก๊าซเรือนกระจก ได้กว่า 4 ล้านตันต่อปี หากขายไปจะได้เงินเข้าประเทศกว่า 2,000 ล้านบาท ผอ.อบก.เชื่อคาร์บอนเครติดจะยังอยู่หลังพิธีสารเกียวโตหมดอายุ พร้อมเร่งสนับสนุนเอสเอ็มอีไทยทำคาร์บอนเครดิต
       
       นายศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ว่า ขณะนี้ อบก. ได้ให้การรับรองโครงการการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด หรือ ซีดีเอ็ม (Clean Development Mechanism : CDM) เพื่อสร้างคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ในประเทศไทยไปแล้ว 60 โครงการ โดยมี 16 โครงการที่ได้รับการรับรองจากสหประชาชาติ (UN) เรียบร้อยแล้ว
       
       "อบก. เริ่มดำเนินโครงการซีดีเอ็มได้ประมาณ 1 ปี โดยขณะนี้ได้ให้การรับรองโครงการของผู้ประกอบการไทยที่จะสามารถขายคาร์บอนเครดิตได้ไปแล้วจำนวน 60 โครงการ และคาดว่าสิ้นเดือน เม.ย. นี้จะเพิ่มขึ้นอีก 4 โครงการ โดยในจำนวนนี้มี 16 โครงการที่ได้รับการรับรองจากยูเอ็นแล้ว
       
       รวมแล้วปัจจุบันประเทศไทยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ประมาณ 4.2 ล้านตันต่อปี และหากคิดเป็นมูลค่าการซื้อขายคาร์บอนแล้ว ประเทศไทยจะมีรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี" นายศิริธัญญ์เผย
       
       ทว่าขณะนี้ยังไม่มีตัวเลขการซื้อขายคาร์บอนเครดิตของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แต่อาจมีผู้ประกอบการบางรายที่ดำเนินการขายคาร์บอนเครดิตกันไปบ้างแล้ว
       
       ผอ.อบก.กล่าวต่อว่า ผลการดำเนินโครงการที่ผ่านมาแม้จะมี 60 โครงการที่ผ่านการรับรองแล้ว แต่ก็ยังเป็นตัวเลขที่ยังไม่น่าพอใจมากเท่าที่ควร ทว่าก็ยังตั้งเป้าไม่ได้มาก เพราะยังไม่รู้แน่ชัดว่าโครงการของประเทศไทยมีศักยภาพมากน้อยแค่ไหน
       
       อย่างไรก็ตาม อบก.ก็จะเน้นให้การสนับสนุนโครงการในระดับเอสเอ็มอี (SME) ให้มากยิ่งขึ้น ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่นั้นเชื่อว่าไม่มีอะไรน่าห่วง อีกทั้งยังอยากให้โครงการเล็กๆ หลายๆ โครงการได้ร่วมมือกันเพื่อให้กลายเป็นโครงการใหญ่ขึ้นด้วย
       "ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการที่ประเทศไทยทำซีดีเอ็ม จะทำให้เรามีรายได้เข้าประเทศมากขึ้นจากขายคาร์บอนเครดิต สามารถช่วยให้โครงการที่มีปัญมลพิษเป็นโครงการสะอาดขึ้นได้ ช่วยลดการใช้พลังงาน ลดการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลจากต่างประเทศได้เป็นจำนวนมาก" นายศิริธัญญ์กล่าว
       
       "และไทยต้องเป็นส่วนหนึ่งของนานาประเทศที่ช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนด้วยในส่วนของประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งซีดีเอ็มนั้นเป็น 1 ใน 3 แนวทางหลักของพิธีสารเกียวโต และข้อตกลงใหม่ที่จะเกิดขึ้นหลังพิธีสารเกียวโตหมดอายุลง ก็มีแนวโน้มว่าจะยังคงมีแนวทางของซีดีเอ็มอยู่ด้วยอย่างแน่นอน" นายศิริธัญญ์กล่าว
       
       ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ในการพิจารณาเพื่อให้การรับรองแก่โครงการที่ต้องการเข้าร่วมในซีดีเอ็มเพื่อสร้างคาร์บอนเครดิตนั้น ผอ.อบก. แจงว่า จะพิจารณาทั้งในด้านเทคโนโลยี การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ เป็นหลัก และในอนาคตอาจมีการปรับเปลี่ยนมาตรฐานและเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการสนใจร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตมากยิ่งขึ้นด้วย.

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 18, 2009, 02:59:17 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: เมษายน 18, 2009, 03:06:07 AM »

ข่าวสด


น้ำพุร้อน-อ่าวสิเกา แหล่งเที่ยวเชิงนิเวศ                             :                             รายงานพิเศษ


 
บ่อน้ำพุร้อนอ่าวสิเกา เป็นอีกหนึ่งบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในจังหวัดตรัง อยู่คู่ท้องถิ่นมาแล้วกว่า 100 ปี ในพื้นที่ตำบลบ่อหิน อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง

โดยนายบรรจง นฤพรเมธี อายุ 46 ปี ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอสิเกา และประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเลี้ยงปลากระชัง บ้านพรุจูด ตำบลบ่อหิน กล่าวว่า บ่อน้ำพุร้อนอ่าวสิเกา เกิดขึ้นจากการค้นพบของชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งมีอาชีพทำประมงพื้นบ้าน โดยการหาปูหาปลาเลี้ยงชีพ

สำหรับชาวบ้านที่ไปพบเห็นบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้เป็นทีมแรกๆ นั้นคือ กลุ่มชาวบ้านที่เข้าไปหาปู หรือที่เรียกว่า การจมปู ในพื้นที่บริเวณปากโกงกางริมชายฝั่ง และเมื่อถึงเวลาบ่าย 2 ก็จะพบเห็นว่า บริเวณกลางลำคลองที่น้ำลด จะมีลักษณะน้ำผุดขึ้นมาเป็นวงกว้าง ขนาดประมาณ 1 เมตร และมีความสูงประมาณ 40-50 เซนติเมตร
 


โดยน้ำที่ผุดขึ้นมาจะมีความร้อนประมาณ 45-47 องศาเซลเซียส

ทั้งนี้ ชาวบ้านที่พบเห็นเชื่อว่าเป็นบ่อน้ำพุร้อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยที่ไม่มีใครกล้าที่จะไปลบหลู่หรือไปรบกวน นอกจากจะใช้ในการปรุงอาหารเพื่อประทังชีวิต โดยการนำปูที่จับได้มาหย่อนลงไปในบ่อน้ำร้อนจนสุก แต่ก่อนหน้านั้นชาวบ้านก็ไม่ได้นำเรื่องนี้ไปเผยแพร่ต่อให้บุคคลภายนอกได้รับรู้ และอยากจะคงสิ่งที่เกิดขึ้นไว้ให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด จึงทำให้บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ไม่มีใครรู้จัก หรือแม้กระทั่งคนในพื้นที่เองก็เพิ่งจะรับรู้เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา
 


อย่างไรก็ตาม จากการได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้เฒ่าผู้แก่ ในเรื่องของการพัฒนาพื้นที่ เพื่อให้มีการขยายการประกอบอาชีพ นอกเหนือจากการทำประมงพื้นบ้านเพียงอย่างเดียว ที่ปัจจุบันนับวันสัตว์น้ำจะลดน้อยลง ดังนั้น ชาวบ้านทุกคนจึงร่วมมือร่วมใจกันพัฒนา ด้วยการฟื้นฟูธรรมชาติให้กลับคืนมา และหวังจะยกระดับขึ้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพื่อดึงรายได้จากการท่องเที่ยวเข้ามาสู่ท้องถิ่นอีกทางหนึ่ง จนเป็นที่มาของแนวคิดในการชูบ่อน้ำพุร้อนอ่าวสิเกา เป็นจุดขายแห่งใหม่

สำหรับความสวยงามของบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ก็คือ เมื่อถึงช่วงเวลาที่น้ำทะเลขึ้นสูงสุด บริเวณที่เป็นบ่อน้ำพุร้อนก็จะมองเห็นเพียงควันลอยฟุ้งออกมา หรือมีลักษณะคล้ายๆ กับหมอกควัน

และเมื่อถึงช่วงเวลาน้ำตาย หรือช่วงที่น้ำทะเลลดต่ำสุด ก็จะพบเห็นเป็นบ่อน้ำพุร้อนผุดขึ้นมา

นอกจากนี้ ยังมีความแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่งก็คือ น้ำพุที่ผุดขึ้นมาเป็นน้ำจืดที่สามารถนำมาดื่มกินได้

สร้างความแตกตื่นให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาพบเห็นเป็นอย่างมาก

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.05 วินาที กับ 20 คำสั่ง