กระดานข่าว Save Our Sea.net
เมษายน 24, 2024, 05:05:09 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม 2552  (อ่าน 4520 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2009, 07:17:34 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

พายุโซนร้อน “จันหอม” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง เมื่อเวลา 04.00 น.วันนี้ (5 พ.ค. 52) มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 330 กิโลเมตรทางทิศตะวันออกของ เมืองนาตรัง ประเทศเวียดนาม หรือที่ละติจูด 11.8 องศาเหนือ ลองจิจูด 112.2 องศาตะวันออก มีความเร็วสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 85 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศเหนือค่อนทางตะวันออกอย่างช้าๆส่งผลทำให้ลมตะวันออกพัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน และมีแนวพัดสอบเข้าหากันของลมตะวันตกกับ ลมตะวันตกเฉียงเหนือพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกมีฝนน้อย ส่วนภาคใต้ตอนล่าง มีฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมในอ่าวไทยตอนล่าง และ ทะเลอันดามันคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตรโดยเฉพาะบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากสภาวะ ฝนตกหนัก และชาวเรือควรระมัดระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงในช่วงวันที่ 5-6 พฤษภาคม 2552 ไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 5-6 พ.ค. พายุโซนร้อน “จันหอม” ยังคงอยู่บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามส่งผลให้ลมตะวันออกพัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน และเกิดแนวลมพัดสอบของลมตะวันตกกับลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดปกคลุมภาคใต้ตอนล่าง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนน้อย โดยในภาคใต้มีฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยตอนล่างและทะเลอันดามันโดยเฉพาะบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองจะมีกำลังแรง หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 7-11 พ.ค. พายุโซนร้อน “จันหอม” ที่อยู่บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางจะเคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออกหรือมุ่งหน้าเข้าสู่ประเทศฟิลิปปินส์ส่งผลให้ลมตะวันตกเฉียงใต้พัดเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเพิ่มขึ้น ส่วนภาคใต้โดยเฉพาะทางตอนล่างยังมีฝนต่อเนื่อง สำหรับคลื่นลมในอ่าวไทย ทางตอนล่างจะมีกำลังอ่อนลง


ข้อควรระวัง

สำหรับในช่วงวันที่ 5-6 พ.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากภาวะฝนตกหนัก ส่วนคลื่นลมอ่าวไทยตอนล่างและทะเลอันดามันมีกำลังแรงโดยเฉพาะในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือระวังอันตรายในการเดินเรือ

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2009, 07:28:51 AM »

ผู้จัดการออนไลน์


ชาวบ้านร้อง “อภิสิทธิ์” โวยสผ.ส่อพิรุธเร่งประกาศแม่รำพึงเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ


ชาวบ้านแม่รำพึงยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีผ่านทางนางจินตนา ทวีมา รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ชาวบ้านแม่รำพึงยื่นหนังสือถึงนายกฯ ค้านประกาศยกระดับพื้นที่แม่รำพึงเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ โวยชาวบ้านไม่มีส่วนรับรู้ ร้องให้เร่งตรวจสอบการทุจริตและผลประโยชน์ทับซ้อนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
       
       วันนี้ (4 พ.ค.) เวลา 10.00 น. ณ ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล ในการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ชาวบ้านแม่รำพึงหมู่ 1 และ หมู่ 7 อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวนประมาณ 30 คน นำโดย นายสักรินทร์ สังข์แดง เข้ายื่นหนังสือต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการฯ โดยมี นางจินตนา ทวีมา รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้รับเรื่อง เพื่อคัดค้านการประกาศยกระดับพื้นที่แม่รำพึงเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ โดยปราศจากการมีส่วนร่วมรับรู้และร่วมตัดสินใจของประชาชนในพื้นที่ พร้อมขอให้นายกรัฐมนตรีช่วยตรวจสอบประวัติและเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ ทุกชุด รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทั้งฝ่ายการเมือง ข้าราชการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ สผ.
       
       นายสักรินทร์ กล่าวว่า ที่ตนและชาวบ้านเดินทางมายื่นหนังสือคัดค้านในวันนี้ เพราะได้รับความเดือดร้อนอย่างใหญ่หลวงจากนโยบายของภาครัฐ เนื่องจากความพยายามของกระทรวงทรัพยากรฯ ที่เร่งประกาศยกระดับพื้นที่ในบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติ โดยที่ชาวบ้านซึ่งเป็นคนในชุมชนท้องถิ่นไม่ได้มีส่วนรับรู้ และปัจจุบันได้มีการเข้าไปติดป้ายประกาศเขตเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำแล้ว ที่ผ่านมาการร่วมรับรู้ข้อมูลและการเปิดรับฟังความคิดเห็นไม่เคยมีการจัดขึ้นในพื้นที่อย่างถูกต้องตามกระบวนการ มีเพียงกลุ่มคนบางกลุ่มที่สนับสนุนเพราะได้รับผลประโยชน์ ซึ่งไม่ได้เป็นตัวแทนของชาวบ้านเข้าร่วม อีกทั้งยังปราศจากข้อมูลสนับสนุน อ้างอิงที่ดีพอในทางวิชาการ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังดื้อดึงที่จะประกาศยกระดับพื้นที่ชุ่มน้ำระดับชาติโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง ชาวบ้านจะเดินหน้าคัดค้านจนถึงที่สุด และจะขอพึ่งบารมีศาลปกครองฟ้องร้องหน่วยงาน หรือคณะกรรมการผู้พิจารณาอนุญาตให้มีคำสั่งระงับการดำเนินการต่อไป
       
       ภายหลังการยื่นหนังสือชาวบ้านได้ทยอยกันเดินทางกลับ ด้านรองเลขาธิการสผ.ได้รับเรื่องไว้และรับปากกับชาวบ้านว่าจะดำเนินการตรวจสอบโดยเร็ว


**************************************************************************************


กรมทรัพยากรฯ สั่งกรมประมงตรวจพื้นที่เสี่ยงทำประมงผิด ก.ม.

      นายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์สัตว์ทะเลขนาดใหญ่ เข้ามาเกยตื้นในพื้นที่ชายฝั่งทะเลของไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปลายปี 2551 โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน ดังนั้นกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จึงเร่งศึกษาและเก็บข้อมูลทางสถิติ เพื่อหาสาเหตุดังกล่าว และพบว่า สาเหตุการตายเกิดจากการทำประมงที่ผิดกฎหมาย โดยมีการนำอวนลาก อวนรุน เข้าไปบุกรุกแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ เช่น พะยูน ซึ่งนอกจากจะทำให้พะยูนตกใจ และขึ้นมาเกยตื้นบนชายฝั่งแล้ว การทำประมงด้วยวิธีที่ผิดกฎหมาย ยังสร้างความเสียหายให้กับแนวปะการัง และหญ้าทะเล

        นายสำราญ กล่าวว่า ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจึงมอบหมายให้ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลทั่วประเทศทั้ง 6 ศูนย์ ประสานความร่วมมือกับกรมประมง ลาดตระเวนและตรวจพื้นที่เสี่ยงอย่างใกล้ชิด เพื่อนำตัวผู้กระทำผิด มาดำเนินการตามกฎหมาย รวมทั้งเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องมากขึ้น


***************************************************************************************


ชาวประมงสตูลพลิกวิกฤตเป็นโอกาส - แปลงเรือล่าแมงกะพรุนทำเงิน 3 พัน/วัน

      สตูล – ชาวประมงสตูลดัดแปลงเรือออกล่าแมงกะพรุน เผยสร้างรายได้วันละไม้น้อยกว่า 3 พันบาท ขณะที่เด็กๆ ในหมู่บ้านร่วมแปรรูปานรับอานิสงส์ยุควิกฤตเศรษฐกิจ
       
       ชาวประมงบ้านหาดทรายยาว ต.ตันหยงโป อ.เมือง จ.สตูล และหมู่บ้านพื้นที่เกาะในละแวกใกล้ๆ ต่างนำเรือกว่า 300 ลำ ที่ดัดแปลงเป็นเรือติดอวนและนำออกล่าแมงกะพรุนขาวในยามเช้ามืดของทุกวัน หลังพบแมงกะพรุนโผล่ขึ้นเหนือน้ำจำนวนมาก บริเวณระหว่างน่านน้ำบ้านหาดทรายยาว และเกาะเกวน้อย เกาะเกวใหญ่ สร้างรายได้วันละ 700-3,000 บาท
       
       โดยจากเดิมชาวประมงเคยออกเรือหาปลาทุกวัน เมื่อมีแมงกะพรุนจำนวนมากโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ส่งผลให้อวนของชาวประมงที่ใช้จับปลาเกิดฉีกขาด เพราะแมงกะพรุนจะเข้ามาติดอวนแทนกุ้ง ปู ปลา ทำให้ชาวประมงหันมาดัดแปลงสภาพเรือเพื่อออกล่าแมงกะพรุนแทน ซึ่งเป็นการสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำในสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นอาชีพเสริมอย่างดีในการช่วยหารายได้เข้าสู่ครอบครัว
       
       นายชาฟิอี หีมสุวรรณ อายุ 45 ปี ชาวประมง กล่าวถึงวิธีการสังเกตแมงกะพรุนว่า การสังเกตแมงกะพรุนนั้นสังเกตได้ง่ายด้วยสีของแมงกะพรุน ซึ่งจะมีสีขาวสามารถรับประทานได้หมดเลย ไม่มีพิษต่อร่างกาย สำหรับแมงกะพรุนสีชมพูนั้น เมื่อก่อนไม่มีการรับประทาน แต่ตอนนี้มีผู้รับประทานได้แล้ว ซึ่งหายากกว่า
       
       ส่วนการหาแมงกะพรุนนั้นหาได้ไม่ยาก ซึ่งแมงกะพรุนจะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเป็นกลุ่มบริเวณใกล้ๆ กัน เรือชาวประมงก็จะใช้สวิงตัก ซึ่งจะขึ้นมาเป็นจำนวนมากบริเวณกึ่งกลางระหว่างบ้านหาดทรายยาวกับเกาะเกว ห่างจากฝั่งประมาณ 1-2 กิโลเมตร โดยชาวประมงก็จะใช้สวิงทยอยตักจนเต็มลำเรือ ก่อนจะลำเลียงกลับมาที่บริเวณชายหาดที่มีนายทุนเข้ามารับซื้อ และเมื่อลำเลียงออกแล้วชาวประมงก็จะออกไปล่าแมงกะพรุนอีก 2– 3 เที่ยวต่อวัน
       
       ทั้งนี้ แมงกะพรุนขาวที่จะออกหาได้มากตั้งแต่ต้นปีจนถึงในเดือนพฤษภาคมนี้ ที่มีแมงกะพรุนขึ้นมาเยอะมาก และเมื่อมีแมงกะพรุนจะโผล่ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ก็ส่งผลให้อวนของชาวประมงที่ออกหาปลาฉีกขาด เพราะแมงกะพรุนจะเข้าไปอยู่ ปริมาณของปลา กุ้งก็มีจำนวนลดลงด้วย ชาวประมงก็ได้ทำการดัดแปลงเรือโดยใช้อวนโพงพางมาขึงบริเวณกลางลำเรือ เพื่อใช้กักเก็บแมงกะพรุนที่หาได้จำนวนมากแทนการหาปลา และเมื่อเข้าสู่ฤดูมรสุมแมงกะพรุนก็จะมีปริมาณลดลง ชาวประมงก็จะมีการแปรสภาพเรือกลับมาเหมือนเดิม
       
       สำหรับแมงกะพรุนนี้ได้โผล่ขึ้นมาแล้วนานถึง 4 เดือน สามารถตักขายนายทุนได้ในราคาตัวละ 3 บาท ชาวประมงจะมีรายได้ถึงวันละ 700–3,000 บาท ถือว่าเป็นกอบเป็นกำให้กับชาวประมงในพื้นที่บ้านหาดทรายยาวและพื้นที่เกาะใกล้เคียง มากกว่า 300-400 ลำเรือ ในสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจฝืดเคืองเช่นนี้
       
       นอกจากจะได้ในส่วนของเรือประมงแล้ว กลุ่มเยาวชนและนักเรียนนั้นต่างก็หันมารับจ้างแปรรูปแมงกะพรุนแห้งหารายได้ช่วงปิดเทอมกันอย่างขันแข็ง หันมาใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ โดยจะได้รับค่าจ้างตามอัตราที่นายจ้างกำหนด ชั่วโมงละ 25-30 บาท เฉลี่ยวันละ 100-200 บาท สามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวได้ด้วย
       
       นายเสกสรรค์ กาซา อายุ 17 ปี เยาวชนที่ได้รับจ้างผลิตแมงกะพรุนแห้ง กล่าวว่า การเข้ามาทำแมงกะพรุนนี้นอกจากจะมีรายได้แล้ว ส่วนตัวได้เข้ามาร่วมสนุกสนานกับเพื่อนที่เข้ามาทำงานด้วยกัน ไม่เงียบเหงาเหมือนอยู่บ้านเฉยๆ สำหรับรายได้นั้นจะได้รับค่าจ้างในอัตราผู้ใหญ่ชั่วโมงละ 30 บาท เด็กชั่งโมงละ 25 บาท โดยเงินส่วนนี้จะเก็บเอาไว้สำหรับตัดชุดนักเรียน และเก็บไว้ลงทะเบียนเรียน สำหรับเพื่อที่ยังไม่เข้าทำงานตรงนี้ก็อยากให้เข้ามาทำเพราะไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร ทำแล้วสนุกได้เงินมาใช้สามารถลดค่าใช้จ่ายในบ้านได้
       
       สำหรับแมงกะพรุนนี้เป็นที่นิยมรับประทานมากในกลุ่มประเทศญี่ปุ่น เกาหลี สิงค์โป อินโดนิเชีย โดยเมื่อผ่านกระบวนการแปรรูปแล้วจะมีการส่งขายกับทางโรงงานในราคากิโลกรัมละ 30 บาท ด้านกระบวนการแปรรูปแมงกะพรุนนั้น เมื่อชาวประมงนำมาขายกลุ่มเยาวชน คนงานก็จะนำมาตัดหัวตัดหากแยกกัน แล้วนำมาหมักเกลือ สารส้ม โซดาไฟเป็นเวลา 1 วัน และนำไปแช่เกลืออีกครั้งเพื่อหมักให้เนื้อแข็ง ไม่ขาดง่าย ก่อนจะหมักซ้ำอีกครั้งด้วยเกลือจนแห้งก่อนจะส่งไปขายต่อ

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2009, 07:33:08 AM »

มติชน


เส้นทางสายฝัน "สตูล-เปอร์ลิส" 2 ทศวรรษ แห่งการรอคอย


 
ถนนสายสตูล-เปอร์ลิส เป็นเส้นทางสายฝันของชาวสตูล ที่รอคอยมายาวนานไม่น้อยกว่า 20 ปี เส้นทางสายนี้นักการเมืองท้องถิ่นและระดับชาติหยิบขึ้นมาใช้หาเสียงในทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง

โครงการก่อสร้างทางหลวงสายสตูล-เปอร์ลิส เป็นหนึ่งในแผนพัฒนาจังหวัดสตูลที่ภาครัฐและเอกชนร่วมกันคิด จากนั้นนำไปบรรจุในแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและโครงการความร่วมมือร่วมกัน 3 ฝ่าย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย (IMT-GT) ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อพัฒนาให้สตูลเป็นประตูด้านอันดามันสู่พื้นที่โครงการ IMT-GT โดยใช้ถนนเส้นนี้เชื่อมกับรัฐเปอร์ลิสของประเทศมาเลเซีย

ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2535 เห็นชอบในหลักการว่าเป็นโครงการที่มีศักยภาพเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งที่สามารถติดต่อเชื่อมโยงระหว่างประเทศและมีความสำคัญต่อการปกครองสังคม จิตวิทยาและความมั่นคงของชาติและมอบให้กรมทางหลวงรับไปศึกษารายละเอียดความเป็นไปได้และงบประมาณเนื่องจากต้องใช้งบประมาณสูง และเส้นทางบางตอนจะต้องดำเนินการในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและป่าชายเลน

หลังจากนั้น กรมทางหลวงว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา คือบริษัทเทศโก้ ศึกษาเรื่องนี้ ผลการศึกษาเห็นว่าเส้นทางที่เหมาะสมที่สุด คือการเชื่อมต่อถนนสายเลี่ยงเมืองสตูลด้านทิศตะวันตกแล้วสร้างสะพานข้ามอ่าวตำมะลัง ประมาณ 4 กิโลเมตรตัดลงทางทิศใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าชายเลนเป็นส่วนใหญ่ ประมาณ 13 กิโลเมตร จนจรดชายแดนไทย-มาเลเซีย ระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 35 กิโลเมตร
 


อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวต้องถูกชะลอลง เนื่องจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติเห็นว่ามีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นการมองปัญหาเพียงมิติเดียว

ถ้าฝันเป็นจริงเมืองสตูลที่ปัจจุบันเป็นเมืองสุดปลายทางของฝั่งทะเลอันดามันจะกลายเป็นเมืองท่าสำคัญ

แต่ความหวังของคนสตูลเลือนลางและผิดหวังทุกครั้งจนขนานนามเส้นทางสายนี้ว่าถนนเจ็ดชั่วโคตร เนื่องจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมเห็นว่าโครงการดังกล่าวมีผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม

นักธุรกิจเห็นว่าข้ออ้างของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมเป็นการมองมิติเดียว ไม่มองในภาพรวมของความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และความเป็นอยู่ของประชาชนที่จะเกิดขึ้นอย่างมหาศาล กับการสูญเสียหรือผลกระทบที่เกิดขึ้นในการก่อสร้างถนนสายนี้ เมื่อเทียบกับการบุกรุกทำลายของนายทุนและผู้เห็นแก่ตัวที่ทำลายป่าชายเลน รวมไปถึงงบฯลงทุนที่มองว่ามาก แต่ผลออกมานั้นเงินเพียงนี้น้อยนิดกับสิ่งที่จะได้รับ

ข้อถกเถียงของทั้งสองยังไม่มีจุดสรุป

เมื่อ "นายสยุมพร ลิ่มไทย" ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลในขณะนั้น หยิบยกถนนสายนี้ขึ้นมาเสนอต่อรัฐบาลอีกครั้งโดยกล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ถึงแนวคิดในการพัฒนาพื้นที่พิเศษกลุ่ม 5 จังหวัดภาคใต้ว่า โดยเสนอให้รื้อฟื้นโครงการทางหลวงเชื่อมระหว่างสตูล-รัฐเปอร์ลิส อีกครั้งหนึ่ง

นายสยุมพรเห็นว่า ขณะนี้รัฐเปอร์ลิสสร้างถนนมารอเชื่อมต่อ ณ เมืองกัวลาเปอร์ลิส ไว้แล้ว โครงการถนนสายสตูล-เปอร์ลิส จะก่อให้เกิดประโยชน์มากมายต่อการพัฒนาภูมิภาคฝั่งทะเลอันดามัน เพราะจะเป็นการเปิดเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างประเทศมาเลเซีย ด้านรัฐเปอร์ลิส และไทย ด้าน จ.สตูล จะทำให้สตูลก้าวสู่การพัฒนาเป็นเมืองเศรษฐกิจพิเศษ เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งด้านจังหวัดภาคใต้ ไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งใช้เวลาเดินทางรวดเร็วและสะดวกขึ้น ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่นๆ สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวไทยได้สะดวกและง่ายขึ้น ทั้งนี้ สามารถปรับเปลี่ยนแนวทางถนนซึ่งผ่านป่าชายเลนขยับออกมาเลียบแนวทะเล

โดยช่วงนี้อาจจะสร้างเป็นสะพานเตี้ยยกระดับ เพื่อลดปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งหากโครงการนี้สามารถเริ่มดำเนินการต่อไปได้ จะส่งผลดีต่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างมากในอนาคต แต่หากไม่เริ่มต้นดำเนินการก็จะทำให้มูลค่าการลงทุนเพิ่มสูงมากขึ้น โดยเฉพาะจะทำให้เกิดความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านฝั่งอันดามัน ซึ่งมีการพัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว และจะทำให้กลุ่มจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษไม่มีโครงการที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันประเทศไทยก็จะสูญเสียโอกาสในการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันในภูมิภาคนี้ด้วย

แต่ความพยายามของนายสยุมพรในการปั้นฝันโครงการก่อสร้างถนนสตูล-เปอร์ลิส ยุติลงเนื่องจากกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งย้ายไป ทำให้ชาวสตูลฝันสลายอีกครั้ง

วันนี้ ชาวสตูลได้แต่หวังว่า "นายสุเมธ ชัยเลิศวณิชกุล" ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลคนล่าสุด จะช่วยสานฝันต่อ และคาดหวังรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พิจารณาโครงการนี้อย่างเร่งด่วน

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2009, 07:39:24 AM »

ข่าวสด


1 ปี มหันตภัย"นาร์กีส" คราบน้ำตายังไม่จางหาย!


 
ชะตากรรม "ชาวพม่า" ผู้ประสบมหันตภัยพายุไซโคลน "นาร์กีส" ซัดถล่มยังต้องทนทุกข์ แม้ฝันร้ายผ่านมาครบ 1 ปีเต็ม เมื่อ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา

ยอดผู้เสียชีวิตและสูญหาย 138,000 รายในวันนั้น ไม่ได้กระตุ้นให้คณะรัฐบาลทหารพม่า วางแผนป้องกันภัยธรรมชาติรอบใหม่

ความช่วยเหลือในรูปแบบอาหาร-เพิงพักพิงชั่วคราว พอช่วยประคับประคองชีวิตเหยื่อ 2.4 ล้านคนให้อยู่รอดไปวันๆ แต่สถานการณ์ยังน่าวิตก

ประชากรโดยรอบสามเหลี่ยมลุ่มน้ำ "อิรวดี" ขาดแคลนบ้านเรือนที่แข็งแรง รวมถึงไม่มีการวางระบบป้องกันไซโคลนระดับรุนแรงที่อาจเกิดซ้ำรอย

กลุ่มคนพอมีเงินทอง-มีโอกาสในพม่า จึงจำเป็นต้องยื่นมือเข้าโอบอุ้มเพื่อนร่วมชาติด้วยตัวเอง

ดร.เมียะ ตู สมาชิกกลุ่มแพทย์ ซึ่งรวมตัวสละทรัพย์สินส่วนตัว ระดมเงิน 3.5 ล้านบาท ก่อสร้าง "อาคารหลบพายุไซโคลน" ในพื้นที่ กล่าวว่า
 


ตัวอาคารสร้างด้วยคอนกรีตเสริมแรง เพื่อให้ทนความแรงของพายุไซโคลน และชาวบ้านสามารถเข้าไปหลบข้างใน 1,500 คน

ในช่วงที่อากาศปลอดโปร่ง ก็ใช้เป็นศูนย์การเรียนชุมชนได้เช่นกัน

"แค่อาคารนี้ส่งผลทางจิตวิทยา ทำให้ชาวบ้านรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น พวกเราก็ดีใจแล้ว" ดร.เมียะ ตู กล่าว

นายบิชอว์ พารายูลี ผู้ประสานงานสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่รับผิดชอบดูแลภารกิจฟื้นฟูภัยนาร์กีส เผยว่า

เฉพาะจนถึงสิ้นปี 2552 นี้ มีผู้ประสบภัยอย่างน้อย 250,000 คน ซึ่งต้องรอรับบริจาคอาหารอย่างเดียว เพราะดูแลตัวเองไม่ไหว

ขณะเดียวกัน เมื่อ "ฤดูมรสุม" ย่างใกล้เข้ามาทุกขณะ ปัญหายิ่งน่าวิตก

โดย "ยูเอ็น" ระบุว่า ปัจจุบันยังขาดเงินทุนเร่งด่วนอีก 357 ล้านบาท เพื่อสร้างที่พักพิงและที่หลบภัยฉุกเฉินให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนเข้าฤดูฝน

นอกจากนั้น "โครงการอาหารโลก" ก็เตือนว่า จำนวนผู้ต้องรอรับบริจาคอาหารมีมากถึง 1 ล้านคน

แต่เอาเข้าจริงทางโครงการฯ จัดหาอาหารให้ได้เพียง 350,000 คนเท่านั้น

แผนบูรณะความเสียหายตลอด 3 ปีข้างหน้า ต้องการเงินสนับสนุนอีก 2.4 หมื่นล้านบาท

ประชาคมโลกจึงควรผนึกกำลังทุ่มความช่วยเหลือต่อไป อย่าหยุด!

นางแคลร์ ไลต์ ผู้อำนวยการองค์กรการกุศล "อ๊อกซ์แฟม" ชี้ให้เห็นปัญหาใหญ่อีกประการของเหยื่อพายุนาร์กีส ว่า

ก่อนเกิดเหตุ ชาวบ้านพม่ากลุ่มนี้อย่างน้อยก็ยืนบนลำแข้งของตัวเองได้ เพราะประกอบอาชีพกสิ กรรมและประมง

แต่เมื่อไซโคลนโถมทำลายทุกสิ่ง วิถีชีวิตดังกล่าวเป็นอันต้องยุติ อีกทั้งไม่มีโอกาสไปกู้เงินมาสร้างตัว เนื่องจากหนี้เก่าที่ลงไปกับผลผลิตต่างๆ หายวับไปพร้อมพายุนาร์กีส

การหาทางทำให้ผู้ประสบภัยเข้าถึง "แหล่งทุน" ถือเป็นกลไกสำคัญที่ต้องเร่งหาทางจัดสรรแก่ชาวบ้าน

ด้านองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่ง เช่น "ฮิวแมนไรต์วอตช์" แถลงในวาระครบ 1 ปีภัยนาร์กีส ด้วยว่า

ขอให้รัฐบาลพม่ารีบปล่อยตัวกลุ่มคนและอาสาสมัครบรรเทาทุกข์หลายสิบคนที่รัฐมองว่าเป็น "ศัตรูการเมือง" และฉวยโอกาสจับไปขังฐานระดมสิ่งของจำเป็นไปแจกจ่ายผู้ประสบภัยโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมเปิดทางให้ "เจ้าหน้าที่มนุษยธรรมต่างชาติ" เข้าไปทำงานกู้ภัยอย่างต่อเนื่อง

1 ปีโศกนาฏกรรมนาร์กีสผ่านไป..แต่ดูเหมือนคราบน้ำตาที่ท่วมท้นแผ่นดินพม่ายังไม่จางหาย!?!


**********************************************************************************


ปูเจ็บ                          :                          คอลัมน์ เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์


 
ขณะที่กำลังต้มปู ปูก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดและจะจำได้ถึงความรู้สึกนั้น...ถ้ามันสามารถหนีไปได้

ศ.บ๊อบ เอลวู้ด จากมหาวิทยาลัยควีนส์ ไอร์แลนด์เหนือ ทดลองด้วยการชอร์ตไฟฟ้าจำนวนน้อยเข้าใส่ปู และพบว่าพวกปูจะพยายามหนีไม่ให้ถูกชอร์ตอีก นั่นหมายความว่ามันจำความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้จึงต้องหนี

การศึกษาของ ศ.เอลวู้ดจะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมอาหารไม่น้อย เนื่องจากบรรดาเชฟหรือผู้ประกอบการเชื่อว่าการต้มปู กุ้งขณะที่ยังเป็นๆ จะช่วยไม่ให้มันเจ็บปวด


**************************************************************************************


ปลาอาจช่วยผู้อัมพาต


 
ปลาตัวเล็กๆ อาจช่วยให้เรารักษาโรค Motor Neurone Dis eases (MND) ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่ทำลายเซลล์ประสาทที่ควบ คุมเกี่ยวกับเรื่องการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อทุกชนิดในร่างกายและอาการอัมพาตบางชนิด อย่างที่เกิดขึ้นกับคริสโตเฟอร์ รีฟ และศ.สตีเฟน ฮอว์กกิ้ง

ดร.แคทรินา เบกเคอร์ จากมหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า ปลาม้าลายสามารถผลิตมอเตอร์นิวโรนขึ้นมาใหม่ โดยมอเตอร์นิวโรนคือเซลล์ที่มีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และปกติแล้วเซลล์นี้จะค่อยๆ ตายทีละน้อย ไม่มีการสร้างทดแทนขึ้นมา ทำให้ผู้ป่วยเคลื่อนตัวไม่ได้ ทางศูนย์ฟื้นฟู นิวโรนจึงทำการคัดโมเลกุลในปลาม้าลาย พร้อมหวังว่าจะค้นพบยาที่ช่วยสร้างมอเตอร์นิวโรนขึ้นมาใหม่

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2009, 07:47:22 AM »

แนวหน้า


ตรังออกศึกษาผลกระทบสวล. หวังผุดสะพานแม่น้ำปะเหลียน 
 
 ตรัง:นายสมพงษ์ อนุยุทธพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เปิดถึงโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำปะเหลียน อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ว่า โครงการดังกล่าว ได้มีการสำรวจมาตั้งแต่ปี 2545 แต่ยังไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ เนื่องจากต้องศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อพื้นที่ป่าชายเลน ซึ่งการก่อสร้างสะพานดังกล่าว จะช่วยให้การเดินทางระหว่าง อ.กันตัง และ อ.ปะเหลียน มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสินค้าจากปะเหลียนไปท่าเรือ สร้างมูลค่าการนำเข้าและส่งออกปีละกว่าพันล้านบาท ต้องใช้เส้นทางอ้อม ซึ่งมีระยะทางกว่า 60 กิโลเมตร

 ดังนั้นหากมีการก่อสร้างสะพานจะสามารถลดระยะทางได้มาก เพราะนอกจากจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการเดินทางแล้ว ที่สำคัญยังเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือ และค่าขนส่งสินค้าพืชผลทางเกษตรของเกษตรกรที่บรรทุกสินค้าไปจำหน่าย โดยทางจังหวัดจะทำการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการหลายฝ่าย และหากประชาชนและคณะกรรมการเห็นชอบ กรมทางหลวงก็พร้อมที่จะทุ่มงบประมาณในการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้าปะเหลียนต่อไป 


************************************************************************************


ทส.ชงชาติอาเซียน ชูโครงการพิกุลทอง ต้นแบบแก้ไฟป่าพรุ   
 
 นายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เผยว่า จากการเข้าร่วมประชุมแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าที่ประเทศบรูไน ไทยได้เสนอปัญหาไฟป่าที่เกิดขึ้นในเขตภาคเหนือ โดยยอมรับว่าปัญหาฝุ่นละอองขนาด 10 ไมครอน ที่สูงขึ้นในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตั้งแต่ต้นปี เพิ่งควบคุมให้ระดับฝุ่นกลับมาอยู่ในค่ามาตรฐานได้เมื่อวันที่ 26 เมษายน ที่ผ่านมา โดยมีฝนมาเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงไป อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ ก็ต้องเตรียมรับมือกับหมอกควันจากไฟป่าในเขตภาคใต้ที่จะเกิดในเดือนสิงหาคม และมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นสำคัญ

 ดังนั้นในการประชุมสุดยอดอาเซียน ซึ่งรัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมในเดือน มิถุนายน 2552 นี้ ในส่วนของเวทีรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียน ทส. จะนำโครงการศูนย์พัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ จ.นราธิวาส ที่ทรงมีแนวทางในการบริหารจัดการป่าพรุ เพื่อแก้ปัญหาดินเปรี้ยว และการระบายน้ำเข้าออกในป่าพรุจนไม่ทำให้เกิดไฟไหม้ใต้พรุได้สำเร็จต่อที่ประชุมครั้งนี้ด้วย


*********************************************************************************


ท่าเรือประมงสงขลาเจ๊งยับ "ชาติชาย"จี้แก้ปัญหาเชิงรุกด้านบริการ-สุขอนามัยพ่วงส่งเสริมอาชีพชาวเล   
 
 นายชาติชาย พุคยาภรณ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมและรับทราบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานของสำนักงานท่าเทียบเรือประมงสงขลา องค์การสะพานปลา จ.สงขลา ว่า ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ท่าเทียบเรือประมงสงขลาประสบปัญหาการจัดเก็บรายได้ลดลง เนื่องจากมีจำนวนเรือประมงเข้าเทียบท่าและปริมาณสัตว์น้ำผ่านท่าลดลง จากสาเหตุแหล่งทรัพยากรประมงมีความเสื่อมโทรม สัตว์น้ำลดลง ประกอบกับการจัดระเบียบการทำประมงของประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เรือประมงไทยไม่สามารถเข้าไปทำการประมงได้ อีกทั้งการปรับตัวของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรือประมงประสบการขาดทุนและบางรายหยุดกิจการ

 ดังนั้นในระยะสั้น จึงให้นโยบายการแก้ไขปัญหาโดยปรับปรุงการดำเนินงานในลักษณะเชิงรุกทั้งในด้านการให้บริการและด้านสุขอนามัย เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนมาตรการระยะยาว ให้องค์การสะพานปลาปรับปรุงและพัฒนาทรัพย์สินและทรัพยากรที่มีอยู่จำนวนมากในจังหวัดต่างๆ ให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุดและเป็นการเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง รวมทั้งการส่งเสริมอาชีพประมง และอุตสาหกรรมการแปรรูปสัตว์น้ำให้สามารถดำเนินการได้อย่างคล่องตัว

 นายชาติชาย กล่าวต่อไปว่า ในส่วนที่สมาคมการประมงแห่งประเทศไทยและผู้ประกอบการได้รายงานถึงสภาพปัญหาภาวะต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งในเรื่องน้ำมันและอุปกรณ์การทำประมง อีกทั้งสัตว์น้ำที่มีปริมาณลดลง ขาดแหล่งทำประมง การละเมิดกฎหมายการทำประมง ปัญหาการส่งออกสัตว์น้ำและสินค้าสัตว์น้ำแปรรูป รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือในเรื่องการประกันราคาสัตว์น้ำ การควบคุมราคาเครื่องมือทำการประมง การจำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ชาวประมงชายฝั่ง การส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ และการเจรจาสัมปทานทำประมงนอกน่านน้ำ ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในเบื้องต้นได้มอบหมายให้ นายปรีชา สมบูรณ์ประเสริฐ ผู้ตวรจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เขต 8 รวบรวมปัญหา พร้อมหาข้อมูลเพิ่มเติม และเร่งติดตามการแก้ไขปัญหา

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
แมลงปอ
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 681


« ตอบ #5 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2009, 07:50:36 PM »

ขอบคุณค่ะ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.128 วินาที กับ 20 คำสั่ง