กระดานข่าว Save Our Sea.net
เมษายน 26, 2024, 12:46:59 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2 3   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ปลาทู...คู่ครัวไทย  (อ่าน 18100 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: ธันวาคม 03, 2007, 12:02:49 AM »


ปลาทู...คู่ครัวไทย                        โดย  อรการ กาคำ



คนญี่ปุ่นจะมีความสุข มีสุขภาพกายและใจดี หากได้ทำ 3 สิ่งนี้ ในแต่ละวัน ก็คือ...กินปลา ร้องเพลง วันละ 3 เพลง งีบกลางวัน วันละ 15 นาที ดังนั้นเมนูปลาวันนี้ ขอนำเสนอ ‘ปลาทู’ เนื่องจากวันที่ 7-15 ธันวาคม ศกนี้ จังหวัดสมุทรสงคราม จัด เทศกาลกินปลาทู ของดีเมืองแม่กลองครั้งที่ 10 ตอน กินปลาทูแล้วฉลาด (รู้จักพอ)

กินปลาทูดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย ปลาทูย่อยง่ายสบายท้อง เป็นอาหารโปรตีนราคาถูก มีคุณค่าสารอาหารสูง มีวิตามินบี1 บี2 ซึ่งบำรุงสมอง มีโอเมก้า-3 บำรุงหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดที่เป็นทางนำอาหารไปเลี้ยงร่างกายและสมอง มีความยืดหยุ่นอ่อนตัว เลือดไหลเวียนสะดวกไม่อุดตันง่าย ไม่เปราะบาง หัวปลาก้างปลามีแคลเซียมบำรุงกระดูก ทั้งยังไม่แข็งกระด้างเหมือนกระดูกสัตว์ใหญ่ ปลาทูตัวเล็กๆ ทอดกรอบๆ สามารถรับประทานได้หมดทั้งตัว

สาเหตุที่กินปลาทูแล้วฉลาด ก็เพราะว่า เมื่อร่างกายมีสุขภาพที่ดี ส่งผลให้จิตใจสบาย สมองปลอดโปร่ง แจ่มใส เมื่อพิจารณาสิ่งต่างๆ ก็ทำให้เกิดปัญญาที่ดี เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญลอยเด่นอยู่ในท้องฟ้าที่สะอาด ไม่มีเมฆหมอกมาบังให้โง่ทึบคลุมเครือ เหมาะแก่การรับธรรมะ และกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่า ความพอเพียง เอาความรู้จักพอ รู้จักกาล รู้จักประมาณ กลายเป็นคนสติดี ว่องไวเฉลียวฉลาด รู้เท่าทันโลก รู้เฉย รู้แล้วไม่ยึดเอามาเป็นตัวเป็นตน ไม่หลงอารมณ์ รู้เท่าทันกิเลส ไม่วิ่งตามกิเลสเครื่องเศร้าหมอง...

บ้างก็บอกว่า กินปลาทูแล้วสู้โรคหัวใจ-บำรุงสมอง เพราะคนสมัยนี้มักเป็นโรคเครียด รับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ แถมยังต้องผจญกับมลพิษทางอากาศ เกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกาย ส่งผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ จนทำให้วิตามินและอาหารเสริมเข้ามามีส่วนในชีวิต โดยเฉพาะโอเมก้า-3 ที่อยู่ในน้ำมันปลา เพราะโอเมก้า-3 เป็นไขมันประเภทไม่อิ่มตัว มีประโยชน์ในเรื่องลดอัตราการตายจากโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดตีบ และลดคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ตลอดถึงยังลดความหนืดของเลือด ลดการอักเสบ และสร้างความสมดุล ปรับระดับเลือดในร่างกายให้อยู่ในสภาวะปกติได้

ชาวเอสกิโมในกรีนแลนด์ มีอัตราการเสียชีวิตเนื่องจากเกิดโรคหัวใจขาดเลือดต่ำ เพราะพวกเขารับประทานปลาทะเลเป็นส่วนใหญ่ ทำให้นักวิทยาศาสตร์หันมาสนใจ และปลาที่พวกเอสกิโมรับประทานนั้น ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล ซึ่งสารอาหารที่อยู่ในปลาเหล่านี้มีอยู่ในปลาทูด้วย นอกจากนั้นในปลาทูยังมีวิตามินดี ซึ่งสำคัญต่อกระดูก โดยช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสเข้าลำไส้ เพื่อสร้างเสริมและซ่อมแซมกระดูกและฟัน รักษาระบบประสาทและการทำงานของหัวใจ แถมยังมีสารไอโอดีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมธัยรอยด์ ทำหน้าที่ควบคุมให้ร่างกายเจริญเติบโตตามปกติ และป้องกันโรคคอพอกอีกด้วย

เรื่องดีของปลาทูนี้ คุณ สุรจิต ชิรเวทย์ นักวิชาการบอกมา... และวัตถุประสงค์ของการจัดงานเทศกาลกินปลาทู ซึ่งปีนี้เป็นครั้งที่ 10 แล้ว ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาชื่อเสียง กับคุณภาพของปลาทูแม่กลองไว้ให้ลูกหลานสืบไป และเพื่อรักษาสถานภาพความเป็นศูนย์อาหารทะเลสดคุณภาพดี ของจังหวัดสมุทรสงคราม (แม่กลอง) โดยให้ความมั่นใจแก่ผู้บริโภคในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย และสร้างความมั่นคงแก่อาชีพประมง ธุรกิจต่อเนื่องกับประมง ธุรกิจการขายอาหาร การประกอบอาหาร ตลอดถึงการตอบสนองต่อยุทธศาสตร์จังหวัดทั้ง 4 ข้อ และไม่มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในงาน

งานส่งเสริมเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ของดีแม่กลอง องค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น แหล่งท่องเที่ยว และความเข้าใจในวิถีชีวิตวัฒนธรรมของเมืองแม่กลอง ที่เป็นบ้านสวนกึ่งทะเล และเป็นเวนิซตะวันออกแห่งสุดท้ายของประเทศนี้ ก็เพื่ออนุรักษ์และส่งเสริมความเข้าใจในความสำคัญของระบบนิเวศน์ 3 น้ำ (จืด-กร่อย-เค็ม) และระบบนิเวศน์ปากแม่น้ำ ที่มีศักยภาพในการเป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลชั้นยอดไว้เป็นมรดกของชาติ และของชาวแม่กลอง ฯลฯ


ปลาทูแม่กลอง สุดยอดปลาทูไทย

คนทั้งประเทศต่างรู้จัก ปลาทูแม่กลอง ที่อยู่ในรูปแบบของปลาทูนึ่งในเข่งเล็กๆ หน้างอ คอหัก เนื้อขุ่น นุ่ม มัน หอม มีรสชาติความอร่อยโดดเด่น ยอมรับกันว่าเป็นสุดยอดปลาทูไทยหนึ่งเดียวเท่านั้น เช่นเดียวกับของดีเมืองแม่กลองอื่นๆ อย่าง ลิ้นจี่ พริก หมาก พลู และปลากัดจากบางช้าง น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลสด ชมพู่สาแหรก และส้มโอขาวใหญ่

พ่อค้าแม่ขายตัวจริงแทบทุกตลาดในเมืองไทยต่างรู้มานานแล้วว่า ปลาทูโป๊ะแม่กลอง อันเป็นยี่ห้อที่การันตีถึงคุณภาพ ลักษณะของปลาทู ที่มีท้องสั้น และท้องไม่แตก หากเป็นปลานึ่งก็จะอยู่ในเข่งเล็กๆ หน้างอ คอหัก ถ้าเป็นปลาทูสด ตาจะดำสนิท ผิวพรรณสดใสแวววาว หนังบางแบบปลาทูผู้ดี นั่นคือลักษณะภายนอกเมื่อไปเลือกซื้อ ส่วนลักษณะภายในหลังจากซื้อกลับมาทอด แล้วชิม ก็จะรู้ว่าเนื้อนั้นมีสีขุ่น นุ่ม มัน หอมหวาน โดยไม่ต้องปรุง

วิธีการกินปลาทูแม่กลองนั้น แม้ว่าในเทศกาลหน้าหนาวทะเลจะมีคลื่นลมจัด เพราะลมอุกาพัดจัด (ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ) ทำให้จับปลายากขึ้น และราคาปลาสูงขึ้น การจับปลาทูเพื่อเทศกาลนี้จึงมีการบนบานต่อเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรฯ และอาม้า อันเป็นพระบิดาและเทพเจ้าที่เคารพนับถือของชาวประมง บันดาลให้คลื่นลมสงบ เพื่อให้ชาวประมงจับปลาทูได้จำนวนมาก เพื่อนำมาจัดงานเทศกาลกินปลาทูทุกปี การกินปลาทูควรกินให้หมดทั้งตัว ทั้งหัว แม้ว่าจะเป็นปลาทูต้มก็ควรจะกินทั้งหัวด้วย โดยเคี้ยวให้แหลกแล้วดูดซับความมันให้หมด จึงค่อยคายทิ้ง นั่นคือจังหวะลีลาของธรรมชาติ รู้จักวิธีจับที่สอดคล้อง รู้จักวิธีปรุงที่ไม่ใส่เครื่องเครามากเกินไป จนบดบังรสชาติที่แท้จริงของเนื้อปลา รู้จักวิธีการกินอย่างเข้าถึงไม่ตกหล่น กินอย่างรู้คุณค่า กินปลาทูให้แมวอาย

ที่ว่าปลาทูโป๊ะแม่กลองอร่อยเนื้อนุ่ม ส่วนหนึ่งมาจากวิธีการจับด้วยเครื่องมือที่ว่า ‘โป๊ะ’ ที่บรรพชนชาวแม่กลองเข้าใจธรรมชาติของน้ำและสัญชาตญาณของปลา การคำนวณทิศทางกระแสไหลของน้ำ สภาพพื้นที่ก้นอ่าวว่าตรงไหนเป็นดอน ตรงไหนเป็นหล่ม แล้วทำการกำหนดตำแหน่ง (การโคนโป๊ะ) ที่จะวางแนวปีกโป๊ะ ทิศทางที่ปลาทูว่ายเลาะปีกเข้ามาให้จับโดยละม่อม ปราศจากความรุนแรงทำให้ปลาทูไม่เครียด เนื้อหวานไม่แปรเปลี่ยน

เนื้อปลาทู 100 กรัม มีสารโอเมก้า-3 ประมาณ 2-3 กรัม ปกติกร่างกายต้องการโอเมก้า-3 วันละ 3 กรัมเท่านั้น คนส่วนใหญ่รับประทานโอเมก้า-6 ซึ่งอยู่ในน้ำมันพืชชนิดต่างๆ และอยู่ในไข่ การที่รับประทานโอเมก้า-6 มากกว่าโอเมก้า-3 จะทำให้ร่างกายขาดสมดุล ส่งผลให้ร่างกายเกิดการอักเสบขึ้นภายในระบบต่างๆ ของร่างกายได้ ทำให้เกิดโรคไขข้ออักเสบ เบาหวาน การอักเสบในสมอง ส่งผลให้เป็นอัลไซเมอร์ได้


ปลาทู...อร่อยหลากหลาย

จากบันทึกของหมอบลัดเลย์ แสดงว่า คนไทยเราเริ่มรู้จักปลาทูตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เดิมชาวประมงไทยใช้โป๊ะเป็นเครื่องมือจับ ตั้งแต่อดีตกาลอันยาวนานแล้ว พอถึงปี พ.ศ.2468 ก็เริ่มจับโดยใช้อวนตังเก จึงจับได้ปลาจำนวนมากกว่า คนพื้นบ้านแถบทะเลเท่านั้นที่รู้จักกินปลาทู ชาวประมงจึงต้องแปรรูปปลาทูเพื่อส่งขายได้ไกลและเก็บรักษาได้นาน โดยนำไปทำเป็นปลาทูเค็ม ส่งไปขายยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง

ต่อมาการคมนาคมเจริญก้าวหน้าขึ้น ปลาทูจึงถูกส่งไปขายยังต่างจังหวัดของไทยมากขึ้น ทำให้ผู้คนรู้จักปลาทูกันอย่างแพร่หลาย และนำไปประกอบอาหารได้หลายประเภท เช่น นำไปนึ่ง ทอด ต้ม แกง ฯลฯ และ 30 ปีที่ผ่านมา ปลาทูเป็นปลาที่ถูกจับมากที่สุดในท้องทะเลไทย เป็นอาหารหลักของคนแถบชายฝั่งทะเล เป็นเมนูยอดนิยมที่รับประทานกันตั้งแต่ระดับพื้นบ้านจนถึงเศรษฐี เป็นเครื่องเคียงน้ำพริกจนมีชื่อติดปากว่า ‘น้ำพริกปลาทู’ ทั้งนี้มีปลาหลายชนิดที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายปลาทูเช่น ปลาลัง ปลาทูปากจิ้งจก ปลาทูแขก ปลาทูครีบยาว หากต้องการรับประทานปลาทูแท้ๆ ต้องสังเกตกันให้ดี ว่าปลาตัวนั้นลำตัวกว้าง แบน ป้อมสั้น ตาเล็ก ปากแหลมมน ไม่มีลายข้างตัว ลำตัวด้านบนมีสีน้ำเงินแกมเขียวท้องเป็นสีขาว หรือสีเงิน

การเลือกซื้อปลาทู ถ้าเป็นปลาทูสด ลูกตาจะนูน ตาดำมีสีสดใส ส่วนหลังของลำตัวมีสีเขียวส่วนท้องจะมีสีขาว หรือสีเงิน หางปลามีสีเหลือง ตามลำตัวมีเมือกลื่นๆ เหงือกมีสีแดงออกชมพู เนื้อแน่น เมื่อใช้นิ้วกดที่กลางลำตัว แล้วปล่อยนิ้วออก รอยยุบจะคืนสู่สภาพเดิมได้หมดหรือเกือบหมด

การเลือกซื้อปลาทูนึ่ง ควรเลือกลักษณะตัวสั้น ป้อมแบน ตาใส สีของปลาจะใส ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำเงินแกมเขียวหรือสีขาวของส่วนท้องก็ตาม เวลากดเนื้อจะนิ่มแต่ไม่ยุ่ย และมีมันสีเหลืองเยิ้มตามตัว ถ้าเนื้อแข็งแสดงว่าเนื้อไม่สด และเค็มเกินไป

วิธีทอดปลาทูให้อร่อย ควรใช้ไฟค่อนข้างแรง ไม่ควรกลับตัวปลาบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้ผิวปลาทูถลอก ดูไม่น่ารับประทาน ควรรอจนกระทั่งตัวปลาข้างที่ทอดเริ่มเหลืองก่อน แล้วจึงกลับอีกข้างหนึ่ง แค่นี้ก็ได้ปลาทูทอดหนังกรอบเนื้อนุ่มหอมอร่อย พร้อมขึ้นโต๊ะหรูและไม่หรู แต่อร่อยเท่าเทียมกัน ส่วนเมนูปลาทูสารพัดในงานเทศกาลกินปลาทูและของดีเมืองแม่กลองครั้งที่ 10 มีดังนี้

ปลาทูย่างน้ำปลาหวาน ปลาทูผัดฉ่า ห่อหมกปลาทู ปลาทูต้มส้ม ปลาทูทอดราดพริกแกง ปลาทูฉู่ฉี่ ปลาทูต้มมะดัน ปลาทูต้มหวาน ปลาทูผัดขิง ยำปลาทู แกงป่าปลาทู แกงส้มปลาทู ปลาทูชุบแป้งทอด ตับปลาทูผัดฉ่า ปลาทูแดดเดียว ปลาทูสามรส ขนมจีนปลาทู ปลาทูทอดกระเทียมพริกไทย ปลาทูต้มมะนาว ปลาทูผัดพริกไทยดำ ปลาทูซาเตี๊ยะ ปลาทูผัดผักชีล้อม เป็นต้น

สารพันเมนูอร่อยกับ "ปลาทู" หนึ่งเดือนไม่ซ้ำแบบ...@



น้ำพริกปลาทู

เครื่องปรุง :

1. ปลาทูสด 2 ตัว

2. หอมแดง 100 กรัม

3. กระเทียม 60 กรัม

4. พริกชี้ฟ้าเขียว 100 กรัม

5. น้ำมะนาว 5-6 ช้อนโต๊ะ

6. น้ำปลา 3-4 ช้อนโต๊ะ

7. น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ :

1. นำปลาทูสดล้างให้สะอาด ควักไส้ออก ย่างไฟให้สุกจนหอมได้ที่ จากนั้นนำมาแกะเนื้อออกพักไว้

2. นำหอม กระเทียม และพริกชี้ฟ้า เผาไฟให้หอม ได้ที่แล้วนำมาพักไว้ พริกชี้ฟ้าให้แกะเปลือกออก

3. นำหอม กระเทียม พริกชี้ฟ้ามาโขลกให้ละเอียด ใส่เนื้อปลาทูลงไปโขลกต่อให้เข้ากัน

4. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ชิมรสตามชอบ เสิร์ฟกับผักสด หรือผักต้มก็ได้


ปลาทูซาเตี๊ยะ

เครื่องปรุง : (สำหรับ 4 ที่)

1. ปลาทูสด 8 ตัว (หนักตัวละ 70 กรัม)

2. พริกแห้งหั่นท่อนสั้น 3 เม็ด

3. พริกขี้หนูแดงเม็ดใหญ่ 13 เม็ด

4. ใบมะกรูดฉีก 5 ใบ

5. น้ำ 4 ถ้วย

6. กระเทียมแกะเปลือก 18 กลีบ

7. ข่าหั่นแว่น 8 แว่น

8. ตะไคร้หั่นท่อนยาวทุบ 4 ต้น

9. น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ :

1. ล้างปลาทูหลายๆ น้ำ จนหมดเมือกที่ตัวปลา อ้าปากปลาทู ควักเอาเหงือกพร้อมไส้และพุงปลาออกให้หมด ล้างจนสะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ

2. คั่วพริกขี้หนูด้วยไฟอ่อนจนสุก ตักใส่หม้อ ใส่ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กระเทียม พริกแห้ง เรียงตัวปลาทูใส่ให้หมด เติมน้ำ และน้ำปลาลงไป

3. ตั้งหม้อบนไฟแรง จนเดือดสักครู่ให้ลดไฟอ่อน เคี่ยวต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมงจนปลาสุก น้ำงวดเหลือประมาณ 1 ถ้วย หนังปลาทูจะเคลือบด้วยน้ำปรุง ออกรสเค็ม เนื้อปลาจะหวาน นุ่ม มันเป็นธรรมชาติ



หมายเหตุ :

เมนูปลาทูในร้านอาหารแนะนำ ได้แก่

1. ครัวโสภา (แถวๆ ดอนหอยหลอด) 14/4 หมู่ 4 ต.บางจะเกร็ง

2. ร้านคุณเป๋า 77/2 หมู่ 8 ต.บางแก้ว โทร.081-941-0376 และ 034-723-703

3. เคียงทะเล 3/17 หมู่ 4 ต.บางจะเกร็ง โทร.034-723-681-3

4. ผู้ใหญ่บุญธรรม (ใกล้ศาลกรมหลวงชุมพรฯ) เลขที่ 4 ต.บางจะเกร็ง โทร.034-723-739

5. ร้านเพื่อน เลขที่ 115/15 หมู่ 4 ต.บางจะเกร็ง

6. ร้านลุงขันธ์ 3/1 หมู่ 4 ต.บางจะเกร็ง โทร. 034-714-718

7. บริเวณดอนหอยหลอด ยังมีร้านอาหารอีกมากมาย เช่น สมนึก ลุงมั่น ร้านนกเอี้ยง น้องกุ้ง 2 อนงค์ รุ่งทิพย์ น้ำทิพย์สุธาดา ฯลฯ

8. ข้อมูลท่องเที่ยวเพิ่มเติม www.tourismthailand.org หรือ E-mail: info@tat.or.th




จาก                      :                       กรุงเทพธุรกิจ   วันที่ 3 ธันวาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
แม่หอย
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1404



« ตอบ #1 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2007, 01:32:09 AM »

  โอ้.. ว่าแล้วทำไมเราฉลาดนัก กินน้ำพริกปลาทู (และปลาร้า) บ่อยๆ นี่เอง.. ฮิๆ..
บันทึกการเข้า
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #2 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2007, 04:24:11 AM »

คิกๆ......ต้องทานปลาทูผสมปลาร้า จะได้ฉลาดเหมือนน้องแม่หอยค่ะ.....
บันทึกการเข้า

Saaychol
blueev
ตอบกระทู้เยอะ ๆ จะได้ 2 ดาว
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5



« ตอบ #3 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2007, 05:03:51 AM »

       น้ำพริกปลาทูที่ไหนว่าอร่อย ผมว่าสู้ฝีมือของแม่เราไม่ได้สักที่นะครับ (แม่เราทำอะไรก็อร่อยไปหมด)
บันทึกการเข้า
Plateen
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 522



« ตอบ #4 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2007, 05:14:22 AM »

อูยยย...หิว
ดันมาอ่านเอาตอนเที่ยงพอดี
ไปหาปลาทูกินดีก่า
บันทึกการเข้า

For God so loved the world, that he gave his only begotten Son, that whosever believeth in him should not perish, but have everlasting life[John3:16]
Mermaid
อีกไม่กี่กระทู้ก็ได้5ดาวแล้วเร่งมือหน่อย
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 269



« ตอบ #5 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2007, 06:00:15 AM »

ฮู้หู.....เห็นเมนูนี้แล้วน้ำลายไหล.....ปลาทูและน้ำพริกปลาทู อาหารจานโปรดที่สุดในโลกของ Mermaid....หม่ำๆๆ
บันทึกการเข้า

Let's go to the sea, let's go to save our sea.
frappe
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1114



« ตอบ #6 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2007, 05:00:50 PM »

น้ำลายหยดแหมะๆเลย
บันทึกการเข้า

มีใจเป็นมิตร มีจิตเป็นเพื่อน
mars
ตอบกระทู้เยอะ ๆ จะได้ 2 ดาว
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 26


My Life for Freedom.


เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2007, 05:19:47 PM »

กำลังหิว
บันทึกการเข้า
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #8 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2008, 12:49:59 AM »


แพทย์เผยกิน "ปลาทู 2 ตัว" ชะลอ "ความแก่" ปลอดโรครุมเร้า เรื่องเร่งด่วนที่ไม่ควรมองข้าม




แพทย์เชี่ยวชาญอายุรวัฒน์นานาชาติแนะ 3 วิธีง่ายๆ ช่วยคนไทยลดสังขารเสื่อมก่อนวัย อย่านอนดึก เลี่ยงแป้งน้ำตาลคุมน้ำหนัก กินผักใบเขียววันละ 5 กำมือ ปลาทู 2 ตัว มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซิตอัพวันละ 30 ครั้ง ฝึกหายใจลึกช่วยสติดีขึ้นชะลอแก่เร็ว

กรณีนายสำอาง สืบสมาน หัวหน้าโครงการวิจัยสุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เปิดเผยผลงานวิจัยคนไทยประสบปัญหาภาวะเสื่อมสังขารก่อนวัยอันควร สาเหตุจากโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน การถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจเพิ่มขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมในการบริโภคที่เสี่ยง ขณะที่ชายไทยฮิตเป็นโรคความดันโลหิตและโรคตับ ส่วนหญิงเป็นโรคคอพอกและหืดหอบนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ (International Anti-Aging Institute: IAAI) กล่าวว่า การเข้าสู่ภาวะเสื่อมสังขารก่อนวัยอันควรกลายเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ไม่ควรมอง ข้าม เพราะจะนำไปสู่สังคมผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น มีโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า ส่งผลต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ

"สาเหตุของภาวะเสื่อมสังขาร แบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย คือ
1.ปัจจัยภายในที่เกิดจากการสะสมของความเครียด ยิ่งขณะนี้ปัญหาการเมืองรุมเร้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ ยิ่งทำให้คนไทยมีภาวะเครียดสูงขึ้น การก้าวสู่ภาวะแก่ก่อนวัยจึงไม่ใช่เรื่องแปลก นอกจากนี้ ปัญหาความเครียดจะพบมากในคนเมืองหลวง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพราะเป็นเมืองที่มีแต่การแข่งขัน มลภาวะสูง และ
2.ปัจจัยภายนอก สภาพแวดล้อม มลภาวะเป็นพิษต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมการบริโภค ที่ส่วนใหญ่นิยมบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ด โดยเฉพาะอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล กาแฟ จะมีสารที่ทำให้แก่สูงหรือที่เรียกว่า สารอนุมูลอิสระ

"พฤติกรรมการนอนหลับยังทำให้คนไทยแก่เร็วด้วย เนื่องจากคนส่วนใหญ่นิยมนอนช่วงเวลาเที่ยงคืนเป็นต้นไป ทั้งๆ ที่เวลาที่ควรนอนหลับพักผ่อนมากที่สุด คือ ช่วง 4 ทุ่ม และตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า เพราะเป็นช่วงที่ธาตุหนุ่มสาวหรือ โกรท ฮอร์โมน (growth hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญเติบโตจะหลั่งออกมามากที่สุดในช่วงเวลาดัง กล่าว แต่หากเรานอนหลับหลังจากนั้นก็จะลดการหลั่งของธาตุหนุ่มสาว สังเกตได้ว่าคนกรุงจะแก่เร็วมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่จะนอนดึกๆ กัน แต่หากลองมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนเสียใหม่ แค่เพียง 1 สัปดาห์ ก็จะทำให้รู้สึกสดชื่นทันที"

นพ.กฤษดากล่าวว่า สำหรับวิธีชะลอความเสื่อมของสังขารนั้นไม่ยาก ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพของตัวเอง โดยใช้วิธีง่ายๆ ที่เรียกว่า 3 H ประกอบด้วย

1.Healthy Weight รู้จักควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้อ้วน โดยการเลี่ยงแป้งและน้ำตาล โดยเฉพาะในอาหารจำพวกขนมปัง เค้ก เบเกอรี่ ส่วนน้ำตาล หลายคนหันมาบริโภคสารให้ความหวานแทน ซึ่งสารเหล่านี้ข้อควรระวังคือ ไม่ควรนำมาประกอบอาหาร หรือถูกความร้อนสูงๆ เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นทั้งในและต่างประเทศระบุว่า เมื่อสารให้ความหวาน ประเภทน้ำตาลเทียมได้รับความร้อนสูงๆ อาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งได้ ดังนั้น การจะบริโภคน้ำตาลเทียมควรเลือกสารให้ความหวานที่ผลิตจากธรรมชาติ อาทิ ชะเอมเทศ หรือหญ้าหวาน เป็นต้น

"2.Healthy diet and Lifestyle บริโภคผักใบเขียวโดยควรบริโภคประมาณวันละ 5 กำมือ และปลาทูอีก 2 ตัว อาหารเหล่านี้จะมีสารอาหารที่ช่วยต้านพวกสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ หรืออนุมูลอิสระได้ และควรทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย และ

3.Healthy Mind คือต้องมีกำลังใจที่ดี มีจิตและสมาธิอยู่กับปัจจุบัน โดยให้ฝึกหายใจเข้าลึกๆ ให้ท้องป่อง และกลั้นหายใจสัก 4 วินาที จากนั้นค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกจะช่วยให้มีสติดีขึ้น"

นพ.กฤษดากล่าวว่า ที่สำคัญควรรู้จักฝึกการใช้สมอง 2 ซีกอย่างสม่ำเสมอ เพราะการที่ใช้สมองเพียงซีกเดียวจะทำให้เกิดความเสื่อมตามมา หากเราถนัดมือขวาก็แสดงว่า สมองซีกซ้ายเราเด่น เราต้องทำให้สมองซีกขวาเด่นด้วย โดยการฝึกใช้มือซ้าย หรือให้ฝึกการใช้สัมผัสอื่นๆ ที่เราไม่ถนัด นอกจากนี้การที่เรารู้สึกหิวนิดๆ ก็จะทำให้โกรทฮอร์โมนหลั่งออกมามากด้วย เพราะเมื่อร่างกายเริ่มหิวจะสั่งไปที่สมองให้หลั่งสารให้สมองรู้สึกโล่ง จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น การที่รู้สึกดีก็จะทำให้จิตใจดีช่วยชะลอความแก่ไปในตัว

"ที่สำคัญการออกกำลังกายจะช่วยได้มากในเรื่องนี้ ยิ่งการซิตอัพจะทำให้ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมนขึ้น เพราะจะทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย ดังนั้น ในแต่ละวันควรซิตอัพอย่างน้อย 30 ครั้ง"  นพ.กฤษดา กล่าว และว่า ปัจจุบันคนทำงานนิยมดื่มกาแฟกันมาก ทั้งๆ ที่กาแฟเป็นตัวทำลายความอ่อนเยาว์ แต่จะให้เลิกกาแฟคงยาก ดังนั้น ไม่ควรทานกาแฟเกินวันละ 1 แก้ว หรือควรทานกาแฟเพียงวันละ 2 ช้อนชาก็เพียงพอ ที่สำคัญอย่าลืมว่า กาแฟยิ่งร้อนเท่าไหร่ก็จะยิ่งเพิ่มความเข้มข้นให้กับคาเฟอีนซึ่งเป็นตัว อนุมูลอิสระที่สำคัญ
 

------------------------------

แถมด้วยเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับปลาทู

วิธีการเลือกปลาทูนึ่ง

ปลาทูที่นึ่งใหม่ๆ จะมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน ตัวอวบอ้วน
เนื้อนุ่มแน่นและไม่เละยุ่ย ท้องและผิวไม่ถลอก
ถ้าขอบตาแดง ผิวเหลือง แสดงว่าเป็นปลาที่มีคุณภาพไม่ดี
เป็นปลาที่ได้จากอวนลาก จึงต้องมีการใช้น้ำยาเคมีรักษาสภาพของปลา
ความอร่อยของปลาทูนึ่งยังขึ้นอยู่กับปลาทูที่สดที่นำมาต้มด้วย
ถ้าใช้ปลาทูไม่สด ไม่ใช่ปลาทูโป๊ะ จะไม่อร่อยเท่าปลาทูแม่กลอง
ที่เวลานึ่ง คนทำจะหักคอก่อนใส่เข่ง เพื่อให้พอดีกับขนาดของเข่ง
เรียกกันว่า “ปลาหน้างอคอหัก”


วิธีเลือกปลาทูสด

ปลาทูสดลูกตาจะนูน ตาดำมีสีสดใส ส่วนหลังของลำตัวจะมีสีเขียวเป็นพื้น
ส่วนท้องจะมีสีขาว หรือสีเงิน หางปลายังมีสีเหลือง
ตามลำตัวมีเมือกลื่นๆ เหงือกมีสีแดงออกชมพู
ปลาไม่มีกลิ่น เนื้อแน่น
เมื่อใช้นิ้วกดที่กลางลำตัวแล้วปล่อยนิ้วออก
รอยยุบจะกลับคืนสภาพเดิมได้หมดหรือเกือบหมด
ส่วนปลาทูที่ไม่สดลูกตาจะยุบ ตาดำจะขุ่น บริเวณลูกตาอาจมีเลือดคลั่ง
สีพื้นของลำตัวซีด เหงือกมีสีแดงซีด ปลามีกลิ่นคาวหรือคาวจัด
ลำตัวอ่อนเหลวและไม่มีเมือกจับ


ซื้อปลาแบบไหนถึงจะอร่อย

หลังจากที่ชาวประมงจับปลาทูขึ้นมาได้ราว 5 – 10 นาที ปลาก็จะตาย
ปลาทูที่ตายใหม่ๆ นี้ถ้ารีบนำไปประกอบอาหารไม่ว่าจะเป็นต้ม ผัด แกง ทอด
เนื้อจะนุ่มหวานอร่อย กลิ่นหอม
ถ้านำไปต้ม มันปลาทูสีเหลืองจะลอยฟ่องขึ้นหม้อ แค่เห็นก็อร่อยแล้ว
แต่ปลาทูสดที่เห็นขายกันอยู่ตามตลาดหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตนั้นไม่ใช่ปลาทูสด 100%
เป็นปลาทูที่ต้องผ่านหลายกระบวนการกว่าจะมาวางขายตามท้องตลาด
ความสดของปลาก็ลดลงเหลือ 60 – 80%
ยิ่งถ้าเป็นปลาทูที่ขายตามจังหวัดที่ห่างไกลทะเลแล้ว อาจเก็บมาเป็นอาทิตย์ก็ได้

อนึ่งปลาทูจะมีความสดมากหรือน้อยนั้นจะทราบได้
ก็ต่อเมื่อมีการดมกลิ่นชิมรสเนื้อปลา
ซึ่งถือว่าปลาที่มีความสดมากนั้น จะมีกลิ่นหอมของเนื้อปลาชวนรับประทาน
รสชาติอร่อย เนื้อนุ่มไม่กระด้างไม่เปื่อยยุ่ย
โดยเฉพาะปลาทูที่จับได้ที่ก้นอ่าวไทยตามทะเลที่พื้นดินเป็นเลน
เนื้อจะอร่อยกว่าปลาทูที่จับได้ตามทะเลที่เป็นพื้นทราย



จาก                   :                 มติชน  วันที่ 25 ตุลาคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
kungkings
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 791



« ตอบ #9 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2008, 01:57:29 AM »

ไปกินปลาทูแม่กลองกันดีกว่าคะพี่สองสายขา...One day trip อิอิ 
หรือว่าพี่สองคนกินประจำอยู่แล้ว เพราะดูยังงั้ยยังงัย.... นู๋ก็ว่าพี่สองสายยังฟิตเปี้ยะอยู่เลยคะ 
บันทึกการเข้า

ทำวันนี้ และวันหน้าให้ดีที่สุด...
marine_wi
สี่ดาวยังอยู่แค่เอื้อม
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 216


ผู้พิทักษ์ทะเลตัวน้อย


เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2008, 10:55:52 AM »

กินปลาทูดีมีประโยชน์

แล้วหนูได้ข่าวว่า   เขาเอาปลาชนิดหนึ่ง(จำชื่อไม่ได้)ที่คล้ายปลาทูมาขาย   แล้วบอกว่าคือปลาทู  แต่มันต่างกันที่หัว(ถ้าดูดีๆ)
แล้วมันมีประโยชน์เหมือนกันไหม    เอ่แล้วมีโทษปะค่ะ  แล้วไม่เข้าใจมาทำไมต้องเอามาบอกว่าเป็นปลาทูด้วย
ขายในนามชื่อปลาตัวนั้นไม่ได้หรือไง
บันทึกการเข้า
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #11 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2008, 01:52:08 PM »


เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว....สองสายไปทานอาหารมื้อเย็นที่บ้านน้อง Octopus ที่เมืองชลบุรี อาหารเด่นเย็นนั้นก็คือ ปลาทู ซึ่งนำมาเผาจนหอมกรุ่น ยกทั้งตัวทานแกล้มกับน้ำจิ้มมะกอกสด ตามด้วย ต้มส้มปลาทู ที่รสกลมกล่อม ทานเนื้อปลาและก้างตั้งแต่หัว (ที่หักซ่อนไว้ในพุง) จนจรดหาง  แถมด้วยสะเดาน้ำปลาหวานและหอยแครงลวกจิ้มน้ำจิ้มใส่ถั่วคั่วผสมน้ำจิ้ม Seafood

เป็นมื้อเย็นที่อร่อยมาก โดยเรารับประทานแต่กับข้าวโดยไม่มีข้าวมาทำให้เปลืองพื้นที่ในกระเพาะ.....

คุณพ่อและคุณแม่ของน้อง Octopus ที่ให้เกียรติมานั่งทานข้าวอยู่ด้วยเล่าว่า.....จะทานปลาทูให้อร่อยต้องทานในช่วงเดือนกันยายน - ตุลาคม ของทุกปี เพราะปลาทูจะเนื้อนุ่ม...แน่น....และหอมหวานกว่าช่วงอื่นๆ
 
แม้ปลาทูเมืองชลจะไม่หน้างอ....คอหัก เหมือนปลาทูเมืองแม่กลอง แต่ก็อร่อยมาก น่าไปลองทานดูเหมือนกันนะคะน้องกุ้ง

ส่วนปลาทูปลอมที่น้อง marine พูดถึง จะเป็นพวกปลาลังหรือปลาสีกุนหรือเปล่าคะ เพราะรูปร่างหน้าตาคล้ายๆกัน แถมตัวโต ใครดูไม่เป็นก็นึกว่าเป็นปลาทูตัวโต ซื้อไปกินแล้วก็ไม่ค่อยอร่อยเหมือนปลาทูเลยล่ะค่ะ


 
บันทึกการเข้า

Saaychol
แม่หอย
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1404



« ตอบ #12 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2008, 10:54:38 PM »

ปลาทู-ปลาลัง เป็นปลาญาติพี่น้องใกล้ชิดอยู่ในกลุ่มเดียวๆ กัน .. อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลยค่ะ นักวิชาการประมงจำนวนมาก (เช่นแม่หอย) ยังไม่ค่อยรู้เลยว่าไหนทูไหนลัง นอกจากเอามาวางคู่กันค่อยแยกออกหน่อย ฮิ ฮิ..

.. แต่ไม่ว่าจะเป็นปลาทูหรือปลาลัง แม้จะอร่อยไม่เท่ากันสักหน่อย แต่เข้าใจว่าน่าจะมีคุณประโยชน์เท่าเทียมกัน เพราะเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเหมือนๆ กันค่ะ
เลยหวังว่าจะกินแล้วไม่ค่อยแก่เหมือนกัน
บันทึกการเข้า
แม่หอย
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1404



« ตอบ #13 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2008, 11:21:35 PM »

ไหนๆ ก็ไหนๆ .. ในฐานะที่เกิดมาทำงานประมงแล้วยังความจำไม่ค่อยดีเรื่องจำแนกชนิดปลา เกิดความละอายใจจึงต้องลองค้นคว้าหาภาพมาฝากพี่น้อง SOS นะคะ.. คิดอะไรไม่ออก บอก Google มีหมด.. ไปค้นได้มาจากนี่ค่ะ มีรายละเอียดพร้อม ต้องขอขอบคุณคุณเจ้าของกระทู้
http://www.siamensis.org/board/6119.html
และจากอันนี้มีภาพเปรียบเทียบด้วย
http://www.siamensis.org/board/8044.html 

ปลาลังในเข่ง หน้าตาเป็นยังงี้


และปลาทูในเข่ง


โอ้ย.. น่ากิน ..หิวข้าวสวยร้อนๆ กับน้ำพริกกะปิ ปลาทู ชะอมชุบไข่ทอด.. ไปดีกว่า ไปเก็บชะอมข้างรั้วบ้านมาชุบไข่ทอด..
บันทึกการเข้า
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #14 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2008, 12:26:00 AM »




อู้วววววว.....ยัมๆ....ขอรับประทานด้วยสองคนจ้ะน้องแม่หอย....
บันทึกการเข้า

Saaychol
หน้า: [1] 2 3   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.034 วินาที กับ 20 คำสั่ง