มีความคืบหน้า จากเอกสารที่อ่านพบ ของคุณวินิจ รังผึ้ง จาก
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9500000052573อย่าให้ฝรั่งครอบครองอันดามัน 2 / วินิจ รังผึ้ง
โดย : วินิจ รังผึ้ง
หลังจากบทความเรื่อง "อย่าให้ฝรั่งครอบครองอันดามัน" พิมพ์เผยแพร่ในผู้จัดการสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีกำลังใจ ความห่วงใย และความปรารถนาดีจากท่านผู้อ่านและเพื่อนนักดำน้ำมากมายส่งมายังผม ทั้งยังมีการเผยแพร่บทความดังกล่าวจากเว็บไซต์ผู้จัดการไปยังเว็บไซต์อื่นๆทั้งเว็บไซต์เกี่ยวกับการดำน้ำ และเว็บไซต์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวอีกมากมายหลายเว็บไซต์ และเว็บไซต์ต่างๆก็การแสดงความคิดเห็นและให้ข้อมูลเพิ่มเติมกันอย่างกว้างขวาง รวมทั้งความเห็นต่างๆก็มีมากมายหลากหลายมุมมองเช่นกัน ผมต้องขอขอบคุณในทุกๆกำลังใจและทุกๆความเห็นด้วยความเคารพมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ นอกจากจะส่งบทความดังกล่าวเผยแพร่ต่อๆกันไปแล้วยังมีเพื่อนๆพี่ๆนักดำน้ำคนไทยกรุณาช่วยแปลบทความดังกล่าว
เป็นภาษาอังกฤษส่งอีเมล์ไปยังสมาคมครูผู้ฝึกนักดำน้ำมืออาชีพ หรือ PADI (Professional Association of Diving Instructors) สถาบันดำน้ำที่ใหญ่ที่สุดของโลก เพื่อให้ทาง PADI รับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อหาแนวทางหรือมาตรการควบคุมดูแลครูดำน้ำ หรือนักดำน้ำที่จะไม่ให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าวคุกคามข่มขู่หรือล่วงล้ำสิทธิพื้นฐานในความปลอดภัยใต้น้ำของนักดำน้ำ
คนอื่นๆต่อไป ซึ่งทาง PADI คงทำการติดต่อไปยังฝรั่งคู่กรณีคนดังกล่าวที่เป็นถึง Instructors ของ PADI
และในบางเว็บไซต์ก็ยังได้นำข้อความหรือคำชี้แจงของฝรั่งคนดังกล่าวที่มีไปถึง PADI มาลงให้อ่านเพื่อเป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ซึ่งพอจะสรุปความได้ในทำนองยอมรับและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่วายที่จะกล่าวหาและบิดเบือนให้คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงเพื่อสนับสนุนการกระทำของตัวเอง ทำให้ผมจำเป็นต้องของอนุญาตชี้แจงเพิ่มเติมอีกสักตอน
ตามข้อความในอีเมล์ที่ฝรั่งคนดังกล่าวอ้างว่าพบเห็นผมกำลังถ่ายภาพแล้วฟินหรือตีนกบของผมไปเตะปะการังอ่อนเสียหาย
จนเขาต้องเข้ามากระตุกเตือนแต่ผมก็ยังไม่ใยดีแล้วกลับไปถ่ายภาพต่อเตะปะการังอ่อนอีกจนเขาทนไม่ได้จนต้องทำเช่นนั้น (ชักมีดออกมาขู่และถึงขนาดปัดหน้ากากดำน้ำของผม)ซึ่งในอีเมล์ดังกล่าวก็ไม่ได้เขียนรายละเอียดว่าชักมีดออกมาขู่และ
เข้ามาปัดหน้ากากผม ซึ่งในความเป็นจริงนั้นผมยืนยันได้ว่า บริเวณพื้นที่ผมนั่งคุกเข่าถ่ายภาพอยู่นั้นไม่มีปะการังอ่อนอยู่เลย
มีแต่ด้านหน้าที่ผมเล็งกล้องไปถ่าย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่าผมจะไปเตะปะการังที่ผมกำลังถ่ายอยู่
และในไดฟ์ถัดมาผมก็ได้พาคุณนัท สุมนเตย์มี ช่างภาพชื่อดังของเมืองไทยที่เป็นบัดดี้ผมในไดฟ์นั้นไปดูที่เกิดเหตุ ลองนั่งท่าเดิมให้ดูซึ่งคุณนัทคงยืนยันได้ว่าผมไม่ได้ไปเตะปะการังตามที่ฝรั่งกล่าวอ้างเป็นแน่ และในความเป็นจริงนั้น หากใครที่เป็นช่างภาพใต้น้ำก็จะรู้ว่า การถ่ายภาพมาโครหรือภาพโคลสอัพใต้น้ำ อย่างเช่นการถ่ายภาพปลาการ์ตูนระยะใกล้เช่นนั้น ช่างภาพจะต้องทำตัวให้นิ่งที่สุด ไม่ใช่เตะฟินไปมาอย่างแน่นอน และผมก็ยืนยันได้ว่าตั้งแต่ฝรั่งคนนั้นลงมาดึงผม ชักมีดออกมาขู่ จนกระทั่งปัดหน้ากากแล้วจากไปนั้น ผมนั่งอยู่ท่าเดิมตลอด
ไม่ได้ขยับไปไหน และผมได้นั่งนิ่งๆ รอจังหวะที่จะถ่ายภาพเช่นนั้นมากว่า 3 นาทีก่อนที่ฝรั่งคนนั้นจะผ่านมาเสียอีก จึงเป็นไปไม่ได้ว่าผมเตะปะการังอ่อนเสียหายครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างที่กล่าวอ้าง
และอีกตอนหนึ่งของข้อความในอีเมล์ที่กล่าวในทำนองว่าผมยกพวกอีกนับ 10 คนตามขึ้นไปบนเรือ และกล่าวอวดอ้างว่าเป็นผู้มีอิทธิพลใช้วาจาข่มขู่อะไรทำนองนั้น ก็เป็นเรื่องที่โกหกเพื่อขอความเห็นใจอีกนั่นแหละครับ เพราะในความเป็นจริงนั้น เพื่อนๆ นักดำน้ำที่รู้เรื่องราวและทนไม่ไหวตามไปด้วยนั้นมีแค่ 7-8 คนเท่านั้น และการขึ้นไปก็ขึ้นไปพูดคุยด้วยความสุภาพ คุยกันด้วยเหตุผล ไม่มีเสียงดังไม่ได้ตะโกนท้าตีท้าต่อย ซึ่งเพื่อนๆ รวมทั้งครูสอนดำน้ำที่ไปด้วยในครั้งนั้นรวมทั้งผู้จัดการเรือลำนั้นที่เป็นคนไทยคงยืนยันความจริงได้
ผมคงต้องขอขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆในวงการดำน้ำหลายๆท่านที่กรุณาเป็นห่วงเป็นใยและให้กำลังใจมา รวมทั้งท่านที่เคารพนับถือในวงการดำน้ำของเมืองไทยหลายๆท่าน ที่กรุณาออกมาใช้เกียรติยศชื่อเสียงของท่านมาการันตีในพฤติกรรมของผมทั้งที่ไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกันด้วยซ้ำไป ผมคงต้องขอเรียนอีกครั้งถึงการเขียนบทความเรื่อง "อย่าให้ฝรั่งครอบครองอันดามัน" ทั้งสองตอนนี้ โดยส่วนตัวแล้วมิได้มีเจตนาใช้ความเป็นสื่อมวลชนเป็นเครื่องมือทำร้ายหรือโจมตีใครเป็นการส่วนตัว ผมมีความเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะอภัยให้กับผู้ที่ยอมรับผิดและกล่าวแสดงความเสียใจกับการกระทำนั้น โดยมิได้ไปแจ้งความดำเนินคดีข้อหาข่มขู่โดยใช้อาวุธและพยายามฆ่า เพียงได้ตักเตือนไปว่าอย่าได้ทำพฤติกรรมป่าเถื่อนเช่นนี้อีกไม่ว่ากับนักดำน้ำคนไทยหรือนักดำน้ำชาติใดภาษาใด
แต่กับการเขียนบทความเผยแพร่ทางสื่อนั้นมันเป็นคนละเรื่องกัน มันเป็นการทำหน้าที่ เป็นจิตวิญญาณของสื่อมวลชนที่จะต้องนำเสนอความเป็นจริงให้สังคมได้รับทราบ ให้สังคมได้รับรู้ว่าคนไทยในฐานะเจ้าของประเทศเจ้าของทรัพยากรถูกมองด้วยสายตาเช่นใดและถูกปฏิบัติเยี่ยงใด ถูกต่างชาติเข้ามาฉกฉวยใช้ทรัพยากรโดยแอบเข้ามาลักลอบทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน มาประกอบธุรกิจโดยหลบเลี่ยงภาษี ไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว กอบโกยเม็ดเงินจากธุรกิจดำน้ำจำนวนมากมายมหาศาลกลับไป แล้วยังกดขี่แรงงานไทยโดยจ่ายค่าตอบแทนที่แสนจะต่ำตั้งแต่กัปตันเรือ ลูกเรือ แม่บ้าน คนครัว ไดฟ์ลีดเดอร์คนไทย ซ้ำยังดูถูกเหยียดหยามเหมือนเป็นประชากรชั้นสอง ทั้งที่พวกเขาเหล่านั้นเป็นเจ้าของประเทศ เป็นเจ้าของทรัพยากร
จริงอยู่หากเป็นเมื่อ 15-20 ปีที่แล้ว คนไทยเราอาจจะไม่เชี่ยวชาญการดำน้ำ จำต้องอาศัยฝรั่งเข้ามานำร่องในกิจการเหล่านี้ แต่ทุกวันนี้โลกมันเปลี่ยนไป นักดำน้ำคนไทย ครูดำน้ำ รวมทั้งผู้ประกอบกิจการดำน้ำคนไทยนั้นมีมากมายและมีคุณภาพไม่แพ้ฝรั่ง จึงไม่จำเป็นต่อไปอีกแล้วที่จะยอมให้ฝรั่งเข้ามาเป็นพระเจ้าเหนือคนไทย ทุกครั้งที่ผมอ่านข่าวการจับกุมแรงงานเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ครั้งละมากมายนับ 10 นับ 100 คน เห็นสภาพพวกเขาเหล่านั้นแล้วเกิดความสงสารและเห็นใจครับ เพราะพวกเขาอยู่ในสภาพอดอยากยากจนจนต้องหลบๆซ่อนๆ เสี่ยงเข้ามาหางานทำ แม้นจะต้องหลบๆซ่อนๆเป็นประชากรชั้น 2 ชั้น 3 ก็ยอมขอให้มีงานทำ ซึ่งแม้นจะสงสารและเห็นใจ แต่ก็ต้องทำใจและขอให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่รักษากฎหมายอย่างเคร่งครัดเช่นนั้น
แต่สิ่งที่อยากจะฝากไว้ให้พิจารณาก็คือ มันจะต่างอะไรกันเล่าระหว่างแรงงานเขมร แรงงานพม่า กับฝรั่งผมทองเหล่านี้ ความแตกต่างที่น่าจะเห็นได้เด่นชัดอย่างหนึ่งก็คือแรงงานผิดกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้านนั้นยอมที่จะเข้ามาทำงาน
ทุกอย่างแม้กระทั่งเป็นงานใช้แรงงานที่คนไทยไม่ค่อยจะทำยอมเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวเป็นประชากรชั้นสองก็ยอมแต่ตรงกัน
ข้างฝรั่งที่แอบเข้ามาทำงานเข้ามาทำมาหากินอย่างผิดกฎหมายในเมืองไทยนั้นนอกจากจะลอยหน้าลอยตาอยู่เหนือกฎหมาย
แล้วยังมองคนไทยเจ้าของประเทศเป็นประชากรชั้นสองเสียอีก
เรามาช่วยกันลงแขกเก็บกวาดทำความสะอาดชายหาด ทำความสะอาดท้องทะเลไทยครั้งใหญ่กันสักทีดีไหมครับ
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 8 พฤษภาคม 2550 15:57 น.