View Full Version : รายงานผลการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เก็บขยะและตัดอวน อันดามันเหนือ เดือนกุมภาพันธ์ 2554
รายงานผลการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เก็บขยะและตัดอวน อันดามันเหนือ เดือนกุมภาพันธ์ 2554
ดูเหมือนจะเป็นประเพณีที่ทุกๆปี พวกเราชาว www.saveOurSea.net (SOS) จะต้องเดินทางไปดำน้ำทำงานที่ทะเลอันดามันทั้งเหนือและใต้ เพื่อปล่อยสัตว์น้ำ เก็บขยะ ตัดอวน และตรวจเยี่ยมผลงานที่เราได้ทำไว้ก่อนหน้านั้น
ในปีนี้ก็เช่นกัน...พวกเราได้ร่วมกับ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง กระบี่ ไปทำงานกันที่แถวทะเลอันดามันเหนือของไทย บริเวณเขตอุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะสุรินทร์ และ อุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะสิมิลัน ในระหว่างวันที่ 9 – 14 กุมภาพันธ์ 2554 รวมเวลาทำงาน 4 วัน 4 คืน เต็มๆ
ในเช้าวันอังคารที่ 8 กุมภาพันธุ์ 2554....สองสายได้ออกเดินทางจากบ้านที่กรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่เมืองกระบี่ เพื่อจะไปรับม้าน้ำและปลาการ์ตูน ที่ทางศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง กระบี่ ได้จัดเตรียมไว้ให้เรานำไปปล่อย โดยกำหนดนัดหมายรับม้าน้ำและปลาในเวลาไม่เกินบ่ายสองของวันรุ่งขึ้น (พุธที่ 9 กุมภาพันธุ์ 2554) เพื่อจะนำไปลง เรือโชคศุลี ที่จะจอดรอรับเราอยู่ที่ท่าเรือทับละมุ พังงา
กว่าสองสายจะไปถึงกระบี่ ก็เป็นเวลาใกล้เย็นย่ำสนธยาแล้ว ไม่มีอะไรดีไปกว่าการหาอาหารเย็นรับประทานที่ ร้านน้องโจ๊ก ซึ่งอยู่ติดโรงแรมที่พัก และพวกเราชาว SOS หลายคนที่เคยไปทำงานที่กระบี่ ซาบซึ้งกันดีในเรื่องความอร่อยของอาหารร้านนี้ เสร็จแล้วก็รีบเข้านอนกันแต่หัวค่ำ แต่กว่าจะหลับกันได้ก็เล่นเอาดึกโข
เช้าวันใหม่...เราจึงตื่นสายเสียจนตะวันลอยเกือบถึงกลางท้องฟ้าแล้ว อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็ออกไปหาอาหารทาน โดยเปลี่ยนบรรยากาศไปรับประทานอาหารเช้าบวกกลางวันแบบที่ฝรั่งเรียกว่า "Brunch" ในร้านอาหารของคนไทยที่ขายอาหารอิตาเลียน จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปถึงต่างประเทศ ด้วยฝีมือในการทำอาหาร และ ราคาที่ย่อมเยาอย่างที่หาทานในกรุงเทพฯ หรือต่างประเทศไม่ได้...
ขอเรียนให้ทราบว่า....ร้านนี้เปิดแต่เช้า จนถึงดึกดื่นเที่ยงคืน แต่ถ้าจะให้นั่งได้สบายๆ ไม่ต้องไปเบียดกับฝรั่งมังค่า มื้อเช้าและกลางวัน หาที่นั่งได้ง่ายกว่ามื้อเย็นหรือกลางคืนมาก
อาหารอิตาเลียนของที่นี่เลิศรส ปริมาณมาก แต่ถูกอย่างไม่น่าเชื่อค่ะ....
แป้งปิซ่าของที่นี่ทำส่งไปขายในโรงแรมใหญ่ๆในกระบี่และจังหวัดใกล้เคียง วันละเกือบร้อยแผ่น ตอนเช้าถึงเที่ยงอย่างนี้ เจ้าของร้านเลยนั่งตีแป้งปิซ่า ส่งขายตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน้อต
อย่างไรก็ตาม...เจ้าของร้านที่คุ้นเคยกับเราดี ก็ยังปลีกเวลามาทำปิซ่าและราวีโอรี่อร่อยๆให้เราทานที่ร้าน และทำปิซ่าอีกสองชิ้น ให้เราได้ส่งขึ้นรถตู้ไปให้น้องจิ๋ม แห่งร้านเลตรัง 2 เมืองตรัง ที่สั่งปิซ่าผ่านมาตามสาย (ตามประสาคนหลงใหลปิซ่าร้านนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น) และ ทำอีกสองชิ้นให้สองสายได้หิ้วไปให้น้องสามารถและทีมงานศูนย์วิจัยฯ กระบี่ ได้ทานกัน
อิ่มหนำสำราญดีแล้ว...สองสายขึ้นรถกลับไปเข้าห้องน้ำ และเก็บของที่โรงแรม จากนั้นมุ่งหน้าสู่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง กระบี่ ที่อยู่ก่อนถึงสุสานหอยล้านปีไม่ไกลนัก
รถวิ่งเข้าไปตามทางในศูนย์ได้ไม่นาน เราก็เห็นหนุ่มใหญ่สวมหมวกใบลาน ขี่จักรยานวิ่งมาลิ่วๆ ดูไปดูมา นั่น ท่านผู้อำนวยการแอ๊ว (นายไพบูลย์ บุญลิปตานนท์) นี่นา ดูท่าทางไม่เหมือนท่าน ผอ. ศูนย์ฯ แต่เหมือนคนงานคนหนึ่งมากกว่า
เราหยุดทักทายท่านผอ. ได้รับทราบว่าท่านกำลังตรวจงาน และสั่งการเรื่องการปลูกไม้ประดับ เพื่อปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของศูนย์ฯ อยู่ เห็นแล้วสองสายนับถือท่านจริงๆค่ะ ที่ลุยงานเองอย่างไม่กลัวเหนื่อยกลัวร้อนอย่างนี้
ศูนย์วิจัยฯ กระบี่ วันนี้ สวยเด่นเป็นสง่าด้วยบ่อเลี้ยงปลาขนาดใหญ่ ที่มีทางเดินและศาลาก่ออิฐถือปูน ดูมั่นคงแข็งแรง รูปหุ่นปลาการ์ตูนและปลาอื่นๆที่ตกแต่งอยู่หน้าบ่อปลา ทำให้ทั่วบริเวณดูสดใสน่ามองยิ่งขึ้น เชื่อแน่ว่าหากการปลูกต้นไม้และปรับภูมิทัศน์ให้ดูร่มรื่นและสวยงามยิ่งขึ้น (โดยท่านผอ.แอ๊ว กำลังกำกับและดูแลอยู่) สำเร็จเรียบร้อย ที่นี่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างความประทับใจให้ผู้มาเยือนได้อย่างมากมาย
น้องสามารถ เดชสถิตย์ คอยสองสายอยู่ที่เรือนเพาะเลี้ยงปลาและสัตว์น้ำอื่นๆแล้ว แต่ม้าน้ำและปลาการ์ตูนที่จะให้เรานำไปปล่อย ยังไม่ได้จัดการแพ๊คไว้ให้เราแต่อย่างใด
อย่างนี้ก็มีเวลาพูดคุย และเดินชมผลงานของน้องสามารถได้สบายๆเลยสิคะ...
น้องสามารถพาเราไปดูสัตว์ต่างๆที่น้องเพาะได้ ที่ภาคภูมิใจมาก เห็นจะเป็น ปลาจิ้มฟันจระเข้ (Alligator Pipefish) ที่เมื่อปีที่แล้วเพิ่งออกจากไข่ ตัวเล็กนิดเดียว มาปีนี้ตัวใหญ่ขนาดพ่อแม่พันธุ์ที่ได้มาแล้ว....
ปลาอีกตัวที่น้องสามารถและทีมงาม ภูมิใจที่เพาะพันธุ์ได้ ก็คือ ปลากะรังหน้างอน (Humpbacked Grouper) ที่สวยน่ารักมาก
ปลาการ์ตูนสารพัดชนิดที่น้องสามารถเพาะพันธุ์ได้ เป็นอีกความภาคภูมิใจหนึ่งที่น้องสามารถและทีมงานยิ้มรับแก้มปริ
เชื่อไหมคะว่า....ปลาการ์ตูนตัวผู้ (ตัวเล็ก) ที่เห็นนี้ ตัวละเป็นหมื่น
เชื่อเถอะค่ะ....เพราะนั่นคือความจริง....
ถ้าน้องสามารถเพาะพันธุ์ปลาการ์ตูนลวดลายและสีสันประหลาดๆอย่างนี้ออกมาได้เยอะๆ ศูนย์ฯ ก็จะมีเงินมาขยายงานวิจัยและเพาะพันธุ์ได้อีกมากมาย
ขณะนี้ยอดซื้อและยอดจองปลาการ์ตูนที่ศูนย์ฯ เพาะพันธุ์ไว้สูงมาก....แต่ไม่เข้าใจ หาซื้อได้ง่ายๆอย่างนี้ ราคาก็ไม่แพง ทำไมยังมีคนไปขโมยปลาการ์ตูน ที่อยู่ในทะเลตามธรรมชาติอยู่เรื่อยๆ
น้องสามารถสั่งน้อๆงทีมงาน จัด ม้าน้ำหางลายเสือ (Tigertail Seahorse) อายุ 4 เดือน (ซึ่งในวัยนี้จะมีสีออกแดงๆดำๆ ไม่สวยเลย แต่พอโตขึ้น จะมีสีเหลืองอร่าม หางมีลายคล้ายหางเสือ) และมีขนาดใหญ่เท่านิ้วก้อย (ซึ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่น้องสามารถเตรียมไว้ให้) จำนวนรวม 200 ตัว และ ปลาการ์ตูนส้มขาว (False Clown Anemonfish) ซึ่งเราขอนำไปทดลองปล่อยในที่ใหม่ เพียง 20 ตัว
ม้าน้ำและปลาการ์ตูน ถูกแบ่งบรรจุลงในถุงพลาสติกใส่น้ำทะเล และ อัดด้วยก๊าซอ๊อกซิเจน ปิดมัดปากถุง และใส่ลงในกล่องโฟมกันสะเทือนอีกชั้นหนึ่ง และแล้วกล่องใส่ปลาและม้าน้ำทั้งหมด ก็ถูกลำเลียงขึ้นรถตู้เย็นซิ่งของสองสาย
เราขอบคุณและอำลาน้องสามารถและทีมงาม เพื่อขับรถมุ่งหน้าสู่ท่าเรือทับละมุ จังหวัดพังงา....
ก่อนจะจากกัน....เราขอให้น้องสามารถและทีมงาม เอร็ดอร่อยกับปิซ่าที่เรานำไปฝาก แต่น่าตลกที่มาทราบในภายหลังว่า คราวหน้าน้องๆทีมงานขอเปลี่ยนเป็นข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง ลาบ และ น้ำตกรสแซ่บๆ น่าจะหรอยกว่านี้มาก....
สองสายและอาสมัคร SOS อีก 21 คน ไปลงเรือครบเมื่อเกือบสี่ทุ่ม....
เรือเริ่มเคลื่อนออกจากท่าเรือทับละมุ มุ่งหน้าออกปากอ่าว เสียงจุดประทัดดังปุ้งปั้งแสบแก้วหู นัยว่าเป็นการคารวะและบอกกล่าวแม่ย่านางเรือและเจ้าที่เจ้าทางในบริเวณนั้น ให้ช่วยปกป้องคุ้มครองให้การเดินเรือเป็นไปด้วยความราบรื่น ปลอดภัย
ทะเลเรียบเป็นกระจก.....คืนนั้นเรือจึงวิ่งราบเรียบ ก่อนนอน เรามีการแนะนำตัว และ ประชุมร่วมกันเกี่ยวกับกำหนดการปฏิบัติงานในวันรุ่งขึ้น และระเบียบการใช้ชีวิตบนเรือ และการแบ่งกลุ่มดำน้ำ เสร้จแล้ว...ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปนอนอย่างสบายในห้องนอนของตัวเอง
ตอนตีสี่กว่าๆ เรือก็จอดสนิท ไม่ไกลจากกองหินริเชลิวนัก....
ฟ้ายังมืดอยู่เลยค่ะ แต่พวกเราสมาชิก SOS ก็ตื่นขึ้นมานั่งรอรับแสงอรุณกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า เวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง เราก็ขึ้นมานั่งกันครบ หัวหน้า Dive Leader นำโดยน้องกบ Angel Frog น้องติ๊ก และน้องติ่ง ก็เริ่มสรุปถึงเรื่องแผนการดำน้ำทำงานอย่างปลอดภัยตามวิธีของพวกเราชาว SOS โดยมีน้องชาย ตัวแทนที่คุณเสรีส่งมาช่วยดูแลเราอย่างดียิ่ง เป็นผู้ช่วยอธิบายเรื่องจุดดำน้ำ
สายชลสรุปปิดท้าย ด้วยเรื่องกฎระเบียบ ที่ต้องบอกกล่าวให้รับทราบและปฏิบัติตาม....
ระหว่างประชุมกันไป....หูทุกคนเปิดฟัง ส่วนมือก็นั่งเตรียมถุงก๊อบแก๊บ ที่จะนำไปใช้แทนถุงยกขยะและเศษอวน
อุทยานแห่งชาติทางทะเล หมู่เกาะสุริทร์
ริเชลิว
เช้าวันนี้...เราจะลงดำน้ำปล่อยม้าน้ำจำนวน 100 ตัวกันค่ะ ส่วนที่เหลืออีก 100 ตัว เราจะเตรียมไปปล่อยอีกจุดดำน้ำหนึ่งค่ะ....
วัตถุประสงค์ของการปล่อยม้าน้ำในครั้งนี้ก็คือ ให้ม้าน้ำที่เกิดจากการเพาะพันธุ์ของศูนย์ประมงฯ กระบี่ ได้กลับคืนสู่ทะเล เพื่อแพร่พันธุ์ออกลูกออกหลานตามธรรมชาติ และยังเป็นการเพิ่มจุดเด่นของจุดดำน้ำให้แก่นักดำน้ำ ที่ให้ความสนใจกับสัตว์ทะเล โดยเฉพาะสัตว์เล็กๆและสวยงามอย่างม้าน้ำ ซึ่งที่ริเชลิวมีม้าน้ำพันธุ์ Tigertail นี้อยู่เพียงสองตัว ซึ่งไม่แน่ใจว่าตาของม้าน้ำบอดไป เพราะแสงแฟลชของนักดำน้ำไปแล้วหรือยัง
ส่วนที่เกาะตาชัยนั้น....สองสายไม่เห็นม้าน้ำเลย การนำม้าน้ำไปปล่อยจะทำให้จุดดำน้ำที่ตาชัยน่าดำน้ำเพิ่มมากขึ้นด้วย
พอใกล้จะถึงเวลาดำน้ำ.....เราวางแผนการปล่อยม้าน้ำ เตรียมตัวแบ่งม้าน้ำลงใส่แก้วพลาสติกใส แก้วละ 5 ตัว วางเรียงแก้วพลาสติกลงในตะกร้าพลาสติกโปร่ง แล้วห่อหุ้มด้วยถุงตาข่ายอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้น้องติ๊กและน้องชาย หิ้วลงไปแจกจ่ายให้พวกเรา เมื่อสายชลได้ชี้ทำเลที่เหมาะสมให้ปล่อยม้าน้ำได้แล้ว
มีการทดลองทำตามแผนที่วางไว้....ใช้ได้เลยค่ะ
เมื่อกลุ่มหนึ่งไปแต่งตัว....กลุ่มสองและสามช่วยกันแบ่งม้าน้ำลงถ้วยพลาสติก....
ลูกม้าน้ำไม่สวย....แต่น่ารักน่าสงสารมากค่ะ
ลูกม้าน้ำจะรู้ไหมหนอ...ว่าตัวเองจะได้กลับคืนสู่ท้องทะเล บ้านที่บรรพบรุษของเขาและเธอเคยอยู่อาศัยแล้ว...
ถึงเวลาลงน้ำกันแล้วค่ะ.....
น้ำในเช้าวันนั้น ใสแจ๋วไร้ตะกอน แม้ท้องน้ำจะยังสลัวเลือนลางเพราะแสงแดดยังไม่แรงกล้า เราก็ยังพอจะเห็นความงามใต้ทะเลที่ริเชลิวได้กระจ่างแจ้ง ปะการังอ่อนหลากสีสันขึ้นสลอนอยู่บนกองหิน ปลาตัวเล็กตัวน้อยแหวกว่ายไปมาอยู่ทั่วไป เหมือนกากเพชรที่ถูกโปรยเกลื่อนท้องน้ำ....
ปลาเก๋าจุดฟ้า ปักหลักตั้งป้อมจับลูกปลาตัวเล็กๆเหล่านั้นกินเป็นอาหาร...
นักดำน้ำ sos กลุ่มน้องติ๊ก ลงน้ำไปก่อนพร้อมสองสายและน้องชาย โดยน้องติ๊กหอบตะกร้าใส่ถ้วยม้าน้ำลงไปด้วย 18 ถ้วย ที่เหลืออีก 2 ถ้วย ให้น้องชายถือลงไป
กลุ่มแรกต้องเกาะสายทุ่นรอจนกว่ากลุ่มที่เหลือทะยอยลงน้ำจนครบ เมื่อครบแล้ว สายชลก็พาลัดเลาะตัดไปออกตรงบริเวณที่เราตั้งเป้าหมายที่จะปล่อยม้าน้ำ ซึ่งเต็มไปด้วยกัลปังหาพัด และแส้ทะเล
เมื่อถึงที่หมาย....นักดำน้ำลูกทีมทุกคนได้รับแจกถ้วยใส่ม้าน้ำเพื่อนำไปปล่อย....
น้องชายที่ถือถ้วยใส่ม้าน้ำมาสองถ้วย....ประคับประคองถ้วยใส่ม้าน้ำอย่างถนุถนอม ราวกับของล้ำค่า
น้องชายมาบอกสายชลในภายหลังว่า...ช่วงเวลานั้นมันเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ...
เมื่อได้ทำเลเหมาะๆ....พวกเราก็ลงมือปล่อยม้าน้ำกันอย่างตั้งใจ
เชิญชมลีลาการปล่อยม้าน้ำของพวกเรา...ส่วนใครเป็นใครก็เดากันเอาเองแล้วกันนะคะ
ม้าน้ำบางตัวก็ม้วนหางเกาะกัลปังหาง่ายๆ บางตัวก็ดื้อมากๆ...
ม้าน้ำบางตัวออกจากแก้วพลาสติกมาม้วนหางเกาะกับปังหาเอง....บางตัวต้องจับออกมาให้ม้วนหางเกาะ จึงจะยอม....
จะเสียเวลาในการปล่อยไปบ้าง....ทุกคนก็เต็มใจ (แต่ต้องไม่ให้ติด Decom.)
ปล่อยม้าน้ำ...เหมือนได้ทำบุญ มีความสุขกันถ้วนหน้า ทั้งผู้ปล่อยม้าน้ำครั้งแรก และผู้ที่ปล่อยมาหลายครั้งแล้ว....
มือใหม่หัดปล่อยม้าน้ำ จะมีพี่เลี้ยงคอยตามประกบ จนกว่าจะสามารถทำการปล่อยเองได้ด้วยตัวเอง
หัวหน้าทีมแต่ละคน....มีหน้าที่ตรวจดูความเรียบร้อยของการทำงาน...
ระหว่างที่เราทำงาน...มีนักดำน้ำคนไทยและต่างชาติ (ฝรั่งและญี่ปุ่น) มาชื่นชมและแสดงความขอบคุณ กับการปล่อยม้าน้ำของเรา
ทุกคนดูตื่นเต้นและดีใจ ที่ได้เห็นม้าน้ำที่เราปล่อยค่ะ....
ลีดเดอร์ต่างชาติบางคน...ส่องไฟอวดนักดำน้ำในกลุ่ม ให้เข้ามาดูม้าน้ำที่ละคนๆ
อย่างไรก็ตาม...มีลีดเดอร์ญี่ปุ่นคนหนึ่ง เห็นเรากำลังปล่อยม้าน้ำอยู่ ตอนแรกเขาคงไม่เข้าใจว่าเราทำอะไรกัน จึงเขียนในกระดานให้นักดำน้ำลูกทีมดู น้องย้ง ซึ่งรู้ภาษาญี่ปุ่นดี ได้โทรมาบอกสองสายว่า....เจ้าญี่ปุ่นคนนั้นเขียนบนกระดานว่า "รีบถ่ายรูปม้าน้ำเร็ว....มีคนกำลังจะจับม้าน้ำ" แล้วก็ชี้ไม้ชี้มือมาทางที่เราทำงานกันอยู่
ในขณะนั้น แม้จะอ่านไปออก แต่เห็นท่าทางไม่ค่อยดี สายชลจึงเข้าไปชี้แจงว่า เรามาปล่อยม้าน้ำกัน....เห็นไหม ซึ่งต่อมาเขาก็ทำท่าเข้าใจและ เรียกลูกทีมเขา ไปถ่ายภาพม้าน้ำที่เราปล่อยอย่างใกล้ชิด
บางคนถ่ายรูปม้าน้ำอยู่นั่นแล้ว ไม่ไปไหน....
เมื่อมาคิดอีกที....สายชลเข้าใจว่า...ลีดเดอร์ญี่ปุ่นคนนี้ จะไม่เคยรู้เลยว่า ที่ริเชลิวนี้ เคยมีม้าน้ำให้เห็นอยู่เพียง 2 ตัวเท่านั้น ลูกม้าน้ำที่เขาเห็นอยู่มากมายหลายตัวนี้ ล้วนเป็นม้าน้ำที่ถูกนำมาปล่อยใหม่ทั้งสิ้น....
ถ้าเขาไม่รู้จริงๆ....ก็ให้อภัยค่ะ.....แต่ถ้าจะมาหาเรื่องกัน เราคงจะได้พบกันอีกครั้งแน่นอน เพราะเรือที่พวกญี่ปุ่นพวกนี้เดินทางมาด้วย เรารู้แล้วว่าเป็นเรือของใคร ชื่ออะไร.......
ก็ม้าน้ำของเราออกน่ารักนี่คะ....
หากไม่เชื่อ...ก็ลองชมภาพเหล่านี้สิคะ
เราปล่อยม้าน้ำไปไม่นานเท่าไร....ม้าน้ำที่ตัวดำๆแดงๆ ไม่มีลาย ก็เริ่มมีสีอ่อนลง และเริ่มมีลายขาวๆบริเวณรอบตัวและหาง...
เราใช้เวลาในการดำน้ำไดฟ์แรกเกือบชั่วโมง ทุกคนมีความสุขมากที่ได้ปล่อยม้าน้ำ และก็ได้แต่หวังว่า ม้าน้ำจะไม่หนีไปไหนไกล
ในการดำน้ำไดฟ์ที่สอง....เราจะนำปลาการ์ตูนทั้ง 20 ตัวลงไปปล่อยด้วย โดยใช้วิธีใส่แก้วน้ำพลาสติกลงไปเช่นเดียวกับม้าน้ำ
นอกจากการปล่อยปลาการ์ตูนแล้ว....เราจะให้ทุกคนสำรวจม้าน้ำที่ปล่อยไว้ว่าอยู่ดีหรือไม่อย่างไรด้วย
แก้วปลาการ์ตูนถูกนำไปใส่ในตะกร้าพลาสติกและหุ้มด้วยถุงตาข่าย โดยมีน้องติ๊กถือลงไปเช่นเคย....
เมื่อแก้วปลาการ์ตูนถูกแจกจ่าย....ต่างคนก็หาดอกไม้ทะเลที่ไม่มีปลาการ์ตูนอื่นครอบครอง เพื่อคว่ำแก้วพลาสติกลงบนดอกไม้ทะเล แล้วปล่อยให้ปลาการ์ตูนลงไปเกลือกกลิ้งอยู่กับดอกไม้ทะเลจนคุ้นเคย ไม่หนีไปไหน และไม่มีปลาอื่นมากินหรือรุกราน จึงจะถือว่ากำารปล่อยปลาการ์ตูนสำเร็จสมประสงค์...
บางครั้งนึกว่าการปล่อยปลาการ์ตูนสำเร็จแล้ว.....แต่ที่ไหนได้ เกิดมีเจ้าของบ้านที่ซ่อนตัวอยู่มิดชิด โผล่มาแสดงตัว เราก็ต้องหาบ้านหลังใหม่ให้ปลานีโม...
โชคดีแล้วค่ะ....ที่เราตัดสินใจขอปลาการ์ตูนมาทดลองปล่อยเพียง 20 ตัว เพราะถ้าขืนขอมากกว่านี้ เราคงจะลำบากและเสียเวลาหาดอกไม้ทะเลให้เขาอยู่ เพราะดอกไม้ทะเลที่นี่มีไม่มากนัก และส่วนมากมีเจ้าของจำจองอยู่เกือบหมดแล้ว
ในการสำรวจม้าน้ำที่เราปล่อยไป....น่าดีใจที่ม้าน้ำเกือบทั้งหมด ยังคงม้วนหางเกาะกิ่งกัลปังหาที่เราปล่อยเขาไว้
น้องสามารถเคยบอกไว้ว่า "ม้าน้ำจะเลือกบ้านที่ตัวเองพอใจเอง ถ้าชอบแล้ว ก็ไม่คิดจะย้ายไปอยู่ที่ไหนอีก"
อย่างนี้ก็แสดงว่า...ม้าน้ำชอบบ้านที่เราหาให้อยู่ใหม่ จึงไม่คิดย้ายไปไหนนะคะ
และแม้จะลงดำน้ำในไดฟ์ที่สาม....เราก็ยังเห็นม้าน้ำอยู่เกือบครบ.....
ทำงานที่ริเชลิวสำเร็จแล้วค่ะ....หัวหน้าทีมอย่างน้องติ๊กเลยสบายใจมาก....
ที่นี้ก็มีเวลาสำรวจสภาพทั่วไปของกองหินแห่งนี้ซะที...
ไปค่ะ...ไปดูความงามของริเชลิวกัน....
ขอยืนยันว่า....ในบริเวณกองหินใต้น้ำของริเชลิว ยังคงงดงามอด้วยปะการังอ่อน กัลปังหา แส้ทะเล และปลาน้อยใหญ่มากมายที่ว่ายวนเวียนไปมา
วิกฤตการณ์ปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้นในปี 2553 ไม่มีผลกระทบใดๆต่อกองหินริเชลิวอีกแล้ว....
บริเวณเชิงผาที่ลาดชัน ปะการังอ่อนและกัลปังหาพัดยังขึ้นอยู่ทั่วไป...
น่าดีใจ...ที่เรายังได้พบม้าน้ำตัวผู้สีเหลืองพันธุ์ Tigertail ที่เป็นดาราดวงเด่นของริเชลิว ดูเขามีความสุขดี แต่เราไม่แน่ใจว่า....ตาทั้งสองข้างของเขาอยู่ดีหรือไฉน....
หลังจากดำน้ำไดฟ์ที่สามแล้ว...เรามุ่งหน้าต่อไปที่เกาะตาชัย
เราจากริเชลิวมาด้วยความสุขใจ....และเราก็หวังว่าทั้งม้าน้ำและปลาการ์ตูนที่เรานำไปปล่อยจะอยู่ดีมีสุข ได้แพร่พันธุ์ออกลูกหลาน และเป็นขวัญใจของนักดำน้ำตลอดไป...
ม้าน้ำกลุ่มนี้ทำตัวน่ารักมาก ไม่ดื้อ ไม่ซน
เกาะตาชัย
เช้าวันใหม่....ที่เกาะตาชัย เราตื่นเช้า เพื่อดำน้ำปล่อยม้าน้ำที่เหลืออีก100 ตัว
เริ่มกันด้วยการสรุปแผนการดำน้ำทำงานกัน โดยมีน้องกบทำหน้าที่นำในการดำเนินการ
และ น้องชาย ช่วยกันทำหน้าที่กำหนดแผนการดำน้ำ
ทีมงานช่วยกันแบ่งม้าน้ำลงแก้วพลาสติก วางเรียงแก้วลงตะกร้า และหุ้มตะกร้าด้วยถุงตาข่าย
ใต้ทะเลที่เกาะตาชัยยังมืดๆมัวๆเพราะแสงน้อยอยู่เมื่อเรากระโดดลงไป...แต่ความใสของน้ำทำให้อะไรๆดูดีไปหมดค่ะ...
ฝูงปลากลางน้ำมากมายแหวกว่ายไปมา....
เราเลือกทำเลที่มีกอกัลปังหามากมาย เกาะอยู่บนกองหิน....
วันนี้....น้องชายทำหน้าที่หิ้วตะกร้าใส่ม้าน้ำลงไป แล้วแจกจ่ายให้พวกเรา เมื่อถึงสถานที่เหมาะสมที่จะปล่อยม้าน้ำ
ได้เวลาปล่อยม้าน้ำกันแล้วค่ะ....
กัลปังหามากมายและสวยๆอย่างนี้ ม้าน้ำน่าจะชอบนะคะ....
แส้ทะเลอย่างนี้...ม้าน้ำช้อบ..ชอบ...
รายการนี้มีฝรั่งมุง.....
กลุ่มนักดำน้ำฝรั่งกลุ่มใหญ่ ตื่นเต้นกับม้าน้ำของเรามาก...
การปล่อยสำเร็จลงรวดเร็วกว่าการปล่อยม้าน้ำครั้งแรกมาก...
ม้าน้ำดูมีความสุขกับบ้านใหม่มากค่ะ...
หลังการปล่อยม้าน้ำและตรวจความเรียบร้อยแล้ว ยังพอมีเวลาให้เราสำรวจบริเวณรอบๆกองหิน...
เราสังเกตเห็นว่า ด้านเหนือของกองหินตาชัยนั้น ไม่มีวี่แววของการได้รับความเสียหายจากปรากฎการณ์ฟอกขาวแต่อย่างใด
กองหินแถวนี้ ยังคงสวยงามด้วยปะการังอ่อนและกัลปังหาอยู่...
ลูกปลาเล็กๆมากมาย...ทำให้ที่นี่มีชีวิตชีวาขึ้น....
กัลปังหาหลากรูปทรงและสีสัน...
ทางด้านใต้ของกองหิน..ปะการังอ่อนและกัลปังหาต้นใหญ่ๆหายไปมาก ปะการังแข็งมีร่องรอยว่าเคยฟอกขาว แต่กลับฟื้นคืนชีพเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงส่วนน้อยที่ตายไปและเริ่มมีสาหร่ายสีน้ำตาลมาจับ
อย่างไรก็ตาม....น่าดีใจที่ชีวิตใหม่ๆของปะการังอ่อนและกัลปังหา กำลังเกิดขึ้นทั่วบริเวณ
ขณะเราเตรียมตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ...จู่ๆน้ำเป็นริ้วๆคล้ายน้ำเชื่อม และเย็นเฉียบก็ไหลผ่านหน้าไป น้ำที่ใสแจ๋ว ก็ขุ่นมัวด้วยแพลงก์ตอนและตะกอน
ลักษณะเช่นนี้เราเรียกว่า Thermocline ซึ่งเป็นมวลของน้ำที่อยู่ระหว่างน้ำอุ่นและน้ำเย็น ถ้ามีกระแสน้ำไหลจากทะเลลึกขึ้นมาด้านบน ก็จะพัดพาเอาความเย็น แพลงก์ตอน และตะกอน ตามมาด้วย โอกาสที่เราจะได้เห็นสัตว์ใหญ่ๆ อย่างเช่น ฉลามวาฬ และกระเบนราหู ที่ไล่ตามกินแพลงก์ตอนขึ้นมา ก็น่าจะมีอยู่สูง
แต่หมดเวลาดำน้ำแล้วค่ะ...อย่างนี้ต้องรอไปลุ้นในไดฟ์หน้า....
ในไดฟ์ที่สองที่กองหินตาชัย....เรายังพบม้าน้ำอยู่ ณ.จุดที่ปล่อย ครบเกือบร้อยเปอร์เซ็น เช่นเดียวกับที่ริเชลิว
ดีใจมากๆค่ะ ที่ม้าน้ำชอบบ้านใหม่ที่เราหาให้....
ม้าน้ำดูมีความสุข และเริ่มมีลายบนตัวให้เห็นแล้วค่ะ
หลังตรวจความเป็นอยู่ของม้าน้ำแล้ว....เรามีเวลาจะไปสำรวจกองหินตาชัยต่อ...
ความงามที่ยังหาได้ที่กองหินตาชัย....
มีความสุขมากค่ะ...ที่ที่นี่ยังงดงามอยู่....
สองสายลุ้นที่จะได้เห็นปลาใหญ่ๆ ที่จะผ่านมาให้เห็น แต่โชคเราไม่ดีค่ะ ในขณะที่กลุ่มน้องติ่งที่อยู่ปิดท้าย ได้เห็นกระเบนราหู (Manta Ray) ตัวใหญ่ โฉบผ่านมาให้ยลโฉม...
เกาะบอน
จากเกาะตาชัย....เรามุ่งหน้าสู่เกาะบอน
ก่อนเรือจะถึงเกาะบอน....น้องชายได้มาบอกข่าวดีว่า มีกระเบนราหูสองตัว ว่ายเล่นอยู่ที่เกาะบอน
เรารีบแต่งตัวเตรียมดำน้ำกันอย่างเร็วรี่ และเมื่อเรือถึงเกาะบอน พวกเราก็ทะยอย กระโดดลงน้ำ
ลงไปไม่ทันไรก็มีกระเบนราหูโฉบมาให้เห็นกลางน้ำแล้ว แต่ไกลซะจนสองสายจับภาพไม่ได้
เราเลยว่ายเรียบแนวแหลมไปเรื่อยๆ เพื่อสำรวจแนวปะการังของเกาะบอน ภาพที่เราเห็น ทำใฟ้รู้สึกเศร้าอยู่ไม่น้อย เพราะปะการังอ่อนสีหวานๆของเกาะบอน หายไปมากกว่าปีที่ผ่านๆมา...
ปลากลางน้ำอย่าง Jackfish ที่เคยเห็นเป็นฝูง ก็เหลืออยู่ไม่กี่ตัว...
เราตีฟินอย่างเหงาๆไปทางปลายแหลมด้านตะวันตก....
ยังดีที่กัลปังหาต้นใหญ่สีแดงยังอยู่บนหน้าผาให้เราได้ชื่นชม...
คุณสายน้ำทำท่างงๆ....ไม่มีอะไรน่าดูเลย จะถือกล้องมาถ่ายอะไรล่ะเนี้ยะ....
น้องหนอม ซึ่งพานักดำน้ำจากเรือลำอื่นมาดำน้ำ และคุ้นเคยกับเราดี โผล่มาจ๊ะเอ๋....
ออกไปถึงปลายแหลม....ดีใจหน่อยค่ะ พอจะมีปะการังอ่อน (ขึ้นใหม่) ให้เราได้ชมความงามบ้าง
ปะการังดอกกะหล่ำกอใหญ่ เหลือให้เห็นอยู่เท่านี้...
กำลังมองดูนู่นนี่นั่นอยู่...คุณสายน้ำก็ส่งเสียงอู้วๆเรียก และชี้มือให้ดูกระเบนราหูที่โฉบผ่านมา พอมีคนไปดักหน้า เขาก็ว่ายดิ่งลงไปเบื้องล่าง ลึกกว่า 40 เมตร
มีนักดำน้ำคนหนึ่ง ยังว่ายไล่กวดกระเบนราหูไปติดๆ.....จนกระเบนราหู กระพือปีกว่ายหนีไปจนลับตา....
สองสายว่ายน้ำอย่างเซ็งๆ ย้อนกลับไปทางด้านเหนือของหัวแหลม แล้วก็ยิ่งเซ็งหนักเมื่อได้เห็นแนวปะการังที่แตกหักเสียหายยับเยิน
สันนิษฐานไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร....แต่ปะการังโขดที่แตกยับอยู่นั้น อยากจะบอกว่าน่าจะเกิดจากการระเบิด
ปลาสิงโตตัวนี้ก็คงจะเซ็งเหมือนสองสาย...
ค่อยดีใจหน่อย ที่ปะการังโขดที่หมือนเห็ดยักษ์ ที่สองสายชื่นชอบ ยังอยู่รอดปลอดภัย ใต้ปีกเห็ดมีปะการังอ่อนสีชมพูหวานแหววขึ้นอยู่เต็ม
รอบๆปะการังโขด มีปลาตัวเล็กตัวน้อยว่ายอยู่หนาแน่น...
เลยจากปะการังโขดรูปเห็ดไปไม่ไกลนัก เคยเป็นแนวปะการังเขากวางที่ขึ้นแน่นเหมือนทุ่ง และเป็นที่อาศัยของปลาสวยงามในแนวปะการังมากมายหลายชนิด
เมื่อมองอยู่ห่างๆ เรายังเห็นแนวปะการังเขากวางอยู่ แต่ผิดสังเกตตรงที่ปลาในแนวปะการังเล็กๆ เช่น ปลาสลิดหิน (Damselfish) ปลากะรังจิ๋ว (Basslets) ลดน้อยไปมาก
และเมื่อเข้าไปใกล้ ก็ทำให้ตกใจ..... เพราะดงปะการังเขากวางทั้งหมด ได้แห้งตาย และมีสาหร่ายจับตามกิ่งปะการังเต็มไปหมดแล้ว
เห็นแล้วอยากจะร้องไห้....
เสียดายทุ่งปะการังเขากวางแห่งเกาะบอนจริงๆค่ะ...
ปลาสินสมุทรลายน้ำเงิน (Bluering Angelfish) ตัวนี้ ก็คงจะเศร้าใจเหมือนสองสาย
ตอนเราพักน้ำกันอย่างเซ็งจัดอยู่นั้น กระเบนราหูตัวที่เราได้เห็นก่อนหน้านี้ (สังเกตจากลายและหางที่สั้นกุด) ก็ว่ายโฉบมาใกล็เรา
หายเซ็งไปได้หน่อยค่ะ....
ลีลาของกระเบนราหูตัวนี้ น่ารักน่าเอ็นดูมากค่ะ...
น้องหมอเมธจับภาพมาได้งามๆหลายภาพเลย เชิญชมนะคะ
กระเบนราหูตัวนี้ ดูจะสนใจเข้ามาหากินอย่างเดียว ไม่ค่อยสนใจนักดำน้ำที่อยู่กันมากมายในบริเวณเกาะบอนนัก
ดูสิคะ....กระเบนราหูเกือบจะว่ายชนน้องติ๊ก ที่ลอยตัวพักน้ำอยู่เฉยๆ.....
ในวันสุดท้ายของการดำน้ำ (13 กุมภาพันธ์ 2554)...เราย้อนกลับไปดำน้ำที่เกาะบอนอีกครั้ง
เราพบว่า...เกาะบอนมีปลานานาชนิดมาว่ายวนเวียนมากขึ้น เข้าใจว่าจะเป็นเพราะ Thermocline พัดพาแพลงก์ตอนจากน้ำลึกขึ้นมามาก ทำให้ปลาพากันมาหากินมากกว่าปกติ
ปลาหลายชนิดเริ่มจับคู่จู๋จี๋....
กระเบนราหู ยังคงว่ายร่อนหากินอยู่ที่เกาะบอน....
อุทยานแห่งชาติทางทะเล หมู่เกาะสิมิลัน
เรือจมทูน่า (Tuna Wreck)
เช้าวันที่สามของการทำงาน (12 กุมภาพันธ์ 2554) เราวางแผนจะไปตรวจหอยมือเสือที่ทาง ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง ประจวบคีรีขันธ์ ได้ร่วมกับสมาชิก SOS ได้นำมาปล่อยไว้บริเวณเกาะ 5 อุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะสิมิลัน จำนวน 200 ตัว (ในเดือนเมษายน 2551 และ มกราคม 2552 ครั้งละ 100 ตัว) โดยเราจะลงดำน้ำที่บริเวณเรือจมทูน่า (Tuna Wreck) แล้วดำน้ำขึ้นไปตรวจหอยมือเสือที่ถูกปล่อยไว้ด้านน้ำตื้น
หลังการสรุปแผนการดำน้ำทำงานกันเรียบร้อยแล้ว เราให้เรือไปจับทุ่นที่อยู่เหนือเรือจมทูน่า เมื่อแต่งตัวและใส่อุปกรณ์เรียบร้อย เราก็ทะยอยกระโดดลงน้ำ
น้ำที่บริเวณเรือจมทูน่าใส่แจ๋ว จากผิวน้ำ เราจึงมองเห็นเรือจมลำใหญ่ที่อยู่ที่ความลึกกว่า 30 เมตร ได้ค่อนข้างชัดเจน
chickykai
02-03-2011, 16:25
อ่านรายงานแล้วดีใจค่ะพี่สอสาย ที่ทะเลไทยยังมีความสวยงาม ไม่เสียหายไปหมดกับการฟอกขาวที่ผ่านมา และหวังว่ามวลน้ำเย็นที่กำลังมาจะช่วยให้ทะเลของเรากลับมาสวยงามเหมือนเดิมไวๆนะคะ
ส่วนมากที่ลงดำน้ำดูจะยังสวยอยู่ทั้งนั้นค่ะน้องไก่....
หวังว่าทะเลจะดีวันดีคืนขึ้นเรื่อยๆเช่นกันค่ะ
ปะการังอ่อนที่เกาะตามตัวเรือ ช่วยเพิ่มสีสันให้กับเรือจมลำนี้
กัลปังหาพัดต้นใหญ่ที่ตั้งอยู่บนกองหินด้านหัวเรือ ซึ่งเราเคยช่วยไว้ตอนสึนามิ ทำให้เรือจมทูน่าในวันนี้ดูสวยขึ้น...
หัวเรือเป็นจุดที่สวยที่สุดของเรือจมลำนี้...
พวกเราจึงวนเวียนกันอยู่แถวๆหัวเรือ.....
คู่หวาน และน่ารัก ของ sos....
น่าแปลก ที่ท้องเรือจมทูน่า นอกจากสาหร่ายและหอยแล้ว ไม่มีปะการัง กัลปังหา หรือสัตว์อื่นไปเกาะติดเลย...
ผิดกับด้านดาดฟ้าเรือ ที่มีปะการังทั้งแข็งและอ่อน กัลปังหา ดาวขนนก และหอย เริ่มมาเกาะติดมากขึ้น..
ปลาสิงโต 3-4 ตัว ที่อาศัยอยู่บริเวณดาดฟ้าเรือ ช่วยเพิ่มชีวิตชีวาให้กับเรือจมแห่งนี้
ด้วยเหตุที่เรือจมอยู่ในจุดที่น้ำลึกมาก พวกเราจึงถูกกำหนดให้ใช้เวลาที่นี่เพียง 10 นาที
ต่างคนจึงต่างต้องทำเวลาในการสำรวจเรือจมแห่งนี้ ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้...
เราหวังว่าเรือจมทูน่าจะสวยวันสวยคืน จนเป็นขวัญใจของนักดำน้ำที่มาเยี่ยมเยือนสิมิลัน
จากเรือจมทูน่า....เราค่อยๆว่ายไต่ขึ้นไปตามแนวลาดของปะการังที่ซ้อนกันอยู่อย่างหนาแน่นและสวยงาม เพื่อขึ้นไปยังแนวปะการังน้ำตื้น
ดูเหมือนที่นี่จะไม่ได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์ฟอกขาวเลยค่ะ
เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ....ปะการังตามแนวลาดชายเกาะ ยังดูสดชื่นแข็งแรงอยู่ค่ะ
เมื่อขึ้นไปที่ริมขอบแนวปะการังน้ำตื้นที่ความลึกราว 10-12 เมตร สภาพปะการังก็ยังดูดีอยู่...
แต่พอเข้าไปที่ความลึกต่ำกว่า 10 เมตร...เราได้เห็นว่ามีปะการังตายไปเป็นจำนวนมาก คิดเป็นร้อยละ 40-50 ของปะการังทั้งหมดในบริเวณนั้น
ปะการังมีให้เห็นว่าตายแล้วบางจุด และเริ่มมีสาหร่ายมาจับปะการังที่ตายแล้ว...
อย่างไรก็ตาม....ปลาตัวเล็กตัวน้อยยังคงอาศัยอยู่ในแนวปะการังนี้มากมาย...
พอว่ายเข้าไปตรงน้ำตื้นๆติดตัวเกาะ....ใจหายค่ะ เพราะปะการังตายไปสักร้อยละ 70-80 ได้...
เห็นแล้วอยากร้องไห้โฮๆ.....
ปะการังมีสภาพจะตายมิตายแหล่อย่างนี้ แล้วหอยมือเสือที่เรานำมาปล่อยจะมีสภาพอย่างไรเล่าคะ....
เราพยายามมองหาหอยมือเสือ....หาเท่าไรก็ยังหาไม่พบ..
มองไปมองมา เห็นแต่เปลือกหอยมือเสือ 2-3 ตัว กะขนาดได้พอๆกับหอยที่เรานำมาปล่อยครั้งแรกเมื่อสองสามปีก่อน....
เวลาผ่านไปเกือบ 40 นาที....สองสายและสมาชิกทีมน้องติ่ง ชักใจหายที่ไม่เห็นหอยมือเสือที่มีชีวิตเลย เราจึงดาหน้าตลุยหาหอยฯ ต่อไป กันอย่างตั้งอกตั้งใจ....
ปะการังในบริเวณที่เรามุ่งหน้าไป ดูจะมีสภาพที่ดีขึ้น คือมีการตายน้อยลงกว่าที่เราว่ายผ่านมา...
ในที่สุด....เราก็ได้เห็นหอยมือเสือที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นตัวแรก....
ดีใจมากๆค่ะ....
จากตัวแรก....ก็มีหอยมือเสือให้เราได้เห็นอีกหลายสิบตัว...
หอยมือเสือที่เห็นส่วนมาก ยังมีป้าย "กรมประมง" ให้เห็นอยู่
หอยดูสวยงามและสมบูรณ์มากค่ะ.....
บางตัวไม่มีป้ายติดที่เปลือกหอย แต่มีป้ายแขวนอยู่บนเหล็กดัดโค้งงอ ที่ปักอยู่บนพื้นทราย
หอยมือเสือที่ขาดความอบอุ่นไม่ได้ มีอยู่หลายตัวด้วยกัน....
ป้ายที่ผูกติดอยู่กับเหล็กดัดโค้ง ยังเสียบอยู่ที่พื้นทราย หลายอัน แต่ส่วนมากไม่มีหอยมือเสือวางอยู่ใกล้ๆ...
น้องๆ sos ทีมน้องติ่ง ช่วยกันนับหอยมือเสือที่พบทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ และตายไปแล้ว รวมทั้งวัดขนาดหอยฯที่พบ
บริเวณที่เราเห็นหอยมือเสือครั้งนี้ และลักษณะของหอยฯที่ได้เห็น สายชลเชื่อว่าเป็นหอยที่เราได้นำมาปล่อยครั้งที่ 2 คือเมื่อเดือนมกราคม 2552 ซึ่งมีจำนวนตอนที่นำมาปล่อย 100 ตัว
โดยสรุป...จำนวนหอยเป็นทั้งที่ติดป้าย และไม่ติดป้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ มีจำนวนรวม 71 ตัว ส่วนหอยที่ตายเหลือแต่เปลือกให้ดูต่างหน้า มีจำนวน 26 ตัว
นั่นหมายความว่า....หอยที่นำมาปล่อยครั้งที่2 นั้น รอดตายถึงร้อยละ 71 ตายร้อยละ 26 และสูญหายไปเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น
น่าดีใจจริงๆค่ะ
เราใช้เวลาทำการสำรวจตรวจเยี่ยมหอยมือเสือครั้งนี้ กันเกือบ 70 นาที....เหนื่อยแต่มีความสุข....
กลุ่มน้องติ๊กและน้องกบ ได้สำรวจหอยมือเสือเลยไปจนถึงพื้นทรายหน้าเกาะหก
ดูออกไหมคะว่าเป็นอะไร.....
จริงๆแล้ว...นี่คือ 2 ใน 12 ปฏิมากรรม "จักรราศี" ที่ได้ถูกนำมาตั้งเป็นอนุสรณ์ใต้น้ำ เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สึนามิ ที่เกิดขึ้นในไทยเป็นครั้งแรกนั่นเอง
ปลาน่ารักๆที่น้องหมอเมธถ่ายไว้ได้ค่ะ....
ตัวแรกเป็นปลาตุ๊ดตู่ (Blenny) และตัวที่สองเป็นปลาครีบดำจุดขาว (Comet หรือ Prettyfins)
ถึงแม้ปะการังแข็งบริเวณเขตน้ำตื้นของเกาะห้าจะตายไปมาก ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเกิดจากปรากฎการณ์ฟอกขาว เราก็ได้แต่หวังว่า ในอีกไม่ช้าไม่นาน ธรรมชาติจะช่วยเยียวยา ให้แนวปะการังบริเวณนี้กลับฟืื้นคืนมาอีกครั้ง แม้จะต้องใช้เวลาบ้างก็ตาม
ปีหน้า...เราจะมาเยี่ยมเยือนหอยมือเสือ และแนวปะการังที่นี่อีกครั้ง....
เราหวังว่า....เราจะได้เห็นหอยมือเสืออยู่รอดปลอดภัยทั้งหมด และ ได้เห็นแนวปะการังที่จะกลับฟื้นคืนชีพ ด้วยลูกปะการังเล็กๆที่ล่องลอยมาลงเกาะ และอาศัยอยู่บนซากปะการังเก่าๆที่เราได้เห็นในวันนี้
เกาะ 4
หลังจากไปดำน้ำตรวจหอยที่เกาะ 5...เราไปจอดเรือที่หาดใหญ่หน้าเกาะ 4 เพื่อให้ผู้ที่อยากขึ้นเกาะได้ลงเรือยางไปเหยียบเกาะกัน
ช่วงนั้นได้เวลาที่เรือเร็วและเรือโดยสารที่พานักท่องเที่ยวจากฝั่งทับละมุ แล่นมาถึงหน้าเกาะ 4 เพื่อส่งนักท่องเที่ยวขึ้นเกาะ
เห็นแล้วไม่ทราบจะดีใจหรือเศร้าใจดี....
ก่อนเรือเร็วและเรือโดยสารจะแล่นเข้ามา....เราก็เห็นคนเดินอยู่บนชายหาดเกาะมากมายอยู่แล้ว เมื่อมีนักท่องเที่ยวมาเพิ่มอีกเช่นนี้ เรานึกภาพได้ว่า บนเกาะ 4 จะมีนักท่องเที่ยวเดินไปเดินมามากมายเพียงใด
ไปสิมิลันมาหลายครั้ง....ไม่เคยเห็นสะพานและอุปกรณ์ที่ยื่นออกมาตรงหัวเกาะ 4 ด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ติดกับช่องแคบระหว่างเกาะ 4 และเกาะ 6
ขอบอกว่า....มันเป็นเสาโทรศัพท์ ที่โด่เด่ขึ้นมาเหนือความเขียวขจีของหมู่แมกไม้แล้ว สิ่งก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นมาใหม่นี้ ได้ทำให้ทัศนียภาพของเกาะ 4 เสียความเป็นธรรมชาติ เพิ่มมากขึ้นไปอีก ช่างเป็นภาพที่ไม่น่าดูเสียจริงๆ
อย่างนี้ละกระมังคะ ที่เขาเรียกว่า "อุจาดทัศน์"....ทำไมปล่อยให้ทำกันไปได้ เห็นแล้วก็ได้แต่เศร้าใจค่ะ
West of Eden (เกาะ 7)
เมื่อพวกเราที่ไปขึ้นเกาะ 4 กลับขึ้นมาบนเรือหมดแล้ว...เรือก็แล่นออกจากเกาะ 4 มุ่งหน้าสู่เกาะ 7 เพื่อพาเราไปดำน้ำทำงานกันอีกครั้ง ที่จุดดำน้ำด้านตะวันตก ที่เรียกว่า West of Eden
ภาระกิจในการดำน้ำที่นี่ก็คือ การสำรวจตรวจเยี่ยมม้าน้ำ ที่เราได้นำมาปล่อยไว้เมื่อปีที่แล้ว คือเมื่อเดือนมกราคม 2553
West of Eden ได้ชื่อว่าเป็นจุดดำน้ำที่สวยงามแห่งหนึ่งของสิมิลัน แม้จะไม่งามเท่า East of Eden ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของเกาะ แต่ก็มีเสน่ห์ชวนหลงใหลได้ไม่ยาก
เมื่อเรากระโดดลงไปใต้น้ำ ก็ได้เห็นกองหินน้อยใหญ่เรียงรายกันอยู่ที่ชายเกาะ กองหินใหญ่สุดที่เหมือนโต๊ะสี่เหลี่ยม ที่ยอดกว่าผิวน้ำ 15 เมตร และอยู่สูงจาก้านบนพื้นทรายกว่า 20 เมตรนั้น มีกัลปังหาพัดที่ขึ้นอยู่ด้านข้างของกองหิน ติดกันเป็นพืดยาวลงไปจากขอบหินด้านบนจนถึงพื้นทราย ทำให้เราคิดถึง Fantasy Reef ที่ยังถูกปิดอยู่
ปลาตัวเล็กตัวน้อยและปลาสวยงามมากมาย อาศัยอยู่รอบๆกองหิน...
น้ำใสๆไร้ตะกอน และแสงที่กำลังได้ที่ ทำให้ที่นี่มีงดงามเพิ่มขึ้น...
เราช่วยกันก้มหน้าหาม้าน้ำที่เรานำมาปล่อยไว้ในบริเวณนี้ทั้งหมด 150 ตัว...
แต่หาอย่างไรก็ไม่พบม้าน้ำสักตัวเดียว....
ดูเหมือนน้องม้าน้ำจะไม่ค่อยชอบที่นี่ เลยไปหาบ้านใหม่ของตัวเองละกระมังคะ
หรือ...อาจจะเป็นเพราะน้องม้าน้ำตัวเล็กเกินไปตอนเรานำมาปล่อย จึงทำให้เขากลายเป็นอาหารของปลาใหญ่ไปหมดแล้ว
เอ...แต่เขาว่าม้าน้ำเปลือกแข็ง ปลาอื่นไม่ค่อยจะชอบกินนี่นา เหตุผลข้อหลังนี่จึงไม่น่าจะเป็นความจริงนะคะ (เพราะไม่อยากให้เป็นจริง เลยต้องคิดปลอบใจตัวเองอย่างนี้แหล่ะค่ะ)
เมื่อวนเวียนหาม้าน้ำอยู่หลายเที่ยว และหาไม่พบจริงๆ....เราก็ล่าถอยไปหาอย่างอื่นดูแทน...
ที่พื้นทรายใต้เชิงก้อนหินใหญ่....มีเศษซากปะการังเก่าๆกองระเกะระกะอยู่ทั้วไป...
มีเครื่องมือทดลองหรือใช้ตรวจสอบของนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลที่นำมาทิ้งไว้บนซากปะการังเหนือพื้นทรายเชิงผาหิน...
ดีใจที่มีกัลปังหาสีส้มสดใส ตั้งอยู่บนพื้นทรายในบริเวณนั้นด้วย แต่ไปก้มๆเงยๆดูแล้ว ไม่เห็นน้องม้าน้ำสักตัวเดียว...
เราเคลื่อนตัวย้ายไปที่กองหินก้อนที่เล็กกว่าซึ่งอยู่ต่ำลงไป...
กองหินก้อนนี้ก็สวยดีค่ะ....มีปะการังและกัลปังหาที่สมบูรณ์และสมบูรณ์ให้ได้เห็นทั่วไป
จุดเด่นของหินกองนี้ นอกจากกัลปังหาพัดแล้ว...น่าจะอยู่ที่ดงปะการังลวด (Wire Coral,Hicksonnella sp.)) สีชมพูอ่อน และ สี ที่ไม่ค่อยจะได้เห็นที่ไหนในเมืองไทย
และฟองน้ำครกใบใหญ่ ที่ตั้งเอียงกะเท่เร่อยู่บนกองหิน ที่ดูเหมือนจะหล่นมิหล่นแหล่
พวกเราหลายคนชุมนุมอยู่แถวๆนี้....
น้องชายที่ไปนั่งกองอยู่บนพื้นทรายกวักมือเรียกสองสายให้ลงไปดูอะไรข้างล่าง
อ๋อ...ปลาไหลริบบิ้นสีดำ และสีฟ้า (Black and Blue Ribbon Eels) นั่นเอง
พอชี้ให้เราดูปลาไหลริบบิ้นเสร็จ...น้องชายก็รีบเผ่นสูงขึ้นไป คงใกล้จะติด Decom. Time เพราะว่ามาคอยชี้ปลาไหลริบบิ้นให้เราดูกันนั่นเอง....
น่ารักดีค่ะ...ทั้งคนชี้ให้ดู และ ปลาไหล
เราเองก็อยู่ชื่นชมปลาไหลริบบิ้นได้ไม่นาน เพราะใกล้จะติด Decom. แล้วเช่นกัน
ฉะนั้น...เมื่อชี้ให้น้องๆที่ยังไม่ได้ดูปลาไหล ได้ดูแล้ว เราก็ค่อยๆลอยตัวขึ้นไปลอยอยู่บนยอดหินกองเล็กทันที
บนยอดหิน...ปลามากมายก่ายกอง....
พอปลาเล็กหลบไป....ก็สวยอย่างภาพข้างล่าง
ปลาว่ายกันขวักไขว่.....
พอปลาหลบไป....ใครนะ น่าเกลียดจัง...
บนยอดหินห่างจากผิวน้ำ 8-10 เมตร นี้ เราได้เห็นความเสื่อมโทรมของปะการังแข็งชนิดต่างๆ
ปะการังราวร้อยละ 50 จากทั้งหมด ได้ตายไปและเริ่มมีสาหร่ายมาจับแล้ว...
แต่ปลาสวยงามนานาพันธุ์ ก็ยังวนเวียนหากินอยู่ในแนวปะการังที่เสียหายนี้.....
ที่ยอดหินนี้เคยมีปะการังโต๊ะขนาดใหญ่มากมาย อวดความงามอยู่...
บัดนี้...ปะการังโต๊ะที่อยู่รอดปลอดภัยเหลือให้เห็นไม่มากนัก
ที่ยังสวยก็สวยมาก....ที่ทรุดโทรมก็รอเวลาจะแตกสลายไป
น่าดีใจที่เราเห็นชีวิตใหม่ๆเกิดขึ้น คือเริ่มมีปะการังเล็กๆ ที่เริ่มมาจับกองหิน หรือซากปะการังที่ตายไปแล้ว
ชีวิตใหม่....บนซากเก่า....
ที่น่าเศร้าใจและน่าเจ็บใจ...มีปะการังกิ่งที่หักใหม่ๆอยู่สองสามกิ่ง...
ดูแล้วจะเป็นฝีมือหรือฝีเท้าของมนุษย์(กบ)คนใดคนหนึ่ง ที่มาดำน้ำที่นี่แน่ๆ...
ธรรมชาติกำลังเยียวยาตัวเอง....แต่มาถูกมนุษย์(กบ)ย่ำยีอย่างนี้ แล้วเมื่อไรที่นี่จะกลับมาสวยงามอีก
เห็นอย่างนี้แล้ว มันน่าจะปิดจุดดำน้ำนี้ซะเลย....ดีไหมคะ....????
น่าแปลก...ที่แม้แนวปะการังที่นี่จะทรุดโทรมไปมาก แต่ปลานานาชนิดก็แวะมาที่นี่ทั้งเพื่อหากิน...
และเพื่อทำความสะอาดเนื้อตัวด้วยการใช้บริการจากปลาพยาบาล
แล้วมนุษย์กบเหล่านี้....ทำอะไรกันจ๊ะ....????
อ๋ออออ.....มาดำน้ำปล่อยม้าน้ำ ตรวจหอยมือเสือและม้าน้ำที่ปล่อยไว้....เก็บขยะ และตัดอวนใต้ทะเล....
หลังจากขึ้นจากน้ำกันครบแล้ว....เรือก็แล่นไปที่ อ่าวน้ำตก เกาะ 8 เพื่อเติมน้ำที่ใกล้จะหมดเต็มที
ที่อ่าวน้ำตก....มีเรือเจ้าถิ่นกำลังจอดเรือเติมน้ำอยู่ก่อนแล้ว เรือลำนี้จอดประจำอยู่ที่สิมิลัน เพื่อรับนักดำน้ำที่เดินทางมาที่เกาะสิมิลันด้วยเรือเร็ว หรือเรือโดยสารอื่น จึงต้องอาศัยน้ำจืดจากน้ำตกบนเกาะ 8 นี้อยู่เป็นกิจวัตร
เพราะเป็นเรือใหญ่ก็ต้องใช้เวลาในการเติมน้ำนาน แต่พอน้องชายไปเจรจาขอเติมน้ำลงเรือเราก่อน เขาก็น่ารักมาก ให้เราไปจอดเทียบข้างเพื่อสูบน้ำลงเรือก่อน
สายชลชอบหินรูปเต่าที่เป็นสัญลักษณ์ของอ่าวเต่า ที่อยู่ใกล้ๆอ่าวน้ำตก.....ดูเหมือนเต่าชูหัวจริงๆนะคะ
หินหัวกระโหลก (Elephant Head Rock)
ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าเรือจะเติมน้ำเสร็จ จากกนั้นเรือก็ย้อนลงใต้ มุ่งหน้าไปที่หินหัวกระโหลก ที่ฝรั่งเห็นเป็นหัวช้าง ซึ่งครั้งหนึ่งเรียกว่าเกาะ 7 แต่เพราะไม่มีต้นไม้สักต้นบนกองหิน เลยต้องเปลี่ยนเป็นกองหินไม่ใช่เกาะ
ภาระกิจของการลงดำน้ำครั้งนี้ ก็คือการดำน้ำเก็บขยะและตัดอวนเท่าที่เราจะเห็นและเก็บได้
กัปตันชัยแห่งเรือโชคศุลี ดูจะกล้าหาญชาญชัยขึ้นกว่าเดิมมาก ที่อาจหาญปัดท้ายเรือเข้าไปส่งเราใกล้ๆตัวหินหัวกระโหลกมาก
พอกระโดดลงไป....เราก็อยู่เหนือกองหินช่องกระจกที่เราชอบไปถ่ายภาพกันพอดิบพอดี อย่างนี้ต้องขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก (ตามธรรมเนียม)สักหน่อยนะคะ
ถ่ายภาพที่ช่องกระจกของเราเสร็จ สองสายก็ลอดโพรงถ้ำโพรงหนึ่ง (จากหลายๆโพรง) เพื่อออกไปทางด้านตะวันออกของกองหิน...
เราเข้าปากโพรงถ้ำหนึ่ง ไปออกท้ายโพรงถ้ำอีกแห่งหนึ่ง เป็นที่สนุกสนาน
ที่ได้ใจมากคือ น้ำใสไหลแรงอัดเข้าหาตัวเรา จนแทบจะว่ายออกไปไม่ได้..
เราเข้าปากโพรงถ้ำหนึ่ง ไปออกท้ายโพรงถ้ำอีกแห่งหนึ่ง เป็นที่สนุกสนาน
ที่ได้ใจมากคือ น้ำใสไหลแรงอัดเข้าหาตัวเรา จนแทบจะว่ายออกไปไม่ได้..
ชอบใจที่ปะการังอ่อนเริ่มออกช่อสวยงามตามผนังโพรงถ้ำแล้ว....
ว่ายสวนทางน้ำออกไปด้านตะวันออกของหินหัวกระโหลก ที่แสงจากพระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกส่องผ่านหินหัวกระโหลกมาไม่ถึง
เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่ไม่ค่อยได้เห็น เพราะส่วนมากแล้วเราจะดำน้ำที่หินหัวกระโหลกนี้ในตอนเช้าที่พระอาทิตย์กำลังส่องแสงอ่อนๆลงมาด้านนี้
เราเลยได้ภาพกัลปังหาพัดแบบนี้มาค่ะ...
Super_Srinuanray
03-03-2011, 20:26
เห็นแล้วน่าชื่นใจค่ะพี่น้อย พี่จ๋อม
ขอบพระคุณ บ้าน sos ที่ช่วยกันทำให้ทะเลไทยน่าดูขึ้นอีกนะคะ
อยากเห็นม้าน้ำที่ริเชริว อีกค่ะ เมื่อไรจะได้ไปน่ะ
ขอบคุณค่ะน้องติ่ง...
ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ไปอันดามันเหนืออีกเมื่อไรค่ะ แต่ถ้าไปได้....ก็อยากไปอยู่เหมือนกันค่ะ
ขอบคุณค่ะน้องติ่ง...
ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ไปอันดามันเหนืออีกเมื่อไรค่ะ แต่ถ้าไปได้เร็วๆนี้....ก็อยากไปอยู่เหมือนกันค่ะ
ดีใจที่กัลปังหาที่หินหัวกระโหลกยังดูแข็งแรงสมบูรณ์อยู่เป็นส่วนมาก....
ปลาตัวเล็กตัวน้อยว่ายวูบวาบไปมา เหมือนสายฝนยามพายุปั่นป่วนพัดไปพัดมา...
ปลาสีเงินสามขนาด...สามชนิด...ว่ายอยู่ในระดับน้ำที่ต่างกัน.....
เหมือนถูกมนต์สะกด...เป็นภาพที่ดูแล้ว...ไม่อยากละสายตาไปไหน....
ดาวขนนกหลากสีสันที่เกาะอยู่บนกองหิน เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของที่นี่...
ตามหน้าผาสูงของหินหัวกระโหลก มักจะประดบประดาด้วยกัลปังหาพัดสวยๆ...ปะการังอ่อนสีหวานๆ...
น้องกบนำทีมหาขยะและเศษอวน แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีให้เก็บมากนัก...
โพรงถ้ำมีมากมายให้เราลอดไปลอดมา....
น้องปิ่นสนุกกับการลอดโพรงถ้ำที่เหมือนอุโมงค์นี้มาก...
น้ำที่แรงมากทางด้านตะวันออก....ทำให้เราหวนกลับไปทางด้านตะวันตกของหินหัวกระโหลก เพื่อหลบกระแสน้ำ...
น้ำนิ่งสนิทจริงๆค่ะ....แต่ด้านนี้มีแต่หินและหิน พวกเราจึงอ้อยอิ่งว่ายน้ำดูตัวเล็กตัวน้อยกันไปเรื่อยๆ
ปูเสฉวน และขาของดาวขนนก....ที่คุณสายน้ำชอบถ่ายภาพ...
ครอบครัวปลาการ์ตูนลายปล้อง (Clark's anemonefish) บนดอกไม้ทะเลตัวเล็กๆ
น้องก้อยเรียกให้สายชลดูลูกเต่าขนาดไม่ถึงฟุตที่นอนอยู่กับพื้นหินส่วนที่ติดกับกองหินเหนือน้ำ ที่ฝรังมองว่าเป็นหลังช้าง
แต่พอจะเข้าไปใกล้ เจ้าเต่าตัวนั้นก็โผขึ้นสู่ผิวน้ำ เขาคงอยากหายใจเต็มทีแล้วล่ะค่ะ
สังเกตไหมคะว่า ขาเต่าด้านขวาหลังขาดวิ่นไป.....เป็นเพราะอะไรกันหนอ...
น่าสงสารนะคะ....แต่เขาก็ยังโชคดี ที่มีขาหน้าทั้งสองไว้ใช้ว่ายน้ำหากิน
หลังจากดำน้ำที่หินหัวกระโหลกแล้ว...เรือแล่นไปจอด ที่เกาะ 9 บริเวณที่น้องชายเรียกว่า "อ่าวนำชัย" หรือที่ฝรั่งเรียกว่า "Bommie" เพื่อให้น้องๆได้ดำน้ำกลางคืน
มีเรือใบฝรั่งจอดอยู่.....สวยดีค่ะ
ต้นไม้สามต้น (Three Trees) เกาะ 9
วันสุดท้ายของการดำน้ำทำงานในครั้งนี้มาถึงแล้ว....
เราตื่นกันแต่เช้ามืด เพื่อจะรีบลงดำน้ำไดฟ์แรกและไดฟ์ต่อๆไปให้เร็วกว่าปกติ เพื่อที่จะให้สมาชิกที่จะต้องรีบกลับบ้านในเย็นวันนี้ถึงฝั่งให้เร็วที่สุด และพวกที่จะกลับเครื่องบินในวันรุ่งขึ้น มีเวลาพักบนบก 24 ชั่วโมง ก่อนการเดินทาง
เราเตรียมตัวลงดำน้ำกันตั้งแต่ก่อน 7 โมงเช้า ตอนที่ลงดำน้ำ ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่มาให้เห็น จึงเป็นการดำน้ำแบบ Early Morning ที่ใต้น้ำยังมืดมัว ต้องใช้ไฟฉายส่องดูนู่นดูนี่เหมือนลงดำน้ำกลางคืน
กองหินที่อยู่เป็นหย่อมๆ ที่จุดดำน้ำแห่งนี้ เหมือนกับสวนญี่ปุ่น มีปะการังอ่อนสีแดงสดญี่ปุ่นใสเหมือนโคม และปลามากมายดั่งสายฝน....
เพียงกองหินเล็กๆ....ก็ดึงดูดให้เราวนไปเวียนมาอยู่ได้หลายนาที
ก็ดูสิคะ....สวยออกอย่างนี้
ระหว่างเคลื่อนตัวจากกองหินหนึงไปยังอีกกองหินหนึ่ง....มีสัตวว์ตัวเล็กที่น่าสนใจให้ดูมากมาย เช่น ปลาไหลสวน ทากทะเล ปลาบู่....
แต่น่าเสียดาย...ที่สองสายใช้เลนส์มุมกว้างกันทั้งคู่ เราเลยได้เพียงภาพปลากระเบนจุดฟ้า (Blue-spotted Stingray) หลายตัว ที่นอนพักบ้าง และบินร่อนไปมาบ้าง อยู่เหนือพื้นทราย
ตัวเล็ก..แต่เงี่ยงที่หางนั่น ก็ทำให้คนถูกเงี่ยงแทง เจ็บปวดแสนสาหัส....
ลองชมภาพจากกล้องของคุณสายน้ำ ที่ตัวเลนส์อยู่ลึกไปหน่อย เลยได้ภาพแบบนี้มา....
ที่กองหินถัดไป....ปะการังอ่อนยังสวย และปลายังมากมายเช่นเคย...
ความงามจากกล้องคุณสายน้ำค่ะ....
ที่พื้นระหว่างกองหิน เป็นหลุมเป็นบ่อ มีซากปะการังแหลกราญระเกะระกะ ลักษณะคล้ายถูกระเบิด...
กองหินที่อยู่ติดแนวปะการังชายฝั่ง มีปะการังแส้สีขาวขึ้นอยู่เป็นดง....สวยแปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง...
ปะการังอ่อนสีแดงเพลิง แซมด้วยสีชมพูอ่อน....
กองหินรูปดอกเห็ดที่สวยงามมาก....
อย่างนี้ต้องขอชักภาพด้วยสักหน่อยนะคะ...
ปลานกแก้วก็อยากเข้ากล้องด้วย....
เมื่อไต่ระดับเข้าไปในแนวปะการังเขตน้ำตื้นเพื่อเตรียมพักน้ำ....เราได้เห็นแนวปะการังที่เสียหายกว่าร้อยละ 70 ของพื้นที่ ปะการังแข็งโดยเฉพาะปะการังกิ่งประเภทเขากวางตายไปเกือบหมด
เห็นแต่แส้ทะเลสีขาวที่ยังคงสวยและสมบูรณ์อยู่...
แต่ก็ยังคงมีอะไรที่น่าดูในแนวปะการังนี้มากมายค่ะ..
รายการทำงานในเขตอุทยานแห่งชาติ สุรินทร์และสิมิลัน ของเราชาว SOS ไปจบลงที่เกาะบอน (ตามที่ได้เล่าให้ฟังแล้ว)
จากนั้นเรามุ่งหน้ากลับเข้าฝั่ง ก่อนที่จะถึงท่าเรือทับละมุ เราได้แวะดำน้ำที่ เรือจมบุญสูง ซึ่งเป็นเรือขุดแร่ ที่จมมานานประมาณ 20 กว่าปี เพราะการระเบิดของห้องเครื่อง เรือจมอยู่บนพื้นทราย ความลึกราว 20 เมตร ห่างจากท่าเรือปากสัก จ.พังงาประมาณ 7 ไมล์ทะเล และห่างจากทับละมุ ราว 13 ไมล์ทะเล
ตัวเรือกว้าง10 สเมตร ยาว30 เมตร สูงประมาณ 7 เมตร สภไมล์ทะเล าพตัวเรือผุพังมาก ปัจุบันแยกเป็นชิ้นๆ กระจัดกระจายอยู่ในรัศมี 20 เมตร
ภาพข้างล่างนี้เป็นภาพที่น้องนุ (Panupong Norasethkamol) วาดไว้เมื่อปี 2546 ซึ่งเป็นลายเส้นที่สวยมากค่ะ
บ่ายวันนั้น ทะเลเหนือเรือจมบุญสูงราบเรียบ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมีคลื่นสูงราวหนึ่งเมตรมาตลอดทาง
นับเป็นโชคดีของพวกเราอีกอย่างหนึ่ง ที่น้ำบริเวณเรือจมใสกว่าปกติ ทำให้เราสามารถมองเห็นเรือจมบุญสูงได้ขณะเรายืนดูอยู่บนเรือโชคศุลี
เมื่อเราไต่ไปตามสายทุ่น กระแสน้ำก็ไหลอ่อนมาก กอร์ปกับน้ำที่ใสแจ๋ว ทำให้เราสามารถดำน้ำลงไปหาเรือบุญสูงได้โดยไม่ต้องอาศัยสายทุ่น
ปลามากมายหลายพันธุ์ แหวกว่ายอยู่เหนือเรือจมบุญสูง....
ตัวเรือขุดแร่ที่ทำด้วยเหล็กกล้า ผุพังและมีสัตว์เกาะติดทั้งหอยและเพรียง เกาะอยู่เต็มไปหมด...
เราค่อยๆว่ายลัดเลาะสำรวจไปทั่วตัวเรือที่ใหญ่สุดจนรอบ...
เราค่อยๆว่ายลัดเลาะสำรวจไปทั่วตัวเรือที่ใหญ่สุดจนรอบ...
ด้านนอกของตัวเรือที่สูงชัน เริ่มมีกัลปังหาพัดมาจับ
คานที่พาดผ่านไปมาที่บริเวณดาดฟ้าเรือ...
ภายในท้องเรือ ยังดูแข็งแรงดี...
ขอบเรือเป็นที่อาศัยของปลาสิงโต....
[COLOR="Blue"]
ที่พื้นซึ่งเป็นเหล็กแข็งแรงเช่นกัน เป็นที่อาศัยของปลาไหล Honeycomb Moray Eel....Green Moray....กัลปังหา....ปะการังแข็ง...
เราเคลื่อนขบวนไปด้านท้ายเรือทีด้านบนดาดฟ้าเริ่มผุพัง จนดูน่ากลัวถ้าจะลอดเข้าไป
ที่นี่เราได้เห็นธรรมชาติที่ประหลาดระหว่าง ปลาวัว (Triggerfish) ตัวใหญ่หนึ่งตัว ที่ว่ายนำ หน้า และปลาปักเป้ากล่อง (Boxfish) จำนวน 2 ตัว ที่ว่ายตามติดไม่ยอมห่าง พอปลาวัวก้มลงไปกัดกินอะไร เจ้าปลากล่องก็เข้าไปร่วมกัดกินด้วย
ปล่องไฟ ที่เข้าใจว่าคงจะระเบิดแตกหักเสียหาย...
บริเวณที่มีเครื่องจักรหนักที่ใช้ในการขุดแร่ ดูแล้วน่าตื่นตาตื่นใจ เหมือนได้ยินเสียงเครื่องจักรกำลังทำงาน เหมือนในหนังเรื่อง "เหมืองแร่"
นับเป็นเสน่ห์ของเรือจมลำนี้จริงๆค่ะ....
ใต้กองเครื่องมือหนัก มีปลาสิงโตทะเลฝูงใหญ่อยู่กันเป็นฝูง ด้านบนมีลูกปลาตัวเล็กๆว่ายกันอยู่หนาแน่น
บนพื้นมีปลาไหลดูไม่ออกว่าพันธุ์อะไร นอนตายอยู่ โดยไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน....
ใกล้ๆกันมีเศษอวนติดอยู่ในซอก....ยากจะเก็บและไม่มีเวลาจะเก็บแล้วค่ะ ผลัดไว้เป็นคราวหน้าแล้วกันนะคะ
พวกเรามีความสุขและสนุกสนานกับการดำน้ำที่เรืจมบุญสูงกันมาก....
ก่อนจะขึ้นจากน้ำ เราได้เห็นกัลปังหาสีชมพูช่อยาม ขึ้นอยู่ตรงมุมหนึ่งของเรือจมบุญสูง
เราได้แต่หวังว่า ในอนาคต นอกจากปลามากมายที่อยู่รอบๆเรือบุญสูงแล้ว เรือลำนี้จะมีกัลปังหาสวยๆอย่างที่เราได้เห็นขึ้นจนเต็มลำเรือ และเมื่อนั้น เรือจมบุญสูงแห่งนี้ จะมีเสน่ห์และงดงามมากยิ่งขึ้น จนเป็นขวัญใจของนักดำน้ำอีกมากมายที่จะมาลงดำน้ำที่เรือจมแห่งนี้
จากการร่วมทำงานกันมาตลอด 4 วัน นอกจากปล่อยม้าน้ำและปลาการ์ตูนแล้ว การเก็บขยะ / ตัดอวน ก็เป็นอีกงานหลักๆของ sos แต่เนื่องจาก ทั้ง 2 อุทยาน มีกิจกรรมดำน้ำตลอดเวลา คงมีคนที่ไม่ดูดายคอยเก็บกวาดอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยจะมีทั้งขยะและเศษอวนให้พวกเราได้เก็บกันสักเท่าไร รู้สึกจะไปได้เป็นกอบเป็นกำเอาที่เรือจมบุญสูงครับ
สรุปเป็นรายงานได้ดังนี้
สำหรับทริปนี้ ไม่มีเงินคืนให้สมาชิกสักบาท ต้องขอขอบคุณที่ไม่มีใครบ่นซักแอะ นอกจากไม่มีเงินคืนแล้ว ยังติดลบอีก 550 บาทด้วยครับ
กิจกรรมของ SOS ใน "โครงการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เก็บขยะและตัดอวน อันดามันเหนือ เดือนกุมภาพันธ์ 2554" หรือในชื่อของโครงการร่วมระหว่าง SOS กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งกระบี่ ที่ทางกรมอุทยานฯตั้งให้ว่า "โครงการทำดีเพื่อแผ่นดิน ฟื้นฟูทะเลอันดามัน" สำเร็จลุล่วงลงไปได้ตามวัตถุประสงค์ ต้องขอขอบคุณ :
1. ผอ.แอ๋ว คุณสามารถ (Mr.Can) และเจ้าหน้าที่ของศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งกระบี่ ที่อนุเคราะห์ม้าน้ำ จำนวน 200 ตัว และปลาการ์ตูน จำนวน 20 ตัว และแพ็คอย่างดี ให้สมาชิก SOS นำไปปล่อยเพื่อขยายพันธุ์ในเขตของ อช.หมู่เกาะสิมิลันและ อช.หมู่เกาะสุรินทร์
2. อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช, ผอ.สำนักบริการพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 (นครศรีธรรมราช), หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันและหมู่เกาะสุรินทร์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ของทั้ง 2 อุทยาน ที่ยินยอมให้กิจกรรมของ SOS เป็นโครงการร่วมกัน เพื่อฟื้นฟูทะเลอันดามัน และยอมให้เข้าไปทำกิจกรรมในพื้นที่อุทยานฯ รวมถึงอำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดี
3. คุณเสรี และสต๊าฟของเรือโชคศุลีทุกคน ที่นอกจากจะคิดค่าใช้จ่ายในราคาพิเศษให้ SOS แล้ว ยังร่วมทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับสมาชิก SOS อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
4. สุดท้ายก็ต้องขอขอบคุณและยกความดีความชอบให้กับสมาชิก SOS ที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 23 คน ที่เสียสละทุนทรัพย์ และหยาดเหงื่อแรงงาน เพื่อมาร่วมทำงานเพื่อพิทักษ์รักษาทะเลไทยไว้ให้เยาวชนรุ่นหลัง
ปรบมือให้ตัวเองด้วยครับ .....
สัปดาห์หน้า สมาชิก sos จำนวน 21 คน ก็จะลงเรือกันอีกแล้ว เป็นกิจกรรมใน "โครงการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ และเก็บขยะ / ตัดอวน อันดามันใต้ เดือนมีนาคม 2554" ซึ่งยังคงเป็นกิจกรรมต่อเนื่องในโครงการร่วมระหว่าง sos กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งกระบี่ ที่มีชื่อว่า "โครงการทำดีเพื่อแผ่นดิน ฟื้นฟูทะเลอันดามัน"
โปรดคอยติดตามอ่านรายงานกันต่อไป .... สวัสดี
ขอบคุณครับพี่น้อย พี่จ๋อมสำหรับภาพและบันทึกเรื่องราวที่น่าประทับใจอีกครั้ง ตอนนี้ก็นับถอยหลังสำหรับทริปอันดามันใต้อยู่ครับ
ขอบคุณเช่นกันค่ะน้องก้อย....นับถอยหลัง เตรียมไปอันดามันใต้เช่นกันค่ะ
ภาคผนวก
ในระหว่างการไปทำงานตามปกติของเราในครั้งนี้....สมาชิก sos ผู้มีสปิริตในเรื่องรักทะเลและรักษ์ทะเลอย่างล้นเหลือ ได้ร่วมพูดคุยกัน(ต่อจากการได้พูดคุยกันในบ้าน SOS) ว่าด้วยเรื่องสภาพใต้ท้องทะเลที่ทรุดโทรมลงไปจากการทำลายของธรรมชาติและจากน้ำมือมนุษย์ ดังเช่น การเกิดภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว ซึ่งทำให้แนวปะการังทรุดโทรมลงไปมาก แต่เราคงไปช่วยอะไรไม่ได้มาก ต้องปล่อยให้ธรรมชาติเยี่ยวยาตัวมันเอง โดยในระหว่างนี้ มนุษย์ต้องไม่ไปซ้ำเติมทำร้ายให้แนวปะการังทรุดโทรมลงไปอีก...
โดยทางตรง สามารถทำได้ ด้วยการไม่เข้าไปเหยียบย่ำปะการัง หักหรือเก็บปะการัง เก็บซากหรือสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล ไม่ทิ้งสมอเรือในแนวปะการัง ไม่ทิ้งน้ำเสียหรือของเสียลงสู่ทะเล ไม่ไปทำการประมงแบบล้างผลาญในแนวปะการัง เป็นต้น
ส่วนทางอ้อม ก็คือการไม่ทำให้โลกร้อนขึ้นไปกว่าเดิม หรือช่วยกันลดภวะโลกร้อนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
หนทางรักษาทะเลที่เราจะทำได้เร็วที่สุดในขณะนี้ สมาชิกคิดว่า "ต้องเริ่มด้วยตัวเราเองก่อน" จึงมีการคิดโครงการ "สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารักษ์" ขึ้นมา และได้ไปปรึกษาพูดคุยกันถึงหลักการและแนวทางปฏิบัติ ระหว่างที่เรามีเวลาว่างบนเรือ และจะนำผลที่ได้มาสรุปรวบรวม เสนอเป็นอีกโครงการหนึ่งเพื่อทะเลไทยของพวกเราชาว SOS ต่อไป....
น่าปลื้มใจ และชื่นใจ ที่พวกเรามีความคิดดีๆแบบนี้ จึงขอปรบมือให้น้องๆทุกคน ที่ได้มีส่วนในการทำโครงการนี้ทุกคนค่ะ....
ในระหว่างที่เรือแล่นจากเกาะบอนไปสิมิลัน เราได้พบฝูงปลาโลมาที่ดำผุดดำว่ายและโผโผนโจนทะยานขึ้นเหนือน้ำ โดยมีปลากระโทงร่มอยู่ร่วมรายการด้วย เล่นเอาพวกเราตื่นเต้นดีใจ ร้องกรี๊ดกร๊าดกันดังลั่น...
ปลาโลมาที่เห็นบางตัว ดูตัวใหญ่และสีดำมันกว่าปกติที่เคยเห็น จนสายชลคิดไปถึง False Killer Whale ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน
น่ารัก...และไม่ตื่นกลัวเสียงพวกเราที่ร้องกรี๊ดลั่นทะเล....
ลึลาการลุ้นดูฝูงโลมาของหนุ่มๆสาวๆ.....
ตามธรรมเนียม....ต้องปิดท้ายดวยภาพของสมาชิก sos ที่ไปร่วมกันทำงานค่ะ....
เริ่มด้วยหัวหน้าทีมลีดเดอร์....น้องป้ากบ....
ภาคใต้ทะเล....
น้องป้ากบ.....ภาคบนเรือ
สาธุ....สาธุ...สาธุ....
น้องติ๊ก....ลีดเดอร์ที่น่ารักของพี่น้องๆ
คราวนี้มีแต่ภาพตอนทำงานง่วนอยู่ใต้น้ำ จึงมีภาพเดี่ยวใต้น้ำเลย....แต่ภาพบนเรือน่ารักมากค่ะ...
น้องติ่ง Coffee และ น้องหวาน Sugary ลีดเดอร์และเซฟตี้คู่ขวัญ
ภาคใต้ทะเล
น้องเบิ้ด ที่ยิ้มได้เสมอเมืออยู่ใต้ทะเล...
น้องเบิ้ด...ภาคบนเรือ
เห็นเด็กเป็นภูติน้อยไปหมด ขนาดระบายสีเสื้อ "ค่ายเยาวชนรักษ์ทะเล" ของ sos (ที่ตัวเองออกแบบ) ให้กับน้องนายและน้องจุ๋มเป็นกรณีพิเศษ นั่งหน้าเครียดขึงขัง ระบายสีได้สวยมากค่ะ แต่ภาพเด็กๆ กลายเป็นผีดิบ ขอบตาดำช้ำไปหมด....
บรื๋อออออ....
น้องดื้อ Blueday ตาหวาน
ถ่ายภาพไว้ได้แต่ตอนอยู่ใต้น้ำค่ะ....ตอนอยู่บนเรือก็เห็นแต่ตอนทานข้าว (ซึ่่งตากล้องมือมัววุ่นกับการตักอาหารเข้าปากจนลืมกล้อง....ทู้กกก...ที...)
น้องนิ้ง Deeves สมาชิกคนสวยที่เพิ่งออกทำงานบนเรือโชคศุลีกับเราเป็นครั้งแรก แต่ขยันขันแข็ง และเรียนรูงานได้เร็วมากค่ะ
น้องนิ้ง เปิดใจกับเราว่า..."สนุกกับการทำงานมากค่ะ"
หมอเมธ drsumeth สาระวนกับการถ่ายภาพการทำงานและธรรมชาติสวยๆใต้ท้องทะเลให้กับเรา จึงมีภาพใต้น้ำของตัวเองให้สองสายได้ถ่ายอยู่เพียงภาพเดียว
ส่วนภาพบนเรือไม่มีเลย เพราะหลังอาหารคือเวลา "พักสายตา" ของหมอเมธค่ะ
น้องเอกและน้องอุ๊...จับคู่มาลงเรือโชคศุลีทำงานกับเราครั้งแรก
น้องเอกและน้องอุ๊บอกว่า "จะมาร่วมงานกับ sos อีกหลายๆครั้ง...."
น้องตี๋ hs4opb มีภาพการทำงานใต้น้ำหลายภาพแล้ว นี่คือภาพเดี่ยวที่หล่อมากของน้องตี๋ค่ะ...
น้องจุ๋มและน้องนาย....มีภาพสวยๆใต้น้ำหลายภาพทีเดียวค่ะ
สวยมากค่ะ น้องนาย & น้องจุ๋ม
น้องก้อย Koy....สุดหล่อประจำ SOS
น้องโอ Oo....สาวน้อยมหัศจรรย์แห่ง SOS
ภาพใต้น้ำ
น้องกุ้งและน้องภาณุ....คู่ขวัญของ sos อีกคู่
น้องปิ่น....สมาชิกใหม่เอี่ยมที่มาทำงานโดยบังเอิญ เพราะน้องจิ๋วที่ลงชื่อไว้ไปไม่ได้ เลยเกิดสมหล่นใส่น้องปิ่นอย่างจัง
ภาพใต้น้ำเยอะมาก เพราะสองสายหันไป เจอน้องปิ่นอยู่ใกล้ๆบ่อยมาก
น้องปิ่นเป็นอีกคนหนึ่ง ที่พูดว่า "มีความสุขกับการมาดำน้ำทำงานครั้งนี้มาก"
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ซึ่งอยู่ในช่วงที่เราไปทำงานอยู่กลางทะเล เป็นวันเกิดของน้องปิ่นด้วย เราเลยจัดฉลองวันเกิดให้น้องปิ่น ด้วยการเป่าขนมเข่งยักษ์ ที่น้องกุ้งเป็นสปอนเซอร์ซื้อมาได้จากท้ายเหมือง (ส่วนเค๊กที่สองสายหาซื้อมาตลอดทางตั้งแต่กระบี่ ไปได้เอาที่เขาหลักนั้น ราขึ้นซะก่อนจะถึงวันเกิด)
น้องติ๋ว....มีภาพการทำงานใต้น้ำมาหลายภาพแล้ว เลยได้ภาพเดี่ยวสวยๆ ตอนทำท่าหงส์ร่อนมาเพียงภาพเดียว
น้องน้ำผึ้งและน้องวุฒิ Moohin....คู่ที่น่ารักมากๆของ SOS....มีสีส้มอยู่ที่ไหน ต้องมีน้องน้ำผึ้งอยู่ที่นั่น
ตามปกติเวลาอยู่บนเรือโชคศุลี น้องน้ำผึ้งและน้องหมูหินจะแยกย้ายกันนอน คือ น้องหมูหินจะนอนอยู่แถวโต๊ะอาหาร ส่วนน้องน้ำผึ้งจะเข้าห้องนอน
แต่ครั้งนี้...เห็นน้องน้ำผึ้งและน้องหมูหินอยู่ใกล้ชิดกันบ่อยๆค่ะ... (สังเกตกองขนมและผลไม้ที่อยู่ตรงหน้าไหมคะ....)
น้องชาย....สมชาย แดงมา ตัวแทนที่คุณเสรีส่งมาดูแลพวกเรา ทั้งบนบก บนเรือ และใต้น้ำ ตลอดทริปนี้ ทำหน้าที่ได้ดีเยี๋ยม น่ารักมากค่ะ
อาริกาโต้.....
มาถึงคนใกล้ตัวสายชล.....คุณสายน้ำ....
แล้วก็...สายชล ค่ะ
สังเกต Strobe ด้านขวา ที่หมุนกลับไปอีกด้านหนึ่งไหมคะ....นั่นเป็นงานหนักของสายชล ที่หมุนให้ Strobe หันหน้าออกไม่ได้ จึงเป็นหน้าที่ของคุณสายน้ำที่ต้องมาคอยจัดการหมุนและจัดให้ทุกครั้งที่ลงดำน้ำค่ะ...
ต่อไปนี้เป็นภาพหมู่ของพวกเรา ที่สนุกสนานกันอยู่บนเรือ....
ภาพร่วมฉลองวันเกิดให้น้องปิ่นในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ และถือโอกาสอวยพรวันเกิดล่วงหน้าให้น้องโอ ที่เกิดในวันที่ 17 กุมภาพันธ์.....
น้องวุฒิหมูหินขอมีส่วนร่วมด้วย.....ดูการทำปากจู๋ เป่าขนมเข่งสิคะ น่ากลัวขนมเข่งปลิวจริงๆ....
ขอมีส่วนร่วม.....
เค๊กกล้วยหอมที่สองสายซื้อมาพร้อมเค๊กบลูเบอรี่่ (ที่ราขึ้นไปก่อน) ได้นำมาเสริมขนมเข่งที่ถูกนำมาทอดทานในวันรุ่งขึ้น ซึ่งนิ่มและหวานหอมมากค่ะ
กิจกรรมระบายสีเสื้อ ที่ผู้มีอุปการะคุณบริจาคเงินทำค่าย ได้รับเสื้อเป็นการแสดงความขอบคุณจาก sos ที่ต้องมานั่งระบายสีเองตามชอบใจ หรือให้มือโปรผู้ออกแบบลายเสื้อ อย่างน้องเบิ้ด เป็นผู้ช่วยระบายสี (แบบสยึมกึ๋ยส์ให้)
น้องน้ำผึ้งลง "สีส้ม" สุดโปรดสีเดียวหรือคะ....
vBulletin® v3.8.10, Copyright ©2000-2024, vBulletin Solutions, Inc.