![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ระดมสมองแผนปะการังเทียม นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กรมประมงในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบภารกิจในการเพิ่มผลผลิตและฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ ได้พยายามเร่งหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาโดยการนำปะการังเทียมมาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการทรัพยากรประมง ซึ่งสามารถช่วยปรับเปลี่ยนระบบนิเวศชายฝั่งให้มีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของทรัพยากรสัตว์น้ำ และทำให้กลับมาคงความอุดมสมบูรณ์ได้ในระดับหนึ่ง ส่งผลให้ชาวประมงพื้นบ้านมีแหล่งทำการประมงชายฝั่งที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ลดต้นทุนในการประกอบอาชีพ มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งยังเป็นแนวป้องกันการทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำขนาดเล็กและสภาพแวดล้อมจากการทำประมงด้วยเครื่องมืออวนลาก อวนรุน และยังสามารถลดข้อขัดแย้งในการแย่งชิงทรัพยากร และแหล่งทำการประมงที่มีอยู่จำกัด ขณะเดียวกัน พบว่าในปัจจุบันมีหลากหลายหน่วยงานที่เข้ามาร่วมดำเนินการในการฟื้นฟูแหล่งปะการังเทียมเพิ่มมากขึ้น อาทิ กระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร ที่ให้ความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรฯ เป็นอย่างดีมาโดยตลอด ดังนั้นกรมประมงจึงมีการจัดสัมมนาสืบสานตำนานปะการังเทียมเพื่อชาวประมง เพื่อบูรณาการความรู้ ความเข้าใจ และหาแนวทางในการพัฒนาและบริหารจัดการให้การจัดสร้างปะการังเทียมเพื่อการประมงมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการประมงเป็นไปอย่างเหมาะสม ภายใต้การระดมความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดสร้างปะการังเทียม อาทิ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กองทัพเรือ กรมเจ้าท่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาบูรพา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จาก : แนวหน้า วันที่ 19 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ประมงตรังตรวจเช็กสภาพปะการังเทียม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.จุมพล สงวนสิน ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาประมงทะเล พร้อมด้วย นายสุริยะ วิฑูรย์พันธุ์ ประมงจังหวัดตรัง นำคณะตรวจสอบการจัดทำปะการังเทียมที่ทางกรมประมงและจังหวัดตรัง จัดสรรงบประมาณในการดำเนินการจัดสร้างปะการังเทียม เพื่อนำไปวางในทะเลในพื้นที่อำเภอสิเกาและอำเภอหาดสำราญ จำนวน 6 ล้านกว่าบาท เพื่อเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเล โดยปะการังเทียมมีการจัดสร้างเป็นรูปทรงรูปบาศก์แท่งคอนกรีต ขนาด 1.5 x 1.5 เมตร ดร.จุมพล กล่าวว่า การจัดสร้างปะการังเทียม ทางกรมประมงถือเป็นหน่วยงานหลักและหน่วยงานแรก ที่ดำเนินการจัดสร้างปะการังเทียมเพื่อเพิ่มพูนทรัพยากรสัตว์น้ำมาอย่างต่อ เนื่อง ซึ่งมีการนำไปวางในทะเลทั้งทะเลอ่าวไทยและทะเลอันดามัน จำนวนทั้งหมด 362 แห่ง โดยจังหวัดตรังจะมีการนำปะการังเทียมไปวางในพื้นที่บ้านแหลม หมู่ที่ 3 ต.เขาไม้แก้ว อ.สิเกา จ.ตรัง และพื้นที่บ้าน ตะเสะ หมู่ที่ 4 ต.ตะเสะ อ.หาดสำราญ จ.ตรัง ทั้งนี้ในส่วนของจังหวัดตรัง เคยดำเนินการวางปะการังเทียมมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อปี 2550 ที่ผ่านมา จำนวน 1,900 แท่ง ใน 3 พื้นที่ของอำเภอสิเกา จาก : เดลินิวส์ วันที่ 20 มกราคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ม.อ.ลุยโครงการ "ปะการังเทียม" หวังลดวิกฤติกัดเซาะชายฝั่งภาคใต้ ม.อ. เดินหน้าโครงการปะการังเทียมฟื้นฟูชายฝั่ง ภายใต้โครงการ “สมาร์ทโปรเจค เฟส 3” หลังผ่านการทดลองในห้องปฏิบัติการและการจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ พบว่าปะการังเทียมที่ออกแบบสามารถช่วยลดพลังงานคลื่นได้สูงสุดถึง 88% เผยเตรียมทดลองเชิงประจักษ์กับสภาพการใช้งานจริงในทะเล ณ อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร จ.เพชรบุรี เดือน เม.ย. นี้ ก่อนติดตามผลต่อเนื่องอีก 1 ปี เพื่อประเมินผลด้านวิศวกรรม ด้านระบบนิเวศ และด้านสังคม หวังช่วยลดวิกฤติการกัดเซาะชายฝั่งภาคใต้ ม.อ. เดินหน้าโครงการปะการังเทียมฟื้นฟูชายฝั่ง ภายใต้โครงการ “สมาร์ทโปรเจค เฟส 3” ผู้ช่วยศาสตราจารย์พยอม รัตนมณี อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตหาดใหญ่ หัวหน้าโครงการปะการังเทียมฟื้นฟูชายฝั่ง เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ในทั้ง 23 จังหวัดที่มีพื้นที่ติดทะเล โดยในบางพื้นที่มีการกัดเซาะวิกฤติถึง 20 เมตรต่อปี นอกจากนั้น ยังมีปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรชายฝั่ง ซึ่งมาตรการแก้ปัญหาที่ผ่านมามักเป็นการแก้ปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า ที่ยังไม่มีการจัดโซนนิ่งและแผนแม่บทระยะยาว ยังไม่ได้แก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ทำให้มาตรการแก้ไขปัญหาในหลายพื้นที่ ทั้งวิธีใช้โครงสร้างและไม่ใช้โครงสร้างไม่บรรลุผลเท่าที่ควร “ม.อ. หวังที่จะแก้ปัญหาให้ชุมชนในท้องถิ่นภาคใต้ จึงได้จัดตั้งกลุ่มวิจัยทางทะเลขึ้นมาเพื่อดำเนินการศึกษาวิจัยการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลแบบบูรณาการ โดยแนวความคิดของการวิจัย ได้จากการสังเกตหาดทรายที่มีแนวปะการังอยู่ตามธรรมชาติ พบว่าพื้นที่เหล่านี้ประสบปัญหาน้อยมาก เนื่องจากแนวปะการังจะทำหน้าที่เป็นโครงสร้างตามธรรมชาติที่สามารถชะลอความแรงของคลื่นได้เป็นอย่างดี จึงได้นำหลักการ “แนวปะการังเทียมกันคลื่น” มาเป็นทางเลือกในการแก้ใขปัญหาแบบบูรณาการที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเล และไม่บดบังภูมิทัศน์การท่องเที่ยว ภายใต้ชื่อ สมาร์ท โปรเจค” ผู้ช่วยศาสตราจารย์พะยอมกล่าว คณะทำงานตรวจสอบพื้นที่ ทั้งนี้ โครงการ “สมาร์ท โปรเจค” เฟส 1 ได้เริ่มตั้งแต่ปี 2549 โดยได้ศึกษาพื้นที่หาดชลาทัศน์ จังหวัดสงขลา และเฟส 2 ในปี 2552 ได้ขยายผลไปยังพื้นที่ชายฝั่งจังหวัดระยอง-จันทบุรี ภายใต้การสนับสนุนของกรมทรัพยากรธรณี โดยได้ทำการวิจัยรูปแบบ รูปทรง และขนาดของแท่งปะการังเทียม พร้อมทั้งผังการจัดวาง ด้วยแบบจำลองทางกายภาพในรางจำลองคลื่น และด้วยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ในคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ได้ปะการังเทียมที่สามารถสลายพลังงานคลื่นได้สูงสุดและเกื้อกูลต่อสัตว์ทะเล หัวหน้าโครงการปะการังเทียมฟื้นฟูชายฝั่ง กล่าวว่า พบว่า แท่งปะการังเทียมที่ได้จากการศึกษาวิจัยเป็นรูปทรงโดมฐานหกเหลี่ยม สามารถสลายพลังงานคลื่นได้ 60-88% มีช่องเปิดขนาดต่างๆโดยรอบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสลายพลังงานคลื่น ลดการสะท้อนกลับของคลื่น และยอมให้กระแสน้ำสามารถไหลผ่านได้ อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือรวมฝูงของปลา และเพิ่มพื้นผิวให้สิ่งมีชีวิตกลุ่มเกาะยึด ซึ่งในบางพื้นที่อาจพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำดูสัตว์น้ำใต้ทะเลได้ “ปัจจุบัน สมาร์ท โปรเจค เป็นโครงการเฟส 3 ภายใต้การสนับสนุนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบแท่งปะการังเทียม การผลิตแท่งปะการังเทียมที่มีความคงทนในน้ำเค็มโดยไม่ส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเล แล้วทดลองเชิงประจักษ์ (Real Experiment Research) โดยจะวางในพื้นที่สาธิต ณ อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่กำลังประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และสถานที่แห่งนี้ยังเป็นศูนย์การเรียนรู้ในระดับสากลอีกด้วย โดยจะวางแนวปะการังเทียมจำนวน 254 แท่ง จำนวน 5 แถว เป็นแนวยาว 100 เมตร ที่ระดับน้ำลึกประมาณ 3 เมตร ห่างจากชายฝั่งประมาณ 400 เมตร แล้วทำการติดตามข้อมูลทุกเดือนเป็นเวลา 1 ปี เพื่อตรวจสอบประเมินผล ทั้งด้านประสิทธิภาพการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง ผลกระทบต่อพื้นที่ข้างเคียง ระบบนิเวศทางทะเล และทัศนคติของชุมชนและผู้ที่เข้ามาใช้พื้นที่” ผู้ช่วยศาสตราจารย์พยอมกล่าว อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากรณีที่ได้ผลการทดลองเชิงประจักษ์ที่เพชรบุรีจะได้ผลเป็นที่พอใจ แต่การจะนำไปประยุกต์เพื่อช่วยแก้ปัญหาในภาคใต้ตอนล่าง ก็จะต้องสำรวจข้อมูลเฉพาะพื้นที่ให้รอบคอบ เช่น สภาพภูมิประเทศ ความลึก ความลาดชันของท้องทะเล สัณฐานของชายฝั่ง สภาพทางสมุทรศาสตร์ น้ำขึ้น-น้ำลง ลักษณะคลื่นลม กระแสน้ำ ตะกอนท้องทะเล สภาพทรัพยากรชายฝั่ง สภาพการใช้พื้นที่ชายหาด และที่สำคัญคือสภาพวิถีชุมชนในพื้นที่ จากนั้นจึงทำการออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่ เพื่อให้ตอบสนองทั้งการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ลดผลกระทบด้านต่างๆ และการเกื้อกูลต่อระบบนิเวศชายฝั่ง พัฒนารูปแบบแท่งปะการังเทียม ผู้ช่วยศาสตราจารย์พยอม กล่าวอีกว่า แนว ทางการแก้ปัญหาในระยะยาวนั้น ภาครัฐจะต้องจัดทำโซนนิ่งเพื่อจัดเขตการใช้พื้นที่ชายฝั่ง พร้อมวางแผนแม่บทการป้องกันแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างเร่งด่วน บางพื้นที่อาจจะต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นพื้นที่ที่มีคุณค่าทางสังคมและประวัติศาสตร์ ก็จำเป็นต้องหามาตรการที่เหมาะสม จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 7 มีนาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
อบจ.เมืองคอนทุ่มงบฯ วางปะการังเทียมชายทะเล นครศรีธรรมราช/ นายพิชัย บุณยเกียรติ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานในพิธีวางปะการังเทียม จำนวน 620 แท่ง ณ อ่าวแขวงเถ้า ต.ท้องเนียน อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช เพื่อสนองพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จัดทำโครงการวางปะการังเทียมมาตั้งแต่ปี 2547 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชจัดโครงการต่อเนื่องตั้งแต่สมัยนายกคนเก่า ได้วางปะการังเทียมตลอดแนวชายฝั่งทะเลพื้นที่จังหวัดไปแล้ว 5,400 แท่ง นอกจากนี้ทาง อบจ.ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงานส่วนกลางผ่านกรมประมงเพื่อจัด สร้างปะการังเทียมวางตลอดแนวชายฝั่งอีก 60 ล้านบาท แยกเป็นปี 2553 จำนวน 30 ล้านบาท และปี 2554 จำนวน 30 ล้านบาท ระยะแนวชายฝั่งอ่าวไทยของจังหวัดประมาณ 230 กิโลเมตร ในพื้นที่ 6 อำเภอ คือ อ.หัวไทร ปากพนัง เมือง ท่าศาลา สิชล และ อ.ขนอม และจะยังดำเนินการต่อไป โดยได้จัดตั้งงบประมาณเพื่อวางปะการังเทียมเสริมตามจุดต่างๆ ที่ชาวประมงร้องขอการวางปะการังเทียมจะใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นร่วมกับข้อมูลด้านวิชาการของกรมประมง และจากการพูดคุยกับชาวประมงพบว่า ขณะนี้สัตว์น้ำที่สูญหายจากชายฝั่งทะเลน้ำตื้นได้กลับมาแล้ว ช่วยเพิ่มพูนรายได้แก่ชาวประมงชายฝั่งเป็นอย่างดี ทาง อบจ.จะจัดงบประมาณอีกส่วนหนึ่งในการจัดซื้อเรือเร็วตรวจการณ์ชายฝั่งให้กับภาคประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวน 2 ลำ ประจำการใน อ.ขนอม 1 ลำ และ อ.หัวไทร อีก 1 ลำ นายพิชัย กล่าวว่า การจัดทำโครงการวางปะการังเทียมได้ดำเนินการตามระเบียบพัสดุในการจัดหาผู้ประกอบการที่มีความชำนาญเชี่ยวชาญทางทะเล มีอุปกรณ์พร้อมสำหรับการวางปะการังเทียม ตามพิกัดที่กรมประมงกำหนดไว้ สามารถตรวจสอบได้ และจากการส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจดูการวางปะการังเทียมใต้ทะเลพบว่า ปะการังเทียมที่วางไว้ส่วนหนึ่งกำลังพัฒนาไปสู่การเป็นปะการังแท้ และได้อบรมชาวประมงชายฝั่งให้เกิดความรักความหวงแหน ช่วยดูแลปะการังเทียม เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำต่อไปอีกด้วย ที่สำคัญทาง อบต.ท่าศาลาได้มีการทำพระราชบัญญัติท้องถิ่นในการดูแลทรัพยากรชายฝั่งทะเล ทำให้การปกป้องดูแลทรัพยากรทางทะเลมีประสิทธิภาพเป็นที่น่าพอใจ ทาง อบจ.จะนำแบบอย่างของ อบต.ท่าศาลา มาจัดทำ พ.ร.บ.ท้องถิ่น อบจ.นครศรีธรรมราช เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการปกป้องดูแลทรัพยากรชายฝั่ง ซึ่งจะมีอำนาจดำเนินการครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งทั้งหมดของจังหวัดนครศรีธรรมราช จาก : บ้านเมือง วันที่ 13 เมษายน 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
สมาร์ทโปรเจ็กต์ ปะการังฟื้นชายฝั่ง ![]() ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทั้งในทะเลอ่าวไทยและอันดามันลุกลามและขยายวงมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระบบนิเวศชายฝั่ง จึงมีความพยายามปรับปรุงฟื้นฟูแถบชายฝั่งที่ถูกคลื่นกัดเซาะให้กลับมาคงสภาพเดิม กรมทรัพยากรธรณีและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) วิทยาเขตปัตตานี มอบทุนสนับสนุน ผศ.พยอม รัตนมณี อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มอ.ปัตตานี ไปศึกษาวิจัยภายใต้โครงการ "การป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลเชิงบูรณาการ" หรือโครงการ "สมาร์ทโปรเจ็กต์" เพื่อช่วยลดวิกฤตการกัดเซาะชายฝั่งให้กลับคืนสภาพสมบูรณ์ คณะวิจัยกว่า 20 คน จึงเริ่มโครงการสมาร์ทโปรเจ็กต์ เฟส 1 ผ่านการทำ "ปะการังเทียมกันคลื่น" พร้อมทั้งก่อสร้างแบบรางจำลอง คลื่นขึ้นที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มอ.ปัตตานี เพื่อเป็นห้องวิจัยทางทะเล หลังจากนั้นได้สร้างแบบปะการังเทียมขึ้นมา พร้อมศึกษาทางกายภาพ รูปแบบ รูปทรง ขนาด ช่องเปิดรอบแท่งปะการัง แนวและตำแหน่งการจัดวางแท่งปะการังเทียม กระทั่งพัฒนาแท่งปะการังเทียมฟื้นฟูชายฝั่งได้สำเร็จ สามารถต้านแรงคลื่นได้ดี มีลักษณะเป็นรูปโดม มี 3 ขนาด ประกอบด้วย ขนาดเล็กมีฐานกว้าง 1.8 เมตร สูง 1.3 เมตร, ขนาดกลาง ฐานกว้าง 1.8 เมตร สูง 1.5 เมตร และขนาดใหญ่ ฐานกว้าง 1.8 เมตร สูง 1.6 เมตร ![]() แต่ละขนาดจะมีช่องเปิดลักษณะเดียวกัน ประกอบไปด้วย ช่องเปิดด้านบน 1 ช่อง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 40 เซนติเมตร ช่องเปิดด้านข้าง จำนวน 3 แถว แถวละ 6 ช่อง โดยแถวบนช่องเปิดมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 เซนติเมตร แถวกลางมีช่องเปิดมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 เซนติเมตร และแถวล่างมีช่องเปิดมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 40 เซนติเมตร โดยช่องเปิดดังกล่าวช่วยการชะลอความแรงคลื่น ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง เพื่อฟื้นฟูหาดทราย ให้เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์ทะเล และเป็นแหล่งดำน้ำในอนาคต จากนั้นทางคณะวิจัยเลือกพื้นที่ชายหาดชลาทัศน์ จ.สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่มีปัญหาเรื้อรังมายาวนานเป็นพื้นที่นำร่อง ผลการศึกษาวิจัยพบว่า แนวปะการังเทียมสามารถสลายพลังงานคลื่นได้เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ต่อมาจึงขยายผลโครงการสมาร์ทโปรเจ็กต์ เฟส 2 ไปยังพื้นที่ จ.ระยอง และจ.จันทบุรี เนื่องจากมีหลายพื้นที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรง หลังผ่านการทดลองพบว่าปะการังเทียมสามารถช่วยลดพลังงานคลื่นได้สูงสุดถึง 88 เปอร์เซ็นต์ ล่าสุดคณะวิจัยเตรียมทดลองสมาร์ทโปรเจ็กต์ เฟส 3 กับสภาพการใช้งานปะการังเทียมในทะเลจริง ที่ชายฝั่งทะเล บริเวณอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร จ.เพชรบุรี ในช่วงเดือนก.ค. เพื่อประเมินผลด้านวิศวกรรม ด้านระบบนิเวศ และด้านสังคม ต่อเนื่อง 12 เดือน หากประสบผลสำเร็จก็จะปรับปรุงเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ที่สำคัญแห่งหนึ่งของไทย ![]() ผศ.พยอม เปิดเผยว่า ทีมวิจัยโครงการปะการังเทียมฟื้นฟูชายฝั่งศึกษาค้นคว้าข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทะเลชายฝั่งมานานกว่า 10 ปี พบว่าประเทศไทยกำลังประสบปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายหาดอย่างต่อเนื่อง และตามแนวชายฝั่งส่วนใหญ่ยังประสบปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรชายฝั่งอีกด้วย เพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการ จึงนำผลการสำรวจและข้อมูลการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งทะเลในหลายพื้นที่ของไทยมาศึกษาวิเคราะห์ จึงพบว่าชายฝั่งที่มีโขดหินหรือแนวปะการังอยู่ด้านนอก มักไม่มีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ทำให้หาดทรายมีเสถียรภาพค่อนข้างดี เนื่องจากแนวปะการังจะทำหน้าที่เป็นแนวสลายพลังงานคลื่น เป็นโครงสร้างตามธรรมชาติที่แข็งแรงปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม และเกื้อกูลต่อระบบนิเวศทางทะเลเป็นอย่างดี "แนวทางการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมายังเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ยังขาดการบูรณาการองค์ความรู้ด้านต่างๆในการแก้ปัญหา โดยส่วนใหญ่ใช้ความรู้และเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาแก้ปัญหา ทำให้การแก้ปัญหาชายฝั่งทะเลในบ้านเราไม่บรรลุผลเท่าที่ควร เนื่องจากประเทศไทยมีปัจจัยหลายประการที่แตกต่างกับต่างประเทศ เช่น สัณฐานชายฝั่ง สภาพคลื่นลม น้ำขึ้น น้ำลง กระแสน้ำ ตะกอน ระบบนิเวศทางทะเล รวมทั้งวิถีชีวิต ปัญหาจึงถูกแก้ไม่ถูกวิธี" อาจารย์พยอมระบุว่า ในอนาคตการใช้แนวปะการังเทียมฟื้นฟูชายฝั่งจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการนำไปแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายหาดในบางพื้นที่ของประเทศไทย โดยแนวปะการังเทียมเหล่านี้จะทำหน้าที่สลายและลดพลังงานคลื่น ปรับเปลี่ยนลักษณะของคลื่นที่เคลื่อนที่เข้าสู่ชายหาดให้เบาลง ในขณะเดียวกันที่การเคลื่อนย้ายเม็ดทรายขึ้นมาบนชายหาดจะมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับคลื่นลม ดังนั้น เราศึกษาถึงรูปแบบ รูปร่าง รูปทรง และขนาดแท่งปะการังเทียม รวมถึงช่องเปิดโดยรอบแท่งปะการังเทียม เพื่อให้เป็นช่องทางเข้าออกของน้ำทะเลและสัตว์ทะเล เพื่อให้แนวปะการังเทียมสามารถเป็นที่ยึดเกาะ อยู่อาศัย หลบภัย และอนุบาลสัตว์ทะเลได้ หากการศึกษาวิจัยสัมฤทธิผลจะช่วยลดวิกฤตการกัดเซาะชายฝั่งได้ ในแง่ของการวิจัยอาจจะใช้เวลาหลายปี แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศอย่างมหาศาล จาก : ข่าวสด วันที่ 13 เมิถุนายน 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
สร้างบ้านปลาด้วยปะการังเทียม การทำประมงชายฝั่งเป็นอาชีพที่อยู่คู่ประเทศไทยมาอย่างช้านาน จวบจนสถานการณ์ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรชายฝั่งและปัจจัยต่างๆมีผลกระทบ ทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำในน่านน้ำของไทยมีปริมาณลดลงอย่างมากจนบางชนิดใกล้สูญพันธุ์ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานต่างๆจะต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน กรมประมงนับเป็นหน่วยงานแรกและหน่วยงานหลักที่ริเริ่มให้มีการจัดสร้างปะการังเทียมขึ้น เพื่อให้เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเลมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2522 และได้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ควบคู่กับการรณรงค์ปลูกจิตสำนึกให้ชาวประมง เยาวชน และประชาชน ได้ตระหนักถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ การรักษาสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ของสัตว์น้ำ และจากการสำรวจสภาวะการประมงทะเลบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลอ่าวไทยตอนล่าง กรมประมง ในปี พ.ศ. 2540 ที่ผ่านมาพบว่ามีปริมาณสัตว์ทะเลเฉพาะที่นำมาขึ้นที่ท่าขึ้นปลาที่สำคัญๆ ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส รวม 666,848 ตัน และมีปริมาณสัตว์ทะเลสูงสุดที่จังหวัดปัตตานี 288,241 ตัน นอกจากนี้ยังมีธุรกิจที่ต่อเนื่องจากการประมง อาทิ อู่และคานเรือประมงกว่า 35 แห่ง โรงน้ำแข็งกว่า 59 แห่ง ห้องเย็นกว่า 23 แห่ง โรงงานปลากระป๋อง กว่า 13 แห่ง โรงงานน้ำปลา 1 แห่ง โรงงานปลาป่น 32 แห่ง นอกจากนี้พื้นที่ดังกล่าวยังมีจำนวนประชากรประมงเป็นจำนวนมากที่ได้ดำเนินธุรกิจทำการประมง และด้วยความต้องการในทรัพยากรสัตว์น้ำเป็นจำนวนมาก จึงเป็นผลให้การจับสัตว์น้ำขึ้นมาจากทะเลเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสภาพแวดล้อมของท้องทะเลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเป็นผลให้ปริมาณสัตว์น้ำลดลงและการเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำตามธรรมชาติได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแหล่งอาศัยให้กับสัตว์น้ำในท้องทะเล ซึ่งแหล่งอาศัยหากินเพื่อเจริญเติบโตของสัตว์น้ำที่สำคัญก็คือแนวปะการังนั่นเอง จากพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2552 ให้มีการสร้างปะการังเทียมให้มากขึ้น เพื่อช่วยเหลือชาวประมงที่เดือดร้อนให้ได้มีแหล่งทำมาหาเลี้ยงชีพที่อุดมสมบูรณ์ เหมือนเช่นในอดีต กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมสนองพระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จัดทำปะการังเทียมขึ้น นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในพิธีเปิดการส่งมอบและจัดวางปะการังเทียมภายใต้โครงการ “ร่วมสร้างบ้านปลาด้วยปะการังเทียม” ณ จังหวัดปัตตานี เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2553 ที่ผ่านมาว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับสนองพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงห่วงใยในวิถีความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของชาวประมงขนาดเล็กที่มีฐานะยากจน มีรายได้น้อยขาดพื้นที่ทำการประมง โดยได้จัดสร้างปะการังเทียมเพิ่มขึ้นเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์ทะเลให้มีความอุดมสมบูรณ์ดังเดิมจึงดำเนินการกำหนดแผนการจัดสร้างปะการังเทียมปี 2553 ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ชายฝั่งทะเลทั่วประเทศ รวม 15 แห่ง รวมทั้งพื้นที่พิเศษใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ จังหวัดสงขลา สตูล นราธิวาส ยะลา และปัตตานี ด้วย โดยจะจัดวางห่างจากฝั่งประมาณ 6 กิโลเมตร ระดับน้ำลึก 13 เมตร เป็นแท่งคอนกรีตรูปลูกบาศก์แบบโปร่ง ขนาด 1.5x 1.5x1.5 เมตร จำนวน 638 แท่ง วางเป็นแถวเดี่ยวยาว 150 เมตร แบ่งเป็น 4 กลุ่มมีระยะห่างระหว่างกลุ่ม 50 เมตร ทางด้าน ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยเพิ่มเติมว่า จากการติดตามผลการจัดสร้างปะการังเทียมในปี 2552 ที่ผ่านมาในพื้นที่จังหวัดปัตตานี และนราธิวาส จำนวน 6 แห่ง พบว่าชาวประมงขนาดเล็กมีแหล่งทำการประมงชายฝั่งที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นลดต้นทุนค่าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง 10-20 เปอร์เซ็นต์ มีรายได้เพิ่มขึ้น 20-30 เปอร์เซ็นต์ และพบว่าบางพื้นที่มีสัตว์น้ำบางชนิดที่หายไปในช่วงเวลาหนึ่งกลับคืนมา เช่น ปลาหมอทะเลขนาดใหญ่ ปลาช่อนทะเล ปลาผีเสื้อเทวรูป ปลาจะละเม็ดเทา ปลาดุกทะเล และปลาตะลุมพุก เป็นต้น แนวปะการังบริเวณชายฝั่งและแนวปะการังแบบกำแพงจะช่วยป้องกันชายฝั่งจากการกัดเซาะของคลื่นและกระแสน้ำโดยตรง บริเวณชายฝั่งที่แนวปะการังถูกทำลายจะถูกกัดเซาะอย่างรุนแรงจากคลื่นลมทะเลในฤดูมรสุม เป็นแหล่งกำเนิดทรายให้กับชายหาด ทั้งจากการสึกกร่อนของโครงสร้างหินปูน การกัดกร่อนโดยสัตว์ทะเลบางชนิดและจากกระแสคลื่น ซึ่งทำให้หินปูนปะการังแตกละเอียดเป็นเม็ดทรายที่ขาวสะอาด เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์และพืชนานาชนิด เช่น เต่าทะเลและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ได้แก่ ปลาหมึก หอย กุ้ง แมงกะพรุน และปลิงทะเล เป็นต้น. จาก : เดลินิวส์ วันที่ 24 เมิถุนายน 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#7
|
||||
|
||||
|
ขนซากรถถังใช้ทำเป็นปะการังเทียมฟื้นฟูทะเลอ่าวไทยออกจากโคราชแล้ว ![]() ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 05.00 น. วันที่ 23 ก.ค. ที่กองโรงงานซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ สายสรรพาวุธ ศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์สายสรรพาวุธ กรมสรรพาวุธทหารบก เจ้าหน้าที่กรมทหารขนส่งรักษาพระองค์ได้นำซากรถถังรุ่น 30 T 69-2 ล็อตแรกจำนวน 9 คันที่จะใช้ทำเป็นปะการังเทียมให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลอ่าวไทย แถบจังหวัดนราธิวาส ตามโครงการพระราชดำริปะการังเทียมของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้ออกเดินทางจากจังหวัดนครราชสีมาแล้ว โดยขบวนซากรถถังได้เดินทางมุ่งหน้าไปยังท่าเรือคลองเตย กรุงเทพฯ เพื่อส่งมอบซากรถถังให้ทางกรมประมงรับช่วงต่อเคลื่อนย้ายซากรถถังไปทิ้งลงทะเลอ่าวไทยแถบจังหวัดนราธิวาสต่อไป สำหรับซากรถถังที่ถูกนำไปทำเป็นแหล่งปะการังเทียมนี้ เป็นรถถังขนาดกลาง รุ่น 30 T 69-2 ซึ่งผลิตขึ้นในประเทศจีน และถูกนำมาประจำการที่กองพันทหารม้าที่ 16 จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อปี พ.ศ. 2530 ก่อนที่เสื่อมสภาพและถูกนำมาซ่อมบำรุงกับทางกองโรงงานซ่อมสร้างยุทโธปกรณ์ เมื่อปี พ.ศ.2547 แต่หลังจากประเมินแล้วหากดำเนินการซ่อมแซมจะไม่คุ้มค่า ทางกองทัพบกจึงเห็นควรส่งมอบซากรถถังที่ไม่ใช้แล้วให้กับกรมประมงใช้ทำเป็นปะการังเทียมให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเล ตามโครงการพระราชดำริปะการังเทียม ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงต้องการส่งเสริมและฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลและการประมงของประเทศไทย ทั้งนี้ ซากรถถังที่ทางกองทัพบกส่งมอบให้กับกรมประมงครั้งนี้มีจำนวน 25 คัน โดยจะทำการเคลื่อนย้ายทั้งหมด 3 รอบ ซึ่งในวันนี้ (23 ก.ค. 53) เป็นการเคลื่อนย้ายซากรถถังรอบแรกจำนวน 9 คัน รอบที่สองวันที่ 25 ก.ค. จำนวน 8 คัน และรอบสุดท้ายวันที่ 27 ก.ค.อีกจำนวน 8 คันโดยทางกองทหารขนส่งรักษาพระองค์จะทำการเคลื่อนย้ายซากรถถังไปที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพฯ จากนั้นกรมประมงจะรับช่วงเคลื่อนย้ายต่อเพื่อนำซากรถถังไปทิ้งลงทะเลอ่าวไทยต่อไป โดยโครงการดังกล่าวจะดำเนินการเสร็จสิ้นภายในวันที่ 9 สิงหาคม 2553 นี้ จาก : มติชน วันที่ 23 กรกฎาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|