![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ผู้จัดการออนไลน์ เตือนอีก 10 ปี กรุงเทพฯจมน้ำลึก 2.5 เมตร เตือน 10 ปี กรุงเทพฯอ่วมเจอน้ำท่วมสูง 2.5 เมตร เผย หลักเขตบางขุนเทียนถูกน้ำทะเลล้ำ 1 กิโลแล้ว วอนคนกรุงเร่งรัฐบาลสร้างคันกั้นน้ำป้องกันน้ำทะเลหน ุน ระบุ รัฐมัวแก้ปัญหาการเมือง ฝั่งธนฯ คลองเตย บางแค จะจมน้ำ พระนคร จะท่วมถึงสวนหลวง ร.9 ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต จากกรณีโครงการวิจัยร่วมไทย-ยุโรป GEO2TECDI (Geodetic Earth Observation Technologies for Thailand : Environmental Change Detection and Investigation) ซึ่งเป็นโครงการวิจัยร่วมระหว่างประเทศไทยและสหภาพยุ โรปที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากสหภาพยุโรป ในโครงการตรวจวัดการเคลื่อนตัวของแผ่นดินและระดับน้ำ ทะเลโดยใช้เทคโนโลยี Space Geodetic ออกมาเปิดเผยผลวิจัย ว่า ประเทศไทยโดยรวมจะมีการทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยกลับเพิ่มขึ้น ส่วนแผ่นดินกรุงเทพฯ จะทรุดลงปีละ 15 มม.โดยมีนักวิชาการเตือนว่าเหลือเวลาเตรียมป้องกันอี ก 25 ปีเท่านั้นก่อนกรุงเทพฯ จะจมน้ำ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ กรรมการภูมิศาสตร์โลก และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงกรณีดังกล่าว ว่า จากผลการวิจัยผลกระทบต่อการเกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งได้รับทุนวิจัยมูลนิธิโทเรเพื่อการส่งเสริมวิทยา ศาสตร์ ประเทศไทย ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญหลายภาคส่วนจากบริษัท ปัญญา คอนเซาท์แตน จำกัด โดยการสนับสนุนของธนาคารโลก เมื่อปี 2551 คาดการณ์ว่า กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นพื้นที่ชั้นหินอ่อนจะเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมภา ยใน 10 ปี ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป โดยสถานการณ์จะรุนแรงกว่าปี 2538 เพราะจากการคำนวณพบว่า ทุกๆ 25 ปี กรุงเทพฯ มีโอกาสจะเกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรง (ภายในปี 2563) ทั้งนี้หากคำนวณจากปัจจัยแผ่นดินทรุดเพียงกรณีเดียว พบว่าจะเกิดปัญหาน้ำท่วมภายใน 25 ปี แต่ในความเป็นจริงปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้เกิดน้ำท่วม ไม่ได้มีเพียงแค่กรณีเดียว แต่ประกอบด้วย 4 ปัจจัยดังต่อไปนี้ 1.ปริมาณฝนที่ตกลงมา ขณะนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 5-10% ต่อปี 2.การทรุดตัวของแผ่นดิน ซึ่งในอดีตแผ่นดินกรุงเทพฯ จะทรุดตัวต่ำลงประมาณปีละ 100 มม.แต่ในปัจจุบันหลังมีมาตรการห้ามขุดเจาะน้ำบาดาล อัตราการทรุดตัวเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ10-20 มม. 3.ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามัน มีอัตราน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉลี่ยปีละประมาณ 3 มม.4.ผังเมืองและความแออัดของชุมชนเมือง ทำให้พื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่ชุ่มน้ำของกรุงเทพฯ ลดลงกว่า 50% เมื่อมีน้ำเหนือไหลมาหรือมีปริมาณฝนมากขึ้นจึงไม่มีพ ื้นที่รองรับน้ำ รศ.ดร.เสรี กล่าวต่อไปว่า กรุงเทพฯ มีแผ่นดินที่ติดน้ำทะเลเพียงแห่งเดียว คือ เขตบางขุนเทียน ซึ่งขณะนี้หลักเขตกรุงเทพมหานครในเขตบางขุนเทียน ถูกน้ำทะเลล้ำเขตเข้ามาประมาณ 1 กิโลเมตร แสดงให้เห็นว่า แผ่นดินจมหายไป 1 กิโลเมตร ทั้งนี้รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยวิธีสร้าง คันกั้นน้ำ เพื่อป้องกันน้ำทะเลหนุน โดยสามารถเลือกสร้างได้ทั้งคันดินสีเขียวเพื่อปลูกต้ นไม้ หรือสร้างคันเป็นถนนสำหรับรถวิ่งลักษณะเดียวกับประเท ศเวียดนามที่ก่อสร้างไปแล้วเป็นระยะทาง 30 กิโลเมตร ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่ลงมือแก้ปัญหาเพราะติดปัญหาท างการเมือง ปัจจุบันนี้การแก้ปัญหาน้ำท่วมดำเนินการโดยวิธีสูบน้ ำเหนือที่ไหลทะลักให้แยกออกเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งขวาให้ไหลลงแม่น้ำบางปะกง ส่วนฝั่งซ้ายให้ไหลลงแม่น้ำท่าจีน แต่ในอนาคตสิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องป้องกันน้ำทะเลหนุนให้ได้ ธนาคารโลกเคยนำเสนอปัญหาดังกล่าวต่อรัฐบาลไทยแ ล้ว เพราะที่ประชุมคณะกรรมการภูมิศาสตร์โลกมองว่ามีความเ สี่ยงสูง แต่สิ่งที่ได้กลับมา คือ ความนิ่งเฉยของรัฐบาลไทย ทั้งนี้ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าน้ำจะท่วมเมื่อใด แต่หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงคาดว่าระดับน้ำท ี่ท่วมจะสูงถึง 1-2.5 เมตร สูงต่ำตามระดับพื้นดิน โดยจะรุนแรงมากในพื้นที่ฝั่งตะวันตก ฝั่งธนบุรี เขตคลองเตยจนถึงบางแค สำหรับฝั่งพระนครจะท่วมถึงบริเวณสวนหลวง ร.9 เพราะฉะนั้นประชาชนชาวกรุงเทพฯ ควรเรียกร้องให้รัฐบาลและเขตการปกครองท้องถิ่นตระหนั กถึงปัญหาตรงจุดนี้ เพื่อเร่งสร้างคันกั้นน้ำให้เร็วที่สุดเพราะการก่อสร ้างต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี หากเราลงมือทำกันจริงๆ วันนี้ก็ยังแก้ปัญหาทันอยู่ เพียงแต่เรายังไม่เริ่มเท่านั้น ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าว
__________________
Saaychol |
|
#2
|
||||
|
||||
|
Science Film: “ฟิล์มไทย" ชวนรักษ์ "ขุนสมุทรจีน" กันน้ำท่วมกรุง แม้จะมีความพยายามหลายทางเพื่อป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ แต่ก็ยังความกังวลว่าน้ำอาจท่วมเมืองหลวงของไทยอย่างถาวรได้ และความกังวลนั้นได้สะท้อนผ่าน "ฟิล์มไทย" ในเทศกาล "ไซน์ฟิล์ม" “น้ำท่วมกรุงเทพฯ" (The Inundation of Bangkok) เป็นภาพยนตร์ไทยท่ามกลางท่ามกลางภาพยนตร์นานาชาติที่จัดฉายใน "เทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ ครั้งที่ 6” (Science Film Festival 2010) ระหว่าง 16-30 พ.ย.53 สะท้อนความกังวลดังกล่าวออกมาอย่างชัดเจน ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่ากรุงเทพฯเคยเกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อ พ.ศ. 2460 เนื่องจากน้ำเหนือไหลบ่า และเกิดน้ำท่วมหลังจากนั้นอีกหลายครั้ง แต่ไม่หนักและไม่นานระดับน้ำก็ลดลง แต่มีข้อสันนิษฐานที่เป็นได้ว่าอาจเกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯได้อย่างถาวร ข้อสันนิษฐานหนึ่งคือเขื่อนวชิรากรณ์และเขื่อนศรีนครินทร์ใน จ.กาญจนบุรี ที่กักเก็บน้ำปริมาณมาก และหากเขื่อนเหล่านี้เกิดแตกขึ้นมาเนื่องจากแผ่นดินไหว ย่อมทำให้กรุงเทพฯจมน้ำได้ ที่สำคัญเขื่อนทั้ง 2 แห่งอยู่ใกล้กับแนวรอยเลื่อนถึง 13 รอย และมีถึง 2 รอยที่เป็นรอยเลื่อนสำคัญ คือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์และรอยเลื่อนเจดีย์ด่าน 3 องค์ อีกข้อสันนิษฐานคือภาวะโลกร้อนและปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเป็รปัจจัยที่อาจทำให้กรุงเทพฯจมน้ำได้ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ยกกรณี "บ้านขุนสมุทรจีน" ใน จ.สมุทรปราการ ที่ถูกน้ำกัดเซาะชายฝั่งจนพื้นที่ถูกน้ำทะเลกลืนหายไป 4-5 กิโลเมตร แม้กระทั่งวัดขุนสมุทราวาสที่เคยอยู่ท้ายหมู่บ้านยังจมอยู่ในกระแสน้ำ สิ่งที่ชาวบ้านต้องการและสะท้อนผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้คือการแก้ปัญหาที่ถูกจุด และทำให้ชาวบ้านได้อาชีพกลับมา เพราะแม้จะมีความช่วยเหลือที่หลากหลาย และความพยายามแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่ทดลองมาหลายอย่างนั้น บ้างได้ผลชั่วครั้งชั่วคราว บ้างไม่ได้ผลเลยและยังเป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพประมงของชาวบ้าน “เขื่อนสลายกำลังคลื่น" ซึ่งเป็นแท่งคอนกรีตทรงกระบอกที่ปักอยู่บริเวณน้ำตื้นเป็นสิ่งที่ชาวบ้านต้องการ เพราะเขื่อนสลายกำลังดังกล่าวจะช่วยลดความรุนแรงของกำลังคลื่นได้ และยังซัดตะกอนกลับมาตกที่ชายฝั่ง ซึ่งจะทำให้ชาวบ้านได้พื้นที่กลับมาและได้อาชีพกลับมาด้วย “ถ้าปล่อยไว้ไม่ทำอะไร สุดท้ายกรุงเทพฯ ก็จะได้รับผลกระทบ" เป็นข้อความทิ้งท้ายจากภาพยนตร์ให้เราร่วมดูแลขุนสมุทรจีน จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
แนะสร้างเขื่อนอ่าวไทยป้องกท.จม สมิทธชี้เสี่ยงท่วมหนัก ![]() กูรูภัยพิบัติธรรมชาติ "ดร.สมิทธ" เตือนรัฐบาลเร่งทุกฝ่ายทำงานร่วมกันป้องกันเหตุสึนามิ เชื่อไทยยังอยู่ในพื้นที่เสี่ยงเกิดขึ้นอีกครั้ง ย้ำภาวะโลกร้อนทำภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดถี่และรุนแรงขึ้น ระบุกรุงเทพฯเสี่ยงโดนน้ำท่วมหนัก แนะสร้างเขื่อนปากอ่าวไทย ขณะที่ “ดร.ก้องภพ” ชี้ระบบสุริยจักรวาลมีส่วนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนด้วย ชี้หากพลังงานสุริยะเกิดการเสียดสีกันจะเกิดภัยพิบัติตามมาได้ เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวถึงสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติในปัจจุบันว่า ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับโลกถี่มากขึ้น ทั้งน้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุรุนแรง เป็นต้น มีปัจจัยหลักมาจากภาวะโลกร้อน แม้ปกติจะเกิดขึ้นได้ตามกลไกของธรรมชาติ แต่การกระทำของมนุษย์ เช่น ตัดไม้ ใช้สารเคมี ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้โลกมีการเปลี่ยนแปลงจนเข้าสู่ภาวะโลกร้อนที่รุนแรงและรวดเร็วขึ้น การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกมีผลต่อระบบนิเวศ เช่น น้ำแข็งขั้วโลกละลายเพิ่มขึ้น สภาพอากาศแปรปรวน ร้อนจัด และอากาศที่หนาวจัด ทำให้มีหิมะปกคลุมมาก เหมือนที่กำลังเกิดขึ้นในทวีปยุโรป หรือเมื่อเกิดฝนตกในปริมาณมากเป็นเวลานานส่งผลให้เกิดน้ำท่วมหนักและแผ่นดินถล่มได้ ดร.สมิทธ กล่าวต่อว่า ปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งหมด สามารถคำนวณเวลาเกิดได้เกือบทั้งสิ้น มีเพียงเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างเดียวเท่านั้นที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดเมื่อไร ที่ไหน แต่เมื่อเกิดขึ้นในระดับรุนแรงแล้ว เราสามารถคาดการณ์ได้ว่ามีโอกาสจะเกิดสึนามิตามมาหรือไม่ จากการศึกษาข้อมูลและนำมาวิเคราะห์คิดว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีโอกาสเกิดขึ้นกับประเทศไทยได้มากที่สุด คือ น้ำท่วมกรุงเทพฯ โดยมีสาเหตุจากภาวะโลกร้อน ที่ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วจนทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น เกิดการกัดเซาะชายฝั่ง ขณะที่ดินในกรุงเทพฯเป็นดินอ่อนมีการทรุดตัวลงทุกปี “โดยส่วนตัวยังเชื่อว่าไทยจะประสบภัยสึนามิได้อีก หากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงแถบภูมิภาคนี้ โดยเกิดขึ้นได้ทั้งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย หากเกิดขึ้นฝั่งอ่าวไทยจะมีความรุนแรงน้อยกว่าฝั่งทะเลอันดามัน อย่างไรก็ตามต้องดูการเกิดแผ่นดินไหวเป็นองค์ประกอบ จึงจะคาดการณ์ได้ว่าสึนามิอาจจะเกิดขึ้นในพื้นที่ใด ที่ผ่านมาภาครัฐไม่ให้ความสำคัญกับการป้องกันและเตือนภัยเท่าที่ควร หน่วยงานต่างๆที่มีหน้าที่รับผิดชอบยังขาดการประสานงานที่ดี และรัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ ทั้งเรื่องอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ การป้องกัน และการซ้อมเตือนภัย” ดร. สมิทธกล่าว ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวอีกว่า เรื่องน้ำท่วมกรุงเทพฯ ที่มีผลงานวิจัยระบุว่ามีโอกาสเกิดขึ้น เราสามารถป้องกันได้ ด้วยการก่อสร้างเขื่อนหรือคันคอนกรีตป้องกันน้ำสูง 10 เมตร รอบบริเวณปากอ่าวไทย แม้ใช้งบประมาณมากก็จำเป็นต้องทำ ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันเวลา เพราะขณะนี้ประเทศเวียดนาม ที่ประสบปัญหาเหมือนกันได้ลงมือก่อสร้างไปแล้ว ด้าน ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรคนไทย จากองค์การนาซา สหรัฐอเมริกา ที่สนใจและศึกษาเกี่ยวกับระบบสุริยจักรวาล กล่าวว่า ภาวะโลกร้อนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หลายคนรู้ว่าสาเหตุหลักมาจากการกระทำของฝีมือมนุษย์ แต่ในความเป็นจริงปรากฏการณ์ที่ทำให้โลกร้อนนั้น อาจจะเกิดขึ้นจากระบบสุริยจักรวาล โดยที่ดวงอาทิตย์ส่งพลังงานสุริยะมายังโลกและการเกิดภัยพิบัติน้ำท่วมหนักในไทยช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ใช่เพราะภาวะโลกร้อนเพียงอย่างเดียว “โลกของเรานั้นอยู่ในระบบสุริยจักรวาล ในกาแล็กซีทางช้างเผือกหรือที่เรียกว่ามิลกี้เวย์ ซึ่งจะโคจรรอบดวงอาทิตย์และหมุนรอบตัวเอง กาแล็กซีทางช้างเผือกนั้นมีรูปแบบเป็นระนาบเห็นเป็นแถบเส้นตรงใน 33 ล้านปี จะเกิดการตัดผ่านของระบบสุริยจักรวาล สิ่งที่เราจะพบในช่วงของการตัดผ่านนั่นก็คือการเสียดสีของพลังงานสุริยะและจะเกิดภัยพิบัติตามมา สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการเสียดสี มาจากดวงอาทิตย์จะผลักฝุ่นละอองบางอย่างออกมาตลอดเวลา มีลักษณะเป็นพลาสมาเรียกว่าลมสุริยะ โดยทุก ๆ 11 ปีจะมีการเปลี่ยนแปลงของลมสุริยะ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นครั้งล่าสุดนั้น จะตรงกับการตัดผ่านของระบบสุริยจักรวาลพอดี (33 ล้านปีเกิดครั้งหนึ่ง) จึงเป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลก” ดร.ก้องภพ กล่าว ดร.ก้องภพ กล่าวต่อว่า โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากพอสมควร ถ้าดูจากการเกิดปรากฏการณ์ครั้งที่ผ่านๆมา แต่ในครั้งนี้พิเศษมากกว่า ผลกระทบของลมสุริยะทำให้เกิดพายุมากขึ้นใหญ่ขึ้น และอาจเชื่อมโยงถึงแผ่นดินไหว และเกิดการกระเพื่อมของระบบไฟฟ้าทั่วโลก จนทำให้เกิดไฟดับได้ นอกจากนั้นยังส่งผลต่อสภาพอากาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือโลกจะร้อนขึ้น น้ำจะท่วมเพราะเกิดการระเหยของมหาสมุทร อากาศจะร้อนจัด ป่าไม้ที่เคยอุดมสมบูรณ์อาจกลับกลายเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้ง ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการตัดผ่านของระบบสุริยจักรวาลและพลังงานสุริยทั้งสิ้น สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานสัมมนาเชิงวิชาการ “เจาะลึกภัยพิบัติพลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด” ลงทะเบียนสำรองที่นั่งผ่าน เว็บไซต์พลังจิตดอทคอม www.palungjit. com/seminar/และอีเมล seminar@ palungjit.org หรือโทร. 08-6534-1112 ถึงวันที่ 16 ธ.ค. จำนวน 1,200 ที่นั่ง เท่านั้น โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ งานจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 19 ธ.ค. เวลา 08.30-17.00 น. ที่ห้องบัวหลวงแกรนด์รูม ชั้น 6 อาคาร ดร.สุข พุคยาภรณ์ มหาวิทยาลัย ศรีปทุม วิทยาเขตบางเขน กรุงเทพฯ. จาก .................. เดลินิวส์ วันที่ 14 ธันวาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
น้ำท่วมกรุงเทพฯ ปีหน้าและปีต่อๆไป พ้นเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ก็จะมีการพูดคุยออกข่าวหาวิธีป้องกันน้ำท่วมหรืออุทกภัยกัน พอปลายเดือนธันวาคมข่าวเรื่องการป้องกันน้ำท่วมก็จะเลือนหายไป เพื่อป้องกันปัญหาที่จะมาอีกในปีหน้าและปัญหาที่จะมาถึงในอีก 10 ปีข้างหน้า เรื่องนี้ นายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมฯ กล่าวว่าให้ศึกษาแบบจำลองผลกระทบภาวะน้ำท่วม และน้ำทะเลขึ้นสูงในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) ชั้นในและปริมณฑล ในเมื่อกทม. เป็น 1 ใน 9 เมืองในทวีปเอเชียมีความเสี่ยงสูงที่น้ำทะเลจะเอ่อทะลักเข้าท่วมในเมือง พบว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้น้ำท่วม กทม. ชั้นในมี 4 ปัจจัย คือ 1.ปริมาณน้ำฝนที่ตกเพิ่มขึ้นถึง 15 % ในปัจจุบัน 2.แผ่นดินในกทม. ทรุดตัวปีละ 4 มิลลิเมตร 3.ระดับน้ำทะเลฝั่งอ่าวไทยสูงขึ้น 1.3 เซนติเมตรต่อปี และ 4. เกิดจากภาพรวมของระบบผังเมืองใน กทม. ที่พบว่า ปัจจุบันพื้นที่ชุ่มน้ำและพื้นที่สีเขียว ลดลงไปกว่า 50 % ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะมีประชากรในกทม. ประมาณ 680,000 คน ได้รับผลกระทบน้ำจะเอ่อเข้ามาท่วมอาคารที่ 1.16 ล้านหลัง ในจำนวนนี้จะเป็นบ้านพักอาคาร 9 แสนหลังคาเรือน โดย 1 ใน 3 จะอยู่ในพื้นที่บางขุนเทียน บางบอน บางแค และพระสมุทรเจดีย์ จ. สมุทรปราการ อาคาร-ที่พักอาศัยเขตดอนเมืองรวม 89,000 อาคารจะได้รับผลกระทบ รวมความเสียหายราว 1.5 แสนล้านบาท ผลวิจัยได้เสนอวิธีป้องกันและแก้ปัญหาเอาไว้ 3 ทาง คือ 1.เร่งหาพื้นที่แก้มลิงเหนือ กทม. ตั้งแต่สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา เพื่อเป็นที่ระบายน้ำ 2. เร่งขุดขยายคลองระบายน้ำที่มีอยู่เวลานี้โดยเรือ และ 3.ต้องสร้างคันกั้นน้ำในพื้นที่ชายฝั่งทะเล เพื่อป้องกันน้ำเอ่อทะลักเข้ามาในพื้นที่ กทม. โดยสร้างเป็นคันดินในพื้นที่ริมฝั่งทั้งหมด ระยะทาง 80 กิโลเมตร ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กทม.กำลังดำเนินการสร้างระบบอุโมงค์ยักษ์ ซึ่งเป็นแผนครั้งใหญ่เพื่อบูรณาการการป้องกันปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ให้เกิดผลอย่างยั่งยืน ประกอบด้วยอุโมงค์ใต้ดินขนาดยักษ์ 4 แห่ง ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของกรุงเทพฯ มากกว่า 2 เท่าภายใน 5 ปี หลังจากงบส่วนใหญ่ใช้ตามแก้น้ำท่วมเฉพาะหน้า ใช้งบประมาณไปกับการซื้อกระสอบทราย ซื้อปั๊มน้ำเพิ่มกันทุกปี โดย 3 ปีที่ผ่านมา กทม.ใช้งบประมาณไปกับมาตรการต่างๆเพื่อป้องกันน้ำท่วมกว่า 11,000 ล้านบาท แต่สุดท้ายพอฝนตกหนัก น้ำก็ยังท่วมกรุงเทพฯ อุโมงค์ยักษ์แห่งแรกจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนมกราคม 2554 แห่งที่สองจะเริ่มก่อสร้างในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 และแห่งที่สามและสี่จะสร้างในปี 2555 โดยจะเสร็จสิ้นทั้งระบบภายใน 5 ปี พื้นที่ที่จะได้รับประโยชน์จากระบบอุโมงค์ยักษ์ ได้แก่ ย่านลาดพร้าว วังทองหลาง บางกะปิ ห้วยขวาง บึงกุ่ม สะพานสูง ดินแดง จตุจักร พญาไท ดุสิต บางซื่อ ดอนเมือง หลักสี่ บางเขน บางส่วนของเขตสายไหม ประเวศ พระโขนง บางนา และสวนหลวง ข้อสังเกตในที่นี้ก็คือ แนวความคิดในการมองปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ที่แตกต่างกัน ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมมองปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯว่ามี 4 ปัจจัย แต่ผู้ว่าฯ กทม. มองปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ ว่ามาจากน้ำหลากและน้ำทะเลหนุนทะลัก คนกรุงเทพฯจะเชื่อใคร ว่าน้ำท่วมกรุงเพราะอะไร และจะเชื่อวิธีแก้ปัญหาของใคร หากความเห็นของผอ.ศูนย์พลังงานเป็นจริง อาคาร 1.16 ล้านหลัง จะแก้ไขอย่างไร ใครเป็นเจ้าของอาคารใน 1.16 ล้านหลัง จะทำอย่างไร เตือนไว้ก่อน 10 ปี ก็รีบหาทางแก้ไขป้องกันตัวเองเอาแล้วกัน จาก ...................... ข่าวสด คอลัมน์ เลาะรั้ว วันที่ 25 ธันวาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
โลกไม่เหมือนเดิมแล้ว ''น้ำเป็นภัย!!'' ต่อไปไทยยิ่งจมหนัก? ![]() หากมีสิ่งมีชีวิตนอกโลกจับตาความเป็นไปของมนุษย์โลกอยู่ ในระยะหลังๆและในช่วงนี้ ก็คงจะเห็นชัดเจนถึง ’ความโกลาหลอลหม่านของชาวโลก“ ในหลายประเทศ และรวมถึงในประเทศไทย ’อันเนื่องจากภัยน้ำ“ รูปแบบต่างๆ ทั้งน้ำทะเลสูง คลื่นยักษ์สึนามิ พายุฝน ซึ่งความโกลาหลนี้ดูผิวเผินเป็นเพราะธรรมชาติ แต่พิจารณาลึกๆแล้ว...มนุษย์เองมีส่วนอย่างสำคัญ มนุษย์ทำลายธรรมชาติมาก...ธรรมชาติก็พิโรธมาก!! ’หากมองโลกในภาพรวม ต้องยอมรับว่าระดับน้ำบนโลกสูงขึ้น ซึ่งอาจจะสูงขึ้นไม่กี่เซนติเมตร แต่ไม่กี่เซนติเมตรนี่ก็มีความหมาย“ ...นี่เป็นการระบุของนักวิทยาศาสตร์อาวุโส รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คุปตระกุล กับระดับน้ำบนโลกสูงที่ขึ้นนั้น นักวิทยาศาสตร์ไทยรายนี้บอกว่า... สาเหตุหนึ่งมาจาก “ภาวะโลกร้อน” ซึ่งยุคนี้ทุกๆคนต่างก็พอจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าภาวะโลกร้อนนั้นเกิดมาจากอะไรบ้าง และมีอีกหนึ่งความเห็นจากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์มืออาชีพ ที่บอกว่า... เกิดจาก “รังสีคอสมิก ที่มาจากดวงอาทิตย์ และกาแล็กซี” ความคิดเห็นประการหลังนี่ก็กำลังดังขึ้นมา ทั้งนี้ ภาวะ ’น้ำมาก-น้ำหลาก-น้ำท่วม“ นั้น ในยุคปัจจุบันไม่ได้เกิดกับประเทศไทยที่เดียวในโลก แต่เกิดขึ้นในหลายๆประเทศ ส่วนกับประเทศไทยนั้น รศ.ดร.ชัยวัฒน์ บอกว่า... จากการติดตามเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่คราวนี้ พบว่าเป็นอีกปีที่ปริมาณน้ำที่มาจากทางเหนือเยอะมาก และภาคกลางก็มีฝนตกมาก แต่โชคดีของประเทศไทยอย่างหนึ่งคือ ฝนไม่ได้ตกต่อเนื่องอย่างหนัก 6-7 วันติดต่อกัน เหตุการณ์จึงไม่เลวร้ายหนักไปกว่านี้ รศ.ดร.ชัยวัฒน์ ระบุว่า... น้ำท่วมปีนี้ระดับน้ำมากกว่าปี 2485 ซึ่งน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ แต่ภาพในปี 2485 นั้นรุนแรงกว่าปีนี้ นั่นเพราะปัจจุบันระบบการป้องกัน การระบายน้ำ ดีกว่าในอดีต จึงทำให้ดูไม่รุนแรงกว่า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือ ในเมื่อทราบว่าเหตุหนึ่งของการเกิดภัยจากน้ำคือภาวะโลกร้อน ประชาชนทุกคนก็ต้องช่วยกันในเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยกันรักษาสภาวะแวดล้อม ไม่ตัดไม้ทำลายป่า ’และสิ่งที่จะป้องกันไม่ให้น้ำท่วมซ้ำซากต่อไปคือ การมีกระบวนการแก้ไขปัญหาน้ำจากการรู้จริง เข้าใจจริง อย่างเป็นระบบ การมีระบบผังเมืองที่ถูกต้อง การบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบซึ่งสำคัญที่สุด“ ...นักวิทยาศาสตร์อาวุโสรายนี้กล่าว ซึ่งอย่างหลังนี้ก็ขึ้นอยู่กับภาครัฐ แต่ก็เกี่ยวพันถึงประชาชน ด้าน ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้อำนวยการโรงเรียนสัตยาไส อดีตนักวิทยาศาสตร์องค์การนาซา ระบุถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นว่า... ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าอุณหภูมิของโลกสูงขึ้น เพราะฉะนั้นน้ำจากมหาสมุทรจะระเหยออกมามากขึ้น ซึ่งกลายเป็นความชื้นและเมฆ เมื่อมีความชื้นและมีเมฆมาก จึงทำให้มีความชื้นตลอดปี และเป็นเหตุทำให้สภาพดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปหมด ซึ่งก็จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานหลายปีหากไม่ลดภาวะโลกร้อนให้ได้ผล และก็จำเป็นต้องพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต “การเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศ ปรากฏการณ์ธรรมชาติใหม่ๆ เกิดจากภาวะโลกร้อน และไม่ใช่เกิดกับประเทศไทยที่เดียว แต่เกิดกับทั่วโลก เท่าที่มองโดยทั่วไปสถานการณ์ในอนาคตจะยังไม่ดีขึ้น เพราะสภาวะความชื้นจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง สึนามิ แผ่นดินไหว ก็จะเกิดขึ้นบ่อย เพราะเปลือกโลกเคลื่อนไหว” ดร.อาจอง ระบุอีกว่า... มนุษย์มีการก่อสร้างที่ส่งผลถึงเรื่องน้ำ ในไทยก็ยกตัวอย่างเช่น สนามบินสุวรรณภูมิ แทนที่พื้นที่จะเป็นแก้มลิงรับน้ำ กลับกลายเป็นสนามบิน ก็เสี่ยงมากขึ้นที่น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ กรณีภาวะโลกร้อน ดร.อาจอง บอกว่า... ที่จะส่งผลกับประเทศไทยโดยตรงมี 2 อย่างคือ ผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทำให้น้ำท่วมมากขึ้น และการที่เปลือกโลกเริ่มเคลื่อนไหวจนเกิดรอยร้าว ซึ่งจะทำให้ เกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยมากขึ้น นี่คือ 2 อย่างการเปลี่ยนแปลงที่ไทยเราต้องเตรียมตัวรับมือให้ดี เรื่องน้ำทะเลสูงขึ้น ถ้าไม่สร้างเขื่อนกั้นตรงอ่าวไทย ก็ต้องคิดย้ายเมืองหลวงภายใน 6 ปี เพราะอีก 15 ปีข้างหน้าน้ำจะเริ่มท่วมกรุงเทพฯ ?? สิ่งที่ดีที่สุดคือต้องสร้างเขื่อนกั้นไว้ก่อน รัฐบาลต้องคิดและวางแผนตั้งแต่วันนี้ ต้องทำเป็นวาระแห่งชาติ ต้องวางแผนล่วงหน้า 10 ปี ต้องวางแผนให้ดี เพื่อไม่ให้สูญเสียสถานที่สำคัญไป “จะกลายเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเราพูดถึงภัยอันตรายส่วนรวมแล้วมนุษย์เลิกทะเลาะกันเสียที เรามีภัยธรรมชาติเป็นศัตรูร่วมกัน ถ้าไม่ป้องกันอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปกรุงเทพฯและภาคกลางหลายจังหวัดจมน้ำแน่?? ฉะนั้นรัฐบาลต้องเร่งตัดสินใจ คนไทยต้องเลิกทะเลาะกัน คนไทยต้องสามัคคีกัน และปฏิบัติธรรมให้มากๆ ถ้าเราช่วยกัน เราก็จะอยู่ร่วมกันได้ และ ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย คนไทยเราก็จะอยู่ได้ด้วยตัวของเราเอง ท่ามกลางความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในโลก ในอนาคตอันใกล้” ...ดร.อาจอง ระบุ ใครจะเชื่อ-ไม่เชื่อเรื่องน้ำทะเลสูงท่วมกรุงเทพฯ...สุดแท้แต่ แต่...ในไทยก็คล้ายจะมีบทพิสูจน์ว่า ’ภัยน้ำกำลังถล่มโลก“ และ ’ทางรอด“ คนไทย...คือ ’ต้องพอเพียง-ต้องสามัคคี!!“. จาก ........................ เดลินิวส์ วันที่ 21 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
ขั้วโลกละลาย...น้ำทะเลเพิ่มสูง หนึ่งชนวนวิกฤติ 'น้ำท่วมกรุง'!? ![]() นาทีนี้หากใครติดตามข่าวสารมาโดยตลอดจะทราบว่าคงไม่ใช่แค่ประเทศไทยประเทศเดียวที่กำลังประสบปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ เพราะทั่วโลกในหลายๆประเทศต่างก็ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกัน แต่อาจจะมากหรือน้อยแตกต่างไป และนี่อาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนอะไรบางอย่างถึงความผิดปกติของโลกของเราในวันนี้ เพราะสภาพอากาศที่ร้อนจัดส่งผลให้น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น แล้วปริมาณน้ำจำนวนมหาศาลนี้จะท่วมโลกหรือไม่อย่างไร...?!? ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงก็เหมือนว่าเรากำลังเผชิญกับปัญหาอันหนักอึ้งและใหญ่หลวงมากหลายล้านเท่าหรือจะเป็นไปได้ว่าโลกของเรากำลังจะเปลี่ยนแปลงกลับไปสู่ยุคเมื่อ 10,000 ปีแล้วก็อาจเป็นได้…!! ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการธรณีพิบัติภัย กรมทรัพยากรธรณี ให้ข้อมูลย้อนกลับไปว่า เมื่อประมาณ 12,000 ปีที่แล้วโลกอยู่ในยุคน้ำแข็ง บริเวณอ่าวไทยมีสภาพเป็นพื้นดินที่มีแม่น้ำไหลผ่าน เนื่องจากระดับน้ำทะเลในขณะนั้นมีระดับต่ำกว่าปัจจุบันเป็นอย่างมาก จวบจนสิ้นสุดยุคน้ำแข็งเมื่อ 10,000 ปีที่ผ่านมา โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนทำให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ส่งผลทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นและไหลท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำโดยรอบอ่าวไทย เมื่อโลกเข้าสู่ยุคโลกร้อนและถึงจุดสูงสุดเมื่อประมาณ 6,000 ปีที่ผ่านมา ทำให้น้ำทะเลมีระดับสูงกว่าปัจจุบันประมาณ 4 เมตร และน้ำทะเลได้ท่วมเข้าไปไกลสุดถึงบริเวณตอนบนของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการตกทับถมของตะกอนจากน้ำทะเลเป็นชั้นดินโคลนสีดำเนื้อนิ่ม และมีซากเศษหอยทะเลปนอยู่ทั่วไป อย่างเช่น เปลือกหอยนางรมยักษ์ที่พบอยู่ที่วัดเจดีย์หอย อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ต่อมาระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยขยับตัวขึ้นลงตามสภาพภูมิอากาศที่ผันผวน จนกระทั่งเมื่อ 1,000 ปีที่ผ่านมา ระดับน้ำทะเลได้ลดลง ทำให้เกิดพื้นที่ชายฝั่งเช่นในปัจจุบัน ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลนั้นมีมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะในช่วงที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นก็จะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มระดับสูงขึ้นตามไปด้วย และในช่วงที่โลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็งระดับน้ำทะเลก็จะลดลง ซึ่งเรื่องดังกล่าวทางกรมทรัพยากรธรณีได้มีการศึกษาและติดตามสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ แต่จากการศึกษาเรื่องระดับน้ำทะเลในประเทศไทยนั้น เราพบว่ามีปัญหาเรื่องของการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกและทรุดตัวของพื้นดินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจึงต้องมีการปรับกระบวนการวัดระดับน้ำทะเลเพื่อหาค่าระดับที่แท้จริงของการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลสัมบูรณ์ ซึ่งจากข้อมูลการตรวจวัดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปี และนำมาประมวลผล เราพบว่าระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นประมาณ 4 มิลลิเมตรต่อปี นอกจากปริมาณน้ำทะเลที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ในส่วนของการทรุดตัวของพื้นดินของที่ราบลุ่มภาคกลางนั้น มีอัตราแตกต่างกัน แล้วแต่บริเวณโดยมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งความหนาของชั้นดินโคลนทะเล การลดระดับของน้ำบาดาล และการพัฒนาพื้นที่ ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมาพื้นดินที่ราบลุ่มภาคกลางติดชายทะเลมีอัตราการทรุดตัวของพื้นดินประมาณ 2-5 เซนติเมตรต่อปี โดยพื้นที่ทางด้านตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาจะมีอัตราการทรุดตัวน้อยกว่าทางด้านตะวันออก ตามความหนาของชั้นดินโคลนทะเล ซึ่งจะมีความหนามากที่สุดอยู่ทางตะวันออกของกรุงเทพฯ ในเขตลาดกระบัง และหนองจอก และต่อเนื่องไปจนถึงอำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ โดยชั้นดินโคลนทะเลในบริเวณดังกล่าวมีความหนามากกว่า 18 เมตร อัตราการทรุดของพื้นดินในบริเวณดังกล่าวจะลดลง เนื่องจากชั้นดินโคลนทะเลมีการเกาะตัวกันแน่นขึ้น อย่างไรก็ตามจากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลสัมพัทธ์ในอ่าวไทยตอนบน เป็นผลมาจากการทรุดตัวของพื้นดินมากกว่าการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลสัมบูรณ์ ซึ่งบางคนอาจไม่ทราบว่าบางพื้นที่ของกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ติดกับชายทะเล พื้นดินทรุดตัวลงจนกระทั่งต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางแล้ว ปัญหาเหล่านี้จะส่งผลกระทบในหลายด้านดังที่พบเห็นในปัจจุบัน เช่น การกัดเซาะชายฝั่ง การท่วมขังของน้ำทะเลในพื้นที่ลุ่มต่ำ และมีผลต่อระบบการระบายน้ำลงทะเลทำได้ยากขึ้น ปัญหาเหล่านี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต เนื่องจากลักษณะธรณีสัณฐานของพื้นที่ภาคกลางมีลักษณะค่อนข้างลุ่มต่ำมีความลาดชันน้อยมาก เมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้นประกอบกับพื้นดินทรุดตัว จึงส่งผลให้เหตุการณ์น้ำขึ้นน้ำลงประจำวันของทะเลมีอิทธิพลต่อพื้นที่ราบลุ่มภาคกลางมากขึ้นทุกวัน และส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชาวบ้านตามที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเลและสองฝั่งแม่น้ำ ปัจจุบันได้ส่งผลกระทบต่อการระบายน้ำที่ท่วมขังอยู่ทางด้านเหนือของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะการระบายน้ำตามแม่น้ำสายหลัก ซึ่งได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำบางปะกง หากระดับน้ำทะเลมีระดับสูงกว่า น้ำก็ไม่สามารถระบายลงสู่ทะเลได้ ดังนั้นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวในอนาคตจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง และต้องกระทำด้วยความรอบคอบ รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายเพื่อปกป้องเมืองหลวงของพวกเราให้รอดพ้นจากพิบัติภัยธรรมชาติครั้งนี้ให้ถึงที่สุด วิกฤติมหาอุทกภัยร้ายแรงในปี พ.ศ. 2554 นี้ น่าจะเป็นบทเรียนที่เราต้องนำมาศึกษาหาทางแก้ไขเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์อันชอกช้ำนี้เกิดขึ้นมาซ้ำรอยได้อีกในอนาคต…!!. ..................... แนวคิดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของเนเธอร์แลนด์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ดินแดนแห่งกังหันลมมีสภาพปัญหาใกล้เคียงกับพื้นที่ลุ่มภาคกลางของประเทศไทย คือตั้งอยู่บนพื้นที่ปากแม่น้ำสายใหญ่ มีพื้นที่ลุ่มต่ำ น้ำทะเลรุกเข้ามาในแผ่นดิน และในอดีตเคยประสบปัญหาน้ำท่วมครั้งใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน สร้างความสูญเสียทั้งทางด้านชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ดังนั้นคนฮอลแลนด์จึงมีความคิดที่จะสร้างคันกันน้ำทะเลมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 จนกระทั่งปี ค.ศ.1918 โครงการสร้างคันกั้นน้ำทะเลขนาดใหญ่จึงได้รับการอนุมัติ และเริ่มสร้างจนกระทั่งแล้วเสร็จเมื่อปี 1932 โดยคันกั้นน้ำหลักมีชื่อว่า Afsluitdijk ตัวคันกว้าง 90 เมตร ยาว 32 กิโลเมตรและสูงกว่าน้ำทะเล 7.25 เมตร เมื่อกั้นเสร็จแล้วพื้นที่ด้านในได้กลายเป็นทะเลสาบปิดขนาดใหญ่ มีชื่อว่า Ijsselmeer หลังจากนั้นจึงเริ่มวิดน้ำออก ทำให้ระดับน้ำลดลง พื้นที่บางส่วนโผล่พ้นน้ำ ปัจจุบันประเทศเนเธอร์แลนด์ได้พื้นที่ที่เคยถูกน้ำท่วมกลับคืนมาแล้ว จึงได้นำพื้นที่ดังกล่าวมาทำเป็นพื้นที่การเกษตรเป็นหลัก และบางส่วนสร้างเป็นเมืองใหม่. จาก ........................ เดลินิวส์ วันที่ 31 ตุลาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#7
|
||||
|
||||
|
มหาอุทกภัย !...น้ำเปลี่ยนเมือง ![]() กรุงเทพธุรกิจ Green Report ฉบับที่ 6 สรุปบทเรียนอุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศในครั้งนี้ ส่งผลให้หลายหน่วยงานกำลังหาวิธีการจำกัดการขยายตัวของเมืองที่ขวางทางน้ำ มหาอุทกภัยที่คนไทยเผชิญหน้ามาหลายเดือนติดต่อกัน ได้สร้างบทเรียนให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะในพื้นที่กทม.และปริมณฑลที่เป็นใจกลางเศรษฐกิจและการติดต่อการค้าของประเทศรวมถึงมีชุมชนที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ ทั้งคอนโดมิเนียมกลางเมือง และโครงการบ้านจัดสรรชานเมืองและในปริมณฑล ที่ยังขยายตัวเป็นดอกเห็ด สาเหตุจากการตัดถนนใหม่ๆ และโครงการรถไฟฟ้า ทำให้การคมนาคมสะดวกรวดเร็ว แต่อีกด้านหนึ่งการขยายตัวกลับไม่คำนึงถึงความเสี่ยงของอุทกภัย ความเสียหายที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทำให้กทม.ต้องกลับมาทบทวนข้อกำหนดให้สิทธิประโยชน์การพัฒนาที่ดิน 500 เมตร เกาะแนวรถไฟฟ้า เกรงหากปล่อยให้ขยายตัวในเส้นทางชานเมือง ยิ่งเร่งให้เกิดหมู่บ้านจัดสรร และชุมชนหนาแน่น เพิ่มความเสี่ยงปัญหาน้ำท่วมมากในอนาคต ม.ร.ว.เปรมศิริ เกษมสันต์ ผู้อำนวยการสำนักผังเมืองกรุงเทพมหานคร กล่าวว่ากทม.อยู่ในขั้นตอนการปรับปรุงแก้ไขผังเมืองรวมฉบับใหม่ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ต้องหันมาทบทวนเรื่องการให้สิทธิประโยชน์บางพื้นที่ เพื่อให้เมืองขยายสู่พื้นที่รอบนอกมากขึ้น โดยเฉพาะร่างผังเมืองรวมกทม.ฉบับปัจจุบันที่อนุญาตให้ที่ดินที่อยู่ในรัศมี 500 เมตร จากแนวรถไฟฟ้าสามารถพัฒนาโครงการประเภท ทาวน์เฮาส์ บ้าน ตึกแถว อาคารพาณิชย์ พื้นที่พาณิชยกรรม อาคารอยู่อาศัย รวมไม่เกิน 1,000 ตารางเมตรได้ แม้เส้นทางรถไฟฟ้าเหล่านั้นจะวิ่งผ่านพื้นที่ผังสีเดิม ซึ่งกำหนดให้สร้างได้เฉพาะบ้านเดี่ยว จึงอาจเปิดช่องให้เกิดโครงการหมู่บ้านจัดสรรใหม่ในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากแนวรถไฟฟ้ามุ่งหน้าออกสู่พื้นที่ชานเมืองกรุงเทพฯในหลายเส้นทาง ที่เกิดขึ้นแล้วคือ เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วง เส้นทางบางใหญ่ บางบัวทอง "ในอนาคตจะเกิดโครงการรถไฟฟ้าหลายสาย เชื่อมไปถึงจังหวัดในเขตปริมณฑล เช่น นนทบุรี ปทุมธานี ซึ่งหลายพื้นที่ เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม หากผังเมืองรวมอนุญาตให้สร้างหมู่บ้านได้ ในรัศมี 500 เมตรจากรถไฟฟ้า อาจเกิดโครงการหมู่บ้านจัดสรรจำนวนมาก ในเขตพื้นที่บางใหญ่ และพื้นที่อื่นๆ ซึ่งจะกลายเป็นการพาประชาชนไปเจอน้ำท่วมได้ เราจึงต้องทบทวนกันใหม่" ผู้อำนวยการสำนักผังเมืองกล่าว อย่างไรก็ดี การพัฒนาที่อยู่อาศัยในรัศมีรถไฟฟ้า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผังเมืองรวม กทม. เพียงผังเดียว แต่ยังครอบคลุมไปถึงผังเมืองจังหวัดปริมณฑลในพื้นที่ต่อเนื่องด้วย และล่าสุด สำนักผังเมืองฯได้ประชุมหารือกับผู้เกี่ยวข้อง ในการวางผังเมืองของจังหวัดในปริมณฑลแล้วครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่มีข้อสรุป ซึ่งต้องประชุมร่วมกันต่อไป “ปัญหาหนึ่งที่พบ คือ ผังเมืองรวมแต่ละจังหวัด มีผลบังคับใช้คนละช่วงเวลากัน บางผังอยู่ในช่วงร่างใหม่พร้อมๆกับของ กทม. แต่บางผังก็ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ดังนั้นการปรับรายละเอียดในผัง จำเป็นต้องทำร่วมกันเพื่อให้ครอบคลุมในระยะยาว “ ส่วนการปรับผังสี ข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน ม.ร.ว.เปรมศิริ กล่าวว่า ในเบื้องต้นคาดว่าจะไม่มีการปรับเปลี่ยนในส่วนของสีในแต่ละพื้นที่มากนัก แม้จะมีปัญหาน้ำท่วมใหญ่ก็ตาม เพราะร่างผังเมืองรวม กทม. (ปรับปรุงครั้งที่ 3) ได้กำหนดให้พื้นที่วงแหวนรอบนอก ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในปัจจุบัน เช่น เขตทวีวัฒนา บางบอน บางขุนเทียน คลองสามวา มีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง เป็นพื้นที่สีเขียว (ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม) และสีเขียวลายขาว (ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม) ซึ่งหมายถึงกำหนดให้เป็นพื้นที่รับน้ำอยู่แล้ว ส่วนความต้องการของเอกชน ที่ต้องการให้ปรับอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (Floor Area Ratio หรือ FAR) จากร่างผังเมืองรวมปัจจุบันที่กำหนดให้อยู่ที่ 10 เท่า เพิ่มเป็น 15 เท่า และความต้องการของสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ต้องการให้เหลือเพียง 8 เท่า ม.ร.ว.เปรมศิริ กล่าวว่า หากให้ปรับเหลือ 8 เท่าจะยินดีมาก แต่หากให้ปรับเพิ่มเกินกว่า 10 เท่า คงทำไม่ได้ เพราะการปรับเพิ่มในส่วนนี้ จะทำให้มีคนอยู่อาศัยในอาคารหนึ่งอาคารมากขึ้น เมื่อมีคนมากก็จะมีรถมาก มีปัญหาเรื่องที่จอดรถและปัญหาการจราจรภายในซอยและบนท้องถนนตามมา กรณีที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอให้ขยายรัศมีการพัฒนาที่อยู่อาศัยในรัศมีรถไฟฟ้าจาก 500 เมตร เป็น 1,000 เมตร เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยราคาถูกในบริเวณใกล้รถไฟฟ้าได้มากขึ้น ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่า ต่อให้ขยายพื้นที่รัศมีออกไปเป็น 1,000 เมตร ก็ไม่น่าจะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยได้ เพราะเชื่อว่าโครงการที่ได้ชื่อว่าใกล้รถไฟฟ้า ถึงอย่างไรก็คงขายแพง ต่อให้เป็นรัศมีที่ห่างออกไปอีกก็ตาม สำหรับความคืบหน้าล่าสุดของผังเมืองรวม กทม.ฉบับใหม่นั้น ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงที่ให้คณะกรรมการพิจารณา 300 ความเห็นที่เสนอมาเมื่อวันที่ 25 ส.ค. เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการปรับแก้ต่อไป ซึ่งหากเป็นไปได้ ต้องการให้ผังเมืองฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ในปี 2555 แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะสามารถออกบังคับใช้ได้ทัน เพราะในขั้นตอนการจัดทำผังนั้น ยังต้องผ่านการพิจารณาอีกหลายขั้นตอน โดยเมื่อสรุปความเห็นแล้ว ยังต้องส่งเรื่องไปยังคณะที่ปรึกษาผังเมืองรวมกทม. และอาจยังต้องมีการปรับแก้ผังเมืองรวมเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามหากผังเมืองรวมเสร็จไม่ทันเดือนพ.ค. 2555 ทางสำนักฯ จะต่ออายุผังเมืองรวมฉบับปัจจุบันครั้งที่ 2 เพื่อยืดอายุผังเมืองฉบับปัจจุบันออกไปอีก 1 ปี ขณะที่นักวิชาการมองว่าสอดคล้องกันว่าถึงเวลาที่ร่างผังเมืองรวม กทม.ฉบับใหม่ จะต้องควบคุมการพัฒนาไม่ให้หนาแน่น เนื่องจากพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มนุษย์ไม่สามารถฝืนธรรมชาติ หากปล่อยให้การใช้ที่ดินไม่สอดคล้องกับภูมิประเทศต่อไป และมีสิ่งก่อสร้างขวางทางน้ำ จะส่งผลให้ภัยพิบัติสร้างความเสียหายซ้ำรอยเดิม รุจิโรจน์ อนามบุตร อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน คณะทำงานผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร บอกว่า กทม.กำลังร่างผังเมืองรวมที่ประกาศใช้ในปี 2555-2559 ซึ่งจะกำหนดลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยในเขตอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมจะอยู่ชั้นใน เช่น เกาะรัตนโกสินทร์ ถัดออกมาจะเป็นเขตพาณิชยกรรม เช่น สีลม สยาม และถัดออกมา เป็นที่อยู่อาศัยในเขตเมือง และจากนั้นเป็นชานเมืองและพื้นที่เกษตรกรรม เช่น มีนบุรี พุทธมณฑล ทวีวัฒนา ซึ่งขณะนี้ ได้รับฟังความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องไปแล้ว อยู่ระหว่างประมวลคำร้องของผู้ที่ไม่เห็นด้วย โดยผู้ร้องมีทั้งเจ้าของที่ดินและผู้พัฒนาที่ดิน ซึ่งส่วนมากเห็นว่าการทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครครั้งนี้ จำกัดสิทธิการพัฒนาที่ดินของผู้ประกอบการมากเกินไป โดยจุดเปลี่ยนของผังเมืองใหม่มี 3 ส่วน ประกอบด้วย 1.ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งจะกำหนดพื้นที่สำหรับพัฒนาเป็นศูนย์พาณิชยกรรมชานเมือง ที่เป็นจุดตัดของรถไฟฟ้าและรถเมล์เพื่อให้ผู้อาศัยอยู่ชานเมือง ไม่ต้องเข้ามากลางเมืองเพื่อซื้อสินค้า ซึ่งจะรองรับการสร้างศูนย์การค้า ร้านอาหารและโรงมหรสพได้มาก โดยจากการสอบถามผู้ประกอบการพบว่าค่อนข้างพอใจ 2.พื้นที่กลางเมืองจะให้อาคารมีความสูงมากขึ้น เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยและทำให้ไม่ต้องขยายออกมาชานเมืองมากนัก 3.พื้นที่ชานเมือง เกษตรกรรมและที่อยู่อาศัย จะรักษาให้ไม่ให้หนาแน่น หรือกระจายตัวมาก เพราะหากหนาแน่นจะต้องลงทุนโครงสร้างมาก ร่างผังเมืองกรุงเทพมหานครนี้ ต้องสามารถรองรับปัญหาน้ำท่วมได้ เป็นเป้าหมายที่รุจิโรจน์ บอกว่า แนวคิดให้พื้นที่ชานเมืองของกรุงเทพฯ มีการพัฒนาที่เบาบางลง และให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมจะช่วยบรรเทาปัญหาไปได้ ซึ่งการยกร่างผังเมืองครั้งนี้ก็จะสอดคล้องกับแนวทางนี้ โดยต้องการให้พื้นที่ดังกล่าว ไม่ต้องมีการก่อสร้างมาก และให้บ้านชายเมืองมีสภาพแวดล้อมที่ดี ทั้งนี้ผู้อยู่ในเขตชานเมืองต้องยอมรับว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในข่ายที่น้ำจะท่วม "หากผังเมืองไม่มากำหนดเช่นนี้ และปล่อยให้ทุกคนพัฒนาที่ดินตามใจชอบ จะทำให้มีอาคารเต็มไปหมด ซึ่งความจริงแล้วภาครัฐควรเข้มงวดการพัฒนาที่ดินในเขตเกษตรกรรมมานานแล้ว แต่ที่ผ่านมาสังคมพูดถึงสิ่งแวดล้อมน้อย จึงผ่อนปรน ซึ่งเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ เป็นข้อพิสูจน์ว่าเมื่อเกิดวิกฤติธรรมชาติแล้วสร้างความเสียหาย จึงเป็นเรื่องถูกต้องที่ผังเมืองจะมองเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดินให้ถูกต้องมากขึ้น โดยคำนึงว่าพื้นที่กรุงเทพฯ ต้องมีน้ำหลาก แม้จะมีการร้องคัดค้านว่า พื้นที่ชานเมืองที่กำหนดให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ควรอนุญาตให้พัฒนาที่ดินได้มากขึ้น แต่หากผังเมืองปล่อยให้สร้างได้มาก จะทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมและเจ้าของที่ดินจะเสียหาย จึงเป็นหน้าที่ของผู้วางผังเมือง ที่จะกำหนดว่าเขตดังกล่าว เป็นทางน้ำหลากตามธรรมชาติที่ฝืนไม่ได้ " ขณะเดียวกันรุจิโรจน์ ยังกล่าวถึงพฤติกรรมของการซื้อขายที่ดินว่า ที่ผ่านมาผู้พัฒนาที่ดินจะซื้อที่ดินน้ำท่วมที่มีราคาถูก แล้วนำดินมาถม จึงเกิดปัญหาขวางทางน้ำ ซึ่งในกทม.มีจุดขวางทางน้ำหลายแห่ง รวมถึงในปริมณฑล เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ ที่ในอดีตเป็นหนองงูเห่า เป็นแหล่งซับน้ำ ดังนั้นหากมีน้ำเข้ามามากก็มีโอกาสที่สนามบินจะถูกน้ำท่วม จึงควรมีการออกแบบให้น้ำไหลผ่านได้ ดังนั้นผู้พัฒนาที่ดินในเขตน้ำท่วม ควรร่วมกันรับผิดชอบ เช่น ชี้แจงให้ผู้ซื้อทราบ หรือการทำบ่อหน่วงน้ำ เพื่อให้น้ำค่อยๆ ระบายออกจากพื้นที่ ซึ่งการก่อสร้างอาคารที่เบาบางจะทำให้มีช่องว่างให้ดินซับน้ำฝนที่ตกลงมา "ปัญหาน้ำท่วมในกทม.เกิดจากการไม่ดูสภาพภูมิประเทศให้เหมาะสมกับการใช้ที่ดิน เช่น การถมที่ให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันน้ำท่วม ซึ่งเป็นการเปลี่ยนสภาพภูมิประเทศตามใจชอบ แบบไม่ดูผลกระทบและมองเฉพาะผลกำไรทางธุรกิจ ซึ่งหลายพื้นที่มีการใช้ที่ดินที่ไม่เหมาะสม เช่น พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นที่ลุ่ม ไม่เหมาะกับการตั้งโรงงานอุตสาหกรรม แต่ก็มีการพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมมานาน" รุจิโรจน์กล่าว อย่างไรก็ตามวิกฤติน้ำท่วมในปัจจุบัน จะเป็นโอกาสที่จะทำให้ทุกฝ่ายได้มาร่วมมือกันแก้ปัญหา โดยต้องมาทำความเข้าใจร่วมกันว่า ปัญหาเกิดจากอะไร หากสภาพภูมิประเทศอยู่ติดริมแม่น้ำ ก็ต้องยอมรับว่าจะมีความเสี่ยงเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ 10 ปี 1 ครั้ง และต้องมีระบบชดเชยให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการจัดการน้ำ โดยต้องมีการถกเถียงกันว่า จะเก็บน้ำหรือปล่อยน้ำกันอย่างไรเพราะบาง พื้นที่ปลูกข้าวได้ปีละ 4 ครั้ง แต่บางพื้นที่ปลูกข้าวได้ปีละ 1 ครั้ง ซึ่งหัวใจสำคัญต้องมองเรื่องความเสมอภาคทางสิ่งแวดล้อม "การบริหารจัดการน้ำที่โปร่งใส และเสมอภาค แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีการชี้แจงความจริงเกี่ยวกับการจัดการน้ำ เพราะอาจกังวลว่าจะเกิดความขัดแย้ง แต่เชื่อว่าหากมีความโปร่งใสจะไม่เกิดปัญหาขัดแย้งเหมือนประชาชนจังหวัดชัยนาทกับสุพรรณบุรีที่เริ่มมีความขัดแย้งกัน เพราะไม่มีระบบบริหารจัดการ และไม่มีการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบที่ยอมรับได้ ทำให้มีการใช้อำนาจมาบริหารจัดการน้ำซึ่งเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะเท่ากับให้ผู้ที่มีพวกมากมากำหนดแผนการจัดการน้ำ "รุจิโรจน์ สรุป จาก ....................... กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|