![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
เช็กอาการ... เยียวยา 'เฟอร์นิเจอร์จมน้ำ' ได้เวลาล้างบ้าน หลังปลาวาฬลงทะเล ไม่ว่าใครก็อยากได้บ้านหลังเก่ากลับคืนมาเหมือนเดิม โดยเฉพาะกับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นโปรดที่อยู่ด้วยกันจนเข้าใจ Taste มีเคล็ดลับชุบชีวิตเฟอร์นิเจอร์ให้กลับมาเคียงข้างคุณอีกครั้ง ผู้เชี่ยวชาญด้านเฟอร์นิเจอร์ พิริยะ บุญกิตติวัฒนา บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด แนะว่า การดูแลรักษาในภาวะปกติอาจทำได้ง่ายๆ เช่น เฟอร์นิเจอร์จากไม้ อาจใช้แค่ผ้านุ่ม ไม้ขนไก่ปัดฝุ่นเท่านั้นก็เพียงพอ แต่สำหรับเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งบ้านที่เสียหายหลังจากน้ำท่วม ที่สภาพยังสามารถนำมาใช้งานได้ มีหลักการทั่วไปในการทำความสะอาดเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ คือ ต้องพยายามเอาความชื้นออกจากเฟอร์นิเจอร์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 1.เฟอร์นิเจอร์ไม้ หากทำจากไม้จริง (Solid Wood) ให้ทำความสะอาดคราบสกปรก ตะไคร่น้ำ โดยใช้แปรงขนอ่อนชุบด้วยน้ำสบู่ หรือน้ำยาล้างจาน จากนั้นเช็ดให้แห้ง และวางไว้ในร่ม ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อให้ไม้คายความชื้นออกไป ห้ามนำเฟอร์นิเจอร์ไม้ตากแดดโดยเด็ดขาด เพราะไม้อาจแตกหรือคดงอได้ เมื่อความชื้นหมดแล้ว อาจใช้สี หรือแลกเกอร์ทาเพิ่มเติม เพื่อความเงางามขึ้นก็ได้ (วิธีการทดสอบความชื้นแบบง่ายๆ ใช้แผ่นพลาสติกขนาดพอประมาณ ใช้เทปกาวแปะติดผิวบนเฟอร์นิเจอร์ ทิ้งไว้ 1-2 วัน สังเกตหากมีไอน้ำขึ้นที่พลาสติกแสดงว่ายังคงมีความชื้นหลงเหลืออยู่) ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากชิ้นไม้อัด (Particle Board ) ในกรณีที่โดนความชื้นจากน้ำเพียงเล็กน้อยอาจนำมาวางในที่ร่ม เพื่อไล่ความชื้น ถ้ากังวลเรื่องการเกิดเชื้อราหรือกลิ่นอับ อาจใช้ Nonoclean by Nanoyo ฉีดพ่นเพื่อลดการเกิดเชื้อราและกลิ่นอับชื้นต่างๆได้ 2.เฟอร์นิเจอร์โลหะ โลหะมีทั้งประเภทที่เป็นสนิม เหล็ก,ทองแดง,ทองเหลือง เป็นต้น และประเภทปลอดสนิม เช่น สเตนเลส อะลูมิเนียม หากถูกความชื้นสูง หรือแช่น้ำเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดสนิมหรือเป็นคราบหมองได้ วิธีแก้ไขเบื้องต้น คือ ใช้แปรงขนนุ่มขัดสนิมออก โดยอาจใช้น้ำยาขัดสนิมเพื่อทุ่นแรงในการขัดถูได้ดีกว่า เช็ดล้างทำความสะอาด อย่าให้มีรอยเปื้อนค้างอยู่ จากนั้นทิ้งไว้ให้แห้ง เมื่อแห้งสนิทดีแล้ว ป้องกันการเกิดสนิมอีกขั้น ด้วยการทาสีทับ ซึ่งจะช่วยทำให้เฟอร์นิเจอร์ดูใหม่ขึ้น หากเป็นโลหะประเภทสเตนเลสซึ่งปลอดสนิมใช้แค่แปรงขนนุ่มชุบด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ เช็ดทำความสะอาด สำหรับ บานพับ ลูกบิด และรูกุญแจ ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตจากโลหะ ให้เช็ดให้แห้งสนิท ขัดส่วนที่เป็นสนิมออกให้หมด ใช้พวกน้ำยาหล่อลื่นชโลมตามจุดรอยต่อและรูต่างๆให้ทั่ว ห้ามใช้จาระบี หรือพวกขี้ผึ้งทา เพราะจะทำให้ความชื้นระเหยออกไม่ได้จะทำให้ฝังอยู่ข้างในและจะเป็นปัญหาในภายหลัง 3.เฟอร์นิเจอร์หนัง ใช้สบู่ที่มีส่วนผสมของมอยซ์เจอไรเซอร์ เทลงบนแปรงขนนุ่ม หรือผ้าที่เปียกหมาดๆ ทำให้เกิดฟองเล็กน้อย นำไปเช็ดถู เครื่องหนังที่ต้องการทำความสะอาด โดยอย่าให้เปียกน้ำมากเกินไป เช็ดฟองสบู่ออก ด้วยผ้าที่เปียกหมาดๆอีกผืน จากนั้นใช้ผ้าขนหนูแห้งเช็ดอีกครั้ง และอาจใช้น้ำยา แวกซ์ หรือ ครีมบำรุงรักษาเพิ่มความเงางามอีกครั้ง ไม่ควรนำเฟอร์นิเจอร์หนังไปตากแดดเพราะอาจทำให้หนังแตกและสีซีดจางได้ 4.เฟอร์นิเจอร์ผ้า เฟอร์นิเจอร์ที่มีส่วนประกอบจากผ้า หากโดนน้ำขังเป็นเวลานานๆ จะสกปรกมีคราบเลอะ อาจก่อให้เกิดเชื้อโรคสะสมและมีกลิ่นเหม็นอับ หากเป็นเฟอร์นิเจอร์ ที่สามารถแกะมาทำความสะอาดได้ ก็สามารถนำออกมาล้างน้ำทำความสะอาด และตากให้แห้งสนิท หากเป็นแบบสำเร็จรูป ที่ไม่สามารถแกะมาได้ ควรทิ้งในทันทีเพราะหากนำมาใช้จะกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค และมีผลเสียต่อสุขภาพ ในกรณีที่เกิดรอยเปื้อนเพียงเล็กน้อยอาจหาผ้ามาหุ้มใหม่ได้ และหากต้องการยับยั้งการเกิดเชื้อราและลดกลิ่นอับของผ้า อาจใช้ Nonoclean by Nanoyo ฉีดพ่นเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวได้ 5.เฟอร์นิเจอร์หินหรือกระจก หินหรือกระจก เป็นวัสดุที่ทนแดด ทนน้ำ แต่หากโดนน้ำท่วมขังนานๆ ก็จะก่อให้เกิดคราบสกปรกได้ เพียงแค่ใช้น้ำยาทำความสะอาด ใช้ผ้าหรือแปรงที่มี ขนอ่อนนุ่ม ขัดถูให้สะอาด ก็สามารถนำมาใช้งานต่อได้แล้ว หลังทำความสะอาดและซ่อมแซม เฟอร์นิเจอร์ ที่โดนน้ำท่วมให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้แล้ว อย่าลืมว่าการดูแลรักษาบ้านให้สะอาด มีอากาศถ่ายเทสะดวกก็จะเป็นตัวช่วยให้เฟอร์นิเจอร์คงสภาพการใช้งานได้นานยิ่งขึ้นเช่นกัน จาก ........................ ผู้จัดการรายสัปดาห์ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
น้ำแห้งน้ำลดยังมีอยู่! ระวังภัย 'งู' เสาวภาย้ำให้รู้เท่าทัน ![]() แม้สถานการณ์น้ำท่วมจะคลี่คลายแล้ว หลายพื้นที่น้ำแห้งแล้ว หลายพื้นที่น้ำเริ่มลดแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายๆพื้นที่ที่ยังมีน้ำท่วมขัง ซึ่งบางพื้นที่ทั้งยังท่วมสูงและน้ำเน่า โดยพื้นที่ที่น้ำยังท่วมนี้ทางผู้บริหารบ้านเมืองทั้งระดับจังหวัดหรือมหานครและระดับประเทศ ต้องเลิกต่างคนต่างทำ โยนกันไปมา เลิกหน่อมแน้มกันเสียที!! ร่วมกันช่วยประชาชนไม่ได้...ก็ควรพิจารณาตัวเอง ส่วนประชาชนเอง...ก็ ’อย่าละเลยภัยที่ยังมีอยู่!!!“ ทั้งนี้ กับภัยที่อาจจะมีแฝงอยู่ในพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วม หรือแม้ แต่ตอนที่น้ำลดน้ำแห้งแล้ว ภัยจาก “สัตว์อันตราย” ก็เป็นหนึ่งในภัยที่ไม่ระวังไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น “จระเข้” หรือ ’สัตว์พิษ“ ต่างๆ โดยเฉพาะ ’งูพิษ“ ซึ่งในส่วนของงูนั้นทาง ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.วิศิษฏ์ สิตปรีชา ผู้อำนวยการสถานเสาวภา สภากาชาดไทย ก็ได้จัดส่ง “คู่มือป้องกันงูพิษในสถานการณ์ฉุกเฉิน” มาให้ทาง “เดลินิวส์” ช่วยแจ้งข่าวเน้นย้ำต่อประชาชน เนื้อหาโดยสรุปคือ... สำหรับ งูมีพิษ ก็เช่น... งูเห่า พิษร้ายแรง พบได้ทุกภาคของประเทศไทย ลักษณะเด่นคือการแผ่แม่เบี้ยเมื่อถูกรบกวน บริเวณด้านหลังคอของงูเห่าไทยจะมีลายดอกจันเป็นวง ส่วน งูเห่าพ่นพิษ มีลายดอกจันเป็นรูปตัว V หรือ U หรือไม่มีลายดอกจันเลย, งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา ลักษณะเด่นคือแนวกระดูกสันหลังยกตัวสูง และเกล็ดตามแนวสันหลังมีขนาดใหญ่, งูจงอาง ลักษณะเด่นของงูจงอางคือเกล็ดท้ายทอย 1 คู่, งูเขียวหางไหม้ท้องเหลือง งูเขียวหางไหม้ตาโต ข้อพึงสังเกตในกลุ่มงูเขียวหางไหม้คือ อวัยวะรับความร้อน ซึ่งเป็นร่องลึกอยู่ระหว่างรูจมูกและตาทั้งสองข้าง, งูกะปะ งูลายสาบคอแดง งูแมวเซา ข้อพึงสังเกตสำหรับงูแมวเซา เมื่อถูกรบกวนในระยะกระชั้นจะขดตัวเป็นวงกลมพร้อมกับการส่งเสียงขู่ฟ่อ ๆ คล้ายเสียงแมวขู่ และทำตัวพองขึ้นลงเพื่อให้ดูน่ากลัว ซึ่งงูแมวเซานี้แม้ขดเป็นวงกลมก็สามารถฉกได้อย่างว่องไว ในส่วนของ งูไม่มีพิษ ก็เช่น... งูเหลือม, งูหลาม, งูสิงหางลาย, งูทางมะพร้าว, งูเขียวพระอินทร์, งูเขียวปากจิ้งจก, งูก้นขบ, งูแสงอาทิตย์, งูลายสอ, งูงวงช้าง, งูปี่แก้วลายแต้ม, งูปล้องฉนวนสร้อยเหลือง กับรูปร่างหน้าตาของงูต่างๆนั้น ถ้าใช้คอมพิวเตอร์-อินเทอร์เน็ต ลองคลิกเข้าไปดูได้ในเว็บไซต์ของสถานเสาวภา สภากาชาดไทย ในเว็บไซต์ www.saovabha.com อย่างไรก็ตามทางสถานเสาวภาระบุไว้ว่า... กรณีที่ถูกงูกัด มีข้อควรพึงระลึกไว้ว่า ถึงแม้ว่างูไม่มีพิษจะมีหลากหลายชนิดกว่างูมีพิษ แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ลำบาก ขอให้พิจารณาว่างูทุกชนิดมีอันตรายไว้ก่อน ให้รีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นในทุกรายที่ถูกงูกัด ก่อนจะรีบไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนในกรณีที่ถูกงูพิษกัดแน่นอน โดยมีรอยเขี้ยวให้เห็นอย่างชัดเจน ในความโชคร้าย ผู้ที่ถูกกัดอาจจะโชคดีถ้างูพิษกัดโดยไม่ได้ปล่อยน้ำพิษออกมา อย่างไรก็ดี ควรทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเช่นกัน สำหรับลักษณะบาดแผลจากการที่ถูกงูไม่มีพิษกัดนั้น งูไม่มีพิษจะไม่มีเขี้ยวพิษ จึงปรากฏแต่รอยฟันให้เห็น อาจมีเลือดออกจากบาดแผลมากเนื่องจากฟันที่แหลมคมของงู และขึ้นอยู่กับความลึกของแผลด้วย ทั้งนี้ กับเรื่อง “การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถูกงูกัด” นั้น เริ่มจาก... 1. ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือทันที ใช้ผ้าพันแผลหรือผ้าพันเคล็ดชนิดยืดหยุ่นได้เริ่มพันจากรอยแผลถูกกัดแล้วพันต่อจนถึงข้อต่อหรือสูงเหนือแผลให้มากที่สุด 2. หาไม้หรือวัสดุที่แข็งมาดามแล้วพันด้วยผ้าพันแผลทับอีกครั้ง เพื่อให้อวัยวะส่วนที่ถูกกัดเคลื่อนไหวน้อยที่สุด 3. นำผู้ถูกงูกัดส่งโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้โดยเร็วที่สุด เพื่อรับการรักษาด้วยเซรุ่มแก้พิษงู สิ่งที่ไม่ควรทำกับบาดแผลงูกัด… ไม่ควรใช้ไฟจี้หรือใช้มีดกรีดบาดแผล เพราะจะทำให้แพทย์วินิจฉัยผิดพลาด, ไม่ควรใช้การขันชะเนาะ เพราะอาจทำให้อวัยวะขาดเลือดได้, ไม่ควรใช้ปากดูดแผล, ไม่ควรให้ผู้ป่วยดื่มสุรา, ไม่ควรให้ยากระตุ้นหัวใจ มอร์ฟีน ยาระเหย หรือยาแก้แพ้ต่างๆ เพราะจะทำให้สับสนถึงอาการของพิษงูทางระบบประสาท ในรายที่ปวดบาดแผลมาก แนะนำให้ใช้ยาพาราเซตามอลได้ ปิดท้ายด้วย “วิธีหลีกเลี่ยงการถูกงูกัด” ซึ่งสถานเสาวภาแนะนำไว้ดังนี้คือ... ตรวจเช็กบริเวณที่นอน กองผ้าต่างๆก่อนทุกครั้ง เพราะงูมักจะหาที่อบอุ่นตามกองผ้า ที่นอน หมอน มุ้ง เพื่อหลบซ่อนตัว, หลีกเลี่ยงการเดินทางในเวลากลางคืน หากจำเป็น ควรมีไฟฉายส่องสว่างนำทาง, หากจำเป็นต้องเดินเข้าไปในพื้นที่ที่อาจจะมีงู ให้สวมรองเท้าบู๊ตยาวเพื่อป้องกัน และใช้ไม้ยาวๆเคาะไปตามพื้นหรือพื้นที่ด้านหน้าเพื่อไล่ให้งูหนีไปก่อน หรือเพื่อตรวจดูว่ามีงูอยู่หรือไม่, หากพบเห็นงูพยายามควบคุมสติไม่ให้ตกใจจนเกินไป, ถ้าพบงูในระยะห่าง อย่าเข้าใกล้งู เพราะงูก็จะไม่พยายามเข้ามาทำร้ายมนุษย์เช่นกัน, ถ้าพบงูในระยะใกล้ ให้อยู่นิ่ง ๆ รอให้งูเลื้อยหนีไป เพราะงูส่วนใหญ่สายตาไม่ดี มักจะฉกกัดสิ่งที่เคลื่อนไหวเพื่อป้องกันตัวเองจากศัตรู, ถ้างูไม่ยอมเลื้อยหนี ให้ก้าวถอยหลังช้าๆจนพ้นระยะประมาณ 2 เมตร ซึ่งเป็นระยะพ้นจากการฉกกัด และทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องของงู...การ ’ระวังภัยงู“ เน้นย้ำกันไว้...ถึงน้ำแห้งน้ำลดภัยนี้ก็ยังมีอยู่!!!. จาก ....................... เดลินิวส์ วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
10 แนวทางซ่อมบ้าน หลังการจากไปของน้องน้ำ ![]() SCG จัดทำ คู่มือ 'ซ่อมบ้าน สร้างสุข กับ เอสซีจี' รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นที่เป็นประโยชน์สำหรับการฟื้นฟูบ้านหลังน้ำลด โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ในการใช้ชีวิต สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและสภาพจิตใจของผู้ประสบภัย เมื่อน้ำลด สิ่งที่จำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ก็คือ การเร่งฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยเร็ว เอสซีจี (SCG) จัดทำ คู่มือ 'ซ่อมบ้าน สร้างสุข กับ เอสซีจี' รวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการฟื้นฟูบ้าน โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุก่อสร้าง วิศวกร สถาปนิก จากตราช้างและคอตโต้ เพื่อให้ผู้ประสบภัยได้ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติอย่างง่าย 10 ข้อเบื้องต้น ดังนี้ 1. การตรวจสอบสภาพก่อนเข้าบ้าน ก่อนเข้าสำรวจบ้านที่พักอาศัย ต้องสอบถามการไฟฟ้าในพื้นที่เรื่องการจ่ายไฟ (Call Center การไฟฟ้านครหลวง โทร.1130, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โทร.1129) หากขณะนั้นมีการจ่ายไฟฟ้าในพื้นที่ ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ ควรสวมใส่รองเท้ายาง ถุงมือยาง หรือสวมถุงพลาสติกแห้งหลายๆ ชั้น เพื่อป้องกันการถูกไฟฟ้าดูด ตรวจสอบแผงไฟฟ้าหลักให้มั่นใจก่อนว่า ได้ปิดคัตเอาท์ หรือ เบรกเกอร์หลักที่จ่ายไฟฟ้าเข้าสู่บ้านก่อนอพยพออกจากบ้านแล้วหรือไม่ 2. การตรวจสอบระบบไฟฟ้า ปลดเครื่องใช้ไฟฟ้า ดึงปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้าออกทั้งหมด และปิดสวิตช์ไฟฟ้าทั้งหมด ตรวจสอบ 'เต้ารับ' และสวิตช์ที่ติดตั้งบนผนังในส่วนที่โดนน้ำท่วมขัง ตรวจสอบหลอดไฟฟ้าและสายไฟฟ้าว่ามีสภาพสมบูรณ์หรือไม่ จากนั้นให้ลองเปิด 'คัตเอาท์' หรือ 'เบรกเกอร์' ดูมิเตอร์ไฟหน้าบ้านว่าหมุนหรือไม่ ทดลองเปิดหลอดไฟฟ้าทีละจุด 3. การตรวจสอบระบบน้ำประปา ถ้ามีบ่อเก็บน้ำใต้ดิน หรือถังเก็บน้ำในระดับน้ำท่วมถึง ให้ตรวจสอบว่ามีการทรุดตัว-รั่วซึมของน้ำจากภายนอกเข้าไปหรือไม่ ตรวจสอบลูกลอยภายในถังเก็บน้ำใต้ดิน ว่ามีการงอเสียหายหรือไม่ บ้านที่มีระบบปั๊มน้ำ หากถูกน้ำท่วม ควรเรียกหาช่างมาดำเนินการ หรือหากปั๊มน้ำอยู่ในที่สูง ไม่ถูกน้ำท่วม หลังจากเปิดใช้งานแล้ว ให้สังเกตเสียงเครื่องทำงาน ดูแรงดันน้ำในท่อว่าแรงเหมือนเดิมหรือไม่ หากมีความผิดปกติ ควรตรวจสอบด้วยการเปิดทำความสะอาด นำเศษผง สิ่งสกปรกที่เข้าไปอุดตัน กีดขวางการทำงานของอุปกรณ์ออกมา 4. การตรวจสอบระบบท่อน้ำและสุขภัณฑ์ ก่อนอื่นควรดูว่า มีวัสดุต่างๆเข้าไปอุดท่อระบายน้ำ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน รวมถึงสุขภัณฑ์หรือไม่ จากนั้นตรวจสอบระบบระบายน้ำทิ้งในห้องน้ำ หากน้ำไหลช้าผิดปกติ ให้ใช้น้ำ หรือลมแรงดันสูง อัดดันให้สิ่งที่อุดตันหลุดออกจากท่อ ส้วมแบบบ่อเกรอะ หรือ มีถังบำบัด ควรเปิดปากบ่อเกรอะหรือบ่อซึมเพื่อดูระดับน้ำ หากระดับน้ำสูงกว่าปกติให้ดูดน้ำออก ควรตรวจสอบใต้ฐานโถสุขภัณฑ์ว่ามีน้ำรั่วซึมหรือไม่ ถ้าพบเห็นการรั่วซึม แนะนำให้รื้อติดตั้งสุขภัณฑ์ใหม่ 5. การซ่อมแซมประตู หน้าต่าง หากประตูทำมาจากไม้จริง และเกิดอาการบวมจากการแช่น้ำ ให้ทิ้งไว้จนแห้งสนิท หากโก่งงอ แนะนำให้ถอดออกมาผึ่งลมและกดทับด้วยแผ่นสมาร์ทบอร์ดและหาวัสดุหนักๆ ทับทิ้งไว้จนแห้งสนิท จากนั้นจึงให้ช่างปรับแต่งขนาดให้ได้พอกับวงกบ และเก็บงานสีให้เรียบร้อย ประตูไม้อัด มักจะเสียหายมากกว่าประตูไม้จริง เพราะวัสดุจะมีกาวและรังผึ้งกระดาษหรือโครงไม้อยู่ด้านใน ควรเปลี่ยนใหม่ ประตูเหล็ก อะลูมิเนียม ต้องตรวจสอบการเสียรูปและการบิดงอตัวบานประตู 6. การบำรุงรักษาพื้น พื้นบ้านที่เป็นคอนกรีต หากมีรอยแตกร้าวมาก แนะนำให้หาช่างมาทุบและรื้อพื้นเดิมทิ้ง ถมดินหรือทราย บดอัด และเทคอนกรีตใหม่ หากเป็นลานนอกบ้านที่ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาซ้ำจากแรงดันน้ำดันคอนกรีตจนแตกอีก อาจเปลี่ยนเป็นการปู 'บล็อก' แทน หากพบว่าเกิดความเสียหายไม่มาก อาจทำความสะอาดและซ่อมแซมเป็นจุดๆก็ได้ พื้นในบ้านที่เป็นแผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป และตกแต่งด้วยวัสดุประเภทต่างๆ เช่น เซรามิค หินอ่อน แกรนิต วัสดุกลุ่มไม้ทั้งลามิเนตและไม้จริง วัสดุกรุผิวต่างๆ อาจเกิดความเสียหายได้ง่าย ควรเรียกช่างเข้ามาซ่อมแซม 7. การดูแลผนัง ฝา และ ฝ้าเพดาน บ้านที่มีผนังหรือฝาแบบก่ออิฐ ถ้าเป็นรอยแตกร้าวที่ขยายอย่างต่อเนื่อง อาจเกิดจากปัญหาทางโครงสร้าง ให้ซ่อมแซมตามคำแนะนำของวิศวกร บ้านที่มี 'ผนังเบา' หรือฝาทำจากวัสดุประเภทสมาร์ทบอร์ด ไม้อัดซีเมนต์ ไม้อัด สามารถซ่อมแซมเฉพาะจุดได้ หรือรื้อติดตั้งใหม่ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้น กรณีฝ้าระแนงภายนอก ตรวจสอบได้โดยการปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งสนิท และดูด้วยสายตาว่ามีการโก่ง บิดงอ หรือเสียรูปหรือไม่ กรณีฝ้าภายใน ซึ่งมักจะใช้เป็นฝ้ายิปซัม หากถูกน้ำจะเกิดความเสียหายจากการเสียรูป แนะนำให้รื้อและติดตั้งด้วยของใหม่ทั้งหมด 8. การตรวจสอบกำแพงรั้วบ้าน กำแพงรั้วบ้าน อาจเกิดปัญหาดินที่ฐานรั้วอ่อนตัวลง ให้สังเกตที่ความเอียงของรั้ว หากพบรั้วเอียงเพียงเล็กน้อย หาวัสดุมาค้ำยันไว้ก่อนได้ และติดต่อช่างมาปรับปรุงแก้ไขเมื่อพร้อม แต่หากรั้วเอียงมากเห็นได้ชัด หรือกำแพงรั้วล้มไปแล้ว ให้สกัดช่วงของกำแพงรั้วที่ล้มออกเสียก่อน เพื่อป้องกันการดึงให้กำแพงที่ยังสมบูรณ์เสียหายตามไปด้วย และติดต่อช่างเข้ามาปรับปรุงแก้ไขต่อไป 9. การดูแลเฟอร์นิเจอร์ เร่งเอาความชื้นออกจากเฟอร์นิเจอร์ให้มากที่สุดและเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ สำหรับเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถดูดซับน้ำไว้ภายในได้ หากไม่จำเป็น อย่านำกลับมาใช้อีก เพราะขณะที่นํ้าท่วมอาจดูดซับเชื้อโรคและสิ่งไม่พึงประสงค์เข้าไปเป็นจำนวนมาก เฟอร์นิเจอร์ประเภทติดกับที่ (Built In Furniture) ให้พิจารณาจากชนิด ประเภทของวัสดุที่ใช้ หากทำด้วย 'ไม้' ไม่ควรนำไปตากแดดโดยตรง เพราะจะทำให้เกิดการโก่งตัว บิดเบี้ยว หรือ แตกเสียหายได้ หากเฟอร์นิเจอร์เกิดเชื้อราหรือรอย สามารถเช็ดหรือล้างออกด้วยผ้าชุบน้ำสบู่อ่อนๆ 10. การดูแลตรวจสอบเรื่องอื่นๆ ขยะ วางแผนแบ่งชนิดและประเภทของขยะให้ชัดเจน และวางแผนแนวทางการจัดเก็บและกำจัด โดยแยกประเภทของขยะ ต้นไม้ตกแต่งบ้าน สำหรับต้นไม้ขนาดเล็กที่จมน้ำ อาจต้องปลูกใหม่ หากเป็นไม้ยืนต้น รากจะอ่อนแอ ต้องใช้เวลาฟื้นตัว จึงไม่ควรให้ปุ๋ยในช่วงนี้ สัตว์เลี้ยง หากจำเป็นต้องทิ้งไว้ที่บ้าน ให้ปล่อยไว้ในบ้านโดยมีอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ ติดป้ายหน้าบ้านให้เห็นชัดเจนว่ามีสัตว์เลี้ยงอะไรอยู่ในบ้านและอยู่ที่บริเวณไหน พร้อมทั้งชื่อและเบอร์โทรที่ติดต่อได้ ชาวชุมชนออนไลน์ดาวน์โหลดคู่มือ 'ซ่อมบ้าน สร้างสุข กับเอสซีจี' ฉบับพกพา ได้ที่ www.scg.co.th และเริ่มแจกฟรีตั้งแต่ 1 ธ.ค. เป็นต้นไปที่สำนักงานสื่อสารองค์กร เอสซีจี และร้านโฮมมาร์ทที่ร่วมโครงการ สอบถามโทร.0 2586 4141 ภาพประกอบ SCG, 'กรุงเทพวันอาทิตย์' ฉ.4 ธันวาคม 2554, แฟนเพจ http://www.facebook.com/sundaybkk ![]() จาก ...................... กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ Art & Living วันที่ 5 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
พลาสติก ผ้า ไฟเบอร์ หนัง…ทำความสะอาดอย่างไรหลังโดนน้ำท่วม??? จาก ..................... ไทยรัฐ วันที่ 7 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
‘ดู-ดม’ ก่อนรบกับ ‘รา’ หลังน้ำลด!! ![]() คนส่วนใหญ่อาจไม่เคยรู้มาก่อนว่า เมื่อน้ำที่ “เอาไม่อยู่” บุกเข้าท่วมขังในบ้านนานเกินกว่า 2 วันขึ้นไป ย่อมมีโอกาสเกิดเชื้อรา กำจัดไม่ถูกวิธีส่งผลเสียสุขภาพ ผู้ประสบอุทกภัยซึ่งต้องอพยพออกจากที่พักอาศัยของตนเอง เพราะถูกน้ำท่วมขังหรือน้ำล้อมบ้านจนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสะดวกปลอดภัย ตลอดจนต้องเผชิญกับการเดินทางที่แสนลำบาก ต่างก็รอคอยเวลาที่น้ำลดหรือแห้งไป เพื่อที่จะได้เดินทางกลับเข้าบ้านที่รักเสียที คนส่วนใหญ่อาจไม่เคยรู้มาก่อนว่า เมื่อน้ำที่ “เอาไม่อยู่” บุกเข้าท่วมขังในบ้านนานเกินกว่า 2 วันขึ้นไป ย่อมมีโอกาสเกิดเชื้อรา ทั้งแบบที่มองเห็นและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เหตุนี้ “กรมควบคุมโรค” จึงเผยข้อมูลควรรู้ เตือนประชาชนก่อนที่จะกลับบ้านไปเก็บกวาดทำความสะอาดครั้งใหญ่ เนื่องจาก “เชื้อรา” ประหนึ่งข้าศึกที่ไม่ยอมถอยร่นกลับไปกับน้ำ อาจส่งผลต่อสุขภาพแบบไม่รู้ตัว เชื้อรา มีทั้งชนิดก่อให้เกิดโรค และไม่ก่อให้เกิดโรค โดยมี “สปอร์” เป็นส่วนประกอบหนึ่งเพื่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา ซึ่งสปอร์นี้มีขนาดเล็กเพียง 3 ไมครอน มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ล่องลอยอยู่ในอากาศ จึงไม่มีใครหลีกพ้นการหายใจเอาสปอร์เข้าไปได้ แต่กระนั้นก็ไม่ต้องตกใจเกินไป เพราะร่างกายของคนเรา มีภูมิคุ้มกันหรือระบบต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม อีกทั้งไม่ใช่เชื้อราทุกชนิดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ผู้ที่ต้องระวังเชื้อราตัวร้ายเล่นงาน คือ ผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ คนที่มีอาการภูมิแพ้ คนที่ภูมิต้านทานไม่ดี เช่น ป่วยเบาหวาน กินยาสเตียร์ลอยด์ ผู้ติดเชื้อ HIV หากผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้เข้าไปในบริเวณที่มีเชื้อรา เช่น ภายในตัวบ้านที่เพิ่งถูกน้ำท่วมขัง หรือทำความสะอาดแล้วแต่กำจัดเชื้อราไม่หมด เชื้อราที่ยังอยู่มักทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ มีไข้ ไอ จาม น้ำมูลไหล ระคายเคืองทำให้ตา จมูก หลอดลมเกิดอาการปวดแสบปวดร้อน เป็นผื่นลมพิษ ปอดอักเสบจากภูมิแพ้ ส่วนคนเป็นโรคหอบหืดจะเป็นรุนแรงมากขึ้น ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก จะถึงขั้นคลื่นไส้อาเจียน เลือดออกในปอดและจมูก เพื่อความปลอดภัยจากเชื้อรา คนอ่อนแอเข้าลักษณะข้างต้นจึงควรหลีกเลี่ยงการเป็นทัพหน้าทำความสะอาดบ้าน ส่วนผู้ที่ต้องทำความสะอาดบ้าน ไม่ว่าจะแข็งแรงดีหรือสุขภาพไม่แกร่งเต็มร้อย “จำเป็นต้องสวมเครื่องป้องกัน” ประกอบด้วย รองเท้าบูทยาง ถุงมือยางหรือถุงมือทำงานบ้านเพื่อป้องกันเชื้อรามาสัมผัสผิวหนัง โดยเฉพาะคนที่มีบาดแผลที่มือและเท้า, แว่นป้องกันตา ชนิดครอบตาแบบไร้รูระบาย ป้องกันเชื้อรากระเด็นเข้าตา, และหน้ากาก ชนิดเอ็น95 ป้องกันการหายใจเอาเชื้อราเข้าไป โดยหน้ากากผ้าหรือแบบฟองน้ำไม่เพียงพอต่อการป้องกัน ขณะที่วิธีสำรวจว่ามีเชื้อราหลังน้ำท่วมหรือไม่ ทำได้ 2 วิธี คือ “ดูด้วยตา” หารอยเชื้อราที่ขึ้นเปื้อนตามผนังหรือเฟอร์นิเจอร์ และ “ดมกลิ่น” ลักษณะกลิ่นเชื้อราจะเหม็นอับทึบ เหม็นคล้ายกลิ่นดิน ทั้งนี้ในภาวะหลังน้ำท่วมจะทำให้ภายในบ้านมีความชื้นสูง อากาศไม่ค่อยถ่ายเท จึงเกิดเชื้อราได้ง่าย บริเวณที่พบเชื้อราได้บ่อย มีทั้งผนัง ฝ้าเพดาน พื้นไม้ ใต้พรม วอลล์เปเปอร์ ผ้าม่าน ผนังด้านในของท่อแอร์ โครงผนังเครื่องปรับอากาศ ตู้เสื้อผ้า เสื้อผ้า หนังสือ ฟูก เตียง หมอน เครื่องหนัง ภายในห้องน้ำ ห้องครัว ร่องยาแนวกระเบื้องและยาแนวต่างๆ ม่านพลาสติก กระจกเงา ซิลิโคน ปลอกไฟเบอร์ เสื่อน้ำมัน และกระเบื้องยาง เป็นต้น เมื่อสงสัยว่าสิ่งของใดมีเชื้อรา ต้องยึดหลักที่ว่า When in doubt, take it out หรือสิ่งของใดที่ไม่สามารถกำจัดเชื้อราได้หมดจดให้ทิ้งไป โดยเฉพาะวัสดุที่มีรูพรุนซึ่งไม่สามารถชะล้างและทำให้แห้งได้ มักจะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อราอยู่ต่อไป อาทิ พรม รองพื้นพรม ฝ้าเพดานยิปซัม ฝ้าผนังผลิตภัณฑ์ไม้ที่บดอัดขึ้นรูป กระดาษ และฉนวน ทั้งนี้เชื้อราที่ตายแล้ว ก็ยังก่อให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ได้ สำหรับวิธีทำความสะอาดบ้านให้ปลอดเชื้อราที่พึงปฏิบัติ ควรรีบทำความสะอาดพื้นและผนังด้วยการขัดล้างให้เร็วที่สุด ภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังน้ำลด แยกพื้นที่ที่จะทำให้อยู่ในวงจำกัดทีละมุมของบ้าน ขณะทำความสะอาดให้เปิดประตูและหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ พร้อมทั้งเปิดพัดลม หรือใช้ไฟสปอร์ตไลท์ส่อง เพื่อช่วยให้แห้งเร็วไม่อับชื้น หากเป็นห้องที่มีเครื่องปรับอากาศควรล้างทำความสะอาดไปพร้อมกันด้วย สู่ขั้นตอนและสูตรน้ำยากำจัดเชื้อรา เริ่มแรกให้ล้างด้วยน้ำและสบู่เพื่อขจัดสิ่งสกปรกออกก่อน ไม่แนะนำให้ใช้ผงซักฟอกเพราะมีแป้งและซัลเฟต เป็นอาหารของเชื้อรา จากนั้นขัดล้างต่อด้วยน้ำยา 0.5% โซเดียม ไฮโปคลอไรท์ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา หรือสามารถผสมน้ำยาใช้เอง จากผงฟอกขาว สัดส่วน 1 ถ้วยตวง ผสมกับน้ำ 1 แกลลอน สำหรับสารฆ่าเชื้อราหาซื้อได้จากร้านยา ร้านเคมีภัณฑ์ ร้านขายอุปกรณ์เกษตร ร้านเคมีภัณฑ์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ หรือห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ยังมีน้ำยาฆ่าเชื้อรา สูตรแบบอ่อน ใช้น้ำส้มสายชู สูตรกลั่นหรือหมัก (ควรมีความเข้มข้นอย่างน้อย 7%) ใช้กับกระดาษดีกว่าผ้าเพราะไม่ต้องซัก หรือใส่ขวดสเปรย์ก็ได้ สเปรย์ทิ้งไว้ราว 5-10 นาทีแล้วเช็ด กำจัดได้ในระดับน่าพอใจ 80% แต่ไม่สามารถฆ่าสปอร์ได้ กรณีที่ขัดผนังปูนหรือพื้นผิวที่หยาบ แนะขัดด้วยแปรงอย่างแข็ง ส่วนการขัดพื้นผิววัสดุที่ขึ้นรา มีสภาพแห้ง รามีลักษณะฟูจนเห็นเส้นใยโผล่ออกมา ระวังห้ามใช้ผ้าแห้งเช็ด เพราะสปอร์ของเชื้อราอาจฟุ้งกระจาย รวมไม่ควรเปิดพัดลมด้วย โดยให้ใช้ทิชชูเนื้อเหนียวแผ่นหนาใหญ่ หรือใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ชุบน้ำเปียกหมาด เช็ดพื้นผิววัสดุจากล่างขึ้นบน หรือซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้าย โดยเลือกเอาทางเดียว ห้ามเช็ดย้อนไปมา ทิชชูหรือหนังสือพิมพ์ที่ใช้เช็ดครั้งเดียวต้องทิ้งโดยบรรจุถุงปิดปากมิดชิด เพราะการนำกลับมาเช็ดซ้ำไปซ้ำมาจะทำให้เชื้อราที่หลุดแล้วกลับไปติดใหม่ สุดท้าย เมื่อเก็บกวาดเช็ดถูและกำจัดเชื้อราไปแล้ว หากไม่มั่นใจ สามารถทำซ้ำได้ ทั้งนี้ควรเฝ้าระวังการเกิดเชื้อราขึ้นใหม่ ด้วยการลดกิจกรรมที่ทำให้มีความชื้นในอากาศนานๆ อาทิ การตากผ้าในบ้าน การต้มน้ำหรือทำอาหารในบ้าน การปิดเครื่องปรับอากาศแล้วเปิดหน้าต่างทันที มีทั้งสูตรน้ำยาเป็นอาวุธ และวิธีทำความสะอาดสู้เชื้อราแล้ว คงเหลือเพียงแต่ตัวท่านลงแรงไปรบกับรา. จาก ....................... เดลินิวส์ วันที่ 8 ธันวาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|