เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 27-11-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์


ทุบสถิติ! เรือดำน้ำจีนลงจอดจุดที่ลึกที่สุดของโลก

จีนสร้างสถิติใหม่ขับเคลื่อนเรือดำน้ำในระดับความลึกกว่าหมื่นเมตร



"เฟิ่นโต้วเจ่อ" (Fendouzhe) ซึ่งมีความหมายว่าผู้ไม่ย่อท้อ เป็นเรือดำน้ำขับเคลื่อนด้วยมนุษย์จากประเทศจีน ที่สามารถทุบสถิติโดยลงจอดบริเวณร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา ทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นจุดลึกที่สุดของโลก ในระดับความลึก 10,909 เมตร เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา

โดยได้ทำลายสถิติจากวันที่ 27 ต.ค. ที่เรือดำน้ำเฟิ่นโต้วเจ่อดำดิ่งไปที่ระดับความลึก 10,058 เมตร

ภารกิจนี้จะทำการวิจัยเกี่ยวกับทรัพยากรใต้ทะเลลึก โดยในเดือนนี้รัฐบาลจีนได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมและวิจัยร่วมกับหน่วยงานท้องทะเลระหว่างประเทศ ซึ่งจัดฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเทคโนโลยีใต้ทะเล ตลอดจนการวิจัยเกี่ยวกับการขุดหาแร่ธาตุที่มีค่าบริเวณก้นมหาสมุทร

โดยคาดว่าเรือดำน้ำลำดังกล่าวจะเป็นมาตรฐานสำหรับเรือเดินทะเลของจีนในอนาคต ซึ่งขณะนี้จีนกำลังผลักดันการขุดสำรวจในทะเลลึก

ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคม ปี 2019 วิคเตอร์ เวสโคโว นักสำรวจชาวอเมริกัน ทำลายสถิติโลกโดยการนำเรือดำน้ำลงไปที่ระดับความลึก 10,927 เมตร บริเวณร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาเช่นกัน




https://www.posttoday.com/world/638935

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 27-11-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


รวยไม่รู้ตัว! ชาวประมงเมืองคอนพบอ้วกวาฬ คนแย่งซื้อจ่ายเป็นล้าน



26 พ.ย.63 นายนริศ สุวรรณสังข์ อายุ 60 ปี อยู่บ้านเลขที่ 156 หมู่ 1 ต.แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า เมื่อเช้าวันที่ 23 พ.ย.63 ที่ผ่านมา ขณะที่ตนกำลังเดินออกกำลังกายอยู่ริมชายหาดทะเลบริเวณหมู่บ้านแหลมตะลุมพุก ก็พบกับก้อนสีขาวๆ เหลืองๆ ขนาดใหญ่ ลอยเกยชายหาดจำนวน 1 ก้อน และก้อนขนาดเล็กอีก 2-3 ก้อน ขณะนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นก้อนอะไร กระทั่งตนและญาติช่วยกันยกก้อนแปลกประหลาดสีขาวขนาดใหญ่ 1 ก้อน และขนาดเล็กๆ อีกหลายก้อน มารวมกันพากลับบ้านพัก ตรวจสอบดูอย่างละเอียดและหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต

พร้อมกับจุดไฟลนก้อนดังกล่าว พบว่าก้อนดังกล่าวจะแปรสภาพเป็นของเหลวเหมือนเทียนไขถูกไฟล้น และมีกลิ่นคาวจึงมั่นใจว่าก้อนสีขาวประหลาดดังกล่าวเป็นอ้วกวาฬหรืออำพันทะเล อย่างแน่นอน จึงรวบรวมก้อนอ้วกวาฬทั้งหมดชั่งน้ำหนักและพบว่ามีน้ำหนักรวมกันมากถึง 100กิโลกรัม ถือว่าเป็นก้อนอ้วกวาฬที่มีขนาดใหญ่ และน้ำหนักมากที่สุดที่เคยพบมาในอดีตที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามก่อนที่จะพบก้อนอ้วกวาฬ ทะเลอ่านใน บริเวณแหลมตะลุมพุก เกิดลมพายุฝน และคลื่นทะเลสูง 2-3 เมตร

นายนริศ เผยอีกว่า หลังจากพบก้อนอ้วกวาฬ ลูกหลานลงภาพก้อนอ้วกวาฬในเฟซบุ๊กจนเป็นที่ฮือฮา ชาวเน็ตแห่มาดูก้อนอ้วกวาฬที่บ้านของตนเต็มไปหมดทุกวันไม่ขาดสาย เพราะถือเป็นก้อนอ้วกวาฬขนาดใหญ่และน้ำหนักมากไม่เคยพบที่ไหนมาก่อน กระทั่งล่าสุดมีนักธุรกิจคนหนึ่งจาก จ.ภูเก็ตโทรศัพท์ติดต่อขอซื้อก้อนอ้วกวาฬ แต่ขอตรวจพิสูจน์ผลทางวิทยาศาสตร์ก่อนว่าเป็นก้อนอ้วกวาฬจริงหรือไม่ หากใช้อวกวาฬจะมีการแยกเกรดของอ้วกวาฬ หากเป็นเกรด A จะให้ราคากิโลกรัมละ 9.6 แสนบาท , เกรด B เกรด C ราคาลดลงตามเกรด อยู่ระหว่างติดต่อประสานงานกันเท่านั้น ยังไม่มีการตอบตกลงการซื้อขายแต่อย่างใด ตนอยากให้หน่วยงานประมงหรือมหาวิทยาลัยที่เชี่ยวชาญเรื่องอ้วกวาฬช่วยตรวจสอบว่า อ้วกวาฬที่พบเป็นอ้วกวาฬชนิดใดกันแน่ อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ตนจะเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.ปากพนัง เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เพราะเกรงว่าอาจจะสูญหายหรือถูกลักขโมย เพราะทราบว่าก้อนอ้วกวาฬมีราคาสูง


https://www.naewna.com/likesara/534507

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 27-11-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


หลักฐานภาพถ่ายดาวเทียม ชี้ไทยเผชิญฝุ่นมาแล้ว 20 ปี



"จิสด้า" เผยภาพดาวเทียมย้อนหลังปี 2541-2559 พบไทยเผชิญฝุ่นละอองมาแล้วเกือบ 20 ปี โดยเฉพาะภาคเหนือ จ.น่าน พะเยา เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮองสอน ซึ่งอยู่ในจุดเสี่ยงที่ค่าฝุ่น PM2.5 ล่าสุดใช้ดาวเทียมเก็บค่าฝุ่นวันละ 2 รอบ

ปัญหาฝุ่น PM2.5 และหมอกควันภาคเหนือ ถือเป็นปัญหาเชิงพื้นที่ที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางตั้งแต่ในเมืองใหญ่ ไปจนถึงพื้นที่ชนบทและพื้นที่ชายแดนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์อย่างรุนแรงในระยะยาว รวมถึงผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจ สังคมและคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก

วันนี้ (26 พ.ย.2563) เพจเฟซบุ๊กสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) รายงานข้อมูลว่า ปัจจุบันดาวเทียมสำรวจโลกที่ติดตั้งเซนเชอร์ตรวจวัดจากระยะไกล สามารถให้ข้อมูลปริมาณฝุ่นละออง ทั้งที่เป็น PM 10 และ PM2.5 ได้ ข้อได้เปรียบของการใช้ข้อมูลจากดาวเทียมก็คือสามารถวัดและรายงานปริมาณฝุ่นละอองในชั้นบรรยากาศได้ทุกที่ทั้งในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งได้ข้อมูลที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้ง่ายต่อการวิเคราะห์และประมวลผล

การใช้ประโยชน์ข้อมูลจากดาวเทียมและข้อมูลภูมิสารสนเทศรับมือกับมลภาวะทางอากาศ จะช่วยลดข้อจำกัดของการใช้เครื่องมือตรวจวัดภาคพื้นดินได้เป็นอย่างดี การนำข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีการตรวจวัดอยู่แล้วอย่างต่อเนื่อง เช่น ข้อมูลดาวเทียมจากแหล่งต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะช่วยให้เข้าใจและเห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้นในการวางแผนแก้ไขปัญหา PM2.5 ในระดับยุทธศาสตร์ การวางแผนสั่งการและติดตามประเมินผลในระดับนโยบาย รวมถึงการวิเคราะห์ติดตามมลพิษข้ามพรมแดน




ภาคเหนือเผชิญฝุ่น PM2.5 มานาน 20 ปี

ทั้งนี้ GISTDA เก็บข้อมูลจากดาวเทียม และพบว่าไทยเผชิญฝุ่นละอองขนาดเล็ก และ PM2.5 มายาวนาน ข้อมูลจากดาวเทียมบางส่วนระบุแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของ PM2.5 ในประเทศไทยช่วงปี 2541-2559 มีค่าความเข้มข้นกระจุกในพื้นที่ภาคเหนือค่อนข้างมาก

"โดยเฉพาะน่าน พะเยา เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮองสอน ซึ่งอยู่ในจุดเสี่ยงที่ค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานมานานเกือบ 20 ปี"

ข้อมูลดังกล่าว ถือเป็นข้อมูลเชิงสถิติที่เก็บมาตั้งแต่ประเทศไทย ยังไม่มีการนำเครื่องมือวัดเข้ามาเมื่อ 2-3 ปีก่อนที่เพิ่งจะมีเครื่องวัดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก ปัจจุบัน GISTDA ใช้ดาวเทียมระบบ MODIS ในการติดตามสถานการณ์ PM2.5 วันละ 2 รอบ คือเช้าและบ่าย

นอกจากนี้ GISTDA ยังได้เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการติดตามสถานการณ์โดยใช้ดาวเทียม Himawari (ฮิมาวาริ) ซึ่งเป็นดาวเทียมสัญชาติญี่ปุ่นอีก 1 ดวงที่จะทำให้ได้รับข้อมูลที่รวดเร็วและแม่นยำในทุกๆชั่วโมง จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องได้นำไปประยุกต์ใช้วางแผน ติดตาม ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด



ฝุ่น PM2.5 ถือเป็นวาระแห่งชาติที่หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้คลี่คลาย ทั้งนี้การการแก้ไขอาจต้องใช้เวลา แต่ในฐานะพลเมืองควรร่วมมือกันในการลดกิจกรรมที่ทำให้เกิดฝุ่น และร่วมติดตามคุณภาพอากาศอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินความเสี่ยง ฝุ่น PM 2.5 สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายโดยผ่านระบบทางเดินหายใจ

สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากแหล่งอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรม แหล่งก่อสร้างประเภทต่างๆ ทะเล การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ การเผาในที่โล่งจำพวกพื้นที่ป่าไม้ พื้นที่เกษตร และกองขยะ ซึ่งส่วนมากจะเป็นการเผาไหม้ที่สมบูรณ์และไม่สมบูรณ์ จนเกิดเป็นละอองหรืออนุภาคต่างๆ




https://news.thaipbs.or.th/content/298680

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:51


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger