![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
ค้นพบปลาใต้ทะเลลึกที่สุดในโลก ที่ความลึกถึง 8,336 เมตร ![]() ที่มาของภาพ,MINDEROO-UWA DEEP SEA RESEARCH CENTRE นักวิทยาศาสตร์ได้บันทึกภาพปลา ว่ายน้ำอยู่ใต้ผืนสมุทรที่ลึกอย่างมาก จนถือเป็นการค้นพบปลาที่อยู่ลึกที่สุดในมหาสมุทร เท่าที่เคยค้นพบมา สปีชีส์ของปลาที่พบนั้น เป็นสายพันธุ์ "สเนลฟิช" ประเภท Pseudoliparis โดยมันถูกพบว่า กำลังว่ายน้ำที่ความลึก 8,336 เมตร การบันทึกภาพปลาตัวนี้ นักวิทยาศาสตร์ใช้อุปกรณ์ที่ทิ้งลงไปจากร่องลึกอิซุ-โอกาซาวาระ ทางตอนใต้ของญี่ปุ่น นักวิทยาศาสตร์ที่นำการสำรวจระบุว่า สเนลฟิชตัวนี้ อยู่ในจุดที่ลึกแทบจะที่สุดแล้ว เท่าที่ปลาตัวใดจะมีชีวิตอยู่รอดได้ การค้นพบปลาน้ำลึกที่สุดครั้งก่อน บันทึกภาพได้ที่ความลึก 8,178 เมตร ในพื้นที่ใต้สุดของมหาสมุทรแปซิฟิก ในร่องลึกมารีอานา ส่งผลให้การค้นพบครั้งนี้ ทำลายสถิติเดิมที่เคยค้นพบถึง 158 เมตร "หากสถิติถูกทำลาย มันจะแตกต่างกันเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น" ศ. อลัน เจมีสัน บอกกับบีบีซี นักวิทยาศาสตร์ทะเลน้ำลึก มหาวิทยาลัยแห่งออสเตรเลียตะวันตก เคยคาดการณ์ไว้เมื่อ 10 ปีก่อนว่า ปลาจะสามารถอยู่ใต้น้ำทะเลได้ลึกถึง 8,200 ? 8,400 เมตร และผลการสำรวจตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ค้นพบหลักฐานว่าเป็นความจริง "สเนลฟิช" ประเภท Pseudoliparis ถูกบันทึกด้วยระบบกล้องที่ติดกับโครงสร้างถ่วงน้ำหนัก เรียกแล้วปล่อยลงจากด้านข้างของเรือที่มีชื่อว่า DSSV Pressure Drop นักวิทยาศาสตร์ยังติดเหยื่อไว้กับตัวโครงสร้างด้วย เพื่อล่อปลาเข้ามากินอาหาร แม้ทีมงานจะไม่ได้จับตัวอย่างปลาลึกสุดในโลกตัวนี้ขึ้นมา เพื่อตรวจสอบสปีชีส์ที่แน่ชัด แต่โครงอุปกรณ์บันทึกภาพ สามารถจับปลาหลายตัวเอาไว้ได้ ในระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นมาหน่อย คือ 8,022 เมตร หนึ่งในปลาที่จับมาได้ คือ สเนลฟิช Pseudoliparis belyaevi ทำให้ถือเป็นปลาลึกสุดในโลกที่เคยจับได้ สเนลฟิชเป็นปลาที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก มีพวกมันมากกว่า 300 สปีชีส์ ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในน้ำตื้น และตามแม่น้ำต่าง ๆ แต่ปลาชนิดนี้ก็ปรับตัวให้อาศัยอยู่ในน้ำเย็นของมหาสมุทรอาร์กติก และแอนตาร์กติก รวมถึงมีชีวิตอยู่ได้ในสภาพแรงดันสูง ซึ่งปรากฏอยู่ตามร่องลึกสุดของโลก ที่ความลึก 8 กิโลเมตร จากผืนน้ำทะเล พวกมันจะต้องเผชิญกับแรงดันถึง 80 เมกะปาสคาล หรือ ความดันสูงกว่าเหนือพื้นทะเลถึง 800 เท่า ร่างกายที่มีลักษณะเป็นวุ้นของมัน เป็นปัจจัยช่วยให้มันมีชีวิตรอดอยู่ได้ ปลาสเนลฟิช ไม่มีกระเพาะปลา ซึ่งเป็นอวัยวะที่ช่วยให้ปลาหายใจและทรงตัวอยู่ได้ แต่สำหรับพวกมันที่ต้องอาศัยในทะเลลึก การไม่มีกระเพาะปลา กลับเป็นประโยชน์ เวลาเข้าหาอาหาร พวกมันจะใช้การดูดอาหารเข้าไป และกินอาหารประเภทสัตว์มีเปลือกต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่มากในร่องลึก ศ. เจมีสัน ระบุว่า การค้นพบปลาน้ำลึก ที่อยู่ลึกยิ่งกว่าปลาที่พบในร่องน้ำมารีอานานั้น อาจเป็นผลมาจากการที่น้ำทะเลในร่องลึกอิซุ-โอกาซาวาระ มีความอุ่นมากกว่า "เราคาดการณ์ว่า ที่ร่องลึกนี้จะมีปลาน้ำลึก และคาดว่าจะต้องมีสเนลฟิช" เขากล่าว "ผมไม่ค่อยพอใจเวลาคนบอกว่า เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับทะเลน้ำลึก จริง ๆ เรารู้ สถานการณ์มันเปลี่ยนไปมาก" ศาสตราจารย์เจมีสัน เป็นผู้ก่อตั้งศูนย์สำรวจน้ำลึก มินเดรู-ยูดับเบิลยูเอ โดยการสำรวจครั้งนี้ พวกเขาทำงานร่วมกับทีมจากคณะวิทยาศาสตร์ทางทะเลและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยโตเกียว และได้สำรวจร่องลึกริวคิวอีกด้วย สำหรับ ศ. เจมีสัน นั้น เกิดในสกอตแลนด์ และมีผลงานมากมาย ไม่เพียงค้นพบปลาน้ำลึกที่สุดในมหาสมุทรโลก แต่ยังค้นพบปลาหมึก ปลาหมึกยักษ์ และแมงกะพรุน ที่อยู่ลึกที่สุดในโลกอีกด้วย https://www.bbc.com/thai/articles/czdj4kxk92qo ****************************************************************************************************** อ่าวมาหยา: ฉลามครีบดำที่เริ่มหายไป พร้อมการกลับมาของนักท่องเที่ยว ![]() นักท่องเที่ยวมองดูลูกฉลามครีบดำที่เพิ่งเกิดใหม่ที่อ่าวมาหยา เมื่อ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา ที่มาของภาพ,JORGE SILVA/REUTERS แต่ละวัน จะมีปลาฉลามครีบดำเวียนว่ายอยู่บริเวณหน้าหาดอ่าวมาหยา วันละ 40 ตัว ห่างออกไปไม่ไกล มีนักท่องเที่ยวราว 4,000 คน กำลังดื่มด่ำกับหาดทรายขาว ล้อมรอบด้วยผาสูงตระหง่าน ฉลามครีบดำกลับมาเพิ่มจำนวนมากขึ้น หลังพวกมันถูกขับไล่ด้วยคลื่นนักท่องเที่ยวและเรือท่องเที่ยวที่เข้ามาจอดในอ่าว เพื่อมาเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันโด่งจากการเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง "เดอะบีช" ภาพฝูงฉลามครีบดำที่กลับมาวนเวียนในอ่าวมาหยาเพิ่มขึ้น เกิดขึ้นหลังจากการท่องเที่ยวถูกระงับ ประกอบกับสถานการณ์ของโรคระบาดโควิด-19 และคำสั่งปิดอ่าวเพื่อนฟื้นฟูธรรมชาติ ระหว่างปี 2561-2565 ต่อมาเมื่อปีที่แล้ว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทยอนุญาตให้เปิดอ่าวเพื่อการท่องเที่ยวอีกครั้ง แต่ตอนนี้นักอนุรักษ์บอกว่า จำนวนของฉลามครีบดำเริ่มกลับมาลดน้อยลงอีก นี่คือความท้าทายอีกครั้งของภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอ่าวมาหยา ว่า จะสร้างสมดุลระหว่างการรักษาระบบนิเวศ และการคงไว้ซึ่งการดำรงชีวิตของคนในท้องถิ่นที่พึ่งพาการท่องเที่ยว ได้อย่างไร "เราจะไม่พูดเรื่องการปิดในทุก ๆ ที่ท่องเที่ยว หรือการลดจำนวนการท่องเที่ยว แต่ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องจัดการเรื่องนี้ให้ฉลาดขึ้น" ดร.เพชร มโนปวิตร ที่ปรึกษาส่วนจัดการอุทยานแห่งชาติทางทะเล กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ระบุ แหล่งอนุบาลลูกฉลาม อ่าวมาหยา เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะพีพีเลในทะเลอันดามัน ทะเลฝั่งตะวันตกของประเทศไทย เมธาวี จึงเจริญดี ผู้จัดการโครงการ Maya Shark Watch project กล่าวว่า การระงับการท่องเที่ยวบนเกาะแห่งนี้ชั่วคราว ทำให้อ่าวมาหยากลับมาทำหน้าที่เป็นแหล่งอนุบาลฉลามอีกครั้ง เมธาวีและนักวิจัยในโครงการ ได้ใช้กล้องถ่ายภาพใต้น้ำและโดรน เพื่อนับจำนวนฉลาม คอยสังเกตพฤติกรรมของพวกมัน รวมทั้งพื้นที่ที่ฉลามเลี้ยงดูลูกฉลาม ตลอดจนพฤติกรรมการผสมพันธุ์ ระหว่างที่พวกเขาเริ่มทำการศึกษานำร่องในเดือน พ.ย. 2564 กระทั่งถึงสิ้นปี 2565 พวกเขาสังเกตเห็นว่า จำนวนฉลามในอ่าวมาหยาเริ่มลดลง พร้อม ๆ กับการกลับมาของนักท่องเที่ยว "ตัวเลขจำนวนฉลามครีบดำสูงสุดที่เรานับได้ มีถึง 161 ตัว ในเดือน พ.ย. 2564" ผู้จัดการโครงการ Maya Shark Watch project ระบุกับรอยเตอร์ แต่ในเดือน พ.ย. 2565 หรือผ่านไป 1 ปี นักวิจัยได้ใช้เทคนิคเดียวกันในการนับจำนวนฉลาม พวกเขาพบว่าจำนวนฉลามนั้นลดลง "เรานับได้ 20-40 ตัวต่อวัน และนั่นเป็นจำนวนที่ลดลง" เมธาวี กล่าว องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ระบุว่า ฉลามครีบดำ ซึ่งถูกตั้งชื่อจากกายภาพของฉลามที่มีครีบและหางสีดำ มีเส้นทางการว่ายน้ำอยู่ในบริเวณทะเลอันดามันและภูมิภาคเขตร้อนอื่น ๆ สถานการณ์ของฉลามครีบดำ มีจำนวนลดลงจากการทำประมงเกินขนาด สำหรับฉลามครีบดำในทะเลรอบหมู่เกาะพีพีนั้น เมธาวีบอกว่า มีหลายปัจจัยที่ทำให้จำนวนฉลามลดลง เช่น รูปแบบการว่ายเคลื่อนฝูงตามฤดูกาลและกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การประมง ภาครัฐและนักอนุรักษ์ พยายามแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยการห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวลงว่ายน้ำในอ่าว เพราะเป็นแหล่งอาศัยของลูกฉลาม พวกมันมักจะอาศัยอยู่บริเวณหาดตื้นและแนวปะการังเพื่อหลบหลีกการถูกกินจากฉลามที่โตเต็มวัย "พวกเราหวังว่าการจำกัดกิจกรรมการท่องเที่ยวในอ่าวจะช่วยบรรเทาการรบกวนฉลาม พวกเราทำวิจัยด้วยความหวังว่า เราจะพบวิธีการจัดการที่ดีที่สุด ทั้งสำหรับการท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อมให้อยู่คู่กันได้" เมธาวี ระบุ เม็ดเงินการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจหลักของประเทศไทย ก่อนการเกิดโควิด-19 มูลค่าทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวคิดเป็น 12% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ในปีนี้ ประเทศไทยหวังว่าจะมีรายได้จากการท่องเที่ยว 1.5 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยว 30 ล้านคน สำหรับอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี รายได้จากการท่องเที่ยวลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากปี 2561 ที่ทำเงินได้ 683.8 ล้านบาท โดยในปี 2562 อุทยานฯ เก็บรายได้จากการท่องเที่ยวได้เพียง 373.6 ล้านบาท เนื่องจากการการปิดอ่าวเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ ยิ่งโรคระบาดเกิดขึ้นทั่วโลก ก็ยิ่งซ้ำเติมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก ทางการไทยกลับมาเปิดอ่าวมาหยาเพื่อการท่องเที่ยวอีกครั้ง เมื่อเดือน ม.ค. 2565 หลังจากปิดไป 4 ปี ด้วยแรงกดดันส่วนหนึ่งจากผู้ประกอบการท่องเที่ยว ตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยว จึงค่อย ๆ ขยับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม กรมอุทยานแห่งชาติฯ ก็ยังมีมาตรการจำกัดการเข้าไปท่องเที่ยวบริเวณอ่าวมาหยา ได้แก่ เรือนักท่องเที่ยวต้องเทียบท่าอีกฝั่งหนึ่งของเกาะ จากเดิมที่จอดบริเวณหน้าหาด นักท่องเที่ยวต้องเดินเท้าเข้าไปยังอีกฝั่งของหาด โดยจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 375 คนต่อชั่วโมง และอนุญาตให้นักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำได้ เฉพาะบริเวณชายหาดที่น้ำสูงแค่เข่า "หากคุณสามารถสร้างภาพจำของอ่าวมาหยาว่าเป็นที่เที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติขึ้นมาได้ ผมคิดว่า เราจะสามารถทำให้เกิดการท่องเที่ยวแบบใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ด้วยเช่นกัน และเราทุกคนก็จะได้รับประโยชน์ร่วมกันในภาพรวม" ดร.เพชร กล่าว นักท่องเที่ยวที่จะมาอ่าวมาหยา ต้องลงเรือที่ท่าเรือจุดใหม่ที่สร้างอยู่ในฝั่งของอ่าวโละซะมะ และต้องเดินเท้าทะลุมาฝั่งอ่าวมาหยา (26 ก.พ. 2566) https://www.bbc.com/thai/articles/cp3jjd734mxo
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|