![]() |
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ประเทศไทย และอ่าวไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคตะวันออกยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนหรือฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 31 ก.ค. ? 1 ส.ค. 67 ร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือและประเทศลาวตอนบนเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและภาคตะวันออก สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 2 ? 5 ส.ค. 67 ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านประเทศเมียนมาและลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ยในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยเริ่มมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ประชาชนบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม และเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง ![]() ![]() ![]()
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
"PTTEP Ocean Data Platform" แพลตฟอร์มข้อมูลวิทยาศาสตร์เพื่อความยั่งยืนของทะเลไทย ![]() บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลวิทยาศาสตร์ทางทะเลของ ปตท.สผ. หรือ PTTEP Ocean Data Platform เพื่อเติมเต็มคลังข้อมูลทางทะเลในอ่าวไทย ส่งเสริมความยั่งยืนของท้องทะเล ปัจจุบัน ข้อมูลวิทยาศาสตร์ทางทะเลที่มีความสำคัญต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลมีอยู่ไม่มากนัก และยากต่อการค้นหา เนื่องจากข้อจำกัดต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อมูลในพื้นที่ไกลฝั่ง บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ซึ่งมีพื้นที่ปฏิบัติการส่วนใหญ่อยู่กลางทะเลที่เป็นเสมือนบ้านหลังที่สองซึ่งต้องดูแล รักษา และปกป้อง จึงได้พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลวิทยาศาสตร์ทางทะเลของ ปตท.สผ. หรือ PTTEP Ocean Data Platform ( https://oceandata.pttep.com ) เพื่อเติมเต็มคลังข้อมูลทางทะเลในอ่าวไทย ส่งเสริมความยั่งยืนของท้องทะเล ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDG 14: Life Below Water) รวมถึงเป้าหมายในระดับประเทศและองค์กรอีกด้วย ข้อมูลวิทยาศาสตร์ทางทะเลดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา วิจัย ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลของประเทศไทย การจัดทำแผนอนุรักษ์และแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินรวมทั้งระบบเตือนภัยต่าง ๆ การตรวจสอบความถูกต้องของแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ การศึกษากระแสน้ำที่กระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงการฟอกขาวและการฟื้นตัวของปะการัง เป็นต้น รวมทั้ง ยังมีข้อมูลโครงการและกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์ทะเลไทยและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับชุมชนรอบชายฝั่ง 17 จังหวัดรอบอ่าวไทย ซึ่ง ปตท.สผ. ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลภายใน PTTEP Ocean Data Platform มาจากการดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ทะเลเพื่อชีวิต เช่น สถานีตรวจวัดทางทะเลแบบโทรมาตร (Telemetry Marine Monitoring Station) ที่สามารถตรวจวัดและส่งข้อมูลการตรวจวัดตามเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งประกอบไปด้วย ข้อมูลด้านอุตุนิยมวิทยา (Meteorological Data) เช่น ความเร็วและทิศทางลม อุณหภูมิอากาศ และข้อมูลด้านสมุทรศาสตร์ (Oceanographic Data) เช่น ความเร็วและทิศทางกระแสนํ้า และอุณหภูมินํ้า เป็นต้น โดยมีการเก็บข้อมูลที่ระดับความลึกต่าง ๆ จนถึง 30 เมตรจากผิวน้ำ และมีการจัดทำข้อมูลฐานและการตรวจติดตามปริมาณไมโครพลาสติก โดยมีการเก็บตัวอย่างน้ำทะเลทั้งบริเวณใกล้ฝั่ง และไกลฝั่ง เพื่อนำไปวิเคราะห์ปริมาณไมโครพลาสติก รวมถึง ระบุชนิดและแหล่งที่มาของพลาสติกที่ตรวจพบ นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลจากกล้องใต้นํ้าและซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ ที่ติดตั้งใต้แท่นผลิตปิโตรเลียม ซึ่งสามารถตรวจติดตามและระบุชนิดสัตว์ทะเลบริเวณขาแท่นฯ เพื่อการอนุรักษ์ความสมบูรณ์ของความหลากหลายทางชีวภาพ โดยกล้องบันทึกภาพเคลื่อนไหวใต้นํ้าดังกล่าว จะทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งสามารถระบุสายพันธุ์สัตว์ทะเลได้ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 85 การจัดทำและพัฒนา PTTEP Ocean Data Platform ดังกล่าว ปตท.สผ. ได้ร่วมมือกับพันธมิตรหลายภาคส่วน โดยเฉพาะหน่วยงานราชการ และภาควิชาการ เช่น กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์กรมหาชน) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผ่านโครงการและการดำเนินงานต่าง ๆ ครอบคลุมการศึกษา วิจัย ตรวจวัด และเผยแพร่ข้อมูลวิทยาศาสตร์ทางทะเล ปตท.สผ. มีแผนที่จะขยายการเก็บข้อมูลวิทยาศาสตร์และสุขภาพทางทะเลให้ครอบคลุมแหล่งผลิตอื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อสนับสนุนการต่อยอดโครงข่ายข้อมูลของทะเลและมหาสมุทรให้มีมากขึ้น อันเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล และส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์ ตลอดจนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วย ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมหรือค้นหาข้อมูลเพื่อเป็นประโยชน์ในการอนุรักษ์ทะเลจาก PTTEP Ocean Data Platform หรือ แพลตฟอร์มข้อมูลวิทยาศาสตร์ทางทะเลของ ปตท.สผ. ได้ที่ https://oceandata.pttep.com... สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/3684809/ https://www.dailynews.co.th/news/3684809/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
ธารน้ำแข็ง "ไอซ์แลนด์" ละลาย มวลน้ำไหลท่วมถนน - สะพาน รถวิ่งได้แค่เลนส์เดียว SHORT CUT - กรมอุตุนิยมวิทยาไอซ์แลนด์ เปิดเผยว่าธารน้ำแข็ง M?rdalsj?kul ละลายอย่างหนัก ทำให้กระแสน้ำปริมาณมหาศาลไหลท่วมถนน Ring Road - น้ำท่วมในครั้งนี้นับว่ารุนแรงมากกว่าที่เคยเกิดมาในอดีต เคราะห์ดี ที่ยังไม่มีรายงานถึงผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต - ถนนถูกเปิดให้รถสัญจรได้แค่เลนส์เดียวเท่านั้น โดยจะให้รถจากฝั่งตะวันออกไปก่อน ซึ่งกินเวลาประมาณ 20-30 นาที จากนั้น จึงอนุญาตให้รถจากฝั่งตะวันตกผ่านไปได้ ![]() ธรรมชาติกำลังบอกใบ้อะไร? ไอซ์แลนด์เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ธารน้ำแข็ง M?rdalsj?kul ละลายอย่างหนัก มวลน้ำปริมาณมหาศาลไหลท่วมถนน และพานเสียหาย เบื้องต้น รัฐสั่งผู้รับเหมาซ่อมแซมแล้ว กรมอุตุนิยมวิทยาไอซ์แลนด์ ออกแถลงการณ์ว่าธารน้ำแข็ง M?rdalsj?kul ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ เกิดละลายอย่างหนัก ทำให้กระแสน้ำปริมาณมหาศาลไหลท่วมถนน Ring Road และสะพาน เป็นผลให้รถไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ทางด้านของกรมอุตุฯ เปิดเผยว่าสถานการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ นับว่ารุนแรงมากกว่าที่เคยเกิดมาในอดีต เคราะห์ดี ที่ยังไม่มีรายงานถึงผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต แต่โครงสร้างพื้นฐานของเมืองอย่างสะพาน และถนนเสียหายอย่างหนัก วิดีโอที่ได้รับการเผยแพร่จากหน่วยยามชายฝั่งของประเทศแสดงให้เห็นว่าน้ำท่วมในครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรง น้ำไหลเชี่ยว ส่งผลให้ถนนที่เชื่อมระหว่างเมืองวิค และหมู่บ้าน Kirkjub?jarklaustur ต้องปิดชั่วคราว แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก Iceland Review เปิดเผยว่า ขณะนี้ ทางรัฐบาลได้จ้างผู้รับเหมาเดินหน้าซ่อมแซมถนนในส่วนที่ได้รับความเสียหาย ส่วนสะพานที่ตอนแรกคาดการณ์กันว่าไม่น่ารอด แต่ต้านน้ำท่วมได้ดี และไม่ได้รับความเสียหาย คาดการณ์ว่าการซ่อมแซมถนนจะใช้เวลาหลายวัน ในเบื้องต้น ถนนถูกเปิดให้รถสัญจรได้แค่เลนส์เดียวเท่านั้น โดยจะให้รถจากฝั่งตะวันออกไปก่อน ซึ่งกินเวลาประมาณ 20-30 นาที จากนั้น จึงอนุญาตให้รถจากฝั่งตะวันตกผ่านไปได้ B??var Sveinsson ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยธรรมชาติจากกรมอุตุนิยมวิทยาไอซ์แลนด์ เปิดเผยว่า น้ำท่วมยังคงดำเนินต่อไป แต่ปริมาณน้ำ และความแรงลดลง หรือกล่าวคือสถานการณ์เริ่มทรงตัว ไม่รุนแรงเหมือนที่เกิดในวันที่ 27 ก.ค. 67 ที่ผ่านมา ที่มา: volcano discovery, grapevine https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/851803
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
ทำไมถึงพบโคเคนในฉลามในทะเล? ......... โดย เฟลิเป้ ซูซ่า และ เลอันโดร มาชาโด บีบีซีนิวส์ บราซิล ![]() นักชีววิทยาทางทะเลได้ทดสอบฉลาม 13 ตัวนอกชายฝั่งนครริโอ เดอ จาเนโร ของบราซิล นักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามทำความเข้าใจว่า ทำไมฉลามนอกชายฝั่งบราซิลจึงมีผลทดสอบโคเคนเป็นบวก นักชีววิทยาทางทะเลจากมูลนิธิออสวัลโด ครูซ (Oswaldo Cruz Foundation ) ได้ทำการทดสอบฉลาม 13 ตัว (ซึ่งรู้จักกันในชื่อ ฉลามจมูกแหลมบราซิล) นอกชายฝั่งนครริโอ เดอ จาเนโร และตรวจพบระดับโคเคนที่สูงในกล้ามเนื้อและตับของพวกมัน งานวิจัยนี้เป็นครั้งแรกที่ตรวจพบโคเคนในฉลาม โดยพบความเข้มข้นของยาเสพติดสูงกว่าที่พบในสัตว์ทะเลชนิดอื่น ๆ ประมาณ 100 เท่า มีหลายทฤษฎีที่ถูกใช้อธิบายว่า โคเคนเข้าไปในร่างกายของสัตว์ชนิดนี้ได้อย่างไร ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า โคเคนอาจเข้าสู่น้ำทะเลผ่านทางห้องทดลองที่ใช้ผลิตยาเสพติดอย่างผิดกฎหมาย หรือไม่ก็ผ่านทางอุจจาระและปัสสาวะของผู้ใช้ยาเสพติด "งานวิจัยของเราสันนิษฐานว่า สมมติฐานทั้งสองดังกล่าวอาจเป็นสาเหตุของการตรวจพบโคเคน เช่น การได้สัมผัสอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจากการใช้โคเคนของมนุษย์ในริโอเดจาเนโร... [และ] จากห้องทดลองที่ผิดกฎหมาย" ราเชล เดวิส นักชีววิทยาและนักวิจัยที่ห้องปฏิบัติการประเมินและส่งเสริมสุขภาพสิ่งแวดล้อมที่สถาบันออสวัลโด ครูซ และหนึ่งในผู้เขียนงานวิจัยนี้ อธิบาย นอกจากนี้ หีบห่อโคเคนที่สูญหายหรือถูกทิ้งลงทะเลโดยผู้ค้ายาเสพติดอาจเป็นแหล่งที่มาของยาเสพติดเช่นกัน แต่ผู้วิจัยพิจารณาว่า ความเป็นไปได้น้อยกว่าในประเด็นนี้ "เราไม่ค่อยเห็นการทิ้งหรือการสูญเสียห่อโคเคนในทะเลที่นี่มากนัก ต่างจากที่รายงานในเม็กซิโกและฟลอริดา[ของสหรัฐอเมริกา] ดังนั้นเราจึงเลือกสมมติฐานทั้งสองที่กล่าวมาข้างต้น [เป็นเหตุผลหลัก]" 'การค้นพบที่น่ากังวล' ซารา โนไวส์ นักพิษวิทยานิเวศทางทะเลจากศูนย์วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและทางทะเลที่มหาวิทยาลัยโพลีเทคนิคแห่งเลอิเรียในโปรตุเกส บอกกับวารสาร Science ว่า การค้นพบนี้ "มีความสำคัญมากและอาจน่าเป็นห่วง" ฉลามเพศเมียทั้งหมดในการศึกษานี้กำลังตั้งท้อง แต่ยังไม่ทราบว่าโคเคนมีผลกระทบต่อตัวอ่อนในท้องอย่างไร จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อกำหนดว่า ยาเสพติดนี้จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของฉลามหรือไม่ งานวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่า ยาเสพติดอาจส่งผลต่อสัตว์และมนุษย์ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน นักวิจัยตรวจสอบเพียงสายพันธุ์ของฉลามเดียว แต่เชื่อว่าสายพันธุ์อื่น ๆ ในภูมิภาคนี้อาจมีผลทดสอบโคเคนเป็นบวกเช่นกัน "ฉลามเป็นสัตว์กินเนื้อและเส้นทางการสัมผัสสารเคมีมลพิษหลัก ๆ คือทางอาหาร มีความเป็นไปได้สูงว่าสัตว์ที่ฉลามของเราล่ามา เช่น ครัสเตเชียน หรือกลุ่มสัตว์น้ำ อย่าง กุ้ง กั้ง ปู [และ] ปลาอื่น ๆ จะปนเปื้อน" ราเชล เดวิสกล่าว เส้นทางการลำเลียงโคเคน คามิลา นูเนส ดิแอส นักสังคมวิทยาจากมหาวิทยาลัยเซาเปาโล (USP) และศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยรัฐบาลกลางของ ABC (UFABC) ในบราซิล อธิบายว่า มีโคเคนจำนวนมากในบราซิลเนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งของประเทศทำให้เป็นที่สนใจสำหรับผู้ลักลอบขนยาเสพติดไปยังตลาดผู้เสพอื่น ๆ โดยเฉพาะยุโรปและแอฟริกา ตามที่เธอระบุ สิ่งนี้ทำให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางเชิงกลยุทธ์สำหรับอาชญากรในการประสานงานด้านการกระจายสินค้า "ประเด็นทางภูมิศาสตร์มีความสำคัญเพราะชายแดนด้านตะวันตกของบราซิลติดกับประเทศผู้ผลิตยาเสพติดอย่างเปรู โคลอมเบีย และโบลิเวีย และมีทางเข้าถึงมหาสมุทรแอตแลนติกผ่านท่าเรือหลายแห่ง "ฉันคิดว่านี่อธิบายได้ว่า ทำไมสินค้าจำนวนมากที่ไปยุโรปและแอฟริกาถึงผ่านบราซิล ประเทศมีขนาดกว้างใหญ่ระดับทวีปและมีตำแหน่งเชิงกลยุทธ์อย่างมาก" นักดำน้ำทำให้ยาเสพติดกระจายในทะเลได้หรือไม่? อย่างไรก็ตาม นูเนส ดิแอส เชื่อว่าตรงกันข้ามกับที่ผู้เขียนงานวิจัยกล่าว น้ำไม่ได้ปนเปื้อนจากโคเคนที่ถูกสกัดในห้องทดลองในภูมิภาคนั้น เธอเชื่อว่าน่าจะปนเปื้อนจากนักดำน้ำในขณะที่ลำเลียงยาเสพติดไปยังเรือมากกว่า "เราพบว่า มีกลยุทธ์หลายอย่างที่ใช้ลำเลียงโคเคนขึ้นเรือด้วยการใช้นักดำน้ำ การประเมินของฉันคือคำอธิบายนี้มีเหตุผลมากกว่า" ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นส่วนหนึ่งของ NEV ศูนย์การศึกษาความรุนแรงที่ USP กล่าว นักสังคมวิทยากล่าวว่าโคเคนเข้ามายังบราซิลผ่านทางแม่น้ำและเส้นทางถนน ก่อนที่จะถูกส่งไปยังยุโรปผ่านท่าเรือและสนามบินหลายแห่งในประเทศ นูเนส ดิแอส อธิบายว่าโคเคนที่ส่งไปยังสหรัฐฯ นั้นส่วนใหญ่ถูกลำเลียงโดยผู้ค้ายาเสพติดชาวเม็กซิกันและโคลอมเบีย อย่างไรก็ตาม บราซิลก็เป็นศูนย์กลาง[การลำเลียง]สำคัญเช่นกัน "ท่าเรือทุกแห่งในบราซิลเป็นจุดขาออก การใช้ท่าเรือเหล่านี้ถูกควบคุมโดยกลุ่มอาชญากรต่าง ๆ เช่น PCC (Primeiro Comando da Capital) และ Comando Vermelho" [ไพร์เมย์โร คอมมานโด ดา คาไปตาล และ คอมมานโด แวร์เมลโญ่] โคเคนเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ที่กินเนื้อฉลามได้หรือไม่? โคเคนที่ปนเปื้อนในฉลามสามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านห่วงโซ่อาหารได้ นักวิจัย ราเชล เดวิส กล่าวว่า ยาเสพติดนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้จากการบริโภคปลาฉลามในบราซิล "โคเคนได้เข้าสู่ห่วงโซ่อาหารแล้ว [เพราะ] ฉลามถูกกินโดยมนุษย์ในบราซิลและในหลายประเทศอื่น ๆ รวมถึงสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร เม็กซิโก และอีกหลายประเทศ "[อาหารนี้] มักจะขายภายใต้ชื่อทั่วไป เช่น ปลาแผ่น หรือ เฟลค (flake) ฟิชแอนด์ชิปส์ ปลาฉลามด็อกฟิช (dogfish) และในชื่อเรียกอื่น ๆ" เดวิสกล่าว แต่ยังไม่ชัดเจนว่าปริมาณของยาเสพติดที่ถูกบริโภคผ่านการกินสัตว์เหล่านี้สามารถเป็นอันตรายต่อผู้คนได้หรือไม่ เดวิสกล่าวว่า "ความกังวลด้านสุขภาพของมนุษย์ผ่านห่วงโซ่อาหารยังไม่สามารถยืนยันได้ [เพราะ] ยังไม่มีการกำหนดขีดจำกัดเกี่ยวกับผลกระทบด้านสุขภาพเชิงลบ" ฉลามและปลาชนิดอื่น ๆ ดูดซับน้ำผ่านผิวหนังและเหงือก และเดวิสกล่าวว่า หากโคเคนละลายในน้ำทะเล ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อมนุษย์ที่ว่ายน้ำในทะเล "ในส่วนประเด็นข้อกังวลต่อสุขภาพของมนุษย์จากการสัมผัสสารเสพติดที่ปนเปื้อนจากเส้นทางอื่นและ ผ่านการสัมผัสในน้ำโดยตรง เราเชื่อว่า สิ่งนี้จะมีผลกระทบน้อยมาก" https://www.bbc.com/thai/articles/cqqlw06yywyo
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
"แม่น้ำที่บินได้" คืออะไร และเหตุใดมันสร้างการทำลายล้างมากขึ้น ? ........... โดย นาวิน ซิงห์ คัดกา ผู้สื่อข่าวสายสิ่งแวดล้อม บีบีซีเวิลด์เซอร์วิส ![]() นักวิทยาศาสตร์บอกว่าแม่น้ำในชั้นบรรยากาศทำให้ผู้คนหลายร้อยล้านคนเสี่ยงต่อภัยพิบัติน้ำท่วมมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าน้ำท่วมในระดับที่ไม่ธรรมดาซึ่งเกิดขึ้นตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น ล่าสุดในจีนและแคนาดา เป็นเครื่องเตือนใจว่าชั้นบรรยากาศซึ่งกำลังร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ในขณะนี้ มีความชื้นมากกว่าในอดีตอย่างมาก เมื่อเดือน เม.ย. ปีที่แล้ว อิรัก อิหร่าน คูเวต และจอร์แดน ล้วนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมร้ายแรงหลังจากเกิดฝนฟ้าคะนองรุนแรงและพายุลูกเห็บ โดยนักอุตุนิยมวิทยาค้นพบในภายหลังว่าท้องฟ้าทั่วภูมิภาคมีความชื้นสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเคยเกิดเหตุคล้ายคลึงกันเมื่อปี 2005 สองเดือนต่อมา ชิลีถูกถล่มด้วยฝนมากกว่า 500 มิลลิเมตรภายในเวลาเพียง 3 วัน เนื่องจากเกิดฝนตกหนักเหนือเทือกเขาแอนดีสจนทำให้หิมะบางส่วนละลาย ก่อให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ทำลายถนน สะพาน และแหล่งน้ำต่าง ๆ หนึ่งปีก่อนหน้านี้ บางส่วนของออสเตรเลียก็ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่นักการเมืองเรียกว่า "ระเบิดฝน" ซึ่งคร่าผู้คนไปมากกว่า 20 ชีวิต และทางการต้องสั่งอพยพประชาชนหลายพันคน นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เป็นผลมาจากแม่น้ำในชั้นบรรยากาศ (Atmospheric River) ซึ่งมีความรุนแรงขึ้น มีขนาดยาวและกว้างมากขึ้น และมักสร้างผลทำลายล้างให้กับพื้นที่ต่าง ๆ โดยนาซาบอกว่าปรากฏการณ์นี้กำลังทำให้ผู้คนหลายร้อยล้านคนทั่วโลกต้องเสี่ยงต่อภัยพิบัติน้ำท่วม "แม่น้ำบนท้องฟ้า" หรือ "แม่น้ำที่บินได้" เหล่านี้ เป็นชั้นไอน้ำที่ยาวและกว้างมาก ซึ่งมักปรากฏขึ้นบริเวณเขตร้อนและเคลื่อนตัวไปยังขั้วโลก โดยพวกมันลำเลียงไอน้ำราว 90% ของปริมาณไอน้ำทั้งหมดที่เคลื่อนที่ผ่านละติจูดกลางของโลก โดยเฉลี่ยแล้วแม่น้ำในชั้นบรรยากาศมีความยาวประมาณ 2,000 กิโลเมตร มีความกว้างประมาณ 500 กิโลเมตร และมีความลึกเกือบ 3 กิโลเมตร แต่ตอนนี้พบว่ามันกำลังมีความกว้างเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยบางสายมีความยาวกว่า 5,000 กิโลเมตร ถึงกระนั้น พวกมันก็ไม่สามารถมองเห็นด้วยสายตาของมนุษย์ เหมือนกับที่เราสามารถมองเห็นเมฆบนฟ้าได้ "พวกมันสามารถถูกมองเห็นได้ด้วยคลื่นความถี่อินฟราเรดและไมโครเวฟ" ไบรอัน ข่าน นักวิจัยด้านบรรยากาศจากห้องปฏิบัติการขับเคลื่อนไอพ่นของนาซา กล่าว "นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการสังเกตการณ์ด้วยดาวเทียมจึงมีประโยชน์มากสำหรับการสังเกตไอน้ำและแม่น้ำในชั้นบรรยากาศทั่วโลก" แม่น้ำในชั้นบรรยากาศที่มีขนาดใหญ่และมีพลังรุนแรง สามารถเคลื่อนย้ายความชื้นได้เป็น 15 เท่าของอัตราการปล่อยความชื้นจากแม่น้ำมิสซิสซิปปี ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในอเมริกาเหนือ โดยเฉลี่ยแล้ว พวกมันมีปริมาณน้ำเป็นสองเท่าของสายน้ำแอมะซอนซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก หากวัดจากปริมาณที่ปล่อยออกมา แม้ว่าแม่น้ำในชั้นบรรยากาศเป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่นักวิทยาศาสตร์บอกว่าภาวะโลกร้อนกำลังสร้างไอน้ำเพิ่มมากขึ้นและควบแน่นเป็นฝนจำนวนมากในช่วงเวลาสั้น ๆ อันทำให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มรุนแรง การศึกษาแสดงให้เห็นว่าไอน้ำในชั้นบรรยากาศทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 20% ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามอุณหภูมิที่เพิ่มมากขึ้น การศึกษาล่าสุดโดยสถาบันธรณีศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยพ็อทซ์ดัมในเยอรมนี ค้นพบว่าแม่น้ำในชั้นบรรยากาศเหนือเขตร้อนของอเมริกาใต้ แอฟริกาเหนือ ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดขึ้นยาวนานมากขึ้น และนั่นอาจหมายถึงฝนจำนวนมากขึ้นที่ตกลงมา พร้อม ๆ กับความเสียหายในภาคพื้นดิน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วตะวันออกกลางเมื่อเดือน เม.ย. ปี 2023 จากการศึกษาจากมหาวิทยาลัยคาลิฟาในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ "การจำลองความละเอียดสูงของเรา เผยให้เห็นการปรากฏตัวของแม่น้ำในชั้นบรรยากาศที่ก่อให้เกิดฝนตกหนัก ขณะเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูงจากตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกาไปยังตะวันตกของอิหร่าน" เกิดดินถล่มและน้ำท่วมฉับพลันมากขึ้น ซารา เอ็ม วัลเลโฮ-เบอร์นัล หนึ่งในคณะผู้ศึกษาของมหาวิทยาลัยพ็อทซ์ดัม บอกว่า ปรากฏการณ์แม่น้ำในชั้นบรรยากาศเกิดขึ้นถี่มากขึ้น "ตั้งแต่ปี 1940 มีความถี่เพิ่มขึ้นอย่างมากในเอเชียตะวันออก และพวกมันก็มีความรุนแรงมากขึ้นในมาดากัสการ์ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น นับตั้งแต่นั้นมา" การศึกษาในปี 2021 ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการวิจัยธรณีฟิสิกส์ (the Journal of Geophysical Research) พบว่า มากกว่า 80% ของเหตุการณ์ฝนตกหนักทางภาคตะวันออกของจีน เกาหลี และ ทางตะวันตกของญี่ปุ่นในช่วงต้นฤดูมรสุม (มี.ค.-เม.ย.) เกี่ยวข้องกับแม่น้ำในชั้นบรรยากาศ ในขณะเดียวกัน นักอุตุนิยมวิทยาในอินเดีย บอกว่า ภาวะโลกร้อนของมหาสมุทรอินเดียกำลังสร้าง "แม่น้ำที่บินได้" และส่งอิทธิพลต่อมรสุมในภูมิภาคนี้ซึ่งเห็นได้ในช่วงเดือน มิ.ย. ถึง ก.ย. "ด้วยเหตุนี้ จึงมีช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ความชื้นทั้งหมดจากทะเลอุ่น กลายเป็นฝนเทลงมาโดยแม่น้ำในชั้นบรรยากาศ ภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงหรือใช้เวลาถึง 2-3 วัน" ดร.ร็อกซี แมทธิว โคลล์ นักวิทยาศาสตร์ด้านชั้นบรรยากาศจากสถาบันอุตุนิยมวิทยาเขตร้อนของอินเดีย กล่าว "สิ่งนี้นำไปสู่ดินถล่มและน้ำท่วมฉับพลันที่เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ" อย่างไรก็ตาม น้ำท่วมและดินถล่มที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ได้มีสาเหตุจากแม่น้ำในชั้นบรรยากาศเท่านั้น แต่ยังเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น พายุไซโคลน พายุจากสภาพอากาศ และอื่น ๆ เป็นต้น แม่น้ำในชั้นบรรยากาศยังเกิดขึ้นในสถานที่ใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน นักวิทยาศาสตร์บอกว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งนั้นก็คือ รูปแบบกระแสลมและกระแสเจ็ท (Jet stream) ที่เปลี่ยนแปลง (กระแสเจ็ท คือ กระแสอากาศที่ไหลเร็วและแคบมากจากตะวันตกไปตะวันออก ล้อมรอบโลก) "คลื่นที่เพิ่มขึ้นในลมและกระแสเจ็ท หมายถึงความคดเคี้ยวที่ใหญ่ขึ้นและเบี่ยงเบนไปจากเส้นทางปกติ" เดนิซ บอซเคิร์ท นักอุตุนิยมวิทยาจากมหาวิทยาลัยบัลปาราอิโซในชิลี กล่าว "ส่งนี้อาจทำให้แม่น้ำในชั้นบรรยากาศเดินตามเส้นทางที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเพิ่มระยะของพวกมัน และส่งผลกระทบในภูมิภาคต่าง ๆ" นอกจากมันจะทำให้ทั่วโลกมีความเสี่ยงเกิดน้ำท่วมและดินถล่มรุนแรงมากขึ้นแล้ว แม่น้ำในชั้นบรรยากาศยังถูกแบ่งออกเป็น 5 ประเภทตามขนาดและความแรง เช่นเดียวกับพายุเฮอริเคน แม่น้ำในชั้นบรรยากาศบางสายไม่ได้สร้างความเสียหาย หากมันมีความหนาแน่นต่ำ และบางครั้งมันอาจเป็นประโยชน์หากมันทำให้เกิดฝนในพื้นที่ที่กำลังทุกข์ทรมานจากความแห้งแล้งมาเป็นเวลานาน แต่ผู้เชี่ยวชาญ บอกว่า การตรวจสอบแม่น้ำในชั้นบรรยากาศและการคาดการณ์ส่วนใหญ่นั้นยังจำกัดอยู่ที่ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการสังเกตผลกระทบมานานหลายสิบปีแล้ว "การรับรู้และการนำแนวคิดเกี่ยวกับแม่น้ำในบรรยากาศมาผนวกเข้ากับพยากรณ์อุตุนิยมวิทยาในระดับภูมิภาคยังมีอยู่อย่างจำกัด" บอซเคิร์ท จากมหาวิทยาลัยบัลปาราอิโซ บอก "ความท้าทายหลัก ๆ คือ ข้อมูลที่ขาดแคลน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดแม่น้ำในชั้นบรรยากาศเหนือภูมิประเทศที่มีความซับซ้อน" https://www.bbc.com/thai/articles/c727g2gk2nro
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|