กระดานข่าว Save Our Sea.net
เมษายน 29, 2024, 11:03:54 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม: วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม 2552  (อ่าน 4475 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: มกราคม 22, 2009, 01:05:30 AM »

กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงกำลังอ่อนปกคลุมประเทศไทย ประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง กรุงเทพมหานครรวมทั้งปริมณฑล และภาคตะวันออกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย และจะมีหมอกเพิ่มมากขึ้นในหลายพื้นที่ในตอนเช้า ขอให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาในระยะ 1-2 วันนี้

อนึ่ง ในช่วงวันที่ 24-26 ม.ค. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนระลอกใหม่จะแผ่เข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้มีฝนเล็กน้อยบางแห่งในระยะแรก และอุณหภูมิลดลง 1-3 องศากับมีลมแรงโดยจะเริ่มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อนภาคอื่นๆ ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดสุราษฏร์ธานีลงไปจะมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือในช่วงวันดังกล่าวไว้ด้วย


ประกาศเตือนภัย  "ประเทศไทยตอนบนมีหมอกหนาในหลายพื้นที่"     ฉบับที่ 26 ( 26 / 2552 ) ลงวันที่ 22 มกราคม 2552
 
     เนื่องจากในช่วงวันที่ 22-23 ม.ค. 2552 นี้ บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยมีกำลังอ่อนลงมาก ประกอบกับมีลมใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออกมีหมอกเพิ่มมากขึ้น โดยจะมีหมอกหนาและหมอกลงจัดในหลายพื้นที่ในช่วงเวลา 01.00 - 08.00 น. ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นในแนวราบต่ำกว่า 500 เมตรลงมา ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง การคมนาคมและขนส่งในช่วงเวลาดังกล่าวได้ จึงขอให้ผู้ขับขี่ยานพาหนะและผู้เดินทางไปในพื้นที่ต่างๆ ระมัดระวังอันตรายในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกลงจัด โดยการเปิดไฟตัดหมอกสีเหลือง และลดความเร็วลงในขณะขับขี่ยานพาหนะในบริเวณที่มีหมอกหนาหรือหมอกลงจัดไว้ด้วย 


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในหลายพื้นที่ อากาศเย็น อุณหภูมิจะสูงขึ้นอีกเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 20-22 องศา อุณหภูมิสูงสุด 32-33 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

บริเวณความกดอากาศสูงกำลังอ่อนปกคลุมประเทศไทยและอ่าวไทย ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีอากาศหนาวเย็นกับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในหลายพื้นที่ และในช่วงวันที่ 23-25 ม.ค. 2552 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิลดลงและอากาศเย็นลงโดยทั่วไป ส่วนมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้น และคลื่นลมในอ่าวไทยตอนล่างจะมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 21-22 ม.ค. ขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย สำหรับในช่วงวันที่ 24-26 ม.ค. ขอให้ชาวเรือในอ่าวไทยตอนล่างระมัดระวังอันตรายจากการเดินเรือ



* Forecast.jpg (26.98 KB, 229x380 - ดู 717 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: มกราคม 22, 2009, 01:19:00 AM »

มติชน


"ไทย"ช่วยพม่า"จำลองสถานการณ์" รับมือ "มหันตภัยธรรมชาติ"


 
เดือนพฤษภาคม 2551 พายุ "นาร์กีส" พัดถล่มประเทศพม่า ทำให้มีผู้เสียชีวิต ทำลายทรัพย์สินสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจจำนวนมาก เป็นมหันตภัยที่ติดอันดับโลกเมื่อปีที่ผ่านมา

"สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (เอไอที) ได้มีส่วนช่วยเหลือ โดยนักวิชาการหลายคนสนับสนุนทางวิชาการทำแบบจำลองและข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมในการประเมินพื้นที่เสียหาย หลังจากรัฐบาลพม่าให้นานาชาติเข้าไปช่วยเหลือ ไทยเป็นประเทศแรกที่ได้เห็นความรุนแรง สาหัสของภัยธรรมชาติในครั้งนั้น" นายวรทัศน์ ขจิตวิชยานุกูล จากคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี เอไอที เล่าให้ฟัง

ด้วยความช่วยเหลือจากไทยในครั้งนั้น ทำให้แวดวงวิชาการของพม่าตื่นตัว เห็นความสำคัญของการใช้แบบจำลอง เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจอย่างมาก นั่นจึงนำมาสู่การประชุมนานาชาติ Asian Simulation and Modeling หรือ ASIMMOD 2009 อันเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ร่วมกับสมาคมการสร้างแบบจำลองและการจำลองสถานการณ์แห่งประเทศไทย (MSST) มหาวิทยาลัยศรีปทุม และมูลนิธิโครงการหลวงจัดขึ้น โดยมีนักวิชาการของพม่าจาก Yangon Technological University (YTU) จำนวน 11 คน เข้าร่วมพร้อมกับนานาชาติ วันที่ 22-23 มกราคม ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กรุงเทพฯ โดยการริเริ่มของศาสตราจารย์ ดร.สันทัด โรจนสุนทร ราชบัณฑิต และหัวหน้าฝ่ายวิจัยมูลนิธิโครงการหลวง
 


การประชุม ASIMMOD 2009 ครั้งนี้ ต้องนับเป็นการตอกย้ำให้คนไทยและทั่วทั้งโลกเห็นถึงความสำคัญของการใช้แบบจำลอง เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ ซึ่งมีประโยชน์อย่างมหาศาลต่อมนุษยชาติ

นายวรทัศนŒระบุว่า การช่วยเหลือทางวิชาการให้พม่าครั้งนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ น่ายินดี เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสถานการณ์การเมืองภายในไม่เอื้ออำนวยให้นักวิชาการของตนเองได้เข้าร่วมประชุมระดับนานาชาติได้ง่ายนัก เมื่อมีโอกาสมาร่วมพบปะแลกเปลี่ยนถึง 11 คน ถือเป็นการเริ่มต้นที่ภูมิภาคอาเซียน จะได้ร่วมกันยกระดับและพัฒนา การใช้แบบจำลองให้มีคุณภาพและมาตรฐานสูงขึ้น ทัดเทียมนานาชาติได้ พร้อมนักวิชาการจากนานาชาติ อาทิ ออสเตรเลีย เบลเยียม ญี่ปุ่น อินเดีย อิหร่าน มาเลเซีย ที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ประมาณ 100 คน มีการนำเสนอผลงานทางวิชาการ 68 ผลงานนับเป็นจำนวนมาก
 


ขณะที่ นายพีรยุทธ์ ชาญเศรษฐิกุล คณะวิศวกรรม ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เสริมว่า จุดเด่นการประชุม ASIMMOD 2009 คือ การบรรยายถึงการใช้แบบจำลองในการหาตัวยาจากสมุนไพรไทยเพื่อรักษาโรคเอดส์ และโรคร้ายแรงอื่นๆ ที่ยังไม่มียารักษา รวมถึงการใช้แบบจำลองมาใช้ในการศึกษาพฤติกรรมองค์กร การบริหารธุรกิจ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหม่มาก และยังสะท้อนให้เห็นว่าแบบจำลองไม่ใช่แค่ใช้ประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในทางสังคมศาสตร์ได้ด้วย

โดย ดร.สันทัดในฐานะที่ปรึกษาของการประชุมครั้งนี้ อธิบายถึงปรัชญาของการใช้แบบจำลองไว้ว่า "อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าหากว่า....." เป็นโจทย์สำหรับการคิด ...ปัจจุบันถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เมื่อมีการกระทำ สิ่งที่ควรรู้ก่อน คือผลที่จะเกิด ว่าจะเป็นอย่างไร แค่ไหน ปรัชญาแบบนี้เป็นข้อคิดที่พระเจ้าอยู่หัวทรงคิดอยู่ตลอดเวลา คำตอบหลายสิ่งเกิดจากการถามแบบนี้ เป็นแนวเปรียบเทียบที่สำคัญมาก

"การได้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท จึงเห็นภาพและเข้าใจว่าพระราชกรณียกิจ โครงการในพระราชดำริ มากมายของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้นำเทคนิค Modeling and Simulation มาช่วยในการตัดสินพระทัย เช่น มูลนิธิโครงการหลวงกับแบบจำลองหรือตัวแบบของชาวเขาที่มีความเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน, แนวคิดทฤษฎีใหม่ เพื่อหาความพอเพียง, โครงการแกล้งดิน, โครงการฝนหลวง หรือแม้กระทั่งศูนย์ศึกษาการพัฒนาทั้ง 6 แห่งนั้น แต่ละศูนย์จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นแบบจำลองที่มีหน้าที่ค่อนข้างเฉพาะบริเวณของภูมิภาคนั้นๆ ซึ่งชาวบ้านสามารถเรียนรู้ เพื่อนำเอาไปแก้ปัญหาของตนเองได้ กล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นต้นแบบ และทรงพระอัจฉริยภาพในการที่ทรงนำ Modeling and Simulation มาทรงใช้อย่างเป็นรูปธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุด"

ดร.สันทัดชี้ถึงความเป็นพระองค์ต้นแบบในการคิดและมีทางเลือกในการจัดการปัญหา ฝ่าฟันอุปสรรคได้ โดยไม่มีทางตัน ..เพียงแค่ใช้เหตุผลมากกว่าความรู้สึกและอารมณ์เข้ามาจัดการ

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #2 เมื่อ: มกราคม 22, 2009, 01:24:10 AM »

ข่าวสด


"สึนามิ"โบราณ จุฬาฯตามรอย 600ปี ก่อน                                :                              ราชภัฏวันนี้



เหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2547 นับว่าเป็นเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีความรุนแรง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย  มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์มากกว่า 220,000 คน ใน 11 ประเทศ 

อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้มากที่สุด และเป็นประเทศที่มีจารึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสึนามิยาวนานถึง 400 ปี แต่ไม่มีการกล่าวถึงเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงเท่าเหตุการณ์เมื่อปี 2457

สำหรับในประเทศไทยก็ไม่มีจารึกทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงสึนามิที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเลย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันสำหรับคนไทย

ดังนั้น คณาจารย์จากภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้จัดทำงานวิจัย Paleotsunami หรือ  สึนามิโบราณ ขึ้น

เพื่อเป็นหลักฐานที่ยืนยันว่าเคยเกิด สึนามิในมหาสมุทรอินเดียมาแล้วหลายครั้งในอดีต และมีส่วนช่วยในการประ เมินความเสี่ยงของพื้นที่ เพื่อที่ชาวบ้านหรือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ชายฝั่งนั้นๆ จะได้เตรียมรับมือกับมหันตภัย ตลอดจนลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น

รวมทั้งยังเป็นกรณีศึกษาให้กับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น อีกด้วย

ทั้งนี้ งานวิจัยสึนามิโบราณ ถูกตีพิมพ์เป็นบทความวิจัยเรื่อง "Medieval forewarning of the 2004 Indian Ocean tsunami in Thailand" ในวารสาร Nature ฉบับประจำรายสัปดาห์ของวันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลา คม พ.ศ.2551 (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.nature.com)

สำหรับวารสาร Nature เป็นวารสารของประเทศอังกฤษที่เผยแพร่ผลงานวิจัยทางวิชาการที่ได้รับการยอมรับเป็นอันดับหนึ่งของโลก

นอกจากนี้ ยังได้รับการเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ BBC News ไปทั่วโลกอีกด้วย

 
ดร.เครือวัลย์

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้เป็นรายงานการศึกษาชิ้นแรกที่ยืนยันว่าเหตุการณ์สึนามิที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2547 ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เคยมี สึนามิขนาดใหญ่เกิดขึ้นในมหาสมุทรอินเดียมาแล้วหลายครั้ง

ดร.เครือวัลย์ จันทร์แก้ว อาจารย์ ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยา ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า งานวิจัยเรื่องนี้เริ่มศึกษามาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2547 โดยเริ่มจากการศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสึนามิ บริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย 6 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต พังงา ระนอง กระบี่ ตรัง และสตูล เพื่อหาหลักฐานตะกอนที่ถูกพามาสะสมโดยสึนามิ

ทั้งนี้ คณะทำงานได้ลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลในพื้นที่ของ จ.ภูเก็ต และพังงา โดยขุดและเจาะลงไปในพื้นดินลึกประมาณ 1 เมตร

การลงพื้นที่นั้น ได้ค้นพบหลักฐานทางธรณีวิทยาที่สามารถยืนยันได้ว่า ในอดีตประเทศไทยเคยเกิดสึนามิขึ้นมาแล้ว และเหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 600-700 ปีที่แล้ว

โดยหลักฐานที่ค้นพบอยู่บริเวณเกาะพระทอง อ.คุระบุรี จ.พังงา สำหรับหลักฐานที่ค้นพบนั้น คือ ตะกอนทราย 3 ชั้น แทรกอยู่ระหว่างชั้นดินสีดำ ซึ่งทั้งหมดถูกปิดทับด้วยชั้นตะกอนสึนามิ เมื่อปี 2547 มีความหนาอยู่ที่ 5-20 เซนติเมตร 

"เหตุผลที่นักวิจัยศึกษาวิจัยเรืองนี้ เนื่องจากเมื่อปี 2547 คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าสึนามิจะเกิดขึ้นได้ในประเทศไทย แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 จึงเกิดคำถามมากมายในวงวิชาการว่าจะมีโอกาสเกิดซ้ำได้อีกหรือไม่

ดังนั้น ถ้าสามารถหาหลักฐานได้ว่าประเทศไทยเคยเกิดภัยพิบัติสึนามิมาแล้วในอดีต ก็จะมีส่วนช่วยในการประเมินความเสี่ยงของพื้นที่ เพื่อที่ชาวบ้านหรือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ชายฝั่งนั้นๆ จะได้เตรียมรับมือกับมหันตภัยดังกล่าว ตลอดจนลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้" ดร.เครือวัลย์ กล่าว 



ดร.เครือวัลย์ กล่าวอีกว่า ดังนั้นผู้วิจัยได้เก็บตัวอย่างจากเปลือกไม้จำนวนหลายตัวอย่างที่อยู่ระหว่างรอยต่อของชั้นดินกับชั้นทรายสึนามิโบราณชั้นบนสุดและส่งตัวอย่างนี้ไปตรวจหาอายุที่ประเทศสหรัฐ อเมริกา ด้วยวิธีคาร์บอน 14 ผลปรากฏว่าได้อายุที่ใกล้เคียงกันมาก คือ 600 ปี

ทำให้ทราบว่าเหตุการณ์สึนามิครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 600 ปีที่แล้ว

ส่วนตะกอนทรายสึนามิโบราณอีก 2 ชั้น ที่อยู่ลึกลงไปยังไม่สามารถหาอายุได้อย่างแน่ชัด แต่จากอายุของตัวอย่างหอยที่อยู่ลึกลงไป ทำให้คาดว่าชั้นทรายสึนามิ โบราณอีก 2 ชั้นนี้มีอายุน้อยกว่า 2,800 ปี

อย่างไรก็ตาม อายุของเหตุการณ์ สึนามิที่ได้จากการศึกษาในประเทศไทยนั้น สอดคล้องกับข้อมูลการศึกษาที่บริเวณเมืองอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย โดยทีมวิจัยจากสหรัฐอเมริกา ที่พบตะกอนสึนามิโบราณที่มีอายุใกล้เคียงกันในสองประเทศ ซึ่งต่างก็ได้รับผลกระทบที่ร้ายแรงจากเหตุการณ์สึนามิเมื่อปี 2547

ทำให้เชื่อว่าเหตุการณ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 ไม่ได้เกิดเป็นครั้งแรก และไม่มีใครยืนยันได้ว่าจะเกิดเป็นครั้งสุดท้าย

ดร.เครือวัลย์ กล่าวด้วยว่า หากค้นพบบันทึกทางประวัติศาสตร์หรือหลักฐานทางธรณีวิทยาของสึนามิโบราณเหล่านี้ก่อนปี พ.ศ. 2547 จำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์คงไม่สูงอย่างที่เกิดขึ้น   

นอกจากนี้ ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยและนักท่องเที่ยวถึงวิธีปฏิบัติตนเมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิ การที่ประชาชนรู้ถึงความเสี่ยงต่อการเกิดสึนามิ และรู้ถึงวิธีปฏิบัติตน จะช่วยลดการสูญเสียที่อาจเกิดจากเหตุการณ์สึนามิทั้งขนาดเล็กและที่มีความรุนแรงคล้ายกับปี 2547 ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยชิ้นนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสึนามิมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเน้นให้เห็นถึงความจำเป็นในการให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อให้คนตื่นตัวและรู้วิธีปฏิบัติตน เพื่อให้รอดพ้นจากภัยพิบัติได้

หากรัฐบาลไทยร่วมกับกระทรวงศึกษา     ธิการ ให้การศึกษาเกี่ยวกับสึนามิอย่างจริงจัง เพื่อถ่ายทอดข้อมูลและความรู้ไปยังคนรุ่นหลังได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

ดร.เครือวัลย์ กล่าวต่อว่า สำหรับงานวิจัยครั้งนี้ใช้งบประมาณเกือบ 1 ล้านบาท ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากหลายแหล่ง ทั้งจากจุฬาลงกรณ์มหา วิทยาลัย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หน่วยงานธรณีวิทยาของสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และมหาวิทยาลัยวอชิงตัน (ซีแอตเติล) โดยใช้เวลาในการทำงานวิจัยกว่า 2 ปี

ถึงแม้เหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิจะเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 600 ปีก่อน แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องก็ไม่ควรชะล่าใจ

ดังนั้น ควรนำมาเป็นอุทาหรณ์ พร้อมทั้งหาทางป้องกันหรือเตรียมตัว รวมทั้งให้ความรู้และคำแนะนำ 

เพราะเหตุการณ์เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 อาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และอาจจะเกิดขึ้นซ้ำได้อีก


ชั้นตะกอนทราย

ชั้นตะกอนทราย (สีจาง) แทรกสลับกับชั้นดินเหนียว (สีดำ) พบที่เกาะพระทอง จ.พังงา ชั้นทรายบนสุด (ชั้น A) เป็นชั้นตะกอนทรายที่ถูกพัดพามาสะสมโดยสึนามิปี 2547 ชั้นทรายที่อยู่ถัดลงไป (ชั้น B) มีอายุ 600-700 ปี ส่วนชั้นทรายที่อยู่ด้านล่างอีก 2 ชั้น (ชั้นC และ D) ยังหาอายุไม่ได้แน่ชัด แต่คาดว่ามีอายุน้อยกว่า 2,800 ปี ซึ่งชั้นตะกอนทราย B, C และ D นี้ สันนิษฐานว่าถูกพัดเข้ามาสะสมโดยสึนามิโบราณ (หมายเหตุ : แถบสีขาวบนไม้มีความยาว 10 เซนติเมตร)

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #3 เมื่อ: มกราคม 22, 2009, 01:27:57 AM »

คม ชัด ลึก


เมืองพัทยา เร่งบูม "เกาะล้าน" ปั้นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
 
 

หลังจากได้รับความไว้วางใจจากคนเมืองพัทยาให้เข้ามารับตำแหน่งนายกเมืองพัทยา เป็นสมัยแรก อิทธิพล คุณปลื้ม นายกคนใหม่หมาดๆ ก็เร่งโชว์ผลงานทันที โดยตั้งเป้าในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในเมืองพัทยาอย่างเต็มที่

หนึ่งในเป้าหมายดังกล่าว คือ "เกาะล้าน" ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 4.07 ตารางกิโลเมตร หรือราวๆ 2,500 ไร่ ตั้งอยู่ไม่ห่างจากฝั่งมากนัก แต่กลับยังมีสภาพทางธรรรมชาติที่สวยงาม โดยเฉพาะทรายริมชายหาดที่ยังขาวสะอาดสลับกับเนินเขาลดหลั่นไล่ระดับกันอย่างสวยงาม

 อิทธิพล วางเป้าหมายให้เกาะล้านเป็นแหล่งท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ โดยวางแผนการพัฒนาไว้ 3 ระยะ คือ

 ระยะที่ 1 มุ่งปรับสภาพพื้นที่ในปัจจุบันให้เป็นระเบียบเรียบร้อยตามโครงการ "หน้าบ้านน่ามอง" เพื่อจัดระเบียบชุมชนบนเกาะที่มีประมาณ 3,000 คนให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม สภาพเรียบร้อย โดยเฉพาะบริเวณท่าหน้าบ้านที่เป็นจุดต้อนรับนักท่องเที่ยว

ระยะที่ 2 เป็นแผนระยะสั้น คือ เช่น การปรับปรุงท่าเทียบเรือหาดตาแหวน ซึ่งเป็นหาดที่สวยงามที่สุดบนเกาะ โดยจะสร้างลานกีฬา และศูนย์ฝึกอาชีพ เพื่อให้บริการแก่คนในชุมชนด้วย

 ระยะที่ 3 มุ่งพัฒนาเกาะล้านให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ โดยจะไม่ให้มีการทำธุรกิจเชิงพาณิชย์ แต่จะจัดทำให้เป็นรูปแบบ "รีสอร์ทธรรมชาติ" เพื่อให้เกิดความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว

 นายกเมืองพัทยา ระบุว่า ปัจจุบันการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวได้วางรากฐานไปสู่ระยะที่ 3 แล้ว ทั้งยังได้ประสานไปยังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในการติดตั้งระบบ "สายเคเบิลใต้น้ำ" ไปยังเกาะล้านเพื่อให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวสามารถใช้ไฟฟ้าได้อย่างเพียงพอ

 โครงการสายเคเบิลใต้น้ำน่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 โดยใช้งบประมาณในการดำเนินการอยู่ที่ 180 ล้านบาท โดยจะมีการวางสายเคเบิลจากหาดดงตาลไปขึ้นที่บริเวณท่าหน้าบ้าน

 อย่างไรก็ตาม แม้จะมุ่งมั่นพัฒนาเกาะล้านอย่างเต็มที่ แต่ชาวบ้านและผู้ประกอบการบนเกาะล้านก็ส่งเสียงสะท้อนให้เมืองพัทยาปรับปรุงข้อบกพร่องบางประการเพื่อส่งให้เกาะล้านเป็นแหล่งท่องเที่ยวในฝันของนักท่องเที่ยวให้ได้

 บรรเจิด จินดาศักดิ์ชัย วัย 70 ปี เจ้าของธุรกิจร้านอาหาร และร่มเตียงบนเกาะล้าน โอดครวญว่า การค้าขายเมื่อ 2 ปีก่อนนี้ดีมาก แต่ปีนี้กลับแย่หนัก เพราะทุกปีในช่วงไฮซีซั่นแบบนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมาก แต่ปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวกลับลดลงกว่า 50%

 สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักของเกาะล้าน คือ ชาวรัสเซีย และชาวยุโรป รวมทั้งกรุ๊ปทัวร์เกาหลีบางส่วน แต่ปีนี้นักท่องเที่ยวหายไปเยอะ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผลกระทบมาจากการปิดสนามบิน และเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลก

 แม้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวบ้าง แต่ก็น่าใจหาย เพราะนักท่องเที่ยวประหยัดการใช้จ่ายลงกว่าแต่ก่อนมากทำให้รายได้ของผู้ประกอบการหดหายไปกว่า 80% 

 บรรเจิด จึงอยากให้ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยโปรโมทการท่องเที่ยวให้มากๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งถ้าหากทำอย่างจริงจังเชื่อว่า น่าจะเห็นผลภายใน 1-2 เดือน

 เขายังกล่าวเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวชาวไทยมาเที่ยวเกาะล้านให้มากๆ เพราะเสียค่าใช้จ่ายถูกมาก เช่น ค่าเรือไป-กลับที่มีราคาเพียง 40 บาท ค่ารถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง 20 บาท ค่าที่พักราคาตั้งแต่ 800-2,300 บาทต่อคืน ซึ่งนับว่าถูกมากๆ

 ขณะที่เรื่องความปลอดภัยบนเกาะล้านก็มีความความปลอดภัยสูงมาก แทบไม่มีคดีอาชญากรรม แม้แต่คดีฉกชิงวิ่งราว ส่วนเรื่องความสะอาดของน้ำทะเลบนเกาะล้านก็ใสสะอาดกว่าที่พัทยามาก

 บรรจง สิงห์แก้ว วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างบนเกาะล้านก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน จากเดิมที่เคยวิ่งรับผู้โดยสารได้วันละ 50 เที่ยวต่อวัน แต่พอช่วงตกต่ำก็เหลือเพียงวันละ 5-10 เที่ยวเท่านั้น

 "อยากให้ ททท.กระตุ้นการท่องเที่ยวบนเกาะล้านให้มากๆ เพราะที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นยอด ราคาที่พัก ค่าอาหาร ค่ารถ ค่าเรือก็ไม่แพงเลย ส่วนคนบนเกาะก็อัธยาศัยใจคอดีมาก อย่างผมถ้านักท่องเที่ยวเงินหมดก็จะส่งขึ้นเรือฟรีโดยไม่คิดเงิน"

 การันตีคุณภาพกันขนาดนี้ ใครพอมีสภาพคล่องเหลือใช้ก็ขับรถไปท่องเกาะล้านได้ รับรองว่า ถูกใจ และที่สำคัญ "ถูกตังค์" แน่นอน

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: มกราคม 22, 2009, 01:31:25 AM »

X-cite  ไทยโพสต์


สำรวจกทม.จมฝุ่นดินแดงสุดอันตราย

กรมควบคุมมลพิษเผยคุณภาพอากาศกรุงเทพฯ มีมลพิษเกินระดับมาตรฐานถึง 6 สถานี โดยเฉพาะเขตดินแดง ตรวจพบฝุ่นละอองอยู่ในขั้นอันตรายต่อสุขภาพ ลอยฟุ้งคล้ายหมอกในตอนเช้า

เหตุกระแสลมสงบนิ่งไม่ช่วยระบายอากาศ  ด้าน กทม.เร่งใช้รถดูดฝุ่น ฉีดน้ำแก้ปัญหา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้สภาพบรรยากาศของกรุงเทพมหานคร มีลักษณะเหมือนเมืองในหมอก   ซึ่งเกิดจากภูมิอากาศที่ค่อนข้างเย็น และมีหมอกปกคลุมท้องฟ้าอย่างหนาแน่นในตอนเช้าหลายพื้นที่ ส่งผลต่อวิสัยทัศน์ในการมองเห็นระยะไกลๆ ไม่ค่อยชัดเจน

อย่างไรก็ตาม   จากการตรวจสอบข้อมูลคุณภาพอากาศของกรุงเทพฯ  โดยกรมควบคุมมลพิษ  พบว่าขณะนี้พื้นที่กรุงเทพฯ และเขตปริมณฑล มีมลพิษทางอากาศเกินระดับมาตรฐานถึง 6  สถานี  โดยเฉพาะในเขตดินแดง  และอำเภอพระประแดง  จังหวัดสมุทรปราการ โดยสารมลพิษที่ตรวจพบว่าเกินมาตรฐานในระดับอันตราย และมีผลกระทบต่อสุขภาพคือ  ฝุ่นละออง ตรวจวัดได้  142 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนค่ามาตรฐานคือ 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

เจ้าหน้าที่สำนักจัดการคุณภาพอากาศและเสียง  กรมควบคุมมลพิษ  ให้ข้อมูลว่า บรรยากาศกรุงเทพฯ มีฝุ่นละอองฟุ้งกระจายเกินค่ามาตรฐาน  ส่วนใหญ่เกิดจากเผาไหม้เชื้อเพลิงรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม  เป็นต้น  โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการจราจรติดขัด จะพบว่ามีสารมลพิษทางอากาศเกินค่ามาตรฐานหลายแห่ง ที่ผ่านมาลมทะเลจะช่วยระบายมลภาวะทางอากาศในกรุงเทพฯ ออกไปได้มาก  แต่ขณะนี้ปรากฏว่ากระแสลมสงบนิ่ง ประกอบกับอากาศเย็นและแห้ง ซึ่งไม่เอื้ออำนวยต่อการกระจายตัวของฝุ่นควัน และทำให้มองเห็นเหมือนหมอกในตอนเช้า

ส่วนสารมลพิษตัวอื่นๆ ที่ตรวจวัด ประกอบด้วย ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์,  ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์,  ไนโตรเจนออกไซด์,  ไฮโดรคาร์บอน และโอโซน พบว่าไม่เกินมาตรฐาน เนื่องจากได้มีการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพเชื้อเพลิงที่มีมลพิษน้อยลง  ทั้งนี้ กรมควบคุมมลพิษขอเตือนประชาชนให้ระวังหรือหลีกเลี่ยงการออกกำลังภายนอกอาคาร  หรือทำกิจกรรมริมถนนเป็นเวลานาน  ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ  เด็ก และผู้สูงอายุ ควรอยู่ในอาคาร รวมทั้งขอความร่วมมืองดการเผาขยะในที่โล่ง  ลดการขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล และร่วมกันใช้รถสาธารณะ เพื่อบรรเทาปัญหาในช่วงวิกฤติดังกล่าว

ด้านเรืออากาศโทอิรวัสส์  ปัทมะสุคนธ์  ผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กทม. กล่าวว่า เวลานี้กรุงเทพฯ มีปัญหาเรื่องฝุ่นฟุ้งกระจาย  เนื่องจากสภาพอากาศเย็นและมีหมอกหนาปกคลุมในหลายพื้นที่  จึงได้เสนอให้แต่ละสำนักงานเขตเร่งใช้รถดูดฝุ่นและฉีดน้ำบนถนนอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งตรวจสอบสถานที่ก่อมลพิษอย่างเข้มงวด ว่ามีการปล่อยสารมลพิษเกินมาตรฐานหรือไม่

"ส่วนบริเวณใต้รถไฟลอยฟ้าบีทีเอสที่ตรวจพบมลพิษทางอากาศสูงเกินค่ามาตรฐานนั้น ได้แจ้งให้ผู้รับผิดชอบในพื้นที่เร่งติดตั้งพัดลมระบายอากาศ   และปรับย้ายป้ายรถเมล์ที่อยู่ในบริเวณนั้น ห่างออกไปเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน" ผอ.สำนักสิ่งแวดล้อมกล่าว.


***************************************************************************************************************************


ชาวเกาะพะงันสุดทนร้องปาร์ตี้รังควาน

ชาวเกาะพะงันสุดจะทนกับปาร์ตี้ที่สร้างความเดือดร้อนด้านเสียงจนไม่ได้หลับนอน ร้องไปยังอำเภอ ตำรวจ และเทศบาลแล้วก็ยังเฉย วอนรัฐบาลช่วยเหลือด้วย

ชาวบ้านในพื้นที่หมู่  3  ต.บ้านใต้  อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ร้องเรียนมาว่า ขณะนี้ได้รับความเดือดร้อนจากการจัดงานปาร์ตี้ของผู้ประกอบการที่เรียกว่า ปาร์ตี้เทคโน ที่เปิดเพลงเสียงดังผ่านลำโพงเครื่องขยายเสียงจนไม่มีเวลาได้หลับนอน

โดยเกาะพะงันอยู่ระหว่างเกาะสมุยและเกาะเต่า  มี 20 ปีที่แล้วเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับปาร์ตี้ฟูลมูน  ซึ่งจัดขึ้นเดือนละ 1 ครั้ง ที่หาดริ้นฝั่งตะวันออก มีนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติมาเที่ยวกันหลายพันคนจนทำรายได้ให้อย่างมหาศาล

จากความสำเร็จและรายได้มหาศาลของต้นฉบับของปาร์ตี้ฟูลมูน ปัจจุบันจึงทำให้ปาร์ตี้ใหม่ๆ เกิดขึ้น มีการพัฒนาเพื่อดังดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวในชื่อต่างๆ มากมาย   มีแผ่นประกาศโฆษณาและแผ่นใบปลิวไปทั่วทั้งเกาะ โดยตั๋วค่าเข้าราคา 300 บาทต่อคน

ปาร์ตี้เหล่านี้ได้ก่อตั้งขึ้นในหมู่บ้านและรอบๆ หมู่บ้านใต้ บ้านเหนือ และบ้านนอก ได้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่เคยอยู่อย่างสงบเปลี่ยนแปลงไป และได้รับความเดือดร้อนจากการเปิดเพลงตั้งแต่เวลา 21.00 น. ไปจนถึงเช้าของวันรุ่งขึ้น หรืออาจเลยไปจนถึงเวลา 11.00 น.

ชาวบ้านผู้ร้องเรียนระบุว่า ต้องอดทนกับปาร์ตี้เหล่านี้มาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว  เคยเข้าชื่อกันร้องเรียนไปยังอำเภอเกาะพะงัน   สถานีตำรวจภูธรเกาะพะงัน  และเทศบาลเกาะพะงันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ปาร์ตี้เหล่านั้นก็ยังจัดกิจกรรมสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านได้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง จึงอยากให้รัฐบาลหันมามองความเดือดร้อนและให้ความช่วยเหลือชาวบ้านที่เกาะพะงันบ้าง.

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: มกราคม 22, 2009, 01:35:02 AM »

แนวหน้า


จัดเทศกาลอาหารทะเล กระตุ้นศก.‘มหาชัย’ 50 ล.    
 
 สมุทรสาคร:นายวีระยุทธ เอี่ยมอำภา ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยว่า ทาง จ.สมุทรสาคร ได้เตรียมจัดงานเทศกาลอาหารทะเลครั้งที่ 8 ขึ้นระหว่างวันที่ 26 ก.พ. – 2 มี.ค.นี้ที่บริเวณริมเขื่อนศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด ควบคู่การสร้างงานสร้างรายได้ในพื้นที่ ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท

 โดยภายในงานจะมีร้านอาหารชั้นนำพร้อมกุ๊กฝีมือดีมาโชว์เมนูที่โดดเด่นไม่ต่ำกว่า 80 ร้าน ซึ่งทุกร้านผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย และไฮไลท์ของงาน คือ การทอดหอยจ้อที่ใหญ่ที่สุดแจกจ่ายแก่ผู้ร่วมงานอีกด้วย 

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายรุ้ง
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 838


« ตอบ #6 เมื่อ: มกราคม 22, 2009, 04:14:27 AM »

พะยูน รีเทิรน์

คณะนักวิจัยกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก ประกาศข่าวดี พะยูนโผล่ภูเก็ต หลังหายตัวกว่า 30 ปี หวั่นท่องเที่ยวรุกต่อ ทำพะยูนเผ่นซ้ำ ทิ้งน่านน้ำไทยถาวร

ข่าวพบเห็นการกลับมาของ "พะยูน" ที่บริเวณอ่าวตังเข็น แหลมพันวา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ถูกจัดวางเอาไว้ด้านในของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ หลายคนอาจพลิกข้ามผ่าน แต่สำหรับ คณะนักวิจัยกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก แม้ไม่ใช่ "ข่าวใหญ่" ที่สร้างความเกรียวกราวขนาดหน้า 1 ต้องมอบพื้นที่ให้ .. แต่นี่คือ "ข่าวดี" ครั้งสำคัญ หลังจาก "พะยูน" ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยและไม่เคยปรากฏกายให้ใครๆ (ในภูเก็ต) ได้เห็นอีกเลยนานเกือบ 30 ปี ผู้อยู่เบื้องหลังคราวนี้ มีอยู่ 3 คน ได้แก่ กาญจนา อดุลยานุโกศล เผ่าเทพ เชิดสุขใจ และ สนธยา มานะวัฒนา คณะนักวิจัยกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก แม่ทัพสำคัญจากสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตีกลองบอกข่าวดี

เผ่าเทพ เชิดสุขใจ นักวิชาการประมง หนึ่งในกลุ่มเจ้ากรมข่าวดีครั้งนี้ เริ่มต้นเล่าว่าภาพที่สามารถสร้างรอยยิ้มให้กับคณะนักวิจัยกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จ. ภูเก็ต ได้เป็นครั้งแรกเกิดขึ้นราวกลางเดือนพฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา หลังจากได้สำรวจพบรอยกินหญ้าทะเลของพะยูน (feeding trails) จำนวนมากที่อ่าวตังเข็น แหลมพันวา และจุดนี้สถาบันฯ เคยได้ต้อนรับพะยูนความยาว 2.8 เมตรจากอ่าวตังเข็น เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2524 และนั่นคือตัวสุดท้าย

ภารกิจติดตามค้นหาตัว "พะยูน" จึงเกิดขึ้นตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา และได้รับแรงสนับสนุนอย่างดีจากภาคเอกชน โดยเฉพาะโรงแรมเดอะรีเจนท์ ซึ่งวางตัวอยู่บนเขาสูงด้านขวาของอ่าวตังเข็น ได้อนุญาตให้ทีมเข้าไปสังเกตการณ์พะยูนอย่างอิสระ ในที่สุดเวลาที่ทุกคนรอคอยก็เดินทางมาถึง แต่ละคนล้วนสะกดความตื่นเต้นกันแทบไม่อยู่ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2551 เวลาประมาณ 10:00 น. ภาพของพะยูนลำตัวสีชมพูขนาดใหญ่จำนวน 1 ตัวโผล่ขึ้นมาหายใจและดำลงไปกินหญ้าทะเลในบริเวณแนวหญ้าทะเลกลางอ่าว เป็นเวลานานกว่า 2 ชั่วโมง และสามารถบันทึกภาพไว้ได้ หลังจากนั้นทีมงานก็ยังเพียรเฝ้าสังเกตพะยูนจากอาคารของโรงแรมเดอะรีเจนท์เกือบทุกวันที่มีโอกาส

 "แต่ละวัน เราจะเฝ้ารอดูอยู่ 2-3 ชั่วโมง ในช่วงน้ำทะเลขึ้นเต็มฝั่ง เพราะช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่พะยูนจะเข้ามากินหญ้าทะเล ซึ่งบางครั้งเราก็ได้เห็นพะยูนมากินหญ้านาน 2 ชั่วโมง โดยจะขึ้นมาหายใจทุกๆ 2-3 นาที แล้วค่อยดำลงไปกินต่อ" เจ้าพะยูนตัวนี้ มีขนาดความยาวประมาณ 2 เมตร ตามคำบอกเล่าของเผ่าเทพที่สังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล

 แล้วพอน้ำทะเลลง เจ้าหน้าที่จะใช้โอกาสตรงนั้นสำรวจและติดตามรอยกินหญ้าทะเลของพะยูน ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนเศษ จากนั้นก็จะทำการวางทุ่นเพื่อบอกกำหนดบริเวณพื้นที่ที่ศึกษาจำนวน 5 ทุ่น พร้อมทำเครื่องหมายรอยกินของพะยูนเพื่อให้สามารถติดตามรอยกินครั้งใหม่ๆ ได้ถูกต้อง

 "เราพบรอยกินหญ้าวันละ 19-30 รอย แต่ละรอยกินความกว้างประมาณ 15 เซนติเมตร และยาวประมาณ 2 เมตร" จากการเฝ้าสังเกตทั้งหมด 26 ครั้ง คณะนักวิจัยกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก สามารถสังเกตเห็นพะยูนเพียง 5 ครั้งใน 4 วัน (วันที่ 29 พฤศจิกายน และ 6,7 และ 9 ธันวาคม 2551) ระหว่างนั้นก็มีอุปสรรคแทรกเข้ามาเป็นระยะๆ

 "วันที่ 6 ธันวาคม เวลาประมาณบ่ายสามโมงสิบห้า มีพะยูน 1 ตัวเข้ามาหากินหญ้าทะเลในตำแหน่งใกล้ทุ่นที่เราวางไว้ แล้วจู่ๆ ก็มีเรือติดเครื่องยนต์วิ่งเข้ามาวางลอบในอ่าวใกล้กับที่พะยูนหากินอยู่ พอชาวประมงโยนลอบลงไป พะยูนก็ตกใจ ว่ายน้ำหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

" แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ทีมวิจัยฯ ถอยหลังกลับ ทุกคนยืนยันว่า อุปสรรคที่เกิดขึ้นนับว่าเล็กน้อยมาก และจะเดินหน้าตามหาพะยูนต่อไป "สิ่งที่น่าห่วงใย คือ หาดแห่งนี้มีระบบนิเวศที่สมบูรณ์มาก ชายหาดด้านในมีแหล่งหญ้าทะเล ส่วนด้านนอกเป็นแนวปะการัง และด้านขวาของหาดเป็นป่าชายเลน จากเดิมที่อ่าวนี้มีเฉพาะชาวบ้านและชาวประมงขนาดเล็กเพียงไม่กี่หลังคาเรือน แทบไม่มีการทำการประมงในอ่าวนี้เลย ชาวบ้านอาจหาเก็บหอยเป็นครั้งคราวในตอนน้ำลง

 แต่ปัจจุบัน มีการพัฒนาชายหาดอ่าวตังเข็นเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ ถ้ามีการสร้างท่าเทียบเรือ หรือมีเรือเร็วเข้าออกในอ่าวนี้ พะยูนคงอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน" นอกจากความห่วงและกังวล นักวิจัยกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก ยังเสนอแนะว่า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากส่งเสริมให้นักท่องเที่ยว ได้มีส่วนร่วมกันอนุรักษ์พะยูนและระบบนิเวศหญ้าทะเล ปะการังและป่าชายเลน "อาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศก็ได้ โดยสถาบันฯ จะช่วยในเรื่องจัดทำ Nature trail เอง"

อาจไม่ได้มาแค่ตัวเดียว ก่อนการปรากฎกายของ "พะยูน" ที่อ่าวตังเข็นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ทศวรรษนั้น นักวิชาการกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก บอกว่านี่เป็นสัญญาณของการกลับมาของพะยูนภูเก็ตแล้ว โดยทางฝั่งทะเลด้านตะวันตกของเกาะภูเก็ต ลุงต๋อย หรือ จุรณ ราชพล เครือข่ายกลุ่มอนุรักษ์บ้านป่าคลอก ก็เคยพบเห็นพะยูนดอดเข้ามากินหญ้าทะเลหน้าหาดบ้านป่าคลอก และบางครั้งในช่วงน้ำขึ้น พะยูนก็ขึ้นมาหายใจ

 ส่วนร่องรอยการกินหญ้าที่พบจะเป็นเฉพาะหญ้าทะเลชนิด หญ้าอำพัน หรือ หญ้าชะเงา (ชื่อวิทยาศาสตร์ Halophila ovalis) "รอยกินหญ้าของพะยูนจะไม่เป็นเส้นตรง ยาวตั้งแต่เมตรเศษๆ ไปจนถึง 5-6 เมตร บางครั้งก็พบรอยกินของลูกพะยูน รอยกินของเจ้าตัวเล็กมักอยู่ห่างจากรอยกินของแม่พะยูนประมาณ 1 เมตร" ลุงต๋อยร่วมให้ข้อมูล ขณะนี้นักวิจัยได้ติดตามรอยกินหญ้าทะเลของพะยูนที่หาดแห่งนี้ เพื่อใช้ในการประเมินประชากรพะยูนที่เข้ามาหากินในบริเวณดังกล่าว และศึกษาพฤติกรรมการกินอาหารของพะยูน ด้วยหวังว่าจะพบเห็นการปรากฎตัวอย่างเป็นทางการเช่นเดียวกับอ่าวตังเข็น แหลมพันวา

นอกจากนี้ ที่ อ่าวฉลอง (ห่างตัวเมืองภูเก็ตไป 11 กม.) ก็ส่งสัญญาณบ่งบอกการกลับมาของพะยูนภูเก็ตเช่นกัน โดย "เครือข่ายชุมชนชายฝั่งอ่าวฉลอง" พลังขับเคลื่อนจากชาวบ้านกลุ่มสำคัญที่รวมตัวกันผลักดันการเรียกคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำต่างๆ ให้กลับมา สุทา ประทีป ณ ถลาง ประธานเครือข่ายชุมชนชายฝั่งอ่าวฉลอง ได้สำรวจพบแหล่งหญ้าทะเลในอ่าวฉลองว่ามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ทำให้พบเต่าทะเลและโลมากลับเข้ามาหากิน และนำไปสู่การเดินทางกลับมาของพะยูน ที่ปรากฎต่อสายตาชาวบ้านเป็นครั้งคราวอีกด้วย

ส่วนประเด็นที่ว่า ความสมบูรณ์ของธรรมชาติทางทะเลเป็นปัจจัยสำคัญหลักที่ส่งผลให้ "พะยูน" เดินทางกลับบ้านหลังเดิมที่ภูเก็ตอีกครั้งหรือไม่นั้น คณะนักวิจัยกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก กำลังไขปริศนาและหาคำตอบชนิดเร่งวันเร่งคืน

ใครพรากพะยูน? คำถามที่ว่า "พะยูนกำลังจะสูญพันธุ์ไปจากจังหวัดภูเก็ตจริงหรือ?" วันนี้ยังมีใครบางคนมองเป็นเรื่องตลก แต่ในทางตรงกันข้าม เหตุการณ์เช่นนี้กลับไม่ไกลเกินความเป็นจริงเลย พิสูจน์ได้จากความเพียรพยายามในการเฝ้าติดตามการกลับมาอีกครั้งของพะยูน ที่ต้องใช้เวลายาวนานถึง 30 ปี และจากข้อมูลของ นักวิจัยกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จ.ภูเก็ต พบว่า พะยูนที่อาศัยอยู่ทั่วโลกได้สูญพันธุ์ไปเป็นจำนวนมากในหลายพื้นที่และกำลังจะสูญพันธุ์ในอีกหลายๆ แห่ง ที่สำคัญ ประเทศไทยตกอยู่ในข่ายนั้น เมื่อพิจารณาจากสถิติแนวโน้มจำนวนประชากรพะยูนที่น้อยลงเรื่อยๆ อัตราการตายสูงกว่าอัตราการเกิด

 "ถ้าเรายอมให้พะยูนวัยหนุ่มสาวที่พร้อมจะสืบพันธุ์ได้ ตายเกินร้อยละ 5 ตัวต่อหนึ่งปี นั่นก็คือเส้นทางแนวดิ่งของการสูญพันธุ์ของพะยูนในน่านน้ำไทยอย่างแน่นอน" เป็นคำพูดของ กาญจนา อดุลยานุโกศล นักวิชาการประมง 8 ว หัวหน้ากลุ่มสัตว์ทะเลหายาก สถาบันวิจัยทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ที่ร่วมให้ข้อมูลอีกว่า ในประเทศไทย สาเหตุที่ทำให้พะยูนตายส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์โดยเฉพาะการประมงอวนติดตาหรืออวนลอยประเภทต่างๆ รองลงไปเป็นโป๊ะน้ำตื้น ในจังหวัดภูเก็ตก็เช่นกัน มีพะยูนเกยตื้นหรือตายจากการติดอวนลอยจำนวน 8 ตัว ติดโป๊ะจำนวน 3 ตัว เรือชนตาย 1 ตัว และไม่ทราบสาเหตุ 1 ตัวซึ่งเป็นลูกพะยูนขนาดเล็ก

ทั้งนี้สถิติพะยูนที่เกยตื้นในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ตซึ่งถูกบันทึกไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2524-2550 เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่า "น้ำมือมนุษย์" คือเหตุผลใหญ่ที่พรากพะยูนไปอย่างไม่มีวันกลับ

ไล่ตั้งแต่ 2 มีนาคม 2524 พบพะยูน ความยาว 2.8 ม.น้ำหนัก 300 ก.ก.เพศผู้ ติดอวนลอย อ่าวตังเข็น แหลมพันวา เสียชีวิต วันที่ 25 สิงหาคม 2524 พบพะยูน ความยาว 1.8 ม. น้ำหนัก 90 ก.ก. เพศผู้ ติดอวนลอยปู บริเวณอ่าวปอ อ.ถลาง ตายหลังจากอนุบาลที่สถาบันฯ ได้ 77 วัน
ในวันที่ 24 มีนาคม 2525 พบพะยูน ความยาว 1.2 ม.น้ำหนัก 31 ก.ก. เพศผู้ติดอวนลอย บริเวณอ่าวมะขาม เยื้องเกาะตะเภาใหญ่ ต.วิชิต อ.เมือง ตายหลังจากอนุบาลที่สถาบันฯ ได้ 111 วัน จากนั้นปี 2529 พบพะยูน ความยาว 2.5 ม. เพศเมียติดอวนลอย บริเวณอ่าวฉลอง อ.เมือง ตายและชาวบ้านนำเนื้อไปกิน ต่อมาปี 2529 พบซากพะยูน ความยาว 1.8 ม. ติดอวนลอย บริเวณอ่าวฉลอง อ.เมือง ตายและชาวบ้านนำเนื้อไปกิน
วันที่ 2 สิงหาคม 2541 พบพะยูน ความยาว 2.19 ม. หนัก 184 ก.ก. เพศผู้ ถูกเรือชนในท่าเรือน้ำลึก ใกล้เกาะตะเภาใหญ่ อ.เมือง
17 มกราคม 2543 พบซากพะยูน ติดอวนลอย ณ หาดป่าคลอก อ.ถลาง ชาวบ้านนำเนื้อไปกิน
วันที่ 10 เมษายน 2543 พบพะยูนติดโป๊ะที่บางโรง อ.ถลาง สามารถช่วยชีวิตไว้ได้และปล่อยไป
 วันที่ 25 ตุลาคม 2543 พบซากติดอวนลอย บริเวณหาดป่าคลอก อ.ถลาง ตายและชาวบ้านนำเนื้อไปกิน
 วันที่ 28 มีนาคม 2545 พบพะยูน ความยาว 2.14 ม.น้ำหนัก 174 ก.ก.เพศผู้ ติดโป๊ะ บริเวณหัวแหลมบ้านพัด ต.วิชิต อ.เมือง วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2547พบพะยูนความยาว1.15 ม.น้ำหนัก 30 ก.ก.เพศเมีย บริเวณบ้านพารา ป่าคลอก อ.ถลาง ตายหลังจากอนุบาลที่สถาบันฯ ได้ 79 วัน
 วันที่ 1 มกราคม 2548 พบซากพะยูนติดอวนลอย ป่าหล่าย อ่าวฉลอง อ.เมือง ตายและชาวบ้านนำเนื้อไปกิน วันที่ 2 เมษายน 2550 พบพะยูนขนาด 1.92 ม.น้ำหนัก 126 ก.ก.เพศผู้ ติดโป๊ะที่อ่าวป่าคลอก อ.ถลาง ตายและผ่าชันสูตรซาก
โดยพะยูนตัวล่าสุดที่ได้รับเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 บริเวณนอกชายฝั่งแหลมกา อ.เมือง จ.ภูเก็ต เวลา 6:00 น.จากการชันสูตรซากพบว่า พะยูนตัวนี้มีบาดแผลตื้นๆ ภายนอกเพียงเล็กน้อย เป็นแผลสดแต่ไม่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต ที่สำคัญพบแผลและรอยช้ำบริเวณรอบโคนหาง ซึ่งเกิดจากการมัดเชือกและลากเพื่อขนย้าย ในกระเพาะอาหารมีหญ้าทะเล 6 กิโลกรัม ส่วนในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่มีเศษอาหารที่ย่อยแล้วอยู่เต็มตลอดทั้งลำไส้

กาญจนาให้ความรู้ว่า การพบหญ้าทะเลจำนวนมากตลอดทั้งทางเดินอาหาร เป็นข้อบ่งชี้ว่าพะยูนยังกินอาหารได้ปกติก่อนเสียชีวิตไม่กี่ชั่วโมง ไม่ได้ป่วยเรื้อรัง พบพยาธิตัวแบนในโพรงจมูกทั้งสองข้าง ในกระเพาะอาหารพบพยาธิตัวกลม และในกระพุ้งลำไส้ใหญ่พบพยาธิตัวแบนไม่ทราบชนิด ทั้งนี้การพบพยาธิดังกล่าวเป็นลักษณะปกติที่พบได้ในพะยูนในธรรมชาติ และไม่ส่งผลต่อสุขภาพแต่อย่างใด แต่สิ่งผิดปกติอยู่ที่ การพบของเหลวสีเหลืองใสในช่องอกทั้งด้านซ้ายและขวาปริมาตรรวม 400 มิลลิลิตร เป็นข้อบ่งชี้ว่าพะยูนเกิดภาวะช็อค และพบหนองสีเหลืองอ่อนบริเวณแขนงหลอดลมในปอดทั้งสองข้างหลายตำแหน่ง แต่สภาพเนื้อปอดโดยรวมยังอยู่ในสภาพปกติ อันเป็นการติดเชื้ออักเสบของปอดแบบเฉียบพลัน ซึ่งน่าจะเกิดจากการสำลักน้ำเข้าปอด และไม่พบความผิดปกติที่อวัยวะภายในอื่น ๆ

 "ดังนั้นสาเหตุการตาย คาดว่าจะมาจากการติดเครื่องมือประมงทำให้จมน้ำ และสำลักน้ำเข้าปอดทำให้อ่อนแอ และปอดติดเชื้อแบบเฉียบพลันจนเสียชีวิต"กาญจนา เผยที่มาความสลด ภารกิจ "คณะนักวิจัยกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก" เพื่อติดตามการเดินทางกลับบ้านอีกครั้งของเจ้าพะยูนยังคงดำเนินต่อไป เพื่อหาหนทางสร้างเครื่องการันตีว่าฝูงพะยูนจะไม่หนีไปจากเกาะภูเก็ตซ้ำรอยเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้ง



* news_img_8636_1.jpg (34.35 KB, 460x289 - ดู 719 ครั้ง.)

* ภาพพะยูน.jpg (46.22 KB, 460x308 - ดู 999 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 22, 2009, 04:21:20 AM โดย สายรุ้ง » บันทึกการเข้า
สายรุ้ง
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 838


« ตอบ #7 เมื่อ: มกราคม 22, 2009, 04:24:43 AM »

ตื่นเต้นค่ะ ตื่นเต้น  เจอเรื่องนี้ในหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ  ปรกติจะอ่าน จุดประกายทุกวัน  วันนี้เจอเรื่องนี้

ดีใจจนต้อง เอามา บอกกล่าวเล่าต่อ ในทุกๆท่านได้ทราบ

คิดในใจอยู่ว่า เอาใจช่วยคณะนักวิจัยกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก กลุ่มนี้ค่ะ  เลยอยากให้ทุกคน ช่วยกันเป็นกำลังใจ เพื่อ พะยูน

ด้วยค่ะ   
บันทึกการเข้า
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #8 เมื่อ: มกราคม 22, 2009, 04:31:28 AM »


หนูสายรุ้งจ๋า....วันนี้...คุณสายน้ำนำเรื่องเดียวกันนี้ไปลงไว้ในห้องสรรพชีวิตฯแล้วอ่ะจ้ะ....  

แต่ไม่เป็นไร...ลงในห้องข่าวด้วยก็ได้....
บันทึกการเข้า

Saaychol
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.112 วินาที กับ 20 คำสั่ง