กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 13, 2025, 05:31:48 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15 16 ... 18   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วิกฤต : โลกร้อน (2)  (อ่าน 156465 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #195 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2007, 12:37:13 AM »


อียูวอนลดก๊าซแก้โลกร้อน

 สหภาพยุโรป หรืออียู เสนอให้มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้จริงจังมากขึ้นเมื่อวันอังคาร ซึ่งข้อเสนอดังกล่าว มีขึ้นในขณะที่ เกือบ 190 ประเทศ ซึ่งจัดการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ได้เริ่มร่างรายละเอียดเบื้องต้นในกระบวนการระยะยาวเพื่อเห็นชอบข้อตกลงที่จะนำมาใช้แทนพิธีสารเกียวโต ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก่อนจะหมดอายุลงในปี 2555
 
แต่ขณะที่ประเทศร่ำรวยถกเถียงกันเกี่ยวกับวิธีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทำให้โลกตกอยู่ในอันตราย กลุ่มประเทศยากจนกล่าวว่า พวกเขาจำเป็นต้องได้รับเงินสนับสนุนเพิ่มอีกหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐในการต่อสู้กับปัญหาโลกร้อน
 
ในความพยายามที่จะกระตุ้นหลายชาติ เช่นสหรัฐ ซึ่งยังลังเลที่จะให้คำมั่นผูกพันตัวเองในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อียูก็เรียกร้องให้ชาติร่ำรวยร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ร้อยละ 30 ภายในปี 2563 ซึ่งชาติร่ำรวยให้คำมั่นว่าจะลดร้อยละ 20 แต่ก็ย้ำว่า จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 30 หากประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ ตกลงทำตามเงื่อนไขเดียวกันภายใต้ข้อตกลงฉบับใหม่
 
ส่วนบรรดาประเทศยากจน แถลงว่า ข้อตกลงฉบับใหม่ใด ๆ ก็ตามที่จะพึงเกิดขึ้น ต้องเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินให้พวกเขา โดยพวกเขาระบุว่า ระดับความช่วยเหลือในปัจจุบันเป็นการหมิ่นประมาท เพราะประเทศร่ำรวยสนับสนุนเงินในกองทุนของสหประชาชาติเพียง 67 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อช่วยชาติยากจนต่อสู้กับภัยโลกร้อน นายที ซุม ผู้แทนจากสำนักงานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของกัมพูชา กล่าวว่า เราไม่มีเงินเพียงพอที่จะมารับมือกับผลกระทบดังกล่าวได้ เราจำต้องเรียกร้องชาติร่ำรวยให้จัดสรรเงินเพื่อประโยชน์ในการนี้.
 


จาก                 :             เดลินิวส์    วันที่ 6 ธันวาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #196 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2007, 12:44:19 AM »


ภัยเงียบ'ทะเลกรด'จากคาร์บอน คุกคามโลก

นักวิชาการเตือนรับมือทะเลกรดภัยเงียบโลกร้อน ทำคาร์บอนละลายในน้ำส่งผลกระทบสิ่งมีชีวิตทั้งหอยเม่น สาหร่าย แพลงตอนพืช-สัตว์ ห่วงเปลือกหอย ปะการังละลาย ศูนย์สตาร์ทเผยคนเมืองกรุงสร้างคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึงปีละ 20 ตัน

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 12 ธันวาคม คณะประมงร่วมกับโครงการ ธิงค์ เอิร์ธ โกลเบิล (Think Earth Think Global) เชิญ ดร.ไมค์ แคนดอล ผู้เชี่ยวชาญด้านทะเลจากพลีมัธ มารีน แลบอราทอรีส (Phy mouth MarineLaboratory Department of Environment) แห่งสหราชอาณาจักร มาเสวนาประเด็นพิเศษ เรื่อง ทะเลกรด ภัยเงียบจากโลกร้อน ณ ห้องประชุม ดร.ถาวร พรประภา บริษัทนิสสัน ตรงข้ามสนามกีฬาแห่งชาติ

ดร.ธรณ์กล่าวว่า ภาวะโลกร้อนเกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นตัวหลักในก๊าซเรือนกระจก ปริมาณก๊าซเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้นมีส่วนเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเร็วขึ้น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นร้อยละ 48 ไม่ได้อยู่ในอากาศ แต่ละลายลงไปอยู่ในน้ำ และเกือบทั้งหมดอยู่ในน้ำทะเล เพราะน้ำในโลกร้อยละ 98 คือ น้ำทะเล ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายลงไปในน้ำทำให้ค่าความเป็นกรดด่างเปลี่ยนไป

'จากเดิมที่น้ำทะเลจะมีค่าความเป็นกรดด่าง หรือค่าพีเอช (pH) ประมาณ 8-8.1 หรือมีสภาพค่อนไปทางด่างเล็กน้อย ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา สัตว์ทะเลทั้งหมดจะมีวิวัฒนาการมาจากความเป็นกรดด่าง แต่เมื่อปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรรยากาศ ถึง 48% ตกลงไปในทะเล ทำให้ค่าความเป็นกรดด่างในทะเลเปลี่ยนไปด้วย คือ จากเดิมที่มีค่าค่อนไปทางด่างเล็กน้อย ก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นกรดมากขึ้น ทำให้ทะเลมีปรากฏการณ์กลายเป็น 'ทะเลกรด' ในที่สุด'

ดร.ธรณ์กล่าวว่า เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนน้ำอัดลม ที่มีส่วนประกอบของน้ำหวานกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ช่วยทำให้น้ำอัดลมมีรสซ่า ซึ่งทางสาธารณสุขจะเตือนกันว่าอย่ากินน้ำอัดลมมากเกินไป หรืออย่ากินน้ำอัดลมก่อนนอนโดยที่ไม่ได้แปรงฟัน เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเป็นตัวการในการกัดกร่อนฟัน ทำให้ฟันผุได้

ดร.ธรณ์กล่าวว่า ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังเป็นห่วงเรื่องนี้กันมาก เพราะผลกระทบจากปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มมากขึ้น และทำให้นั้นจะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลด้วย เพราะค่าความเป็นกรดด่างที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยจะทำให้วิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตในทะเลจะเปลี่ยนไปด้วย

'จากการตรวจสอบพบว่าขณะนี้ค่าความเป็นกรดด่างในทะเลขยับจาก 8-8.1 ไปอยู่ที่ 7.8-7.9 แล้ว และมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หากว่าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ลดลง คาดว่าภายในระยะเวลา 50 ปี นับจากนี้ ค่าความเป็นกรดด่างจะกลายเป็น 7.6 หรือมีความเป็นกรดมากขึ้นอย่างชัดเจน' ดร.ธรณ์กล่าว

ด้าน ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (START) กล่าวว่า ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศจะทำปฏิกิริยากับน้ำ กลายเป็นคาร์บอเนต หรือทำให้น้ำมีสภาพเป็นกรดไม่ใช่เรื่องใหม่ในแวดวงวิทยาศาสตร์ แต่เป็นเรื่องที่น่าห่วง เพราะอะไรที่เป็นการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติแล้วทำให้ความสมดุลหายไปย่อมน่าห่วงทั้งสิ้น

'จากข้อมูลตัวเลขที่ศึกษามาพบว่าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศประมาณ 50-70% จะละลายในน้ำ ทำปฏิกิริยากลายเป็นคาร์บอเนต ก่อให้น้ำทะเลมีสภาพเป็นกรด หากวันใดที่ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ไปถึง 500 ppm ก็จะยิ่งเพิ่มปริมาณการละลายของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำมากขึ้น'

ดร.อานนท์กล่าวว่า ปฏิกิริยานี้จะทำให้หินปูนละลายมากขึ้น ลำพังเปลือกหอยและปะการังยังไม่น่าห่วงนัก แต่หอยเม่น สาหร่ายสีแดงบางชนิด แพลงตอนพืช แพลงตอนสัตว์ที่มีส่วนประกอบของหินปูนเป็นหลักหลายชนิดจะได้รับผลกระทบอย่างสูง และจะเป็นผลพวงส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นที่ต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ด้วย แต่เมื่อใดความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศสูงถึง 1,000 ppm จึงจะทำให้เปลือกหอย ปะการังละลาย

ดร.อานนท์กล่าวว่า ตัวเลขล่าสุด ความเข้มข้นปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 380 ppm เฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 1-2 ppm สำหรับประเทศไทยนั้น ทางศูนย์สตาร์ทได้ทำรายงานวิเคราะห์ภาพรวมภาวะโลกร้อนนำเสนอกรุงเทพมหานคร (กทม.) จากการประเมินเก็บข้อมูลการใช้พลังงานของคนไทยโดยภาพรวม คิดจากค่าไฟฟ้า ตัวเลขการขายน้ำมันจากหัวจ่าย พบว่า โดยเฉลี่ยทั้งประเทศคนไทยผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 320 ล้านตัน เฉลี่ยต่อหัวต่อคนปีละ 4-5 ตัน แต่เมื่อคิดเฉพาะคน กทม.แล้วพบว่าสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ถึงปีละ 20 ตัน ถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับคนญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในประเทศอุตสาหกรรม โดยคนญี่ปุ่นทั้งประเทศมีการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่าคน กทม.เล็กน้อยเท่านั้น



จาก                 :             ผู้จัดการออนไลน์     วันที่ 6 ธันวาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #197 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2007, 12:41:55 AM »


โลกร้อน
 
ปัญหาโลกร้อนกำลังเป็นเรื่องใหญ่ของสังคมโลก ไม่ใช่ ของประเทศใดประเทศหนึ่ง เมื่อโลกร้อนเกินปกติ นั่นหมายความว่า ธรรมชาติได้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะน้ำมือของมนุษย์

เมื่อโลกร้อนขึ้น ปรากฏการณ์ที่ชัดเจนคือ ภูเขาน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ-ใต้ละลายอย่างรวดเร็วและผิดปกติ ทำให้น้ำแข็งที่ละลายกลายเป็นน้ำ ทำให้ปริมาณน้ำทะเลในโลกนี้มากขึ้น ถึงกับพูดกันว่าน้ำจะท่วมโลก แผ่นดินจะหาย

เมืองไทยก็ด้วยครับ...ไม่ใช่แค่ประเทศอื่นๆเท่านั้น

นั่นคือสิ่งที่น่าวิตกห่วงใย แม้ว่าภาวะน้ำท่วมโลกที่ว่านั้นจะยังไม่เกิดในใกล้ๆนี้ แต่ในอนาคตต่อไปมีสิทธิที่จะเกิดขึ้น เวลานี้แม้ผืนดินติดชายทะเลของไทยหลายแห่ง แม้กระทั่งกรุงเทพฯก็เกิดภาวะนี้เช่นเดียวกัน

ภาวะโลกร้อนไม่ใช่ปัญหาของประเทศหนึ่งประเทศใด แต่ทุกประเทศจะต้องร่วมมือกันแก้ไข เพราะมันเป็นปัญหาของโลกที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์

นอกจากจะทำให้โลกร้อนผิดปกติ เกิดภาวะน้ำมากแล้ว ยังเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติอีกหลายๆอย่าง ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เกิดอุทกภัยร้ายแรง ภาวะความแห้งแล้ง ความอดอยาก และการสูญพันธุ์ของสัตว์ป่า

เหนืออื่นใด ได้มีการรณรงค์แก้โลกร้อนในหลายระดับ ทั้งต่างประเทศและประเทศไทย เพื่อจี้ต่อมสำนึกให้ร่วมมือกันแก้ไข นายอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯดูเหมือนจะเป็นหัวหอกในเรื่องนี้ จนได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพมาแล้ว

ล่าสุดมีการประชุมที่บาหลีเพื่อหามาตรการแก้ปัญหาโลกร้อนที่จะต่อเนื่องกับข้อตกลง “เกียวโต” มีหลายประเทศร่วมลงนามที่จะลดการปล่อยก๊าซที่ทำให้เกิด ภาวะเรือนกระจกอันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้โลกร้อน

ทั้งนี้ ตั้งเป้าเอาไว้ว่าตั้งแต่ปี 2551-2555 ประเทศที่ลงนามในข้อตกลงนี้จะลดการปล่อยก๊าซขึ้นสู่อากาศให้ลดลง 5% ในห้วงระยะนี้

และต้องการให้ทุกประเทศลงนามในข้อตกลงนี้ โดยเฉพาะประเทศที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศจำนวนมาก

เรียงลำดับแล้วปรากฏว่า สหรัฐฯมาอันดับ 1 ซาอุดีอาระเบีย มาที่ 2 และออสเตรเลียมาอันดับ 3

ปรากฏว่า ออสเตรเลียโดยนายกฯคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งได้ลงนามในข้อตกลงนี้ แต่ซาอุฯกับสหรัฐฯยังไม่ยินยอม โดยเฉพาะสหรัฐฯนั้นมีปัญหามาก และคัดค้าน การกำหนดปริมาณก๊าซในอากาศ

สหรัฐฯนั้นเป็นประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีการปล่อยก๊าซจำนวนมาก ซาอุฯก็ผลิตน้ำมัน ก็ปล่อยก๊าซมาก หรือแม้กระทั่งออสเตรเลียที่ดูว่าประเทศนี้น่าจะมีสิ่งแวดล้อมที่ดี โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ก็ไม่มากนัก

แต่การทำปศุสัตว์ก็เป็นตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดก๊าซในบรรยากาศด้วย

เหนืออื่นใดประเทศในกลุ่มอียูหรือยุโรปดูเหมือนจะวิตกทุกข์ร้อนกับเรื่องนี้มาก แต่ส่วนใหญ่ประเทศเหล่านี้มีการป้องกันที่ดีอยู่แล้ว เพราะมองเห็นภัยที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่คิดแต่หวังร่ำรวยเพียงอย่างเดียว

แน่นอนว่าประเด็นนี้ทำให้สหรัฐฯต้องคิดหนัก เพราะหากกำหนดปริมาณก๊าซในอากาศก็คงต้องมีการปรับการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร

และที่ชัดเจนก็คือ จะต้องเสียกำไรไปพอสมควร

แต่ก็ต้องช่วยกันผลักดันให้สหรัฐฯยอมรับความจริงและเห็นแก่ประชาคมโลก ศีลธรรมและมนุษยธรรมด้วย

และพิสูจน์ธาตุแท้ “ทุนใหญ่” ของโลกใบนี้ด้วย
 
 

จาก                 :          ไทยรัฐ    วันที่ 18 ธันวาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #198 เมื่อ: มกราคม 01, 2008, 12:21:55 AM »


โลกร้อน...มหันตภัยถล่มมนุษยชาติปีหนูทดลอง


 
โลกร้อน...

ปรากฏการณ์ที่สร้างความหวาดผวาต่อมนุษยชาติ


ทั้งๆที่หลายปีที่ผ่านมา ธรรมชาติได้ส่งสัญญาณเตือนถึงมหันตภัยภัยที่จะเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จากปรากฏการณ์เรือนกระจก ก๊าซเรือนกระจก ที่ส่งผลให้สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง หรือ Climate Change แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่สำเหนียกถึงหายนภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัว และพร้อมจะคุกคามโลก

ขนาดเกิดกรณี น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายและจะทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น รวมถึงปรากฏการณ์อื่นๆที่ส่งผลกระทบต่อความสมดุลทางธรรมชาติ หลายคนยังฟังเพียงผ่านๆ และคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว

แต่ยิ่งนานวันผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศจากสภาวะโลกร้อน ก็ยิ่งพ่นพิษรุนแรง และลุกลามเพิ่มขึ้น แม้จะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น เกิดสภาวะ เย็นจัดผิดปกติ น้ำท่วมมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เกิดไฟป่าบ่อยขึ้น ความแห้งแล้งยาวนานขึ้น ฤดูหนาวไม่หนาวจัด ฤดูใบไม้ผลิมาถึงเร็วขึ้น ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงช้าลง ต้นไม้ออกดอกเร็วขึ้น โรคภัยไข้เจ็บลุกลาม ปะการังฟอกขาว การทับถมของหิมะลดลง สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกหายไป พืชและสัตว์ต่างถิ่นรุกราน แนวชายฝั่งสึกกร่อน ป่าในเขตภูเขาสูงแห้งแล้ง ฯลฯ

ความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน จากภัยทางธรรมชาติเหล่านี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า และทุกครั้งก็เหมือนจะยิ่งเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ คือ การยืนยัน และตอกย้ำชัดเจนจนไม่อาจปฏิเสธได้แล้วว่า

วิกฤตการณ์โลกร้อน....เปิดฉากคุกคามมนุษยชาติอย่างหฤโหด!

และวันนี้ภัยธรรมชาติ กลายเป็นภัยใกล้ตัวของสังคมโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว

ผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นอย่างมากมาย และเกือบจะทั่วทุกมุมโลก ทั้งเพิ่มความซับซ้อนยากต่อการทำนาย

แต่ที่แน่นอนที่สุด คือ ปัญหาโลกร้อนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะหาต้นเหตุหรือต้นตอของปัญหาจากทฤษฎีใดก็ตาม คำตอบสุดท้าย คือ มนุษย์เป็นตัวการสำคัญของปัญหาโลกร้อน!

พวกเราต่างพากันปล่อยปละละเลย ไม่ดูแลปกป้องรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซ้ำร้ายกลับช่วยกันคนละไม้คนละมือสร้างมลพิษ จากการใช้น้ำมัน การปล่อยสารพิษ สารเคมี การตัดไม้ทำลายป่า เป็นต้น ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็ว และก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกที่ผิดปกติขึ้น รวมทั้งก๊าซชนิดอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติดักจับความร้อนออกไปยังบรรยากาศของโลก ก๊าซเหล่านี้จะรวมตัวกันจนกลายเป็นผ้าห่มหนาๆ ดักจับความร้อนของดวงอาทิตย์ และทำให้โลกมีอุณหภูมิร้อนขึ้น ยิ่งก๊าซเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น ความร้อนก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จนกระทั่งกลายเป็นปัญหาโลกร้อน หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ผิดปกติ หรือมีความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นทั่วโลก

ประเทศไทยเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงจากภาวการณ์นี้ไปได้ จากความผิดปกติของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา นั่นก็คือ ภาวะฝนตกน้ำท่วมขนาดหนักในหลายพื้นที่ การไม่มีฤดูหนาวและฤดูร้อนที่ร้อนมาก หรือกระทั่งแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง



ขณะที่แนวโน้มของสภาพภูมิอากาศในระยะเวลาประมาณ 40 ปี และ 70 ปีข้างหน้า นักวิชาการจากหลายสำนัก ระบุไปในทิศทางใกล้เคียงกันว่า ประเทศไทยจะมีฝนมากขึ้นในเกือบทุกภาค ส่วนอุณหภูมิสูงสุดและต่ำสุดในประเทศไทยจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก อาจเพิ่มสูงขึ้นหรือลดลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส แต่จำนวนวันที่อากาศเย็นจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในทางกลับกันจำนวนวันที่อากาศร้อนก็จะเพิ่มขึ้นขณะที่ในช่วงเวลาปีต่อปี จะยังคงมีความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศอยู่ เช่น บางปีฝนชุก บางปีแล้งจัด หรือบางปีร้อนมาก เป็นต้น แต่ที่น่าห่วง คือ ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศเหล่านี้อาจจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต

ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์ เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลก แห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (START) จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย กล่าวถึงผลกระทบจากปัญหาโลกร้อนว่า สภาพภูมิอากาศของประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆ จากการศึกษาแบบจำลองสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยในอีก 30-80 ปี พบว่า จำนวนวันร้อนที่สูงกว่า 33 องศาเซลเซียส จะมีมากขึ้นประมาณ 30-60 วันต่อปี จากปกติ 20 วันต่อปี จังหวัดที่มีวันร้อนมากที่สุด คือ อุทัยธานี เนื่องจากมีพื้นที่อยู่ในหุบเขา รองลงมาคือ นครสวรรค์ สำหรับจำนวนวันเย็นที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส จะมีประมาณ 20-30 วันต่อปี จากเดิมประมาณ 30-40 วันต่อปี โดยจังหวัดที่อยู่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันตกจะมีจำนวนวันเย็นมากที่สุด

“ภาวะโลกร้อนยังส่งผลกระทบต่อแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ฤดูน้ำหลากเปลี่ยนแปลงไป โดยในเดือน พ.ย.-ธ.ค. จะมีปริมาณน้ำมากกว่าที่ผ่านมาถึงร้อยละ 40 เนื่องจากทั้งปริมาณน้ำฝน น้ำเหนือ และน้ำทะเลหนุน ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นกว่าที่ผ่านมา จะส่งผลทำให้กรุงเทพฯ และปริมณฑลเกิดน้ำท่วมง่ายและถี่ขึ้น” ดร. อานนท์กล่าวย้ำ

วิกฤติโลกร้อน ไม่เพียงแต่ ส่งผลกระทบต่อมนุษย์โดยตรง แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศต่างๆ รวมถึงผลผลิตทาง การเกษตร การแพร่ระบาดของแมลงศัตรูพืชหลายชนิด

และที่หลายคนอาจจะลืมนึกถึง นั่นคือผลกระทบที่สำคัญอันเกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์ในเชิงสุขภาพอนามัย จากภาวะโลกร้อนที่จะนำมาซึ่งโรคอุบัติใหม่



ศ.ดร.นพ.สมชัย บวรกิตติ สำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน กล่าวถึงสถานการณ์โรคที่มากับภาวะโลกร้อนว่า ภาวะโลกร้อนจะทำให้อัตราการเป็นโรคมะเร็งปอดเพิ่มสูงขึ้น อันเนื่องมาจากการสูดก๊าซเรดอน (Radon) ซึ่งเป็นภาวะก๊าซที่เกิดขึ้นในพื้นดินแทรกซึมผ่านรอยแตกของตึก อาคาร บ้านเรือนที่ก่อสร้างพื้นบ้านติดดิน เป็นที่นิยมกันทั่วไป หากเทียบอัตรา ส่วนกับบ้านเรือนสมัยก่อนที่นิยมสร้างบ้านลักษณะยกพื้นสูง คนสมัยก่อนจึงมีความเสี่ยงต่ำในการเป็นมะเร็งปอด น่าตกใจว่าปัจจุบันมีคนเป็นโรคนี้เพิ่มขึ้นถึงวันละ 5 ราย

ศ.ดร.นพ.สมชัยอธิบายด้วยว่า ภาวะพิษทางอากาศจะส่งผลกระทบต่อมนุษย์ผ่านทางระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะผู้ที่ไวต่อสารเหล่านั้นจะมีผลให้มีอาการของโรคทางเดินหายใจ และที่เป็นอยู่แล้วจะมีอาการรุนแรงมากขึ้น ในผู้ที่มีโรคปอดหรือโรคหัวใจจะมีความอึดต่อการออกกำลังลดลง สำหรับผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ มลพิษทางอากาศที่เกิดจากโลกร้อน จะเป็นปัญหาสำคัญของชุมชนเมืองใหญ่และเมืองอุตสาหกรรม

ภาวะโลกร้อนยังเป็นสาเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคเขตร้อน ทำให้เกิดความชุกเพิ่มขึ้นในประเทศ และแพร่ขยายออกไปสู่ประเทศที่อยู่เหนือขึ้นไปที่ไม่เคยมีการระบาดมาก่อน ทั้งนี้ เนื่องจากผลของการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาของพาหะนำโรค เช่น โรคมาลาเรีย โรคไข้เลือดออกเดงกี โรคสมองอักเสบติดเชื้ออาร์บอไวรัส ที่มียุงเป็นพาหะนำโรค เพราะยิ่งอุณหภูมิโลกสูงขึ้นก็ยิ่งเหมาะแก่การนำพาโรคและออกหากินบ่อยขึ้น

ขณะที่ นพ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า จากการประชุมประเมินสถานการณ์การระบาดของโรคติดต่อ จากภาวะโลกร้อนในระดับนานาชาติ มีความกังวลถึงผลกระทบด้านสุขภาพ เนื่องจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากยุงเป็นพาหะ เช่น ไข้เลือดออก มาลาเรีย รวมทั้งโรคจากอาหารและน้ำ เช่น อหิวาห์ตกโรค ไทฟอยด์ บิด อาหารเป็นพิษ เป็นต้น นอกจากนี้สภาพอากาศที่ร้อนชื้นยังทำให้แบคทีเรียในอากาศมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ มีโอกาสในการแพร่ระบาดสูง ในอนาคตมีความเป็นไป ได้ว่าโรคเหล่านี้หากไม่รีบรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ อาจมีโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 60%

“โรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่ต้องจับตามองมากที่สุด เพราะนอกจากยังไม่มียาหรือวัคซีนในการรักษาแล้ว ปัจจุบันยังพบว่ายุงลายซึ่งเป็นพาหะสำคัญของโรค ซึ่งเคยออกหากินเฉพาะแต่ในเวลากลางวัน ได้เปลี่ยนมาออกหากินในเวลาพลบค่ำจนถึง 5 ทุ่ม ทำให้ยากต่อการป้องกันหรือวินิจฉัยโรค ปัญหาโลกร้อนจึงเป็น 'มหันตภัยแห่งอนาคตของมนุษยชาติ' อย่างแท้จริง และสังคมไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายของสภาพอากาศ” นพ.ธวัชแสดงความห่วงใย



จากวิกฤติมหันตภัยทางธรรมชาติที่เพิ่มความรุนแรงและขยายวงมากขึ้นทุกที ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม มองว่า การยุติปัญหาโลกร้อนเป็นหน้าที่ของมนุษยชาติทุกคน โดยไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา อายุ อาชีพ หรือฐานะความร่ำรวย หรือยากจน แต่ทุกคนต้องมีจิตสำนึกและเริ่มต้นปรับตัว ปรับใจ และปรับวิธีการใช้ชีวิตเพื่อร่วมกันป้องกัน และแก้ไขมหันตภัยที่คืบคลานเข้าคุกคามมนุษยชาติ

โดยเฉพาะเรามองว่า หัวใจในการแก้วิกฤติครั้งนี้ คือ การดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริ “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการรู้จักใช้ชีวิตอย่างพอเพียง

ที่เริ่มได้ตั้งแต่ส่วนเล็กที่สุด คือ ตัวเอง ครอบครัว ชุมชน ประเทศ และสังคมโลก ด้วยการร่วมแรงร่วมใจลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปรับเปลี่ยนวิธีการใช้พลังงานน้ำมัน หาพลังงานทดแทน สกัดกั้นการตัดไม้ทำลายป่า ทั้งต้องปลูกป่าเพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญคือ มนุษย์ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมและรักธรรมชาติ

เพราะการรักษาความสมดุลของธรรมชาติไม่ให้ถูกย่ำยี หรือทำร้ายเกินกว่าความจำเป็นในการดำรงชีวิตของมนุษย์ น่าจะเป็นหัวใจในการช่วยปกป้องโลกใบนี้ให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด

หรือต้องรอให้เกิดโศกนาฏกรรม ที่ต้องสังเวยด้วยชีวิตอีกกี่สิบกี่ร้อยล้านคน

อย่าสร้างตราบาปให้คนรุ่นลูกหลานจดจำว่า มหันตภัย...โลกร้อน เกิดจากน้ำมือและน้ำใจของคนรุ่นปัจจุบันเลย!!!

 
 
จาก                    :                   ไทยรัฐ   วันที่ 1 มกราคม  2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #199 เมื่อ: มกราคม 01, 2008, 12:34:57 AM »


2007 ปีแห่งสารพัดการเปลี่ยนแปลง เพื่อแก้ "โลกร้อน"


น้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้นอันเป็นผลจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไป

        ตั้งแต่หัวปียันท้ายปีไม่มีใครไม่พูดถึงภาวะโลกร้อนและเหตุเภทภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรอบปี ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่สังเกตเห็นชัดเจน หรือการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองที่สามารถสัมผัสได้ เรียกได้ว่าขณะที่ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง สรรพสิ่งก็เปลี่ยนตาม
       
       หิมะตก น้ำแข็งขั้วโลกละลาย น้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น พายุไต้ฝุ่นรุนแรง ภัยแล้งที่เพิ่มทวีคูณ หรือแม้แต่เส้นทางเดินเรือผ่านขั้วโลกเหนือที่หลับใหลใต้ทานน้ำแข็งมายาวนานก็ปรากฏให้ชาวโลกเห็น เหล่านี้เป็นผลอันเกิดจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนที่ควรจะเป็น ก่อให้สิ่งอื่นๆ ต้องเปลี่ยนไปตามสภาพการณ์ จำนวนประชากรที่อดอยาก ไร้แหล่งพักพิงเพิ่มมากขึ้น และโรคภัยไข้เจ็บที่แพร่กระจายไปทุกหย่อมหญ้า แถมยังจุดประกายให้เกิดแฟชั่นใหม่ระบาดไปทั่วบ้านทั่วเมืองกับแฟชั่น "กระเป๋าผ้า" ลดโลกร้อน


น้ำแข็งขั้วโลกละลาย เผยให้เห็นเส้นทางเดินเรือตะวันตก บริเวณวงกลมกลางภาพคือนอร์ธโพล เส้นสีส้มคือเส้นทางเดินเรือฝั่งตะวันตกที่ผ่านอาณาเขตของแคนาดา และเส้นสีฟ้าคือเส้นทางเดินเรือฝั่งตะวันออกที่ผ่านบริเวณชายฝั่งรัสเซีย
       
       คณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือไอพีซีซี (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ผู้มีบทบาทสำคัญต่อการให้ข้อมูลและสร้างความตระหนักให้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับสภาพการของภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง อันก่อให้เกิดความปั่นป่วนไปทั่วโลก จนได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2550 เป็นสิ่งตอบแทน ร่วมกับอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อัล กอร์ (Al Gore)
       
       ย้อนกลับไปช่วงกลางปี ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำของกลุ่มจี 8 (G8) เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา จอร์จ ดับเบิลยู บุช (George W. Bush) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และร่วมกับประเทศร่ำรวยอีกหลายประเทศในยุโรปให้คำปฏิญาณว่าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งในปี 2593
       
       พอเข้าสู่เดือน ก.ค. นักร้องนักแสดงชั้นนำในประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างร่วมทำกิจกรรมไลฟ์เอิร์ธคอนเสิร์ต (Live Earth concert) เพื่อโลกสีเขียวของเรา ถัดมาเดือน ก.ย. บัน คี-มุน (Ban Ki-moon) เลขาธิการสหประชาชาติ ก็ประกาศว่าตอนนี้หมดเวลาสงสัยเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนแล้ว สิ่งที่ต้องเร่งมือทำคือการรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงเดิมไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานสืบไป
       
       และที่เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ กับการประชุมสหประชาชาติภายใต้กรอบอนุสัญญาแม่บทว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (UN Framework Convention on Climate Change : UNFCCC) ที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซียเมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค. ที่มีผู้เข้าร่วมประชุมจากกว่า 190 ประเทศทั่วโลก เพื่อเตรียมการบรรเทาภาวะโลกร้อนภายหลังพีธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) หมดอายุลงในปี 2555


ความแห้งแล้งกำลังคืบคลานประชากรโลก
       
       ประชาชนต่างเข้าใจดีว่าปัญหาภาวะโลกร้อนก่อให้เกิดผลอย่างไรบ้าง แต่ผู้เชี่ยวชาญต่างเป็นห่วงกันว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จะก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงและมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ในไม่ช้า
       
       การเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลในประเทศอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ของโลกเป็นมูลเหตุหนึ่งที่ทำให้ภูมิอากาศผิดเพี้ยน นอกจากจะเป็นการจุดประกายให้หลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาหันหน้าหาแหล่งพลังงานสะอาดมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีข้อตกลงให้ประเทศร่ำรวยที่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมหาศาลเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลเสียที่เกิดขึ้นด้วย
       
       หลังจากนี้อีก 2 ปี ขณะที่เวลาของการเจรจาเรื่องภูมิอากาศโลกถึงคราวหยุดชะงักเพื่อที่จะเดินหน้าต่อ เจ้าหน้าที่ของประเทศต่างๆ จะต้องออกมาเจรจาต่อรองผลประโยชน์และหลักปฏิบัติในการลดภาวะโลกร้อนกันอย่างจริงจังอีกครั้ง และอาจมองไม่เห็นทางสว่างในการแก้ปัญหาได้เลยหากบุชคัดค้านข้อตกลงลักษณะเดียวกับพิธีสารเกียวโตของนานาประเทศ


กระเป๋าผ้าลดโลกร้อนหลากสไตล์
       
       ประชากรโลกต่างสงสัยและตั้งคำถามขึ้นมาว่า หากเกิดเหตุลอบวางเพลิงในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ปกครองส่วนท้องถิ่นจะใช้เวลาถึง 2 ปี เพื่อหาวิธีควบคุมเพลิงเชียวหรือ
       
       "เราคงต้องพยายามดิ้นรนเพื่อรักษาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวอยู่แล้ว ทว่าช่องว่างระหว่างความจำเป็นของสิ่งที่ต้องกระทำกับผลประโยชน์ทางการเมืองกำลังขยายวงกว้างขึ้นทุกขณะ" บิล แฮร์ (Bill Hare) นักวิชาการของสถาบันวิจัยภูมิอากาศพอตสดัม (Potsdam Institute for Climate Research) เยอรมนี เป็นผู้ให้คำตอบ
       
       เขายังแสดงความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า หากสหประชาชาติเคลื่อนไหวช้าราวกับเต่าคลานเพียงเพราะต้องรอให้นานาประเทศเห็นเป็นเสียงเดียวกัน อาจไม่สามารถแก้ปัญหาเร่งด่วนอย่างภาวะโลกร้อนที่คุกคามไปทั่วโลกขณะนี้ได้เลย และอาจไม่มีอนาคตสำหรับพวกเราทุกคนอีกต่อไปก็ได้



จาก                    :                   ผู้จัดการออนไลน์   วันที่ 1 มกราคม  2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #200 เมื่อ: มกราคม 01, 2008, 12:50:37 AM »


หิ้งน้ำแข็งทำระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น 163 ซ.ม


ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง

  การก่อสร้างเขื่อนป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเล ที่บ้านปึก หมู่ 10 ต.นาทับ อ.จะนะ จ.สงขลา ไปจนถึงหมู่ 8 บ้านบ่ออิฐ ต.เกาะแต้ว อ.เมือง จ.สงขลา ระยะทาง 5 กิโลเมตร งบประมาณ 225 ล้านบาท เพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งในช่วงฤดูมรสุม 
สถาบันการศึกษาผลกระทบภูมิอากาศแห่งประเทศเยอรมันเผยผลศึกษา ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 163 ซ.ม. คาดปัญหากัดเซาะชายฝั่งในไทยรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยว ชายหาดมีโอกาสเสียหายหนัก

ดร.จิรพล สินธุนาวา อาจารย์คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหิดล เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา วารสาร เจอนอล เนเจอร์ จีโอ ไซอัน ซึ่ง เป็นวารสารที่ตีพิมพ์การค้นพบเรื่องใหม่ทางวิทยาศาสตร์ ได้ตีพิมพ์ผลงานขอนักวิทยาศาสตร์ 3 คน นำทีมโดย ดร.สเตฟาน แรมสตอป จากสถาบันการศึกษาผลกระทบภูมิอากาศแห่งประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็น หัวหน้าทีม ศ.แอลโก โรลลิง จากมหาวิทยาลัยเซาแทมตัน ประเทศอังกฤษ และนักวิจัยจากสหรัฐอเมริกา ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มประชาคมยุโรป ศึกษาติดตามเรื่อง ระดับน้ำทะเลอุณหภูมิที่เปลี่ยน แปลงของโลกและกระแสน้ำในมหาสมุทร จากอดีต ถึงอนาคตมีประเด็นที่น่าสนใจมากคือ

จากเดิมล่าสุด  ที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  (ไอพีซีซี) ได้สรุปรายงานการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศฉบับที่ 4 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ว่า ภายในปี ค.ศ.2100 หรือ พ. ศ.2643 ระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะเพิ่มสูงขึ้นอีก 32 นิ้ว หรือ ราว 88 เซนติเมตร จากปัจจัย 2 ประการ คือ การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก และการขยายตัวของน้ำในมหาสมุทรต่างๆ

ดร.จิรพล กล่าวว่า แต่จากการศึกษาล่าสุดที่รายงานใน วารสาร เจอนอล เนเจอร์ จีโอ ไซ อัน นั้น ระบุว่า ตัวเลขการเพิ่มขึ้นของน้ำทะเลที่ ไอพีพีซี รายงานนั้น ยังไม่ได้คำนวณจากปัจจัยที่สำคัญ มากอีกตัวหนึ่งคือ น้ำแข็งที่ตกลงมาจากยอดเขาบริเวณขั้วโลกใต้ลงมาในทะเลรอบมหาสมุทรแอนตา ร์กติค ซึ่งอุณหภูมิฤดูหนาวบริเวณขั้วโลกประมาณ –30 องศาเซลเซียสนั้น จะทำให้น้ำแข็งที่ตกลงมาไม่ ละลายน้ำ แต่จะเกาะติดแน่นเป็นทางตามลาดไหล่เขาไปจนถึงบริเวณชายฝั่ง ที่เรียกว่าหิ้งน้ำแข็ง และ บางส่วนหักจมอยู่ในทะเล เมื่อถึงฤดูร้อนอุณหภูมิขั้วโลกจะลดเหลือประมาณ –10 องศาเซลเซียส เป็น เหตุให้หิ้งน้ำแข็งเหล่านั้นละลาย

     “ปริมาณน้ำที่เคยเป็นหิ้งน้ำแข็ง และที่เคยหักเป็นก้อนอยู่ในทะเลในฤดูหนาวนั้นมีปริมาณหลายพัน ลูกบาศก์กิโลเมตร ซึ่งมากพอที่จะเพิ่มระดับน้ำทะเลให้สูงกว่าเดิมถึง 64 นิ้ว หรือ 163 เซนติเมตร ในปี ค.ศ.2100 หรือ พ.ศ.2643 นั้นแสดงว่า ไอพีพีซี คำนวณการเพิ่มของระดับน้ำทะเลพลาดไป 1 เท่าตัว เพราะไม่ได้เอาปัจจัยหิ้งน้ำแข็งมาคำนวณ จากผลการศึกษาชุดล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ชาวยุโรปทั้ง 3 คนนี้ คาดว่า เร็วๆนี้ ไอพีพีซี คงจะออกมาชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยตัวใหม่ที่ส่งผลถึงการเพิ่มขึ้น ของระดับน้ำทะเลทั่วโลก”ดร.จิรพล กล่าว

ดร.จิรพล กล่าวว่า ระดับน้ำทะเลที่จะเพิ่มขึ้น 163 เซนติเมตรนั้น เป็นระดับน้ำพื้นฐานในภาวะปกติ ยังไม่ รวมถึงกับปริมาณน้ำฝน และน้ำเหนือไหลหลาก อย่างไรก็ตาม ภาวะดังกล่าวจะเกิดขึ้นแบบค่อยๆเป็น ค่อยๆไป ไม่ใช่เมื่อถึงเวลาดังกล่าวแล้วน้ำจะขึ้นพรวดเดียว 163 เซนติเมตรเลย ผลเสียที่เกิดขึ้นคือ จะ ทำให้ปัญหาเรื่องการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรงมากขึ้น พื้นที่ทำการเกษตรที่อยู่ใกล้ชายทะเลก็จะได้รับ ความเสียหาย

      “สำหรับประเทศไทยซึ่งมีปัญหาเรื่องน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งหนักอยู่แล้ว ก็จะรุนแรงเพิ่มขึ้นมาอีก แหล่ง ท่องเที่ยวทางทะเลโดยเฉพาะชายหาดจะได้รับความเสียหายหนักขึ้น ประเทศที่จะต้องพึ่งพาสถานที่ดัง กล่าวต้องหาทางรับมือตั้งแต่ต้น”ดร.จิรพล กล่าว
 



จาก                    :                   กรุงเทพธุรกิจ   วันที่ 1 มกราคม  2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #201 เมื่อ: มกราคม 03, 2008, 01:06:30 AM »


หมอดินเตือนวิกฤติโลกร้อนทำอ่วม ระดับน้ำทะเลพุ่งปี๊ด-อุณภูมิสูง เตรียมพร้อมคลอดแผนบรรเทา 

 นายฉลอง เทพวิทักษ์กิจ รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดินด้านวิชาการ เปิดเผยว่า ภาวะโลกร้อนกำลังเป็นปัญหาสำคัญที่นานาประเทศให้ความสำคัญ และหาแนวทางแก้ไขเนื่องจากได้สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างในระดับท้องถิ่นและในระดับสากล โดยนักวิทยาศาสตร์ของ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) ระบุว่า หากยังคงมีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษย์ ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศในอัตราเพิ่มขึ้นจนเป็นสองเท่าของอัตราที่ปล่อยอยู่ในปัจจุบันภายในศตวรรษนี้แล้ว อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะสูงขึ้นประมาณ 3 องศาเซลเซียส ซึ่งในระยะ 100 ปีที่ผ่านมาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น 0.74 องศาเซลเซียส โดยเพิ่มขึ้นมากในช่วง 50 ปีหลัง จึงคาดการณ์ว่าใน 20 ปีข้างหน้า อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกอาจจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 0.2 องศาเซลเซียสต่อทศวรรษ

 ทั้งนี้ สำหรับประเทศไทยมีรายงานถึงผลกระทบจากภาวะโลกร้อน โดยผลการสำรวจล่าสุดระดับน้ำทะเลในฝั่งอันดามันสูงขึ้น 8-12 มิลลิเมตรต่อปี จึงมีผลต่อการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง และมีแนวโน้มว่าสถานการณ์ภัยธรรมชาติจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกขณะ

 ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงจัดทำแผนบรรเทาสภาวะโลกร้อนทางการเกษตรขึ้น โดยจัดให้มีการวิจัย ศึกษาจากแบบจำลองสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นประโยชน์ในการจัดทำระบบเตือนภัยและการทำนายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อรองรับและบรรเทาปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับเกษตรกรในอนาคต และเตรียมพร้อมในการจัดทำแผนรับมือกับปัญหาให้กับเกษตรกรและในการขอความร่วมมือกับ เกษตรกรในการสนับสนุนกิจกรรมการลดก๊าซเรือนกระจกด้วย โดยกรมพัฒนาที่ดิน มีหน้าที่เป็นผู้ประสานความร่วมมือ เพื่อรองรับผลกระทบในระยะสั้นและระยะยาว 



จาก               :                แนวหน้า   วันที่  3 มกราคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #202 เมื่อ: มกราคม 04, 2008, 12:12:21 AM »


"โลกร้อน"ภัยที่ทั่วโลกต้องร่วมแก้ไข


 
ผลการศึกษาของกลุ่มเยอรมนีวอทช์ ระบุว่า ในปี 2549 โลกเผชิญหายนภัยทางธรรมชาติ เช่น พายุและน้ำท่วม มากกว่าช่วง 2 ปีก่อน โดยเกิดภัยธรรมชาติถึง 953 ครั้ง เทียบกับ 716 ครั้ง ในปี 2548 และ 718 ครั้งในปี 2547

ในช่วงปี 2550 ที่ผ่านมา ทั่วโลกมีการเคลื่อนไหวสำคัญด้านภาวะโลกร้อนที่น่าจับตามอง เริ่มจากการเปิดเผยรายงานนำเสนอสถานการณ์ ผลกระทบ และแนวทางแก้ไขภาวะโลกร้อน รวม 4 ฉบับ ของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (ไอพีซีซี) ซึ่งบทบาทกระตุ้นให้ผู้คนทั่วโลกตระหนักถึงภัยภาวะโลกร้อนนี้ ทำให้ไอพีซีซีคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพไปครองร่วมกับอดีตรองประธานาธิบดีอัล กอร์ แห่งสหรัฐ

 เนื้อหาในรายงาน ซึ่งเป็นผลจากการรวบรวมงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์กว่า 400 คนทั่วโลก ระบุว่า อุณหภูมิของโลกได้เพิ่มขึ้นแล้ว 0.74 องศาเซลเซียสในรอบร้อยปีที่ผ่านมา และมนุษย์คือตัวการสำคัญที่ก่อภาวะโลกร้อน โดยหากปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข ผู้คนหลายพันล้านคนจะต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนน้ำ และอีกหลายร้อยล้านคนจะประสบภาวะขาดแคลนอาหาร หรือเกิดการย้ายถิ่นครั้งใหญ่

 รายงานชี้ด้วยว่า แม้ชาติพัฒนาแล้วจะมีบทบาทสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ชาติกลุ่มยากจนที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนน้อยสุดจะได้รับความเสียหายรุนแรงที่สุด  ขณะแนวโน้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกจะเพิ่ม 25-90% ภายในปี 2030 หากไม่มีการกำหนดนโยบายรับมือออกมา และหากโลกยังใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลต่อไป อัตราการปล่อยก๊าซอาจเติบโตถึง  40-110% โดย 2 ใน 3 ของการปล่อยก๊าซมาจากประเทศกำลังพัฒนาที่กำลังเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามรอยชาติร่ำรวย

 รายงานยูเอ็นได้รับการตอกย้ำจากผลการศึกษาของกลุ่มเยอรมนีวอทช์ ที่ระบุว่า ในปี 2549 โลกเผชิญหายนภัยทางธรรมชาติ เช่น พายุและน้ำท่วม มากกว่าช่วง 2 ปีก่อน โดยเกิดภัยธรรมชาติถึง 953 ครั้ง เทียบกับ 716 ครั้ง ในปี 2548 และ 718 ครั้งในปี 2547 และหากศึกษาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1950  พบว่าภัยธรรมชาติในรูปพายุเกิดเพิ่มขึ้นเท่าตัว ส่วนน้ำท่วมและภาวะอากาศสุดขั้ว เช่น คลื่นความร้อน และภัยแล้ง เกิดเพิ่ม 4 เท่า โดยชาติยากจนเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักสุด เช่น ฮอนดูรัส และนิการากัว ที่เผชิญเฮอริเคนหลายลูก ส่วนบังกลาเทศเผชิญพายุโซนร้อนที่สร้างความเสียหายอย่างหนักกับเศรษฐกิจ

 ภัยจากภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรง ทำให้ระหว่างวันที่ 3-14 ธ.ค. ที่ผ่านมา สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมว่าด้วยสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงที่เกาะบาหลี ของอินโดนีเซีย มีผู้แทนจากภาครัฐและเอกชนนับหมื่นจากเกือบ 190 ชาติเข้าร่วม เพื่อกำหนดแนวทางทำข้อตกลงโลกร้อนฉบับใหม่แทนพิธีสารเกียวโตที่จะหมดอายุในปี 2555

 ตามแผน การหารือเวทีนี้ต้องสิ้นสุดในวันที่ 14 ธ.ค. แต่เนื่องจากสหรัฐปฏิเสธที่จะผูกมัดตัวเองในการแก้ปัญหาโลกร้อน รวมถึงต่อข้อเสนอกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 25-40% สำหรับชาติพัฒนาแล้ว ของสหภาพยุโรป (อียู) ทำให้การหารือต้องยืดเยื้อออกไปอีกหนึ่งวัน กว่าจะบรรลุข้อตกลง ซึ่งเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า "แผนโรดแมพ" ปูทางสู่การทำข้อตกลงโลกร้อนฉบับใหม่ 

 ภายใต้แผนโรดแมพ ที่ประชุมกำหนดให้การจัดทำข้อตกลงโลกร้อนฉบับใหม่ได้ข้อสรุปภายในสิ้นปี 2552 เพื่อปูทางสู่การเริ่มปรับใช้ในปี 2555 เมื่อพิธีสารโลกร้อนเกียวโตหมดอายุ นอกจากนั้น ทั้งชาติพัฒนาแล้วและชาติกำลังพัฒนาจะต้องร่วมมือกันต่อสู้กับภาวะโลกร้อน หลังจากในพิธีสารเกียวโตกำหนดให้เฉพาะชาติอุตสาหกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 5% ภายในปี 2555 อันเป็นไปตามแนวคิดที่ว่า ชาติที่ก่อปัญหาปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอดีตจะต้องเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา

 อย่างไรก็ตาม แม้ข้อตกลงใหม่จะดึงชาติกำลังพัฒนาเข้ามาร่วมรับผิดชอบมากขึ้น แต่ระดับความรับผิดชอบจะยังแตกต่างกัน โดยชาติร่ำรวยจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอัตราสูงกว่าชาติยากจน ซึ่งประเด็นนี้สหรัฐพยายามกดดันให้จีนและอินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในชาติปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก เข้ามาร่วมรับผิดชอบมากขึ้น ซึ่งหากทำได้จริง สหรัฐก็อาจยอมให้สัตยาบันข้อตกลงโลกร้อนฉบับใหม่ หลังจากเป็นชาติอุตสาหกรรมเพียงชาติเดียวที่ไม่ยอมให้สัตยาบันพิธีสารเกียวโต เนื่องจากวิตกว่าจะกระทบการเติบโตทางเศรษฐกิจ และไม่พอใจที่จีนในฐานะชาติกำลังพัฒนา อยู่ในข่ายไม่ต้องร่วมลดการปล่อยก๊าซ

 ในช่วงต้นของการหารือที่บาหลี สหรัฐยังคัดค้านเนื้อหาบางส่วนของข้อตกลง ที่ระบุให้ชาติอุตสาหกรรมให้การช่วยเหลือการเงินและความช่วยเหลืออื่นๆ เพื่อให้ชาติกำลังพัฒนาเข้าถึงเทคโนโลยีลดการพึ่งพิงเชื้อเพลิงที่ก่อมลพิษ แต่หลังถูกกดดันอย่างหนัก จนถึงกับถูกโห่ไล่จากผู้แทนคนอื่นๆ ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในเวทียูเอ็น ผู้แทนเจรจาของสหรัฐจึงยอมปรับท่าที ตกลงตามข้อเรียกร้องของชาติกำลังพัฒนา

 แม้ยูเอ็นและกลุ่มสิ่งแวดล้อมบางส่วนมองแง่ดีว่า ข้อตกลงหรือแผนโรดแมพที่ได้ มีความคืบหน้า เนื่องจากสหรัฐแสดงท่าทีต้องการร่วมดำเนินการรับมือภาวะโลกร้อนมากขึ้นในอนาคต อีกทั้งมีเนื้อหายืดหยุ่น ซึ่งเปิดทางให้มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะยอมลดการปล่อยก๊าซโลกร้อนในการประชุมรอบสุดท้ายในปี 2552 โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐมีรัฐบาลใหม่  ส่วนชาติกำลังพัฒนา รวมถึงจีนและอินเดียก็แสดงท่าทีพร้อมให้ความร่วมมือมากขึ้น 

 แต่ในมุมมองของสหภาพยุโรปและกลุ่มต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมอีกส่วน กลับแสดงความผิดหวังกับข้อตกลงที่บาหลี เนื่องจากไม่มีการกำหนดเป้าหมายชัดเจน เกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งกับชาติกำลังพัฒนาหรือชาติพัฒนาแล้ว

 นักวิเคราะห์มองว่า ในช่วงหลายปีต่อไปนี้ ชาติกำลังพัฒนาจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นด้านการรับมือภาวะโลกร้อน เนื่องจากเนื้อหาในข้อตกลงเรียกร้องให้ชาติกำลังพัฒนา "ดำเนินการบรรเทาภาวะโลกร้อน ผ่านมาตรการที่วัดได้ รายงานได้ และตรวจสอบได้" ซึ่งหมายความว่า ประเทศอย่างจีน ที่กำลังจะแซงหน้าสหรัฐขึ้นเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับหนึ่งโลก จะต้องแสดงความรับผิดชอบมากขึ้น

 หนึ่งในบทบาทที่ชาติกำลังพัฒนาได้รับการผลักดันในเวทีบาหลี คือ การปกป้องพื้นที่ป่าที่กำลังถูกโค่นทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับแผนให้ผลตอบแทนกับชาติกำลังพัฒนาที่ดำเนินการอนุรักษ์พื้นที่ป่า ซึ่งแนวทางนี้น่าจะได้การขานรับพอสมควร หากมองจากกรณีที่โครงการสิ่งแวดล้อมยูเอ็นรายงานความสำเร็จเมื่อเดือนพ.ย.ว่า สามารถผลักดันแผนปลูกป่าทั่วโลกตลอดปี 2550 ได้ตามเป้า คือ ชาติต่างๆ ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มกำลังพัฒนา มีการปลูกต้นไม้เพิ่มรวมกันถึง 1.4 พันล้านต้น

 อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังขาว่า ความรับผิดชอบของชาติกำลังพัฒนาจะครอบคลุมถึงการผูกมัดให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือไม่ เนื่องจากคำว่า "ดำเนินการ" เป็นคำที่มีความหมายกว้างๆ ขณะนักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งแนะว่า น่าจะครอบคลุมการลดการปล่อยก๊าซในบางภาคอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมผลิตเหล็ก หรืออุตสาหกรรมผลิตกระแสไฟฟ้า 

 ไม่ว่าข้อตกลงโลกร้อนฉบับใหม่จะออกมาเช่นไร ฝ่ายไหนชิงความได้เปรียบ ฝ่ายไหนเสียเปรียบ แต่ทุกฝ่ายต้องตระหนักว่า คงไม่สามารถหนีพ้นผลกระทบจากภาวะโลกร้อน หากปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข !
 



จาก               :                คม ชัด ลึก   วันที่  4 มกราคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #203 เมื่อ: มกราคม 06, 2008, 12:43:08 AM »


ระวัง "ทะเลกรด" ภัยเงียบจากโลกร้อน


 
ปรากฏการณ์ภาวะโลกร้อน เกิดจากการที่โลกไม่สามารถระบายความร้อนที่ได้รับจากดวงอาทิตย์ เกิดเป็นภาวะเรือนกระจก และเหตุให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์น้ำแข็งละลาย น้ำท่วม และภัยธรรมชาติมากมาย

แต่ปัญหาที่เราไม่ค่อยได้พูดถึง หรือไม่เคยทราบมาก่อนคือ การที่ภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง ส่งผลกระทบให้อุณหภูมิเฉลี่ยของน้ำทะเลสูงขึ้น ทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาในทะเล จะมีผลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์โดยตรง เป็นอีกหนึ่งภัยเงียบร้ายแรงที่นักวิทยาศาสตร์เรียกกันว่าปรากฏการณ์ "ทะเลกรด"

โครงการ Think Earth : Think Global ร่วมกับ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ กรมประชาสัมพันธ์ จัดการบรรยายเรื่อง "ทะเลกรด ภัยเงียบจากโลกร้อน" โดย ดร.ไมเคิล เอ. เคนดัลล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านทะเลจาก พลีมัธ มารีน แลบอราทอรีส สหราชอาณาจักรอังกฤษ (Phymouth Marine Laboratory, Department of Environment) ที่อาคารสยามกลการ ปทุมวัน กรุงเทพฯ

ปัจจุบัน ดร.ไมเคิล เข้ามาร่วมทำงานวิจัยเกี่ยวกับทรัพยากรทางทะเล อยู่ที่โครงการแหลมสน จ.ระนอง สถานีวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย ดร. ไมเคิล กล่าวถึงปัญหาจากภาวะโลกร้อนว่า เป็นที่ยอมรับแล้วว่าภาวะโลกร้อน เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจก ยิ่งก๊าซมีเพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศมาก ก็จะยิ่งมีส่วนเร่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
 


ปัญหาส่วนใหญ่ ร้อยละ 48 ของคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ในอากาศ แต่ละลายลงไปอยู่ในน้ำ ซึ่งน้ำในโลกร้อยละ 98 คือน้ำทะเล และคาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายลงไปในน้ำ จะทำให้ค่าความเป็นกรดมากขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในด้านอาหาร การท่องเที่ยว

ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามทำการศึกษาในเรื่องนี้ เพื่อหาทางระบุปัญหาที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน ตลอดจนทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือเงินกว่าหมื่นล้าน หรือ ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ทั้งประเทศ จำเป็นต้องใช้ในการแก้ปัญหาภัยพิบัติต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากโลกร้อน

ดร.ไมเคิล อธิบายว่า สัตว์ทะเลมีวิวัฒนาการมากับน้ำทะเลที่มีค่าความเป็นกรดด่าง หรือค่าพีเอช ประมาณ 8-8.1 แต่ผลกระทบจากก๊าซเรือนกระจก ทำให้ค่าพีเอชลดลง 0.1-0.2 อยู่ที่ 7.8-7.9 หรือเป็น กรดมากขึ้น สัตว์ทะเลจะไม่เคยชินกับสภาพความเปลี่ยนแปลง



นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า หากยังเป็นเช่นนี้ภายใน 50 ปี เมื่อค่าความเป็นกรดด่างเป็น 7.6 จะเกิดผลกระทบกับระบบสรีรวิทยาของสรรพชีวิตในทะเลทั้งหมด เช่น ระบบการหายใจ การเจริญเติบโตที่ลดลง ผลกระทบต่อกระบวนการสร้างเปลือกของสิ่งมีชีวิตต่างๆ เช่น หอย ปะการัง เม่นทะเล รวมถึงตัวอ่อน ของสัตว์ทะเล และแพลงตอนของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก

"สัตว์ทะเลจำนวนกว่า 900,000 ชนิด มีปูนเป็นองค์ประกอบไม่ว่าจะเป็น กุ้ง ปู หอย ประการัง ดาวทะเลต่างๆ หินปูนเป็นหินที่ละลายได้ง่ายมากในกรด นอกจากนี้ แหล่งอาหารของสัตว์ทะเลที่สำคัญกับสัตว์ต่างๆ เช่น ไส้เดือนทะเล ก็จะมีปัญหาเรื่องการสืบพันธุ์ และจะกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร" ดร.ไมเคิล อธิบาย

ในอนาคตฝนจะตกมีปริมาณเพิ่มขึ้น 2 มิลลิเมตรต่อปี การกัดเซาะของแผ่นดินก็จะมากขึ้น ตะกอนในแม่น้ำจะไหลลงทะเลและทำให้ชายฝั่งมีความขุ่น จะทำให้แนวปะการัง หญ้าทะเล ได้รับผลกระทบ ความหลากหลายทางชีวภาพในทะเล ก็จะเกิดการเปลี่ยน แปลง และมีความเป็นไปได้ที่สัตว์ทะเลจะปรับตัวไม่ทัน เช่น การที่แพลงตอนมากขึ้น หรือน้อยลงผิดปกติ ทำให้สัตว์น้ำตายหรืออพยพออกไป

ผู้เชี่ยวชาญทางทะเลจากสหราชอาณาจักรอังกฤษ ให้ข้อคิดเห็นถึงทะเลในประเทศไทยว่า จากการที่ได้ร่วมทำวิจัยที่โครงการแหลมสน บริเวณหาดประพาส พบว่ามีเม่นทะเลถึง 400 ตัว ต่อตารางเมตร และพบดาวเปราะจำนวนกว่า 1,000 ตัวต่อตารางเมตร สัตว์ที่มีมหาศาลขนาดนี้ในประเทศไทย ย่อมมีความสำคัญอย่างมากต่อระบบนิเวศทางทะเลในบริเวณดังกล่าว จึงอยากให้ติดตามและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ขณะที่ประเทศไทยยังขาดฐานข้อมูลเกี่ยวกับทะเลไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุณหภูมิของน้ำทะเล ค่า พีเอช ความเค็ม ข้อมูลลม มีข้อมูลค่อนข้างน้อยจนถึงไม่มีเลย และไม่มีความต่อเนื่อง ทำให้ไม่รู้ว่าน้ำทะเลมีความเปลี่ยนแปลงมากน้อยขนาดไหน และไม่สามารถคิดโมเดล หรือคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้

ดร.ไมเคิล เสนอแนะว่า ปัญหาทะเลกรดที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบกับทุกภาคส่วน จึงควรมีหน่วย งานและผู้เชี่ยวชาญจากด้านต่างๆ มาทำงานเกี่ยวกับด้านนี้โดยเฉพาะ มีการทำวิจัยและการดำเนินแผนทั้งระยะสั้น และระยะยาวที่ชัดเจน

โดยเฉพาะการพูดคุยและให้ความเข้าใจกับคนทั้งระดับปกครอง และประชาชนให้ตระหนักถึงปัญหานี้



จาก               :                ข่าวสด   วันที่  6 มกราคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #204 เมื่อ: มกราคม 16, 2008, 11:27:54 PM »


10 สัญญาณโลกร้อน ฤๅน้ำจะท่วมโลกปลาจะกินดาว
 
  น้ำจะท่วมโลก ปลาจะกินดาวคนโบราณเคยกล่าวทำนายสภาพแวดล้อมประเทศไว้อย่างนั้น ฟังดูแล้วเป็นเรื่องเหนือจริง คล้ายกัน กับว่า “เมืองไทย” คงไม่มีวันที่หิมะตก
 
ใครจะคาดคิดว่าเมื่อ   สัปดาห์ที่ผ่านมาวันที่ 11 มกรา คม เกิดหิมะตกครั้งแรกในอิรัก ทำให้ต้องหันกลับมาคิดว่าวันหนึ่งเมืองไทยอาจพบเจอกับภาวะธรรมชาติแปรปรวน
 
โลกเล่นตลกให้ดูหรือ ค่อย ๆ เปิดเผยความจริงอันโหดร้ายให้เห็น ปรากฏการณ์ธรรม ชาติเกิดวิกฤติ ที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ
 
ทุกคนลงความเห็นว่าวิกฤติเหล่านี้คือผลกระทบของภาวะโลกร้อน
 
ในปีนี้เราจะเห็นปรากฏการณ์โลกร้อนอะไรเกิดขึ้นบ้าง....
 
ปีนี้เป็นปีที่เรียกว่า “ลานิน ญา” เป็นปีที่เรียกว่าปีฉ่ำแฉะ มีฝนตกในหลายพื้นที่น้ำจะเยอะ เมื่อปีที่แล้วเราเผชิญกับเอลนิโญ ร้อนแล้ง ถ้าพูดถึงเมืองไทยและเอเชีย เราอาจได้เจอกับลานินญา แต่ฝั่งประเทศตะวันตกอเมริกาจะเกิดภาวะแห้งแล้ง”
 
ดร.จิระพล สินธุนาวา อาจารย์คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะผู้เกาะติดสถาน การณ์การละลายของน้ำแข็ง  ขั้วโลก และผลกระทบสภาวะโลกร้อน ด้านต่าง ๆ บอกเล่า และว่าปีที่ผ่านมา เกิดหิมะถล่มในอเมริกา เกิดไฟป่า โคลนถล่ม ในปีหน้า จะเยอะกว่านี้ เนื่องจากก๊าซเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้น
 
ภาวะโลกร้อนนอกจากฝนตก น้ำท่วม มีภัยพิบัติธรรม ชาติต่าง ๆ ตามมา ทั้ง ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ไฟป่า ฤดูกาลแปรเปลี่ยน เชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่เป็นต้น
 
ดร.จิระพล ฉายภาพของผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ออกมาให้ฟัง 10 ภาคใหญ่ ๆ ดังนี้ ไม่ว่าปีนี้หรือปีไหนชาวโลกจะต้องประสบ เพราะปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออก   ไซด์ในหลาย ๆ ที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง



 
ประการแรก “คลื่นความร้อน” แต่ละปี คลื่นความร้อนคร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก ปีที่ผ่านมาชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตด้วยคลื่นความร้อน 14 คน อินเดีย 100 กว่าคน ปากีสถาน 50 คน ฮังการีตายไปสูงสุด 500 กว่าคน
 
สาเหตุของการตายเพราะร่างกายเสียน้ำเสียเหงื่อมากจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น ที่ผ่านมาบ้านเรายังไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เกิด เพราะลักษณะการเกิดคลื่นความร้อน จะเกิดขึ้นเป็นหย่อม ๆ ในแต่ละพื้นที่
 
ดร.จิระพลได้ฝากวิธีปฏิ บัติตัวเพื่อให้รอดชีวิตจากคลื่นความร้อนว่า อันดับแรกให้ดื่มน้ำเยอะ ๆ ลดอาหารมัน ๆ หันมารับประทานอาหารที่ย่อยง่าย
 
สวมใส่เสื้อผ้าสบายตัว ไม่รัด ไม่หนา ถ้าอุณหภูมิสูงไม่ควรออกนอกบ้าน หรือถ้าจำเป็นต้องออกจากบ้าน ควรมีผ้าขนหนูชุบน้ำปิดศีรษะเพื่อมิให้สูญเสียน้ำ

 
ประการที่ 2 ของผลกระทบโลกร้อน ที่จะปรากฏคือ น้ำทะเลจะสูงขึ้น สืบเนื่องจากอุณหภูมิสูงขึ้นทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ทำให้ระดับน้ำทะเลขยายตัว ความแรงของคลื่นก็สูงขึ้นด้วย


 
ส่งผลต่อการกัดเซาะชายฝั่งกินอาณาเขตกว้างไกลออกไป บ้านเรือน ต้นไม้ชายหาด หรือแม้แต่ฟาร์มสัตว์น้ำริมทะเลจะได้รับความเสียหายจากการกัดเซาะนี้ สูงขึ้น

 
ประการที่ 3   “น้ำแข็งบนยอดเขาสูงละลาย” เหตุการณ์นี้จะเกิดการขาดแคลนน้ำจืดในฤดูร้อนของหลายประเทศด้วยกัน อย่าง บังกลาเทศ พม่า ทิเบต ภูฏาน ซึ่งต้องอาศัยน้ำแข็งที่อยู่บนยอดเขาหิมาลัย ละลายลงมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า ใช้ในการเกษตรใช้ในการอุปโภค บริโภค


 
ดังนั้นเมื่อน้ำแข็งละลายลงอย่างรวดเร็วจะเกิดน้ำท่วม และผลกระทบยังลามไปถึงผลเสียหายต่อการผลิตไฟฟ้าของประเทศ

 
ประการถัดมา เชื่อมโยงกับเรื่องการละลายของน้ำแข็ง ขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ละลายเร็วขึ้น ส่งผลต่อฤดูกาลเปลี่ยน เพราะน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือคือตัวกำหนดฤดูกาล จะเป็นสิ่งกำหนดว่าฤดูฝน หรือฤดูหนาวสั้นยาวเท่าไร ตรงนี้มีผลด้วย
 
นอกจากนี้น้ำแข็งที่ละลายหายไปอย่างรวดเร็ว จะส่งผลให้กระแสน้ำอุ่นที่ไหลเวียนผ่านประเทศต่าง ๆ ชะลอลงด้วย ยามเมื่อถึงฤดูหนาว อากาศจะหนาวเย็นเพิ่มขึ้น


ผลกระทบประการที่ 5 เกิดการแพร่ระบาดของโรคร้ายหลายชนิด ดร.จิระพลย้ำว่า เป็นเรื่องที่น่าห่วงมากเมื่ออากาศร้อนมากขึ้น อาหารจะบูดเสียเร็วขึ้น อาหารกระป๋องที่ระบุวันหมด อายุไว้ อาจจะหมดอายุก่อนกำหนด
 
นอกจากนี้อาจพบเชื้อโรคหวัดสายพันธุ์ใหม่ เพราะเกิดการขยายพื้นที่ของเชื้อโรคไข้สมองอักเสบ โดยมี ค้างคาวแม่ไก่ เป็นพาหะ
 
สัตว์ชนิดนี้มีถิ่นที่อยู่อาศัยใน เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ผลจากไฟป่า อากาศร้อนขึ้น ค้างคาวแม่ไก่จะอพยพย้ายถิ่นมาอยู่ประเทศไทยพร้อมนำพาเชื้อไวรัสไข้สมองอักเสบติดตัวมาด้วย
 
ค้างคาวแม่ไก่ชอบกินผลไม้สุก ทั้งคนและสัตว์ ไปเก็บผลไม้ที่มีรอยกัดกินหรือร่วงหล่นบนพื้นไปบริโภค อาจได้รับเชื้อไปด้วย รวมทั้งสัตว์ต่าง ๆ เช่น หนู นก งู สัตว์เลื้อยคลานทุกชนิด ต่างมีสิทธิได้รับเชื้อโรคเป็นห่วงโซ่
 
คนไม่มีโอกาสรู้ ไปจับมาบริโภคเป็นอาหาร เชื้อโรคที่ฝังตัวอาจแพร่มาสู่คน
 
ดังนั้น อาหารที่ไม่ผ่าน กระบวนปศุสัตว์ผลิตจากฟาร์มที่ได้มาตรฐาน จะเป็นอาหารที่เสี่ยงอันตราย เป็นสิ่งที่มนุษย์ควรเลิกบริโภคต่อไปในอนาคต

 
ผลกระทบประการที่ 6 ฤดูใบไม้ผลิจะมาเร็วกว่ากำหนด นั่นหมายความว่าจำนวนวันที่หนาวลดลง แต่จำนวนวันร้อนกลับเยอะขึ้น ทำให้เกิดการแปรปรวนทางอากาศ ซึ่งสัตว์บางชนิด เช่น ยุง ต้องรอให้อุณหภูมิ 11-12 องศาเซลเซียส จึงตาย
 
หากอากาศร้อนคงอยู่ ยุงสามารถรอดตาย เชื้อโรคไวรัส แบคทีเรียอาศัยในยุงจะเจริญเติบโตแข็งแรง เมื่อไปกัดคนก็เพิ่มเชื้อแพร่ระบาด อีกทั้งอากาศร้อนยังทำให้แมลงศัตรูพืชแข็งแรง เกษตรกรต้องใช้ยาฆ่าแมลงเพิ่มขึ้นเป็นวงจรไปอย่างนี้

 
ผลกระทบประการที่ 7 สัตว์ป่าจะเกิดการอพยพหนีการรุกราน ยกตัวอย่างเช่นดอยสุเทพ เวลานี้สัตว์ป่าเริ่มถูกคุกคามจากยุงเพราะอากาศร้อนยุงเริ่ม คืบคลานไปอยู่ยังยอดเขาสูงได้
 
สัตว์เจ้าถิ่นเช่น นก กวาง เก้ง เริ่มอพยพไปยังถิ่นใหม่ ที่มีสัตว์เจ้าถิ่นอยู่แล้วจึงเกิดการต่อสู้กันเพื่อแย่งถิ่นที่อยู่อาศัย ทำให้สัตว์ล้มตาย เกิดผลเสียหายต่อความหลากหลายทางชีวภาพ

 
ผลกระทบประการที่ 8 เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว อุณหภูมิสูงขึ้นทำให้เซลล์ปะการังตาย น้ำทะเลมีความเป็นกรดมากขึ้นแหล่งปะการังอันเป็นเนอร์สเซอรี่ ของสัตว์น้ำวัยอ่อนก็ได้รับผลนี้ด้วย
 
นอกจากนี้อาจเกิดการแพร่กระจายของ “สาหร่ายบูม” สาหร่ายสีน้ำตาลแดง ลอยมาติดหน้าชายหาด ส่งกลิ่นเหม็น สาหร่ายชนิดนี้มีเชื้ออหิวาตกโรค ปลาหรือสัตว์น้ำจะมีการปนเปื้อนของเชื้ออหิวาตกโรค   มากขึ้น

 
ผลกระทบประการที่ 9 เกิดฝนตกหนักเฉพาะที่ สาเหตุที่ฝนตกหนักเฉพาะที่ เพราะไม่มีลมที่ทำให้เม็ดฝนกระจายตัว ความชื้นในอากาศเยอะ ลอยตัวต่ำ จึงไม่สามารถไปตกที่อื่น ๆ ได้ เมื่อตกเฉพาะที่เกิดน้ำท่วม ดินถล่มตามมา

 
ผลกระทบประการที่ 10 เกิดภัยแล้ง ไฟป่า สัตว์ต้องอพยพจากถิ่น ทำให้เกิดความขาดแคลนน้ำที่อยู่ในใต้ดินถึง 15 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ผู้คนอาจเกิดโรคภัยตามมาจากปัญหาหมอกควันของไฟป่า

 
ทุกวันนี้ คนไทยรู้เรื่องภาวะโลกร้อนมากขึ้น แต่ไม่ทำอะไรเลย ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม หันมาเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อช่วยกันลดภาวะโลกร้อนน้อยมาก
 
ทุกคนยังใช้รถยนต์ส่วนตัวไปทุกหนทุกแห่ง บรรดาซูเปอร์มาร์เกต ยักษ์ใหญ่ที่มีบริษัทแม่อยู่ในต่างชาติ ยังใจดีให้ถุงพลาสติกมากมายเพราะเกรงลูกค้าจะหดหาย หากคิดสตางค์ค่าถุง
 
หากทุกคนคิดจะช่วยลดดีกรีความร้อนของโลก...คงต้องเริ่มนับหนึ่งที่ตัวเองก่อน
.
 



จาก               :                   เดลินิวส์   วันที่ 17 มกราคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #205 เมื่อ: มกราคม 17, 2008, 11:53:36 PM »


โลกร้อนทำทะเลผู้ดีวิกฤต

เมื่อวันที่ 16 มกราคม รัฐบาลอังกฤษได้เปิดเผยรายงาน "ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเกี่ยวกับทะเล" ซึ่งจัดทำโดยความร่วมมือกันขององค์กรภาครัฐและนักวิจัย ที่ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศทำให้แหล่งน้ำของอังกฤษอุ่นขึ้น กัดเซาะพื้นที่ชายฝั่ง สร้างอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำและเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดพายุและน้ำท่วมรุนแรง

รายงานฉบับนี้ระบุว่าปี 2549 นับว่าเป็นปีที่อุณหภูมิในแหล่งน้ำของอังกฤษสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์และ 7 ใน 10 ปีที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดอยู่ในช่วงทศวรรษหลังสุด โดยอุณหภูมิของทะเลที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อแพลงก์ตอนซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เป็นรากฐานของระบบนิเวศในมหาสมุทร โดยในทะเลเหนือจำนวนแพลงก์ตอนน้ำเย็นลดลง 70 เปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1960

จำนวนของปลาน้ำเย็นก็ลดลงเช่นกันรวมถึงปริมาณอาหารของนกทะเลบางชนิดซึ่งส่งผลกระทบไปสู่อุตสาหกรรมการประมงด้วย นอกจากนี้รายงานยังระบุว่า มหาสมุทรรอบๆ เกาะอังกฤษมีความเป็นกรดสูงขึ้นจากการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น พื้นที่ชายฝั่งถูกกัดเซาะมากขึ้นจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น

รายงานฉบับนี้ยังเตือนว่ามีความเป็นไปได้สูงขึ้นที่จะเกิดน้ำท่วมจากทั้งแม่น้ำและทะเลเนื่องจากระดับน้ำทะเลโดยเฉลี่ยที่สูงขึ้น (เอพี)



จาก                 :                    มติชน    วันที่ 17 มกราคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #206 เมื่อ: มกราคม 23, 2008, 11:56:24 PM »


ชี้ปัญหาโลกร้อนส่งผลทะเลเป็นกรดมากขึ้น


 
นักวิชาการระบุปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออ๊กไซด์ในชั้นบรรยากาศเพิ่ม ส่งผลให้ทะเลมีค่าเป็นกรดมากขึ้น หวั่นระบบเนิวศน์ทะเลเสียหาย หากไม่ช่วยกันลดปริมาณปล่าอยก๊าซเรือนกระจกลง

ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เปิดเผยว่า วันที่ 12 ธันวาคมนี้ ทางคณะประมง ร่วมกับ Think Earth Think Global ได้เชิญ ดร.ไมค์ แคนดอล ผู้เชี่ยวชาญด้านทะเลจาก Phy mouth Marine Laboratory Department of Environment แห่งสหราชอาณาจักร มาเสวนาประเด็นพิเศษ เรื่อง ทะเลกรด ภัยเงียบ จากโลกร้อน   

    ดร.ธรณ์ กล่าวว่า  ภาวะโลกร้อน เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดย เฉพาะอย่างยิ่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นตัวหลักในก๊าซเรือนกระจก ยิ่งมีปริมาณก๊าซเรือนกระจก เพิ่มมากขึ้นเท่าไร ยิ่งมีส่วนเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเร็วยิ่งขึ้น

    ในปริมาณก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นในชั้น นั้น ร้อยละ 48 ไม่ได้อยู่ในอากาศ แต่จะละลายลงไปอยู่ในน้ำ และเกือบทั้งหมด จะไปอยู่ในน้ำทะเล เพราะน้ำในโลกร้อยละ 98 คือน้ำทะเล ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ละลายลงไปในน้ำ ทำให้ค่าความเป็นกรดด่างเปลี่ยนไป จากเดิมที่น้ำทะเลจะมีค่าความเป็นกรดด่าง หรือ ค่าพีเฮช  ประมาณ 8-8.1 หรือมีสภาพค่อนไปทางด่างเล็กน้อย แต่ช่วง ที่ผ่านมา สัตว์ทะเลทั้งหมด จะมีวิวัฒนาการมาจากความเป็นกรดด่างเท่านี้ แต่เมื่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรรยากาศถึง 48% ตกลงไปในทะเล ทำให้ค่าความเป็นกรดด่างในทะเลเปลี่ยนไปด้วย คือ จากเดิมที่มีค่าค่อนไปทางด่างเล็กน้อย ก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นกรดมากขึ้น ทำให้ทะเลมีปรากฎการณ์กลายเป็น“ทะเลกรด”ในที่สุด

    “เปรียบเทียบง่ายๆเหมือนน้ำอัดลม ที่มีส่วนประกอบของน้ำหวานกับก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ที่ช่วยทำให้น้ำอัดลมมีรสซ่า ซึ่งทางสาธารณสุขจะเตือนกันว่า อย่ากินน้ำอัดลมมากเกินไป หรืออย่ากินน้ำอัดลมก่อนนอนโดยที่ไม่ได้แปลงฟัน เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเป็นตัวการใน การกัดกร่อนฟัน ทำให้ฟันผุได้ ”ดร.ธรณ์ กล่าว

    ดร.ธรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังเป็นห่วงเรื่องนี้กันมาก เพราะผล กระทบจากปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มมากขึ้น และทำให้นั้นจะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตใน ทะเลด้วย เพราะค่าความเป็นกรดด่างที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยจะทำให้วิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตในทะเลจะ เปลี่ยนไปด้วย จากการตรวจสอบพบว่าขณะนี้ค่าความเป็นกรดด่างในทะเลขยับจาก 8-8.1 ไปอยู่ที่ 7.8- 7.9 แล้ว และมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หากว่าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ลดลงคาดว่า ภายในระยะเวลา 50 ปี นับจากนี้ ค่าความเป็นกรดด่างจะกลายเป็น 7.6 หรือมีความเป็นกรดมากขึ้น อย่างชัดเจน

    “ผลกระทบที่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้นครอบคลุมทุกทะเลและมหาสมุทร กลายเป็นปัญหาสำคัญ สุดอย่างหนึ่งในอนาคต ทำให้ ระบบสรีระวิทยาที่สำคัญ เช่น การหายใจ และ การเจริญเติบโต ของสิ่งมี ชีวิตต่างๆลดลง จนสิ่งมีชนิดบางชนิดจะเกิดปัญหา การแตกตัวของคาร์บอเนต ทำให้เกิดผลกระทบต่อ กระบวนการสร้างเปลือกของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เช่น หอย ปะการัง เม่นทะเล ฯลฯ รวมถึงตัวอ่อนของสัตว์ ทะเลและแพลงก์ตอนของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านธาตุอาหารในมหาสมุทร อันจะ ส่งผลกระทบด้านต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย”ดร.ธรณ์ กล่าว



    ด้านดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึก อบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (START) กล่าวว่า ปริมาณก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ จากก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ จะทำปฏิกิริยากับน้ำ กลายเป็นคาร์บอเนต หรือทำให้น้ำมีสภาพเป็นกรดไม่ใช่เรื่องใหม่ในแวดวงวิทยาศาสตร์ แต่เป็นเรื่องที่น่าห่วง เพราะอะไรที่ เป็นการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติแล้วทำให้ความสมดุลหายไปย่อมน่าห่วงทั้งสิ้น

    “จากข้อมูลตัวเลขที่ศึกษามาพบว่า ปริมาณ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นในชั้น บรรยากาศประมาณ 50-70% จะละลายในน้ำ ทำปฏิกิริยากลายเป็นคาร์บอเนต ทำให้น้ำทะเลมีสภาพ เป็นกรด หากวันใดที่ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ไปถึง 500 ppm ก็จะยิ่งเพิ่มปริมาณการ ละลายของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำมากขึ้น ปฏิกิริยานี้จะทำให้หินปูนละลายมากขึ้น ลำพัง เปลือกหอยและปะการังยังไม่น่าห่วงนัก แต่หอยเม่น สาหร่ายสีแดงบางชนิด แพลงตอนพืช แพลงตอน

สัตว์ที่มีส่วนประกอบของหินปูนเป็นหลักหลายชนิด จะได้รับผลกระทบอย่างสูง และจะเป็นผลพวงส่งผล กระทบต่อสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นที่ต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ด้วย แต่เมื่อใดความเข้มข้นของคาร์บอน ไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศสูงถึง 1,000 ppm จึงจะทำให้เปลือกหอย ปะการังละลาย”ดร.อานนท์ กล่าว

    ดร.อานนท์ กล่าวว่า  สำหรับตัวเลขล่าสุด ความเข้มข้น ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในชั้นบรรยากาศโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 380 ppm เฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 1-2 ppm สำหรับประเทศไทยนั้น ทาง START ได้ทำรายงานวิเคราะห์ภาพรวมภาวะโลกร้อนนำเสนอกรุงเทพมหานคร  จากการประเมินเก็บ ข้อมูลการใช้พลังงานของคนไทยโดยภาพรวม คิดจากค่าไฟฟ้า ตัวเลขการขายน้ำมันจากหัวจ่าย พบว่า โดยเฉลี่ยทั้งประเทศคนไทยผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 320 ล้านตัน เฉลี่ยต่อหัวต่อคนปีละ 4- 5 ตัน แต่เมื่อคิดเฉพาะคนกทม.แล้วพบว่า สร้างคาร์บอนไดออกไซด์ถึงปีละ 20 ตันถือว่าสูงมาก  เมื่อเทียบกับคนญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในประเทศอุตสาหกรรม โดยคนญี่ปุ่นทั้งประเทศมีการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงกว่าคนกทม.เล็กน้อยเท่านั้น
 



จาก                 :                    กรุงเทพธุรกิจ    วันที่ 24 มกราคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #207 เมื่อ: มกราคม 30, 2008, 12:43:50 AM »


เชิดชูในหลวงทรงแก้โลกร้อน


เทิดพระเกียรติในหลวง ชี้ทรงหวงใยปัญหาโลกร้อนมาตั้งแต้ต้นรัชกาล จึงทรงมีพระราชกรณียกิจจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปแบบระบบบูรณาการ ขณะเดียวกันก็ทรงมีพระราชดำรัสเตือนสติคนไทยตลอดมา

นายปราโมทย์  ไม้กลัด  นายกสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  บรรยายพิเศษในหัวข้อ "พระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   กับการจัดการสิ่งแวดล้อม   เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน"  ในการประชุมวิชาการครั้งที่ 46 "เกษตรศาสตร์เทิดพระเกียรติ 80 พรรษา เพื่อประชาไทยอยู่เย็นเป็นสุข"  เมื่อวันที่  29  มกราคมนี้  ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ว่าปัจจุบันชาวโลกมีการตื่นตัวกับคำว่าสภาวะโลกร้อน   ซึ่งคนส่วนมากต่างวิตกเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศที่มีความแปรปรวนเกิดขึ้นในหลายภูมิภาค   พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัยและห่วงใยเกี่ยวกับเรื่องนี้   พระองค์ได้มีพระราชกรณียกิจการจัดการสิ่งแวดล้อมและพัฒนาเพื่อการแก้ปัญหาโลกร้อน ทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่าไม้ และสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นรัชกาล

นายกสภา  มก. กล่าวว่า  พระราชกรณียกิจอันเป็นมาตรการหลักในการแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อน  มี  2  มาตรการ  คือ

1.มาตรการบรรเทาหรือลดภาวะโลกร้อนโดยตรง  เช่น ทรงอนุรักษ์พื้นที่ป่าและสิ่งแวดล้อม   ทรงฟื้นฟูสภาพป่าและปลูกป่าทดแทน   ทรงอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรดิน   ทรงแก้ปัญหาน้ำเน่าเสีย การแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ ทรงเน้นการพัฒนาพลังงานทดแทนเพื่อกู้วิกฤติ

2.มาตรการจัดการให้สามารถดำรงชีวิตได้ด้วยความพอเพียงที่พอดี   เช่น  ทรงแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ  การทำเกษตรผสมผสานแบบพึ่งพาธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี เป็นต้น

"พระองค์ทรงห่วงประชาชน   ทรงจุดประกายการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างเป็นรูปแบบระบบบูรณาการ  และพระราชดำรัสในแต่ละครั้งถือว่าพระองค์ทรงเริ่มต้นให้เห็นถึงความสำคัญของปัญหาโลกร้อนที่กระทบต่อประเทศไทย   ต่อประชาชนทุกคน และทำให้วงการต่างๆ ทั้งฝ่ายราชการ เอกชน และประชาชน ตระหนักถึงภัยที่จะเกิดขึ้น แล้วตื่นตัวเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาสภาวะโลกร้อน" นายปราโมทย์กล่าว

สำหรับการประชุมวิชาการ  ครั้งที่  46 "เกษตรศาสตร์เทิดพระเกียรติ 80 พรรษา เพื่อประชาไทยอยู่เย็นเป็นสุข"  จัดขึ้นระหว่างวันที่  29  ม.ค. ถึง  1  ก.พ.นี้ รศ.วุฒิชัย  กปิลกาญจน์  อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  กล่าวว่า  การประชุมครั้งนี้มีข้าราชการ  บุคลากร  นิสิต  นักศึกษา  จากสถาบันการศึกษาและหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งภาครัฐและเอกชน  ส่งผลงานเข้าร่วมการประชุม จำนวน 624 เรื่อง ใน 12 สาขา  ในจำนวนดังกล่าวมีผลงานผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของสาขาทั้งสิ้น  528  เรื่อง แบ่งเป็นภาคบรรยาย  273  เรื่อง  และภาคโปสเตอร์  255  เรื่อง  ซึ่งผลงานเหล่านี้ต้องการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ แล้วนำมาพัฒนาต่อยอด นำมาใช้ได้ในชีวิตจริง

นอกจากจะมีการนำเสนอผลงานวิจัยแล้ว  ยังจัดการบรรยาย  อภิปราย และเสวนา อาทิ   วันที่   29 ม.ค. มีการบรรยายพิเศษ เรื่อง พระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  กับการจัดการสิ่งแวดล้อม  เพื่อแก้ปัญญาโลกร้อน ส่วนวันที่ 31 ม.ค.51 มีการอภิปรายพิเศษเรื่อง นักล่าฝันกับวัยรุ่นไทย เป็นต้น.



จาก                 :                    X-cite  ไทยโพสต์   วันที่ 30 มกราคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #208 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 17, 2008, 12:51:24 AM »


โลกร้อน : ทำดีแต่ไม่พอ                    โดย ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์


 
ครั้งก่อนผมเขียนเรื่องว่าด้วยความสุข เห็นโอกาสที่อันดามันจะเป็นมรดกโลกแห่งใหม่ของประเทศไทย บอกอี-เมลออกไป โดย...มีผู้ส่งมาให้ความคิดเห็นเกือบยี่สิบราย แต่ละคนล้วนบอกว่าดีใจจังค่ะ (ส่วนใหญ่เป็นสาวเจ้า) ผมก็ดีใจด้วยครับ แต่ดีมากเกินไปเดี๋ยวจะสบายใจเกินเหตุ เรามาว่ากันเรื่องทุกข์ๆ บ้างดีกว่า

เรื่องใดใน พ.ศ.นี้ ล้วนสร้างทุกข์ได้มากกว่าสุข แต่ผมถนัดเรื่องสิ่งแวดล้อม จึงขอว่าต่อในประเด็นโลกร้อน นับตั้งแต่กรณีนี้กลายเป็นกระแสของเมืองไทย ข่าวโลกร้อนจะปรากฏมาไม่ห่างหาย แพร่กระจายไปทุกภาคส่วน เมื่อนำทุกอย่างมาสรุปรวมกัน คนไทยตระหนกและตระหนักเรื่องโลกร้อน คนไทยเรียนรู้เรื่องความพอเพียง คนไทยต้องช่วยกันประหยัดพลังงานเพราะน้ำมันแพง ฯลฯ ผมก็ดีใจ เพราะคำตอบจากสมการนี้ ควรเป็น "คนไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลง"

แต่คำตอบกลับไม่ใช่! เมื่อสหประชาชาติจัดอันดับประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกล่าสุด ผลกลับเป็นตรงกันข้าม เมืองไทยเขยิบอันดับขึ้น มาอยู่ที่ 22 ของโลก และที่ 7 ของเอเชีย เราปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 4.2 ตันต่อคนต่อปี เมื่อเทียบกับจีน 3.8 ตันต่อคนต่อปี อินเดีย 1.2 ตันต่อคนต่อปี และเพื่อนบ้านของเรา อินโดนีเซีย 1.7 ตันต่อคนต่อปี เป็นการเขยิบอันดับขึ้น ที่ไม่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง ทำไม?

ทำไมประเทศที่มีกระแสโลกร้อนกระหึ่มไปทั่ว มีกระแสพอเพียงแทบทุกหย่อมหญ้า จึงลงเอยเช่นนี้? ทำไมเราถึงสู้ชาติอื่นไม่ได้ ทำไมคนไทยถึงทำให้เกิดก๊าซมากกว่าคนอินโดนีเซียเกือบ 3 เท่า คำตอบมีหนึ่งเดียว เราพูดเราคุยเราสร้างกระแส เราทำดีแล้ว แต่ยังไม่พอ ยังอีกไกล

ทำไมเอ่ย?

คำตอบแรก รัฐบาลของเราถนัดการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เรามีร้อยแปดพันหมื่นโครงการ แต่แทบไม่มีโครงการใดรับมือกับปัญหาที่เกิดแบบสะสม ค่อยๆ ทวีความรุนแรง

ตัวอย่าง นักวิทยาศาสตร์ทราบดี กรุงเทพฯกำลังจะจมน้ำ หลายท่านออกมาเตือน เราต้องตัดสินใจ สร้างเขื่อนหรือไม่ก็ย้ายเมืองหลวง หรือทำอะไรก็ได้ มิใช่ปล่อยให้เวลาผ่านไปวันๆ เรารับฟัง บ้างหัวเราะฮ่าๆ จะเป็นไปได้ยังไง ทั้งที่ตัวเลขแผ่นดินทรุดตัว น้ำเหนือไหลหลาก น้ำทะเลหนุน ล้วนแต่ชี้ตรงกัน เป็นไปได้เหมือน 1+1+1 กลายเป็น 3 เราอ้างว่า ไม่มีเงินเป็นแสนล้าน ทั้งที่เรามีเงินซื้ออาวุธมากกว่านี้ 3 เท่า เราใช้เงินสร้างสนามบินใหม่ แพงมากกว่านี้

นี่ไม่ใช่การสนับสนุนแบบฟันธงว่าเราควรทุ่มเงินแสนล้านสร้างเขื่อน แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลของเราไม่ชำนาญกับสถานการณ์เช่นนี้ แต่ชำนาญการเบือนหน้าหนีปัญหาระยะยาว มุ่งแต่เอาดีกับโครงการระยะสั้นประชานิยมกันจริงหนอ เพราะเห็นผลเร็วทันตา

คำตอบสอง เราพยายามเข้าใจอะไรแบบง่ายๆ คิดว่าการแก้ปัญหาสบายเหลือเกิน

ตัวอย่าง เราคิดว่าปลูกต้นไม้ช่วยลดโลกร้อน แต่หากต้องการใช้เพียงต้นไม้ เพื่อดูดซับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่พวกเราผลิตออกมา ทราบไหมว่า เราต้องทำให้พื้นที่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของประเทศไทย กลายเป็นป่าให้หมด ลำพังเพียงแค่รักษาป่าไว้ให้ได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เรายังมิสามารถ แล้วเราจะเรียกป่าคืนมาครึ่งประเทศได้อย่างไร

คำตอบสาม เราไม่พร้อมในการแก้ไขปัญหาครบวงจร

ตัวอย่าง เรารณรงค์ให้ผู้คนใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ แต่ไม่มีระบบป้องกันการบุกรุกป่าที่มีประสิทธิภาพ เมื่อความต้องการอ้อยและข้าวโพดสูงขึ้น เกิดการทำลายป่ามากมาย มีหลักฐานชัดเจนในกรณีควันไฟที่เชียงใหม่ ไฟบางแห่งเกิดจากการเผาป่าของนายทุน เผากันทั้งภูเขา เพื่อนำมาทำไร่ข้าวโพด แก๊สโซฮอล์ที่ดูเหมือนเป็นตัวช่วยโลกให้หายร้อน กลับกลายเป็นการทำลาย เพราะระบบอื่นของเราไม่เข้มแข็ง

คำตอบสี่ เราทำอะไรแบบตูมตามเข้าว่า

ตัวอย่าง เรารณรงค์เรื่องโลกร้อนด้วยการจัดงาน ให้ผู้คนมารวมตัวกัน โดยใช้สีสันบันเทิงเป็นเรื่องสำคัญ จากนั้นก็พูดสักสามสี่นาที เรามาช่วยลดโลกร้อนกันนะ ก่อนเปิดเพลงหรือเดินแฟชั่นโชว์อีกสองชั่วโมง เราอ้างว่าหากไม่ทำเช่นนี้ คนก็ไม่มา แต่ที่น่าคิด ทำไมต้องให้คนมา แล้วคนที่มาจะรู้สึกอยากช่วยโลกเพิ่มขึ้นหรือไม่? ทำจริงหรือไม่? ในเมื่อเขามาเพราะอยากดูความบันเทิง

คำตอบห้า เราคิดว่านั่นคือความซวย

ตัวอย่าง ตลอดปี 2550 กรุงเทพฯไม่ถูกน้ำท่วม จนหลายคนคิด ไหนว่าโลกร้อน? เราอาจลืมไป เมืองไทยมิใช่มีแต่กรุงเทพฯ หากไปถามคนจีนที่เจอพายุหิมะ ถามคนแอฟริกาเจอภัยแล้ง ถามคนเวียดนามเจอพายุเข้าไปมากสุดในประวัติศาสตร์ ถามคนไทยแถวภาคเหนือ ถามคนอุตรดิตถ์ ถามคนในทุ่งกุลาร้องไห้ พวกเขาจะตอบว่า ที่ผ่านมาซวยจัง

โลกร้อนมิใช่เรื่องของความซวย เป็นอะไรที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน ภัยวนเวียนอยู่รอบตัวเรา ปีนี้น้ำท่วมตรงนี้ ปีหน้าน้ำท่วมตรงโน้น ปีต่อไปและต่อไป ภัยเช่นนี้มีแต่มากขึ้นและมากขึ้น เมื่อไหร่เราคิดว่าคนโดนภัยโลกร้อนคือคนซวย เชื่อเถิดว่าทุกคนจะได้ซวยกันถ้วนหน้า ขึ้นกับว่าช้าหรือเร็ว

คำตอบหก เราไม่ชอบเรื่องจริง

ตัวอย่าง หลายคนออกอาการ เมื่อนักวิทยาศาสตร์บอก หากมีลูกตอนนี้ อีกห้าหกปีข้างหน้า ลูกจะเจอปัญหาหนักหน่วง เราได้แต่หัวเราะ ฝนจะตก แดดจะออก พระจะสึก คนจะคลอด ใครจะมาห้ามได้ แต่เราคงต้องนึกไว้ลึกๆ ในใจ ทั้งโรคระบาด ทั้งสภาพอากาศ ทั้งการแข่งขัน ทุกอย่างชี้ชัด ลูกของเรา จะลำบากกว่าเรา...เยอะ

คำตอบเจ็ด เราไม่ยอมบอกความจริง

ตัวอย่าง รัฐบาลไม่ให้ความสนใจกับปัญหา จนกล้าบอกว่า แต่ละปีเราใช้เงินไปเท่าไหร่ในการแก้ปัญหาที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องกับภัยโลกร้อน ทั้งปัญหาพายุ อุทกภัย การกัดเซาะชายฝั่ง ฯลฯ เราไม่เคยมีตัวเลขว่าแต่ละปีเราสูญเสียรายได้ไปเท่าไหร่ จากปัญหาเหล่านี้ เช่น แนวปะการังที่ย่ำแย่ ป่าที่แล้งจนไฟไหม้ เราไม่เคยทราบว่า หากเราพยายามอีกหน่อย ปรับตัวเตรียมรับมืออีกนิด ให้ความสำคัญอีกเยอะ เราจะประหยัดเงินได้มากมาย ดีกว่าเอาเงินไปคอยแก้ไข ไปถมแล้วถมอีกถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม

คำตอบแปด เราไม่อาจเปลี่ยนความเคยชิน

ตัวอย่าง เราอ้างว่าเราชินกับการทำเช่นนั้นเช่นนี้ มิอาจเปลี่ยนความเคยชินได้ แต่เราอาจหลงลืมไป ก่อนมีลูก เราไม่ต้องขับรถตระเวนไปทั่วเมืองเพื่อส่งลูกเรียน ทั้งเรียนจริง ทั้งเรียนพิเศษ สิบสองปีติดต่อกัน หรืออาจนานกว่านั้น เหตุใดเราทำได้? เหตุใดเราจึงพยายามทำงานหนัก ทำโอเวอร์ไทม์ เพื่อนำเงินไปผ่อนบ้าน เป็นค่าการศึกษาให้ลูก?

เราทำได้เพราะเราคิดว่าจำเป็นต้องทำ ลองคิดต่อไป บ้านจะมีประโยชน์อะไร หากปีหนึ่งน้ำท่วมสองสามเดือน ลูกจะจบออกมาเก่ง มีประโยชน์อะไร เมื่อระบบเศรษฐกิจล่มสลาย ทุกอย่างจึงเริ่มต้นจาก...เลิกเคยชิน

ทั้งหมดนี้ คงสร้างความทุกข์ให้คนอ่านได้สมใจคนเขียน ครั้งหน้าพบกันใหม่ ผมจะมาเสนอแนะวิธีแก้ไขทุกข์ครับ




จาก                 :                    มติชน   วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #209 เมื่อ: มีนาคม 09, 2008, 12:57:16 AM »


เมื่อโลกร้อนขึ้น 1-6 องศาเซลเซียส  'Six Degrees Could Change the World'        
      

เมื่อโลกเราร้อนขึ้น 1 องศาเซลเซียส

-มหาสมุทรอาร์กติกจะปราศจากน้ำแข็งเป็นเวลา 6 เดือน

ซึ่งจะเปิดเส้นทางเดินเรือ "Northwest  Passage" ซึ่งเป็นเส้นทางที่เชื่อมระหว่างยุโรปและเอเชีย ที่เคยสร้างตำนานแห่งการผจญภัยที่นำไปสู่หายนะและความสูญเสีย ให้กับนักบุกเบิกที่พยายามแล่นเรือฝ่าแผ่นน้ำแข็งที่มีความหนา และสภาพอากาศที่หนาวจัดเมื่อต้นศตวรรษที่ผ่านมา

-กระแสน้ำที่สูงขึ้นสามารถทำให้บ้านหลายพันครัวเรือนในบริเวณอ่าวเบงกอลจมหายอยู่ใต้น้ำ

-อาจทำให้เกิดพายุเฮอริเคนโจมตีในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้

-ความแห้งแล้งอย่างรุนแรงทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา  ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการขาดแคลนข่าวและเนื้อสัตว์ในตลาด

-สภาพแวดล้อมของพื้นที่ฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกาอาจแปรเปลี่ยนไปเป็นทะเลทราย

-ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำเกษตรกรรมที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านี้พืชสวนที่ต้องการสภาพอากาศร้อนนั้นไม่สามารถเจริญเติบโตได้  แต่ปัจจุบันที่สหราชอาณาจักรมีไร่องุ่นไวน์ถึงกว่า 400 แห่ง โดยเป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกกันที่ประเทศฝรั่งเศส


เมื่อโลกเราร้อนขึ้น 2 องศาเซลเซียส

-ธารน้ำแข็งในกรีนแลนด์ค่อยๆ ละลายหายไป ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดของกรีนแลนด์ชื่อ จาคอบชวาน (JAKOBSHAVN) ปัจจุบันได้กลายเป็นธารน้ำแข็งที่เคลื่อนตัวเร็วที่สุดในโลก โดยในระยะเวลาเพียง  2 วัน ระดับน้ำแข็งที่ละลายไปนั้น เทียบเท่ากับปริมาณน้ำที่ชาวนิวยอร์กใช้ทั้งเมืองเป็นเวลา 1 ปี

-เนื่องจากจำนวนน้ำแข็งในทะเลได้ลดน้อยลง ทำให้เผ่าพันธุ์หมีขั้วโลกเหนือตกอยู่ในภาวะอันตราย

-แมลงอาจอพยพไปพื้นที่ใหม่ๆ เช่น ด้วงสนอาจทำลายป่าไม้ทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกาได้

-จะเริ่มมีป่าเติบโตขึ้นในบริเวณพื้นที่ราบที่ไม่มีต้นไม้ขั้วโลกเหนือ ของแคนาดา

-ประเทศตูวาลูในหมู่เกาะแปซิฟิกอาจจมอยู่ใต้น้ำ เนื่องจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

-จะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงกับระบบนิเวศน์ทางทะเล ซึ่งเป็นไปได้ว่าปะการังเขตร้อนส่วนใหญ่จะตายหมดสิ้น


เมื่อโลกเราร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียส

-ป่าอะเมซอนอาจจะแห้งแล้งและเกิดไฟป่าซ้ำๆ ซึ่งถ้าพื้นที่ป่าอะเมซอนเสียหายในวงกว้าง  จะก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนหลายร้อยตันออกมา และอาจทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นอีก 1 องศาก็เป็นได้

-เมื่อโลกเราร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียส จะเป็นเหตุให้น้ำแข็งบนภูเขาแอลป์หายไปจนหมด

-พื้นที่ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและหลายพื้นที่ในฝั่งทวีปยุโรปจะแห้งแล้ง เนื่องจากความร้อนระอุในฤดูร้อน

-เมื่อน้ำทะเลร้อนขึ้นเรื่อยๆ  รูปแบบสภาวะอากาศแปรปรวน อาจทำให้เกิดปรากฏการณ์ El Nino ซึ่งทำให้เกิดความแห้งแล้งในบริเวณที่เคยมีฝนตก และเกิดฝนตกหนักบริเวณที่เคยแห้งแล้ง

-เมื่อโลกเราร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียส โลกเราอาจจะเกิดพายุเฮอริเคนความแรงระดับ 6 ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

-นักวิทยาศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่าการที่โลกเราร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียสนั้น นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่มีผลกระทบกับการใช้ชีวิตของมนุษย์


เมื่อโลกเราร้อนขึ้น 4 องศาเซลเซียส

-มหาสมุทรมีปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นจนกระทั่งเกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรงในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่มีประชาชนอาศัยอย่างหนาแน่น  ทำให้ประเทศต่างๆ เช่น บังกลาเทศและอียิปต์ เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ส่วนเมืองเวนิซทั้งเมืองก็อาจจะจมอยู่ใต้น้ำได้

-แม่น้ำคงคานับเป็นแหล่งน้ำแห่งชีวิตของคนกว่าพันล้านคนในประเทศจีน เนปาล และอินเดียเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัยจะเริ่มละลายและทำให้แม่น้ำคงคาเกิดน้ำท่วมครั้งรุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน  ภาวะการขาดแคลนน้ำขั้นวิกฤติและการขาดแคลนอาหารจะเกิดขึ้นตามมา ถ้าภูเขาน้ำแข็งนั้นละลายหายไปอย่างถาวร

-ข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้าพบว่า น้ำแข็งที่เต็มไปด้วยหิมะในเทือกเขาหิมาลัยจะละลายจนหมดภายในปี 2578 หากอัตราการละลายของภูเขาน้ำแข็งยังอยู่ในระดับเดียวกับปัจจุบัน

-ประเทศแคนาดาทางตอนเหนือจะกลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

-ส่วนแผ่นน้ำแข็งในมหาสมุทรแอนตาร์กติกตะวันตกอาจจะละลายและจมหายไปในทะเลและส่งผลให้ระดับน้ำสูงขึ้นอีก

-ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นมากกว่า 1 เมตร และเมืองชายฝั่งทะเลทั่วโลกจะต้องเตรียมตัวรับกับภัยพิบัติครั้งนี้


เมื่อโลกเราร้อนขึ้น 5 องศาเซลเซียส

-พื้นที่ที่มนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ขนาดใหญ่  2  แห่งอาจจะกลายเป็นบริเวณเขตอบอุ่นระหว่างขั้วโลกที่มนุษย์สามารถอาศัยได้เพียงพื้นที่เดียวระหว่างตอนเหนือและใต้ของโลก

-มหานครของโลก เช่น ลอสแองเจลีส, กรุงไคโร, ลิมา และบอมเบย์ ที่เคยปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งในบางช่วงเวลา อาจจะกลายเป็นเมืองที่ไม่มีหิมะตกอีกต่อไป

-เมื่ออุณหภูมิของโลกสูงขึ้น 5 องศาเซลเซียส จะมีผู้ที่อพยพลี้ภัยเนื่องจากสภาพอากาศจำนวนหลายสิบล้านคน และยังมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติที่ขาดแคลนเพิ่มสูงขึ้น


เมื่อโลกเราร้อนขึ้น 6 องศาเซลเซียส

-เมื่ออุณหภูมิร้อนขึ้น 6 องศาเซลเซียส โลกจะมีสภาพคล้ายคลึงกับยุคครีเตเชียส เมื่อประมาณ 65-144 ล้านปีก่อน ซึ่งอุณหภูมิโลกสูงกว่าปัจจุบันมาก

-น้ำทะเลมีสีฟ้าใสเพราะไม่มีสารอาหารในทะเลหลงเหลือ

-เมื่อโลกร้อนขึ้นจะเกิดทะเลทรายเพิ่มขึ้นตามทวีปต่างๆ

-ภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเกิดขึ้นทั่วไปจนเป็นเรื่องปกติ และเมืองใหญ่หลายเมืองทั่วโลกอาจจะเกิดภาวะอุทกภัยจนทำให้คนทิ้งถิ่นฐานได้


****************************************************************************************************************


' 6 องศา วันสิ้นโลก'


ถ้าถามว่าระหว่างราคาน้ำมันที่พุ่งกระฉูด กับปัญหาโลกร้อน อะไรเป็นภัยคุกคามที่รุนแรงกว่ากัน อย่างแรกเป็นภัยคุกคามเงินในกระเป๋า และสภาพชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบัน

อย่างหลังเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งมีชีวิต การดำรงอยู่ของโลกวันนี้ และวันหน้า...

โดยเฉพาะถ้าอุณหภูมิของโลกค่อยๆ  ไต่ระดับความร้อนเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ  ปัจจุบันจาก  1 องศาเซลเซียส จนถึง 6 องศาเซลเซียส แล้วโลกวันนั้นจะเป็นอย่างไร?

เวลา  20.00  น.  ในวันที่ 15 มีนาคม 2551 เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก แชนแนล จะพาผู้ชมไปเจาะลึกการเปลี่ยนแปลงของสภาวะโลกร้อน  และวิธีการช่วยแก้ไขวิกฤติของโลก  ในสารคดีชุด "SIX DEGREES  COULD  CHANGE  THE  WORLD"  หรือ "6 องศาเซลเซียส   เปลี่ยนโลกได้"  จะออกอากาศเป็นตอนแรกทาง เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก แชนแนล (ทางช่องทรูวิชั่นส์ ยูบีซี 45)

สารคดีชุดนี้จะนำพาเราไปสู่จินตนาการในวันที่โลกร้อนสุดขีด  6 องศาเซลเซียส ว่า วันนั้นจะไม่มีป่าอะเมซอน  น้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกในขั้วโลกเหนือละลายหายไป  และถ้าโลกเราไม่มีพายุเฮอริเคนความแรงระดับ  6  สิ่งเหล่านี้อาจจะดูเหมือนยังห่างไกลตัว  แต่ในความเป็นจริงแล้ว โลกเราอยู่ห่างจากการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เพียง  6  องศาเซลเซียส  ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มนุษยชาติไม่เคยประสบมาก่อน

ที่มาของการทำสารคดีชุดนี้  ฤทธิชาติ  ศิลารักษ์  ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาดและจัดจำหน่าย เนชั่นแนล  จีโอกราฟฟิก  แชนแนล เอเชีย กล่าวว่า สารคดีชุด Six Degrees Could Change the World  ได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจาก  มร.มาร์ก ไลนัส ผู้สื่อข่าวและนักอนุรักษนิยมชาวอังกฤษ เจ้าของหนังสือ  Six  Degrees ซึ่งได้ค้นคว้าจากบทความวิชาการทางวิทยาศาสตร์หลายหมื่นชิ้น เพื่อเผยให้เห็นภาพความน่ากลัวของอุณหภูมิแต่ละองศาที่สูงขึ้นในสภาวะโลกร้อนอีก  100  ปีข้างหน้า ซึ่งถ้าหากเรายังปล่อยให้เกิดภาวะเรือนกระจกต่อไปเรื่อยๆ  ธารน้ำแข็งที่ภูเขาหิมาลัยที่เป็นแหล่งน้ำที่สำคัญมาหลายร้อยปีอาจจะแห้งเหือดไปในที่สุด และอีกภายใน 50 ปี แผ่นน้ำแข็งที่กรีนแลนด์อาจละลายจนหมดสิ้น  และเมื่อสิ้นศตวรรษที่  21  ป่าอะเมซอนที่อุดมสมบูรณ์และเป็นแหล่งพักพิงของสัตว์และพืชหลากหลายสายพันธุ์กว่าครึ่งหนึ่งของโลกอาจจะเหี่ยวเฉาและแห้งแล้งเหมือนดั่งทุ่งหญ้าสะวันนา

"สภาวะโลกร้อนนั้นไม่ได้หมายความถึงแค่การเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ของอุณหภูมิโลก แต่จริงๆ แล้วมันคือการเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ ในโลก นั่นเป็นเหตุผลที่เราได้เห็น ทั้งความแห้งแล้ง และน้ำท่วมในสถานที่ต่างๆ หรือแม้แต่การเกิดน้ำท่วมและสภาวะแห้งแล้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่เดียวกันอย่างต่อเนื่อง" ไลนัสกล่าวเสริม

ในการทำสารคดีชุดนี้   คณะผู้จัดทำได้ติดตามบันทึกสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิทั้ง   5 ทวีป  โดยติดตามทั้งนักวิจัยอุณหภูมิชั้นนำระดับโลก  เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ ช่างภาพ และประชาชนที่ใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป เพื่อเผยให้เห็นถึงสัญญาณอันตรายและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิผ่านทางภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิกความละเอียดสูงกว่า  40  ภาพ  ที่จะทำให้ผู้ได้ชมต้องตกตะลึงเมื่อเห็นถึงผลกระทบอย่างรุนแรงที่โลกเราจะได้รับจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิแต่ละองศา เห็นภาพผลกระทบที่ครัวเรือนจะได้รับอย่างชัดเจน และการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงของระบบนิเวศ และภูมิภาคต่างๆ

การเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ  นั้นนับเป็นลางบอกเหตุสภาวะอันตรายที่โลกจะต้องเผชิญ ดังเช่นในทวีปออสเตรเลียที่ได้ประสบสภาวะการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่สูงขึ้น  1 องศา ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา  ซึ่งส่งผลให้ต้องประสบภัยแล้งที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์  นอกจากนั้นในพื้นที่ย่านชานเมืองของนครซิดนีย์  การตรวจรายงานสภาพอากาศและการหาเส้นทางอพยพนั้น   กลายเป็นเรื่องที่คนในพื้นที่ปฏิบัติเป็นประจำ โดยในปี 2001 พื้นที่นั้นได้ประสบไฟป่ามาถึงกว่า 800 ครั้ง

หรืออย่างในปี  2005  ที่พายุเฮอริเคนแคทรีนา  ได้ทำลายล้างบ้านเมืองในรัฐนิวออร์ลีน  ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งพายุเฮอริเคนแคทรีนาในครั้งนั้น เป็นเพียงพายุความแรงระดับ 3 เท่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นและความเสียหายจะมากมายเพียงใด  ถ้าเมืองอย่างนิวออร์ลีน ถูกคุกคามโดยพายุความแรงระดับ 6 ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

นอกจากนั้น  ช่วงแรกๆ  ในการเปลี่ยนแปลงของสภาวะโลกร้อน  ยังได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดหลายอย่าง  ดังเช่นที่สหราชอาณาจักรที่กำลังสนุกสนานกับการเปลี่ยนแปลงการทำเกษตรกรรม  โดยพืชสวนที่ต้องการสภาพอากาศร้อนนั้น เจริญงอกงามเป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันที่สหราชอาณาจักรมีไร่องุ่นไวน์และแชมเปญถึงกว่า 400 แห่ง ยิ่งไปกว่านั้นชาวสวนบางรายก็กำลังทดลองการเพาะปลูกต้นมะกอก

สารคดีชุดนี้  ให้ภาพการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิแต่ละองศา

ถ้าอุณหภูมิเพิ่มขึ้นพียง 1 องศาเซลเซียส    อาจทำให้บ้านจำนวนหลายหลังคาเรือนในเขตอ่าวเบงกอลต้องจมอยู่ใต้น้ำ  หรืออาจทำให้เกิดพายุเฮอริเคนโจมตีมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้

การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ  2  องศาเซลเซียส ทำให้ธารน้ำแข็งในกรีนแลนด์ค่อยๆ ละลายหายไป และทำให้เผ่าพันธุ์หมีขั้วโลกเหนือตกอยู่ในภาวะอันตราย  ซึ่งในส่วนธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดของกรีนแลนด์ชื่อ  จาคอบชวาน  (JAKOBSHAVN) ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 1.5 แสนล้านปี  ปัจจุบันได้กลายเป็นธารน้ำแข็งที่เคลื่อนตัวเร็วที่สุดในโลก  โดยในระยะเวลาเพียง 2 วัน ระดับน้ำแข็งที่ละลายไปนั้น มีจำนวนเท่ากับน้ำที่สามารถให้ชาวนิวยอร์กใช้ทั้งเมืองเป็นเวลา 1 ปี

"ที่สำคัญการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ  2  องศาเซลเซียส จะเป็นจุดพลิกผันที่สำคัญ เพราะหากเราไม่หยุดยั้งอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศา ก็จะนำไปสู่การไต่ระดับ 3 องศา ซึ่งภัยพิบัติจะปรากฏชัดเจน"

สารคดีชุดนี้ให้ภาพอีกว่า  ถ้าอุณหภูมิเพิ่มขึ้น  3  องศาเซลเซียส  สามารถทำให้น้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกละลายหายไปหมดในช่วงหน้าร้อน  และยังทำให้หิมะที่ปกคลุมเทือกเขาแอลป์ละลายหมดไป รวมทั้งธารน้ำแข็งในเทือกเขาหิมาลัยซึ่งเป็นแหล่งน้ำจืดใหญ่ที่สุดในโลก จะละลายหายไปในที่สุด ซึ่งพอถึงจุดนี้ประชาชนและชุมชนหลายพันล้านคน ที่อาศัยแหล่งน้ำจากแม่น้ำคงคา แม่น้ำโขง หรือคนในแถบประเทศอินเดีย  และจีนนับพันล้านคนจะได้รับความเดือดร้อน  ขาดน้ำกินน้ำใช้

"มีภาพถ่ายดาวเทียมยืนยันว่าขณะนี้ธารน้ำแข็งที่ปกคลุมเทือกเขาหิมาลัยกำลังละลายอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าถ้าโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ ในปี ค.ศ.2035 ก็จะเหลือธารน้ำแข็งเทือกเขาหิมาลัยอีกต่อไป"

ในอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้นอีก  3 องศา ยังก่อเกิดผลกระทบที่สำคัญต่อป่าอะเมซอน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตโอโซน  20%  ของโลกจะได้รับผลกระทบรุนแรง  โดยคาดว่าพื้นที่ป่าจะหายไปไม่ต่ำกว่า  50% ความแห้งแล้งจะบังเกิดปกคลุมไปทั่ว  และเกิดไฟป่ารุนแรง เป็นวงจรหายนะที่จะเกิดซ้ำซากระหว่างความแห้งแล้งกับไฟป่า  ส่งผลให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หลายร้อยล้านตันจะเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ อันมีผลทำให้อณหภูมิโลกสูงขึ้นไปถึงระดับ 4 องศาเซลเซียส

"นักวิทยาศาสตร์ทำโมเดลทำนายว่าถ้าสูญเสียป่าอะเมซอน  ป่าแห่งนี้ก็จะกลายเป็นทุ่งหญ้าสะวันนา  แม่น้ำสายใหญ่ที่สุดก็จะแห้งแล้ง คนหลายล้านคนจะอดอยาก ไฟป่าจะเผาผลาญป่าอะเมซอนที่เป็นแหล่งน้ำฝน  50% ในบราซิล และถ้าเรายังไม่สามารถหยุดการเพิ่มอุณหภูมิโลกได้ ในอีก 20 ปีข้างหน้าก็จะมีโอกาสเห็นความหายนะของป่าอะเมซอน"

ขณะที่ทางแถบยุโรปก็จะเกิดความแห้งแล้ง ไม่ต่างไปจากตะวันกลางหรือแอฟริกาเหนือ

มาร์ก  ไลนัส  ชี้ให้เห็นอีกว่า ถ้าโลกมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 4 องศา โลกก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง น้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วโลกละลายหมด  เมืองใหญ่ในหลายประเทศจะหายไป จมอยู่ใต้น้ำที่สูงขึ้นไม่ต่ำกว่า 7 เมตร  ทั้งบังกลาเทศ  อียิปต์  เวนิซ  รวมทั้งนิวยอร์ก แมนฮัตตัน เมืองที่เป็นศูนย์กลางทางการเงิน โลกก็จะจมหายอยู่ใต้น้ำ เกิดพายุขนาดใหญ่ระดับ  3  ธารน้ำแข็งไม่หลงเหลือ พื้นที่ทางตอนเหนือของแคนาดาที่เคยหนาวเย็นจะกลายเป็นพื้นที่เกษตรแหล่งใหญ่ของโลก และพื้นที่ติดทะเลแถบสแกนดิเนเวีย ก็จะกลายเป็นชายหาดฤดูร้อนแซงโตรแปงของฝรั่งเศส

"ถ้าเราไม่ชะลอภาวะโลกร้อน  เพียงแค่  40 ปีข้างหน้านี้ก็จะมีประชากรโลกหลายพันล้านคนเดือดร้อนอย่างถึงที่สุด"

หรือถ้าโลกเราร้อนขึ้น    5    องศาเซลเซียส    พื้นที่ที่มนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ขนาดใหญ่ 2 แห่งอาจจะกลายเป็นบริเวณเขตอบอุ่นระหว่างขั้วโลกที่มนุษย์สามารถอาศัยได้เพียงพื้นที่เดียวระหว่างตอนเหนือและใต้ของโลก  เมืองใหญ่ๆ ของโลกเช่น  ลอสแองเจลีส,  กรุงไคโร,  ลิมา และบอมเบย์ ที่เคยปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งในบางช่วงเวลา  อาจจะกลายเป็นเมืองที่ไม่มีหิมะตกอีกต่อไป  ผู้คนจะอพยพลี้ภัยเนื่องจากสภาพอากาศจำนวนหลายสิบล้านคน   และยังมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดความขัดแย้งเพื่อแย่งชิงทรัพยารธรรมชาติที่ขาดแคลนเพิ่มสูงขึ้น

"ถ้าโลกร้อนขึ้นอีก  5  องศาจริง ผมคิดว่ามนุษย์คงไม่สามารถทนทานได้อีกต่อไป" มาร์ก ไลนัสกล่าว

จุดขีดสุดเมื่อโลกเราร้อนขึ้น  6  องศาเซลเซียส  มาร์ก  ไลนัส กล่าวว่า วันนั้นก็คงเป็น "วันสิ้นโลก"  เพราะเมื่ออุณหภูมิร้อนขึ้น 6 องศาเซลเซียส โลกจะมีสภาพคล้ายคลึงกับยุคครีเตเชียส เมื่อประมาณ 65-144 ล้านปีก่อน น้ำทะเลมีสีฟ้าใสเพราะไม่มีสารอาหารในทะเลหลงเหลือ เกิดทะเลทรายเพิ่มขึ้นตามทวีปต่างๆ  ภัยพิบัติทางธรรมชาติจะเกิดขึ้นทั่วไปจนเป็นเรื่องปกติ  และเมืองใหญ่หลายเมืองทั่วโลกอาจจะเกิดภาวะอุทกภัยจนทำให้คนทิ้งถิ่นฐานได้

"การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ  6  องศาเซลเซียส  จะทำให้มหาสมุทรต่างๆ  เป็นเพียงพื้นที่น้ำที่ว่างเปล่า  และพื้นที่ทะเลทรายในทวีปต่างๆ  จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  เหมือนดังถูกข้าศึกบุกรุก" มาร์ก ไลนัสกล่าว

การจำลองภาพจินตนาการเมื่อโลกร้อนขึ้น  6  องศาเซลเซียส  ไม่ได้หวังผลให้เกิดความหวาดผวากับผู้ชม แต่มาร์ก ไลนัส บอกว่า เป็นการกระตุ้นเตือนให้พวกเราร่วมมือเพื่อช่วยกันเปลี่ยนแปลงตัวเอง  โดยเราสามารถมีส่วนช่วยหยุดภาวะโลกร้อนได้โดยการช่วยกันเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหลายอย่าง เช่น  ถ้าบ้านทุกหลังในสหรัฐปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อยู่ในโหมดสแตนบาย  ซึ่งมันถูกเรียกว่า "แวมไพร์ โหลด"  เพราะการเสียบปลั๊กทิ้งไว้ เครื่องใช้ไฟฟ้าพวกนั้นจะค่อยๆ กินพลังงาน เช่น ถ้าถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์จะสามารถช่วยลดความต้องการไฟฟ้าจากโรงงานถึง 18 แห่ง

และถ้าหากเราลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากบ้านและรถยนต์นั้น  สามารถช่วยลดวิกฤติภาวะโลกร้อนให้อุณหภูมิต่ำกว่า 2 องศา ซึ่งเป็นเป้าหมายที่จำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซสภาวะเรือนกระจกถึง 7 พันล้านตันต่อปี

ปัจจุบันนักวิจัยกำลังทดลองวิธีที่ทำให้พลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น  ทีมนักฟิสิกส์ในประเทศอังกฤษกำลังคิดค้นเครื่องปฏิกรณ์หลอมละลายนิวเคลียร์  ซึ่งจำลองแบบมาจากโรงงานไฟฟ้าระบบแสงอาทิตย์ที่ดีเยี่ยมที่สุด   โดยพลังงานดังกล่าวจะไม่มีวันหมดสิ้น   และเป็นแหล่งหลังงานยั่งยืนที่ไม่สร้างก๊าซเรือนกระจก  นอกจากนั้นยังมีแผนที่จะใช้กระจกขนาด  1  เมตร  กว่า  1 ล้านแผ่น ช่วยป้องกันความร้อนจากดวงอาทิตย์เพื่อลดอุณหภูมิให้ต่ำลง




จาก                 :                    ไทยโพสต์  คอลัมน์สิ่งแวดล้อม   วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2551
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 09, 2008, 01:01:47 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15 16 ... 18   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.037 วินาที กับ 19 คำสั่ง