กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 19, 2025, 07:20:00 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 18   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วิกฤต : โลกร้อน (2)  (อ่าน 156618 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #165 เมื่อ: กันยายน 30, 2007, 01:01:51 AM »


บุชเสนอทั่วโลกร่วมลงขันตั้งกองทุนรับมือโลกร้อน

วอชิงตัน-"บุช" เสนอตั้งกองทุนแก้ปัญหาโลกร้อน โดยใช้เงินลงขันจากรัฐบาลที่มีกำลังทรัพย์ทั่วโลก พร้อมย้ำโลกสามารถรับมือกับโลกร้อนได้ โดยไม่บั่นทอนความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ

ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ของสหรัฐ เสนอต่อที่ประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและความปลอดภัยด้านพลังงาน ที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐ ให้ตั้งกองทุนเทคโนโลยีสะอาดระหว่างประเทศ ภายใต้การสนันสนุนด้านเงินทุนจากรัฐบาลทั่วโลก เพื่อนำเงินทุนดังกล่าว ไปสนับสนุนโครงการพัฒนาพลังงานสะอาดในประเทศกำลังพัฒนา

"หลักการของสหรัฐ มีความชัดเจน นั่นคือ เราต้องเป็นผู้นำโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยลง และดำเนินมาตรการที่ไม่บ่อนทำลายการเติบโตของเศรษฐกิจ หรือกีดดันนานาชาติไม่ให้ส่งผ่านความเจริญไปสู่ประชาชนในประเทศนั้นๆ" ประธานาธิบดีบุช กล่าว

นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐ ยังระบุด้วยว่า นายเฮนรี พอลสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐ จะรับหน้าที่เป็นผู้นำการเจรจากับนานาประเทศเรื่องการก่อตั้งกองทุนนี้

อย่างไรก็ตาม การที่ประธานาธิบดีบุช เรียกร้องให้ แต่ละประเทศกำหนดมาตรการรับมือกับมลภาวะขึ้นเอง และปฏิเสธที่จะรับเอามาตรการต่างๆนั้นมาใช้อย่างจริงจัง โดยยืนยันที่จะกำหนดมาตรการแยกต่างหากจากประเทศอื่นๆ บ่งชี้ว่า การประชุมครั้งนี้ อาจจะไม่ส่งผลมากนักต่อการแก้ปัญหาโลกร้อน

นายจอห์น แอสตัน ที่ปรึกษาพิเศษดูแลด้านโลกร้อนประจำกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ ให้ความเห็นว่า เทคโนโลยีอัจฉริยะ ไม่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ เพราะต้องอาศัยฉันทามติและการลงทุนในระดับรัฐบาล พร้อมทั้งชี้ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่ได้กล่าวเจาะจงถึงเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เลย

ขณะที่ ผู้แทนเจรจาจากยุโรป ไม่เห็นด้วยกับคำยืนกรานของรัฐบาลสหรัฐ ที่ต้องการให้แผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นไปตามความสมัครใจ และให้แต่ละประเทศกำหนดกันเองแทนที่จะเป็นสนธิสัญญาระดับโลก โดยผู้แทนจากยุโรปรายหนึ่ง ระบุว่า การประชุมครั้งนี้ เป็นแค่เกมของสหรัฐ ที่ต้องการให้ข้อตกลงเรื่องโลกร้อนในระดับนานาชาติ เกิดขึ้นช้าลงเท่านั้น

การประชุมครั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่จากหลายประเทศเข้าร่วม อาทิ ออสเตรเลีย อังกฤษ บราซิล จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย ญี่ปุ่น รัสเซียและแอฟริกาใต้



จาก         :             กรุงเทพธุรกิจ     วันที่ 30 กันยายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #166 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2007, 12:35:23 AM »


โลกร้อน-ใช่ว่าไม่เคยมี แต่ครั้งนี้อันตราย

ผู้เขียนเป็นแพทย์ จึงต้องเรียนวิทยาศาสตร์มาบ้าง โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน แต่เนื่องจากไปเรียนต่อทางด้านพยาธิวิทยาที่อเมริกา จึงต้องเรียนวิทยาศาสตร์กายภาพมากเป็นพิเศษ เพราะวิชาพยาธิวิทยาไม่ได้เรียนด้านการรักษา-นอกจากวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐาน

แพทย์ที่ทำหน้าที่รักษาคนป่วยจะต้องอาศัยการฝึกฝนหาประสบการณ์ด้วยตัวเอง ทั้งยังต้องอาศัยทักษะและศิลปะว่าด้วยจิตวิทยาพร้อมๆ กันไปด้วย

ในขณะที่พยาธิวิทยาจะเรียนหนักไปทางการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ว่าด้วยสภาวะผิดปกติ และความเป็นมาของโรค โดยเน้นที่การวินิจฉัยสุดท้ายของเซลล์เนื้อเยื่อและระบบอวัยวะด้วยการผ่าศพผู้ตายจากโรคต่างๆ

ที่พูดมายาวก็เพื่อให้สาธารณชนโดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์สายตรงรู้ว่า พยาธิแพทย์ก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เน้นการวิจัยเป็นพื้นฐานเช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์สายตรงทั้งหลายทั้งปวง

ดังนั้น เรื่องของโลกร้อนจึงเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนสามารถแสดงความเห็นเชิงวิทยาศาสตร์ได้

ประเด็นก็คือ ผู้เขียนที่ติดตามเขียนเรื่องของโลกร้อนมานานกว่า 15 ปี ค่อนข้างมีความเห็นที่ตรงไปตรงมาผิดไปจากนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ บ้าง

เมื่อหลายวันก่อน หลานๆ มาเยี่ยมเพราะไม่ค่อยสบาย โดยเริ่มที่เป็นไข้หวัดใหญ่ธรรมดาๆ เพียงแต่ว่ามันเป็นนานเกินกว่า 50 วัน เพราะไม่ได้พักผ่อนจริงๆ เลย หลานชายคนหนึ่งที่มีอายุเพิ่งจะ 19 ปี กำลังเรียนวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมหิดล และเรียนค่อนข้างดีมากๆ

บ่ายวันนั้นแดดจ้าและร้อนมาก ทั้งยังไม่ค่อยหายดี เราจึงมีเวลาคุยกันไม่นานนัก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าช่วงเวลาจะสั้น แต่เราก็ได้พูดกันถึงสภาวะโลกร้อน ซึ่งเชื่อว่านักเรียนที่เรียนสาขาวิทยาศาสตร์สายตรงในมหาวิทยาลัยทุกคนต้องสนใจเป็นพิเศษมากกว่านักวิชาการปัญญาชนคนทั่วไป เพราะต้องหาสาเหตุที่ทำให้โลกร้อนจนผิดปกติว่าเกิดจากอะไรอื่นได้บ้าง นอกจากความมักง่ายเอาแต่ได้ของมนุษย์ตามที่พูดๆ กัน

อีกประการหนึ่ง เพราะว่าสำหรับเด็กในวัยนี้ ในไม่ช้าไม่นาน ทุกคนจะต้องได้รับผลกระทบจากผลพวงของสภาวะโลกร้อนในรูปแบบต่างๆ ด้วยตัวเองทั้งนั้น

ดาวเคราะห์โลกที่เกิดตามมาหลังจากมีดวงอาทิตย์ได้ไม่นานเมื่อประมาณ 4,600 ล้านปีก่อน โดยเริ่มต้นมีวิวัฒนาการของชีวิตขึ้นมาเมื่อราวๆ 3,800 ล้านปีก่อน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์คลาสสิคที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยก่อนปี 1980-1985 แทบทั้งหมดหรือทั้งหมดก็ว่าได้ ล้วนเรียนมาว่า ชีวิตมีขึ้นมาในโลกได้โดยความบังเอิญ เพราะสิ่งแวดล้อมบนผิวโลกมีความเหมาะสมที่เอื้ออำนวยให้สิ่งมีชีวิตสามารถมีวิวัฒนาการขึ้นมาได้

ทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากจะยอมรับใน ทฤษฎีอสุจิสากล (Panspermia Theory) ที่ว่า มีสารอินทรีย์แห่งชีวิต เช่น กรดอะมิโน หรือกระทั่งโมเลกุลของไวรัส ตกลงมาจากฟากฟ้า ด้วยการอาศัยมากับอุกกาบาต นั่นทำให้เรานึกถึงเรื่องของ อาภัสราพรหมซึ่งมีแสงในตัวเอง ที่จุติลงมากินง้วนดินบนโลก ในอัคคัญสูตรของพุทธศาสนาเรา

และหากเป็นเช่นนั้นจริง มันก็จะไม่มีเรื่องของความบังเอิญอีก แต่น่าจะเป็นไปได้ว่า การสรรค์สร้างวิวัฒนาการทั้งหมดของโลกและจักรวาลเป็นไปตามรูปแบบของพิมพ์เขียว ดังที่ พอล เดวีส์ ไมเคิล โปแลงยี เซอร์ เฟรด ฮอยด์ และใครต่อใครคิด รวมทั้งผู้เขียนที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์สายตรงด้วย

สําหรับบ้านเรานั้น ตอนนี้ใครๆ ก็รู้ว่าโลกร้อนขึ้นมาก และเกิดจากฝีมือของเราเอง เพราะความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม ที่เพียงสิบปีกว่าก่อน พวกนักวิทยาศาสตร์สายสังคมโดยเฉพาะนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมืองส่วนมากพยายามปฏิเสธคอเป็นเอ็นว่า ไม่เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างแน่นอน โลกมันร้อนหรือเย็นเป็นน้ำแข็งของมันเอง คนไม่เกี่ยว

แต่วันนี้คงไม่มีใครดันทุรังไม่เชื่ออีก เมื่อนักวิทยาศาสตร์กว่า 2,500 คนของไอพีซีซี (The Intergovernmental Panel on Climate Change : IPCC) ก็สรุปเช่นนั้นอย่างเป็นเอกภาพ เมื่อโลกร้อนขึ้นกว่าเก่ามาก แถมแดดก็ร้อนไปตามอายุของดวงอาทิตย์ที่แก่ตัวลงทุกๆ วัน ผิวของน้ำในทะเลในมหาสมุทรก็จะร้อนตามไปด้วย และจะระเหยเป็นเมฆที่ก่อฝนก่อพายุรุนแรงจนทำให้น้ำท่วมฉับพลันและดินโคลนถล่มที่โน่นที่นี่บ่อยๆ

ตอนนี้และวันนี้ ไม่ว่าใครในโลกไม่เฉพาะที่บ้านเราก็ประสบกับสภาวะโลกร้อนจากภาวะเรือนกระจก ที่มีสาเหตุมาจากการพัฒนาสู่ความเจริญก้าวหน้าบนพื้นฐานของเงินกับระบบเศรษฐกิจเสรี ใครก็ตามที่หน้าดำคร่ำเครียดอยู่กับความโลภและความโลภตลอดเวลา ไม่มีทางที่จะมองเห็น เพราะมัวแต่หวังลมๆ แล้งๆ ว่า ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม

ก็ขอบอกที่นี่และวันนี้ว่า หากเราไม่เลิกแสวงหาเงินและระบบเศรษฐกิจการตลาดเสรีทั่วโลกอย่างค่อยเป็นค่อยไปให้หมดภายในสองหรือสามปีนี้

ระหว่างนี้ ไม่ว่าเราจะสามารถหาพลังงานทดแทนอย่างไร หรือปลูกป่าอีกปีละกี่ล้านไร่-ซึ่งเราควรและต้องทำมาตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน อย่างน้อยก็ควรพิจารณาสิ่งที่ผู้เขียนได้พูดได้เขียนแม้ที่คอลัมน์นี้มานานกว่า 15 ปี-มาถึงวันนี้ อะไรๆ ก็สายเกินไปจนสุดจะช่วย แม้แต่จะผ่อนหนักเป็นเบาอย่างไรได้

ดังที่ ปีเตอร์ รัสเซลล์ นักฟิสิกส์จากเคมบริดจ์ กล่าวว่า มันเป็นกรรมร่วมของโลกและเผ่าพันธุ์ ที่ต้องผ่านบทเรียนอันสุดเจ็บปวดในครั้งนี้ ที่เราส่วนน้อยนิดผู้สามารถอยู่รอดจากมหันตภัยธรรมชาติที่ต้องเกิดกับเราทั้งโลกในไม่ช้านี้ จะต้องนำไปสะท้อนอย่างล้ำลึกและต่อเนื่องที่ภายใน และหนทางนี้เท่านั้นที่จะช่วยได้

หากเราย้อนกลับไปมองเรื่องของฟิสิกส์ปฐพีวิทยาของโลกกายภาพในอดีต โลกเราเคยปรากฏมีสภาวะโลกร้อนที่คล้ายคลึงกับสภาพที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นอีกในวันนี้พรุ่งนี้มาแล้วหลายครั้ง และทุกครั้ง สำหรับผู้เขียน ล้วนมีความหมายที่อาจใช้อธิบายจักรวาลที่มีแผนการสร้างสรรค์ไว้ล่วงหน้า

สภาวะโลกร้อนครั้งหลังสุดที่เหมือนๆ กับคราวนี้ เกิดขึ้นเมื่อช่วงรอยต่อระหว่างปลายยุคพาลีโอซีน (Paleocene) กับอีโอซีน (Eocene)-เมื่อราวๆ 55 ล้านปีมาแล้ว ช่วงเวลาที่ต้นตระกูลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเริ่มปรากฏขึ้นมาในโลกเป็นครั้งแรก จากการที่อยู่ๆ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนถึง 0.3-3.0 ล้านล้านตัน (terraton) ถูกปล่อยออกมาสู่บรรยากาศโลก

ส่วนสาเหตุที่ทำให้ก๊าซเรือนกระจกอยู่ๆ ก็พรวดพราดถูกปล่อยออกมาจากไหนและอย่างไรนั้น แม้กระทั่งบัดนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันระหว่างนักวิทยาศาสตร์

บ้างก็ว่ามาจากการปล่อยของก๊าซมีเทนที่ฝังตัวอยู่ในผลึกน้ำแข็งใต้ท้องมหาสมุทรใกล้ๆ ขั้วโลกเหนือ

บ้างก็ว่าเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟใต้มหาสมุทรแอตแลนติกเหนืออีกเหมือนกัน การระเบิดทำให้ก๊าซคาร์บอนใต้ดินถูกปล่อยออกมา (Nature, Jun. 2004)

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนไม่เคยเชื่อหรือยอมรับเรื่องความบังเอิญหรืออุบัติเหตุ

เพราะเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับโลกกับจักรวาลรวมทั้งกับมนุษย์แต่ละคนหรือสังคมแต่ละสังคม ล้วนมีแผนหรือพิมพ์เขียวเขียนไว้ล่วงหน้าทั้งนั้น นั่นประกอบด้วยสองกลไกที่แยกกันทำ คือ กรรมร่วมของเผ่าพันธุ์หนึ่ง กับทฤษฎีการจัดองค์กรให้กับตัวเองดังที่เคยอธิบายไปแล้วหลายครั้ง

เพื่อเป็นการเปรียบเทียบระหว่างกัน ตอนนี้เราได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลกไปเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยก็ราวๆ ครึ่งล้านล้านตัน หรือราวๆ 0.5 terraton ซึ่งอยู่ในขอบเขตสูงกว่าระดับต่ำที่สุดของสภาวะโลกร้อนเมื่อ 55 ล้านปีก่อน

งานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้จากหลายมหาวิทยาลัยชี้บ่งว่า เมื่อ 55 ล้านปีก่อน

อุณหภูมิเฉลี่ยในแถบอบอุ่นของโลก เช่นที่ยุโรปสูงขึ้นไปกว่าปกติถึง 8 องศาเซลเซียส

ในขณะที่บริเวณแถบร้อนเช่นบ้านเรา สูงขึ้นไปกว่าปกติเพียง 5 องศาเซลเซียส แต่ก็สูงพอที่จะทำให้ป่าฝนเขตร้อนกลายเป็นพุ่มไม้เตี้ยๆ สลับกับทะเลทรายไปทั้งหมด (Hadley Center 2004) และโลกอาจจะต้องใช้เวลาราวๆ 1-2 แสนปี ในการรักษาความป่วยเจ็บเป็นไข้สูงให้กับตัวเอง

ที่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นก็เพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต้องใช้เวลานานกว่าจะสูญสลาย แม้เมื่อ 55 ล้านปีก่อนอาจเริ่มด้วยก๊าซมีเทน แต่มีเทนก็ย่อมถูกออกซิไดซ์เป็นก๊าซคาร์บอนกับละอองน้ำวันยังค่ำ

ส่วนเรื่องของน้ำท่วมโลกที่พูดๆ กันนั้น เป็นเพียงการเปรียบเปรย เพราะน้ำคงจะไม่มีทางท่วมโลก ท่วมแผ่นดิน รวมทั้งภูเขา เหมือนหนังเรื่อง Waterworld จริงๆ แล้วการที่น้ำทะเลจะสูงมากกว่า 80-90 เมตร คงเป็นได้ยาก เพราะนั่นหมายถึงน้ำแข็งที่กรีนแลนด์และทวีปแอนตาร์กติกาต้องละลายกลายเป็นน้ำไปแทบทั้งหมด แต่เป็นไปได้มากที่ระดับน้ำทะเลจะสูงกว่าระดับปัจจุบันขึ้นไปถึง 20-40 เมตร ภายใน 30 ปีข้างหน้า ตามที่ เจมส์ ลัฟล็อค ยืนยันว่าน่าจะเกิดมากกว่าไม่เกิด

แล้วเราคนไทยโดยเฉพาะคนภาคกลางจะไปอยู่กันที่ไหนในเวลานั้น?

ก็เห็นมีแต่นักวิทยาศาสตร์ไม่กี่คนที่ยังคงดันทุรังคิดในเชิงอนุรักษนิยม โดยคาดหวังว่ามนุษย์และสังคมประเทศชาติอาจสามารถรู้ตัวได้ทันและเลิกคิดที่จะแข่งขันกัน

ดังนั้น จึงคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่มนุษยชาติโดยรวมจะหวนกลับมาร่วมมือกันลดการเผาผลาญฟอสซิลคาร์บอนลงอย่างฉับพลันทันที (drastic world-wide reduction) ทำให้อุณหภูมิโลกที่คาดว่าจะสูงมากในปลายศตวรรษนี้อาจจะลดลงมาสูงเพียง 2 องศาเซลเซียสเท่านั้น ทำให้เรื่องของน้ำท่วมโลกเป็นไปได้ยาก เพราะอย่างดีระดับน้ำทะเลที่อาจสูงขึ้นบ้าง ก็คงแค่ไม่เกิน 30 เซน ติเมตร (Tom Wigley and G.A. Meehl, Science, Mar. 2005)

แต่ก็เห็นได้ชัดว่า นักอุตุนิยมทั้งสองคนนั้น ไม่ได้นำเรื่องของสภาวะโลกในปัจจุบันที่กำลังอยู่ในช่วงของการย้อนกลับไปมาของความร้อนที่เกิดจากสาเหตุต่างๆ (positive feedbacks) ไม่ว่าจะเป็นความร้อนจากสภาวะเรือนกระจกที่ทำให้น้ำแข็งในที่ต่างๆ เช่น จากขั้วโลกเหนือหรือยอดเขาสูงละลาย หรือป่าไม้ที่ช่วยดูดกลับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือความร้อนจากการพัฒนาที่อยู่อาศัย เช่น เครื่องทำความเย็น และจากซีเอฟซีที่ยังคงมีใช้อยู่บ้าง

และที่สำคัญที่สุดที่รายงานดังกล่าวไม่ได้นำมาคิดเลยคือ ระบบนิเวศของป่าฝนเขตร้อนกับระบบนิเวศของสาหร่ายโฟโตแพลงตอนสีเขียวที่ลดน้อยลงมากเมื่อโลกร้อนขึ้นเรื่อยๆ

พืชพันธุ์ไม้สีเขียวพวกนี้ทำหน้าที่ดูดซับ หรือปั๊ม (pump) ก๊าซคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศอันเป็นกลไกธรรมชาติที่สุดสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องสูญเสียไป ทำให้เกิดฟีดแบ๊คกลับไปกลับมาจนอุณหภูมิสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

ผู้เขียนเชื่ออย่างมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์กายภาพในเรื่องของแรงที่กระทำไปย่อมจะก่อแรงสะท้อนที่เท่ากันตามกฎการเคลื่อนที่ข้อที่สามของนิวตัน

ยิ่งกว่านั้น ผู้เขียนยังรู้ว่า โดยอภิปรัชญาที่ต่อยอดบนแควน ตัมเมคานิกส์ซึ่งไม่มีตรรกะเลย แต่ได้รับการยอมรับกันโดยนักฟิสิกส์ระดับนำจำนวนมากของโลก ทำให้พวกเขาเหล่านั้นรวมทั้งผู้เขียนเชื่อมั่นว่า ไม่มีอะไรในโลก ในจักรวาล ที่ปรากฏขึ้นมาด้วยความบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีคุณค่าและความหมาย หรือมีเป้าหมายอย่างหนึ่งอย่างใดทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเรามองไม่เห็น ชี้วัดหรือคาดคิดด้วยสติปัญญาหรือสุตมยปัญญาไม่ได้

เราจึงเชื่อว่า เมื่อมองไม่เห็นและคิดไม่ถึงด้วยตรรกะและเหตุผลของตนแล้ว สิ่งนั้นปรากฏการณ์นั้นก็จะต้องไม่มี หรือ "บังเอิญ" มีขึ้นมาอย่างไร้สิ้นซึ่งความหมาย

เพราะฉะนั้น ในความรู้ความเห็นของผู้เขียน อุกกาบาตขนาดยักษ์ที่ตกลงมาชนโลกเมื่อ 65 ล้านปีก่อนจนทำให้ไดโนเสาร์ต้องตายไปทั้งหมด จะต้องมีความหมายหรือมีความสัมพันธ์กับวิวัฒนาการของชีวิตที่ไล่สูงขึ้นไปกว่านั้น

สภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดเมื่อ ๕๕ ล้านปีในยุคอีโอซีน ที่ทำให้โลกร้อนอยู่นานร่วมๆ 2 แสนปี จนชีวิตอยู่แทบไม่ได้ นอกจากพื้นดินบริเวณใกล้ๆ ขั้วโลก ดังที่ปรากฏร่องรอยวิวัฒนาการของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหรือแมมมอลชี้บ่งว่า เป็นแผนแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาลที่แผ้วถางเพื่อให้ชีวิตที่อยู่สูงกว่าสามารถมีวิวัฒนาการขึ้นมาได้

ในความเห็นส่วนตัวเช่นเดียวกัน สภาพโลกร้อนเกิน 5 องศา จะทำให้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ไม่ได้ในไม่กี่สิบปีข้างหน้า นอกจากแผ่นดินใกล้ๆ ขั้วโลก เช่น กรีนแลนด์-ที่อาจใช้เวลา 1 แสนปีกว่าที่ก๊าซคาร์บอนจะสูญสลายไปหมด-และช่วงเวลาต่อไปจากนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่มนุษยชาติสามารถวิวัฒนาการต่อไปได้

และคราวนี้ไม่ว่าเราจะเหลือน้อยสักปานใด จะไม่ใช่เรื่องของรูปกายที่วิวัฒนาการจบไปแล้ว แต่จะเป็นวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณ ที่สำหรับผู้เขียน เส้นทางดังกล่าวเป็นไปตามเป้าหมายของจักรวาล



จาก         :             มติชน  วันที่ 6 ตุลาคม 2550   คอลัมน์ จิตวิวัฒน์  โดย ประสาน ต่างใจ แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุน การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #167 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2007, 07:40:33 AM »

ตาม  ทฤษฎีอสุจิสากล (Panspermia Theory) คือมีสารอินทรีย์แห่งชีวิต เช่น กรดอะมิโน หรือกระทั่งโมเลกุลของไวรัส ตกลงมาจากฟากฟ้า ด้วยการอาศัยมากับอุกกาบาต เผอิญที่สิ่งแวดล้อมบนผิวโลกมีความเหมาะสมที่เอื้ออำนวยให้สิ่งมีชีวิตสามารถมีวิวัฒนาการขึ้นมาได้ จึงเจริญเติบโตจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิต....

อืมมมมม.....จึงเป็นความบังเอิญ.....ที่มนุษย์เกิดมาในโลกเช่นเดียวกับสรรพชีวิตอื่นๆ......แต่ มนุษย์กำลัง ตั้งใจ ทำลายชีวิตมนุษย์และสรรพชีวิตทั้งหลายด้วยการทำลายสภาพแวดล้อมของโลกที่เคยเหมาะสมอำนวยต่อการคงอยู่ของชีวิตทั้งปวงให้พินาศลงไปทุกวันๆ.......

จิตสำนึกที่ดีๆในจิตวิญญาณของมนุษย์หายไปไหนกันหมดหนอ.....

ชอบข้อเขียนของคุณหมอท่านนี้จริงๆเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ.......
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 06, 2007, 07:45:06 AM โดย สายชล » บันทึกการเข้า

Saaychol
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #168 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2007, 11:38:38 PM »


เตือนโลกร้อนจากมนุษย์ เพิ่มความรุนแรงหนักขึ้น    
 
ภาวะโลกร้อนทำให้ความชื้นสูงขึ้น คาดจะยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มความรุนแรงของปริมาณฝนและความรุนแรงของพายุมากขึ้น

ปารีส- ผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์อังกฤษพบว่า ภาวะโลกร้อนที่เกิดจากฝีมือมนุษย์กำลังทำให้ระดับความชื้นในอากาศสูงขึ้น เสี่ยงทำให้ฤดูฝนเคลื่อนหรือรุนแรงขึ้น พายุโซนร้อนรุนแรงขึ้นและผู้คนไม่สบายเพราะสภาพอากาศร้อน

ผลการศึกษาของหน่วยวิจัยสภาพอากาศ มหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลียที่ลงพิมพ์ในวารสารเนเจอร์ฉบับวัน พฤหัสบดีที่11 ตุลาคมนี้ระบุว่า ระหว่างปี 2519-2547 ผิวโลกมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.49 องศาเซลเซียส ระดับไอน้ำในชั้นบรรยากาศโลกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 ผลการศึกษาคาดว่า ระดับความชื้นของโลกอาจเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 10 ภายในปี 2643

ระดับไอน้ำในชั้นบรรยากาศเป็นวงจรที่เกิดขึ้นไม่รู้จบในปรากฏการณ์ภาวะโลกร้อน เพราะไอน้ำถือเป็นก๊าซเรือนกระจกประเภทหนึ่ง มีคุณสมบัติคล้ายกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ก๊าซเรือนกระจกเป็นตัวกักความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ในชั้นบรรยากาศ ทำให้โลกร้อนยิ่งขึ้น เป็นเหตุให้ระดับความชื้นเพิ่มขึ้น นักวิจัยระบุว่า การที่โลกมีความชื้นสูงขึ้นจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งการกระจายตัว ความรุนแรงของปริมาณน้ำฝน และความรุนแรงของพายุไซโคลน



จาก         :             แนวหน้า  วันที่ 11 ตุลาคม 2550    
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #169 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2007, 12:37:42 AM »


น้ำ-น้ำ-น้ำ ขาดน้ำได้หรือ           :            โดย พล.ท.นพ.อำนาจ บาลี ผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์ และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย


น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต : ขาดน้ำจะหาชีวิตได้หรือไม่ ดาวนพเคราะห์คือโลกเรานี้ จะกลายเป็นทะเลทรายทั้งโลก น้ำมีบทบาทที่เด่นชัดสำหรับภูมิอากาศของโลกเช่นกัน ไอน้ำในบรรยากาศโลกเป็นสิ่งสำคัญ ระบบก๊าซของสภาวะเรือนกระจกมากกว่า 60% ของสภาวะเรือนกระจก (Greenhouse effect) ในบรรยากาศโลกเกิดจากไอน้ำ

ถ้าปราศจากก๊าซของสภาวะเรือนกระจกจะทำให้อุณหภูมิของโลก ดาวนพเคราะห์ดวงนี้อยู่ราวๆ -18 ํC (ลบ 18 องศาเซลเซียส) น้ำเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพบนลูกโลกใบนี้

พืช สัตว์ มนุษย์ มีสารประกอบเป็นน้ำถึง 50-80% พืช สัตว์ มนุษย์ จะเครียด เจ็บป่วย หรือตายจากการขาดแคลนน้ำหรือน้ำสกปรก ดังนั้น อนาคตร่วมกันของเราอยู่ในภาวะวิกฤต หากน้ำไม่พอเพียงทั้งปริมาณและคุณภาพ

น้ำไหลผ่านข้ามเป็นวงจรน้ำไม่รู้จบ (วงจรชีวิตน้ำ) สามารถกรองตนเองได้ (กระทั่งดื่มได้) โดยผ่านระยะทางยาวไกล ผ่านชั้นหิน ดิน ทราย

น้ำเป็นมรดกโลก มรดกธรรมชาติ และเป็นสมบัติของสิ่งมีชีวิต สิทธิที่จะได้รับน้ำสะอาดและพอเพียงเป็นหลักสากล หรือกฎหมายโลก และมันต้องเป็นรากฐานของกฎข้อบังคับหรือกฎบัตรสำคัญระหว่างประเทศ

การกระจายของฝนที่ตกอย่างไม่สมดุลบนโลกนำไปสู่ความขาดแคลนน้ำในเขตภูมิภาคต่างๆ ของโลก ปัจจุบันนี้ 1.2 พันล้านคน (20% ของพลโลก) ขาดวิถีทางที่จะได้น้ำดื่มสะอาดและอีก 2.4 พันล้านคน ไม่ได้เข้าถึงระบบสุขาภิบาลที่ทำขึ้น

เด็กๆ เป็นล้านคนที่ตายทุกปีจากน้ำสกปรก ปนเปื้อน ในขณะที่ชาวยุโรปใช้น้ำ 130-150 ลิตรต่อคนต่อวัน สหรัฐอเมริกาใช้น้ำถึง 300 ลิตรต่อคนต่อวัน ประชาชนทางตอนใต้ของเขตทะเลทรายซาฮารา ใช้น้ำน้อยกว่า 20 ลิตรต่อวัน

การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกยิ่งเพิ่มภาวะวิกฤตของน้ำยิ่งขึ้น สาเหตุใหม่มาจากการปล่อยก๊าซที่ทำให้เกิดสภาวะเรือนกระจกโดยน้ำมือมนุษย์ ส่วนใหญ่มาจากประเทศอุตสาหกรรม

ภูเขาน้ำแข็งมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ภูเขาน้ำแข็งส่วนใหญ่หดตัวเล็กลง น้ำแข็งละลายมากขึ้น สภาวะโลกร้อนขึ้น เพิ่มความเร็วของวงจรน้ำเพิ่มขึ้น (Water cycle) และเพิ่มปัญหาของน้ำในโลกยิ่งขึ้น

ในภูมิภาคที่ชื้น เช่นแถบสแกนดิเนเวีย ทำให้มีฝนตกมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ภูมิอากาศในพื้นที่แห้งแล้งหรือเกือบแล้ง เป็นแถบเมดิเตอร์เรเนียน ฝนตกน้อยลงยิ่งเพิ่มพื้นที่แห้งแล้งหรือเกือบแล้งเพิ่มขึ้น ขยายวงกว้างขึ้น

ในฐานะพลเมืองหรือพลโลกคนหนึ่ง ท่านจะทำอย่างไรในภาวะวิกฤตของประเทศ ของโลก หรือของสิ่งมีชีวิต พืช สัตว์ และมนุษย์ในขณะนี้ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันพูด ช่วยกันเขียนบ่อยๆ ว่าจะทำอย่างไร น้ำจึงจะมีพอเพียงทั้งปริมาณและคุณภาพ สำหรับมนุษยชาติรุ่นต่อๆ มา

เอาง่ายๆ สัก 2-3 วิธีการ ที่ทุกคนทำได้


ลด

-เผาฟางข้าว เศษไม้ กิ่งไม้ ขยะ

-เผาน้ำมันรถยนต์ ใช้น้ำมันรถยนต์ให้น้อยลง

-สูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้

-ทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงในลำน้ำ


เพิ่ม

-ปลูกต้นไม้ครอบครัวละ 1 ต้น/ต่อปี

-การดูแลแม่น้ำลำคลอง

-เพิ่มอนุรักษ์ต้นน้ำ

และหยุด ความโลภโมโทสัน มีมาก รวยมาก ก็ใช้ไม่ได้ หลบๆ ซ่อนๆ ตายก็เอาไปไม่ได้

ช่วยลูกหลานประเทศชาติ และโลกให้มีอนาคตจะดีกว่า?



จาก         :             มติชน  วันที่ 12 ตุลาคม 2550    
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #170 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2007, 12:42:01 AM »


ตำนานกล่องแพนโดรา (Pandora"s Box) กับแนวทางแก้วิกฤตโลกร้อน

โดย ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ หน่วยวิจัยชีวธรณีเคมีและการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ E-Mail: pongpiajun@gmail.com


 
ตํานานกล่องแพนโดรา (Pandora"s Box) นั้นเป็นเทพนิยายกรีกที่มีความเกี่ยวเนื่องกับปฐมเหตุแห่งอุบัติของโลกตามบทกวีของฮีเสียด (Hesiod ศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสต์ศักราช)

โดยมีเรื่องเล่าว่า ในสมัยที่โลกเพิ่งถือกำเนิดมาใหม่ๆ เทพซีอุส (Zeus) ผู้เป็นประธานใหญ่ของเหล่าทวยเทพทรงกริ้วที่เทพโพรมิเทียส (Prometheus) ได้ฝ่าฝืนกฎสวรรค์นำเอา "ไฟ" ซึ่งเป็นสมบัติที่สงวนไว้สำหรับเทพลงมาจากยอดเขาโอลิมปัส (Olympus) เพื่อมอบให้กับมนุษย์

ด้วยอำนาจแห่งไฟทำให้สัตว์ป่าที่ดุร้ายไม่กล้าทำร้ายมนุษย์ และทำให้มนุษย์รู้สึกเหิมเกริมต่ออำนาจที่ตนมีอยู่เหนือสัตว์ทั้งปวง

เทพซีอุสจึงออกอุบายที่จะกำราบความหยิ่งยโสของมนุษย์ โดยรับสั่งให้บรรดาเทพสร้างเทพีสาวที่มีความงดงามและเสน่ห์เย้ายวนนามว่า แพนโดรา (Pandora) พร้อมกับกล่องที่มีความวิจิตรงดงามขึ้นมาใบหนึ่ง

โดยก่อนที่แพนโดราจะจุติลงสู่โลกมนุษย์ เทพเฮรา (Hera) มเหสีเอกแห่งเทพซีอุส ได้ทรงกำชับว่าห้ามเปิดกล่องใบนี้โดยเด็ดขาด

แต่ในที่สุดความเคลือบแคลงสงสัยของแพนโดราก็เป็นฝ่ายชนะ ทันทีที่สลักชิ้นสุดท้ายถูกปลดออกจากฝากล่อง กลุ่มควันสีดำก็พวยพุ่งออกมาพร้อมกับนำพา ความโทมนัส ความทุกข์ทรมาน ความหวาดกลัว และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มาสู่โลกมนุษย์ที่ครั้งหนึ่งมีแต่ความสงบสุข

ภาวะโลกร้อนที่มนุษยชาติกำลังเผชิญอยู่แท้ที่จริงแล้วก็มีสาเหตุจากการที่มนุษย์ได้นำเอาเชื้อเพลิงฟอสซิลใต้พื้นพิภพมาแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานผ่านกระบวนการสันดาปซึ่งมีธาตุไฟอันเป็นสิ่งต้องห้ามของเทพซีอุสเป็นตัวจุดชนวน

หากเราจะเปรียบกลุ่มควันสีดำที่แพร่กระจายออกจากกล่องของแพนโดราคือ กลุ่มของก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ความเศร้าโศกเสียใจคือผลพวงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆ อันเกิดจากปรากฏการณ์โลกร้อน

ผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ในเชิงบวกระหว่างอุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศกับความถี่ของเฮอร์ริเคนที่เกิดขึ้นบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและจำนวนของไต้ฝุ่นที่ถาโถมเข้าใส่หมู่เกาะญี่ปุ่น

นอกจากนี้ การระบาดของโรคต่างๆ รวมทั้งความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศล้วนนำพาความทุกข์ระทมมาสู่มวลมนุษย์ เสมือนเป็นการลงโทษจากเทพซีอุสต่อความอหังการของมนุษย์

หรือภาวะโลกร้อนคือกลไกธรรมชาติที่เร่งให้วันพิพากษา (Judgment Day) ตามความเชื่อของชาวคริสต์มาเยือนเร็วขึ้น

ผู้เขียนมีความเชื่อว่ามนุษยชาติจะรอดพ้นจากวิกฤตโลกร้อนได้ต้องมี "ความหวัง" (Hope) เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ เพราะความหวังเป็นสิ่งเดียวที่ตกค้างอยู่ในกล่องแพนโดราและตะโกนเรียกร้องให้ช่วยปลดปล่อยมันออกมาต่อสู้กับความชั่วร้ายที่ฟุ้งกระจายอยู่ในชั้นบรรยากาศ

และเจ้าความหวังนี้ก็คือความเวทนาที่เหล่าเทพมีต่อมนุษย์ โดยได้วางทิ้งไว้ในก้นกล่องเพื่อรอวันที่มันจะหลุดพ้นจากพันธนาการ

ตำนานปรัมปรากรีกเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นสัจธรรมข้อหนึ่งคือ ทุกปัญหาย่อมมีหนทางแก้ไขเสมอ

และนี้คือที่มาของการนำเอาองค์ความรู้ทางด้านภูมิวิศวกรรมศาสตร์ (Geoengineering) มาแก้ไขปัญหาโลกร้อน เช่น การสร้างกระจกขนาดยักษ์เพื่อสะท้อนแสงอาทิตย์กลับสู่ชั้นบรรยากาศ หรือการโปรยผงเหล็กลงในทะเลเพื่อช่วยกระตุ้นแพลงตอนพืชให้ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านขบวนการสังเคราะห์แสงมากขึ้น

โดยแนวทางแรกถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีที่ช่วยลดการสะสมความร้อนในชั้นบรรยากาศได้เร็วที่สุดแต่ยากต่อการปฏิบัติเพราะต้องใช้งบประมาณและพื้นที่มหาศาลในการสร้างแผ่นกระจกขนาดยักษ์

ในขณะที่แนวทางที่สองโดยหลักการแล้วมีความเป็นไปได้สูงเนื่องจากแพลงตอนพืชสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปริมาณที่มากเท่ากับพืชบนบก

ด้วยเหตุผลดังกล่าว J. Martin (1989) จึงได้นำเสนอแนวความคิดที่จะใช้การสังเคราะห์แสงของแพลงตอนพืชบรรเทาวิกฤตโลกร้อน โดยการโปรยผงเหล็กลงในทะเลแถบขั้วโลกใต้เพราะบริเวณนี้มีปริมาณธาตุอาหารและแสงแดดมาก เพียงแต่ขาดธาตุเหล็กซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการกระตุ้นการสังเคราะห์แสงเท่านั้น

เป็นที่น่าเสียดายที่พืชแพลงตอนสามารถดูดซับธาตุเหล็กได้ในรูปของสารละลาย แต่ผงเหล็กที่ละลายอยู่ในน้ำทะเลจะทำปฏิกิริยาทันทีกับออกซิเจนที่ละลายในน้ำและเปลี่ยนรูปเป็นเฟอร์ริกออกไซด์ (Ferric Oxide) ซึ่งอยู่ในรูปที่ทำให้แพลงตอนพืชไม่สามารถนำไปใช้ในการสังเคราะห์แสง

Damon Matthews (2006) จาก Concordia University และ Ken Caldeira (2006) จาก Carnegie Institution of Washington จึงได้นำเสนอแนวความคิดที่จะลดอุณหภูมิโลกโดยเลียนแบบปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ โดยได้อ้างอิงเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดที่ Mount Pinatubo ประเทศฟิลิปปินส์ในปี 2534 ซึ่งพลังงานจากการระเบิดได้ขับดันก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfer dioxide: SO2) มากถึง 20 ล้านตัน เข้าสู่ชั้นบรรยากาศสตาร์โทสเฟียร์ (Stratosphere)

ส่งผลให้เกิดการก่อตัวของแอโรซอล (Aerosol) หรืออนุภาคแขวนลอยในบรรยากาศที่มีคุณสมบัติในการสะท้อนแสงอาทิตย์กลับสู่อวกาศทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งโลกตลอดปี 2534 ลดลงถึง 0.5 องศาเซลเซียส

Damon Matthews ได้กล่าวไว้ว่า ภายในระยะเวลา 50 ปีต่อจากนี้หากอุณหภูมิของโลกยังสูงขึ้นต่อไปเรื่อยๆ อาจมีความจำเป็นที่ต้องหาแนวทางในการลดอุณหภูมิโลกลงโดยใช้องค์ความรู้ทางวิศวกรรมศาสตร์เข้ามาสนับสนุน ซึ่งการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfer dioxide: SO2) เข้าสู่ชั้นบรรยากาศน่าจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดเนื่องจากเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่แล้วในธรรมชาติ

เพียงแต่ต้องระวังผลกระทบข้างเคียง เนื่องจากก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์สามารถลดจำนวนโอโซนในชั้นบรรยากาศสตาร์โทสเฟียร์อันเป็นสาเหตุของรูรั่วโอโซน (Ozone hole) ที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง

แม้ว่าฝากล่องแพนโดราจะถูกเปิดออก แต่ใช่ว่าการแก้ปัญหาโลกร้อนจะไร้ซึ่งหนทาง มนุษย์ต้องรีบปลดพันธนาการ "ความหวัง" ให้ออกมาจากกล่องโดยเร็วที่สุด และใช้สติปัญญาไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนที่จะกระทำการใดๆ ลงไป

เพราะผลลัพธ์ที่ได้อาจทำให้การแก้ไขวิกฤตโลกร้อนกลับนำมาซึ่งปัญหาสิ่งแวดล้อมใหม่ที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงยิ่งกว่าเดิม



จาก         :             มติชน  วันที่ 12 ตุลาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #171 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2007, 12:41:54 AM »


ทะเลทรายขยายเขต
 
ป่านนี้คงทราบกันแล้วใครคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2550 จากผลงานเกี่ยวข้องรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนหรือไม่ เพราะปัญหาโลกร้อนได้ถูกจัดอยู่แถวหน้าความสำคัญที่ชาวโลกทุกคนต้องรับรู้รับชะตากรรม และร่วมมือแก้ไขจริงจัง มิเช่นนั้น ความรุนแรงของปัญหาต้องคุกคามสันติภาพของชาวโลกเลี่ยงไม่พ้น

ผลจากโลกร้อน นอกจากทำให้อากาศแปรปรวน ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นแล้ว ยังทำให้พื้นผิวดินบนโลกที่มีอยู่แค่ 1 ใน 3 ส่วน ยิ่งลดลงและกลายสภาพเป็นทะเลทรายมากขึ้น

ภาวะกลายสภาพจากผิวดินเป็นทะเลทราย เดิมทีถือเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะผิวดินแห้งแล้งขาดน้ำ ขาดความชุ่มชื้น แต่หลังปี 2511 ชาวโลกเริ่มตระหนักมากขึ้นถึงภัยรุกรานขยายอาณาเขตของทะเลทราย เพราะผู้คนและปศุสัตว์แถบแอฟริกาตะวันตก ล้มตายจากสภาพความแห้งแล้งอดอยากภายในช่วงเวลาแค่ 6 ปี มากหลายล้านชีวิต...

อัตราการขยายตัวของทะเลทรายเพิ่มพื้นที่อย่างรวดเร็ว ทวีปแอฟริกาเลวร้ายที่สุด พื้นที่ 2 ใน 3 ส่วน แห้งแล้งสภาพเรียกทะเลทราย ส่วนสหรัฐฯพื้นที่เกือบ 1 ใน 3 อยู่ในสภาพแห้งแล้งใกล้ภาวะทะเลทราย แถบละตินอเมริกาและแคริบเบียนเป็นทะเลทรายแล้ว 1 ใน 4 ส่วน สเปนมีทะเลทรายแล้ว 1 ใน 5 ส่วน ทะเลทรายในจีนก็ขยายอาณาเขตมากขึ้นเช่นกัน

แม้โทษธรรมชาติก่อพัฒนาเกิดทะเลทราย แต่มนุษย์ช่วยผลักดันสภาพทะเลทรายให้แผ่กว้างและเกิดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งจากการแผ้วถางป่าปลูกพืช และเลี้ยงสัตว์ หรือไม่ก็เพราะการขยายตัวอย่างรวดเร็วของชุมชนเมือง

ตัวอย่างเช่น อียิปต์ ประชากรราว 77 ล้านคน พื้นที่ประเทศราว 1 ล้านตาราง กม. มากกว่าไทย 1 เท่าตัว แต่แผ่นดินแดนไอยคุปต์ประชากรอาศัยอยู่ได้แค่ 5 เปอร์เซ็นต์ ตามริมฝั่งแม่น้ำไนล์และแถบริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พื้นที่ที่เหลือเกือบทั้งหมดคือทะเลทรายแห้งแล้งผู้คนอาศัยอยู่ไม่ได้ เพราะอียิปต์แทบไม่มีฝนตกตลอดปี

รัฐบาลกำหนดโครงการ “ทอชก้า--Toshka” ทุ่มงบ 70,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สร้างพื้นที่เกษตรกรรมใหม่เจาะเข้าไปในเขตทะเลทรายภายใน 10 ปี ให้ได้ 8.5 ล้านไร่ หวังกระจายชาวบ้านตามชุมชน เมืองย้ายเข้าไปอยู่มากขึ้น โดยขายที่ดินให้ราคาถูก...

แต่ปัญหาอยู่ที่รัฐบาลจำเป็นต้องต่อท่อดึงน้ำจืด จากแม่น้ำไนล์เข้าไปใช้พลิกฟื้นสภาพทะเลทรายมาก เฉลี่ยปีละกว่า 5,000 ล้านลูกบาศก์เมตร

นั่นคุ้มค่าหรือไม่กับการแลกพลิกฟื้นสภาพทะเลทราย แต่ต้องทะเลาะแย่งน้ำกับชาติเพื่อนบ้านอย่างซูดานและเอธิโอเปีย ซึ่งต่างมีปัญหาผู้คนอดอยากล้มตายมากมายเพราะความแห้งแล้งและสงครามกลางเมือง....

 
 
จาก         :             ไทยรัฐ  หน้าต่างโลก  วันที่ 13 ตุลาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #172 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2007, 01:08:57 AM »


เปิดโลกกว้าง-"ผ่าตัดโลก" แก้โลกร้อน


 
หลังจากเฝ้าดูรัฐบาลประเทศต่างๆเจรจาลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบไร้ผลสำเร็จจริงจังมานานนับสิบปี นักวิศวกร และนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง จึงเชื่อว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องทำ "การผ่าตัดโลกครั้งใหญ่" เสียที เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน

คำว่า"ผ่าตัด" ณ ที่นี้ ย่อมไม่ได้หมายถึงการเอามีดเล่มใหญ่มาผ่า หรือเฉือนส่วนที่มีปัญหาออกไป หากแต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลักๆ บางประการของโลก

"แต่ก่อน ผมก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับโครงการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของโลก แต่ตอนนี้ผมหนุนให้เราเริ่มทำโครงการเหล่านี้กันได้แล้ว เพราะเราก็เห็นๆ กันอยู่ว่า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยใส่โลกอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้ลดลงเลย" นายไบรอัน ลอนเดอร์ อาจารย์ด้านวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ในอังกฤษ กล่าว 

ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การเจรจา และสนธิสัญญาระหว่างประเทศต่างๆ มิได้ทำให้ระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงร้อยละ 60-80 อย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้กันแต่อย่างใด ซ้ำร้าย ระดับการปล่อยก๊าซยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายลอนเดอร์จึงเชื่อว่า โครงการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของโลกครั้งใหญ่ อาทิ การสร้างฉากกันแดดคลุมโลก หรือการเทสารเหล็กลงสู่มหาสมุทร น่าจะถือว่าเป็น "คำตอบสุดท้าย" ของการแก้ปัญหาโลกร้อนแล้ว

"เราควรจะศึกษาโครงการเหล่านี้อย่างจริงจัง ถ้ามีคนเสนอความคิดทำนองนี้มาสัก 100 ความคิด แล้วมีสัก 3 ความคิดที่ใช้ได้จริง การศึกษาของเราก็น่าจะให้ผลคุ้มค่าแล้ว" นายเคน คาลไดรา ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันคาร์เนกี วอชิงตัน กล่าวหนุน 



ผู้สนับสนุนแนวคิดการผ่าตัดโลกล้วนเมินเสียงค้านจากนักอนุรักษ์ธรรมชาติที่ว่า แนวคิดการเปลี่ยนแปลงโลกในลักษณะดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างใหญ่หลวง และการใช้เทคโนโลยีแบบสุดขั้วอย่างนี้ ก็ไม่น่าจะช่วยแก้ปัญหาได้ เพราะเทคโนโลยีนี่แหละเป็นตัวก่อปัญหามาตั้งแต่ต้น

นายเจมส์เลิฟล็อค ชี้ว่า ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์บนโลกนี้เยอะ จนระบบนิเวศเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงไปแล้ว

"แน่นอนครับ โครงการใหญ่ระดับนี้ต้องมีผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาแน่นอน แต่ความจริงก็คือ ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เดิมพันที่อาจจะต้องเสียไปก็มีค่าสูงมากๆ" นายเลิฟล็อค นักนิเวศชื่อดัง แสดงความคิดเห็น

เมื่อช่วงต้นปีแม้แต่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็เริ่มพิจารณาโครงการสุดขั้วไปบ้างแล้ว อาทิ การส่งกระจกออกไปโคจรนอกโลก เพื่อกันแสงแดดบางส่วนไม่ให้เดินทางเข้าสู่โลก หรือการสร้างเมฆเพื่อคลุมโลกเอาไว้ไม่ให้ร้อนณปัจจุบัน การสำรวจแนวคิดผ่าตัดโลกสารพัดวิธีล่าสุด พบว่าแนวคิดบางอย่างอาจจะมีโอกาสนำมาปฏิบัติได้จริง และสามารถช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนได้ ซึ่งจะหยิบยกมาเป็นตัวอย่างพอสังเขป ดังนี้


1.การสูบน้ำลึกใต้มหาสมุทร

นายคริสแร็พเลย์ หัวหน้าพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ของอังกฤษ และนายเจมส์ เลิฟล็อค นักนิเวศชื่อดัง เสนอให้ติดตั้งท่อแนวดิ่งลงสู่ใต้มหาสมุทร เพื่อสูบเอาน้ำลึกขึ้นมาอยู่บนพื้นผิว เนื่องจากน้ำมหาสมุทรที่มีอุณหภูมิเย็น จะ "ให้ผล" ดีกว่าในแง่ที่มีสิ่งมีชีวิตมากกว่า 

เมื่อลอยขึ้นสู่พื้นผิวมหาสมุทรสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตาย และจมลงสู่ใต้พื้นมหาสมุทรพร้อมกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะจมหายไปนานนับล้านๆ ปี

อย่างไรก็ตามนักชีววิทยาทางทะเล ชี้ว่า หากใช้แนวคิดนี้จริง สิ่งมีชีวิตในท้องทะเลจะได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วาฬ และโลมา

โอกาสประสบความสำเร็จ 3/5 ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลอาจยับยั้งการดำเนินการตามแนวคิดนี้


2.ต้นไม้สังเคราะห์

นายเคลาส์แล็กเนอร์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เสนอแนวคิดการติดตั้งต้นไม้สังเคราะห์บนโลก เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน เพราะเขาประเมินว่าต้นไม้สังเคราะห์แต่ละต้นของเขาจะสามารถดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 9 หมื่นตันต่อปี หรือเทียบเท่ากับปริมาณก๊าซที่ออกมาจากรถกว่า 1.5 หมื่นคัน

เพราะศักยภาพในการดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้สังเคราะห์สูงกว่าต้นไม้จริงถึง1,000 เท่า ทีเดียว

อย่างไรก็ตามต้นไม้สังเคราะห์ดังกล่าวทำหน้าที่ได้เพียงเป็นตัวกรองดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่านั้น แต่ยังต้องหาเทคโนโลยีมาทำการฝังกลบก๊าซเหล่านี้แยกต่างหาก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บางคนเตือนว่า พลังงานที่ใช้ไปกับกระบวนการดังกล่าวอาจจะก่อปัญหามลพิษเพิ่มมากกว่าปัญหาที่แก้ไปได้เสียอีก

โอกาสประสบความสำเร็จ ต้นไม้สังเคราะห์นี้ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของเทคโนโลยีดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้วนำไปฝังไว้ใต้ดิน ซึ่งน่าจะมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยน แม้ว่าอาจจะอยู่ในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่ต้นไม้สังเคราะห์ก็ตาม



จาก         :             คม ชัด ลึก    เรื่องเด่นวันเสาร์  เรียบเรียงโดย อุริสราโกวิทย์ดำรงค์  (แหล่งข้อมูล เดอะการ์เดียน) วันที่ 13 ตุลาคม 2550

บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #173 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2007, 09:21:51 AM »

'อัล กอร์'-ไอพีซีซี โนเบลสันติภาพ
[13 ต.ค. 50 - 04:03]
 
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 12 ต.ค. ถึงการประกาศผลรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ประจำปี 2550 ซึ่งคณะกรรมการโนเบลของนอร์เวย์ ได้ประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาดังกล่าว เมื่อเวลา 11.00 น.ตามเวลาในท้องถิ่น ที่กรุงออสโล นอร์เวย์ หรือเวลาประมาณ 16.00 น. ตามเวลาในไทย ให้นายอัลเบิร์ต อาร์โนลด์ (อัล) กอร์ จูเนียร์ หรืออัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน และคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ หรือไอพีซีซี ซึ่งมีนายราเชนดรา ปาเชารี ประธานคณะกรรมการไอพีซีซี ชาวอินเดีย วัย 67 ปี ซึ่งเป็นไปตามคาด

คำประกาศของคณะกรรมการโนเบลของนอร์เวย์ระบุว่า ปีนี้คณะกรรมการตัดสินให้นายอัล กอร์ และคณะกรรมการไอพีซีซีรับรางวัลร่วมกัน เนื่องจากมีบทบาทร่วมกันรณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ และวางรากฐานมาตรการต่างๆ เพื่อต่อสู้และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายอัล กอร์ คณะกรรมการโนเบล ถึงกับระบุว่าเป็นบุคคลที่โดดเด่น ผู้อุทิศตนทุ่มเท เพื่อสร้างความเข้าใจไปทั่วโลกเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อนำมาปรับใช้ต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ

หลังทราบผล นายอัล กอร์ เปิดเผยว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลร่วมกับคณะกรรมการไอพีซีซี องค์กรที่ส่งเสริมความเข้าใจเรื่องวิกฤติสภาพอากาศ และมีสมาชิกที่ทำงานอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย และไม่เห็นแก่ตัวมาหลายปี และว่าวิกฤติสภาพอากาศไม่ใช่ เรื่องการเมือง มันเป็นความท้าทายด้านศีลธรรมและจิตวิญญาณของมวลมนุษยชาติ ขณะเดียวกัน ก็เป็นโอกาสดีที่จะยกระดับความสำนึกทั่วโลกให้สูงขึ้น 

สำหรับนายอัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น เป็นผู้เขียนหนังสือติดอันดับขายดีในปี 2535 ชื่อ เอิร์ธ อิน เดอะ บาลานซ์ : อีโคโลจี แอนด์ เดอะ ฮิวแมน สปิริต (Earth in the Balance : Ecology and the Human Spirit) แต่หลังพ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อนายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เมื่อปี 2543 ก็ผันตัวเองมาเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รณรงค์ให้ ผู้คนหันมาใส่ใจกับหายนภัยอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก แต่มาได้รับชื่อเสียงโด่งดังสุดขีดหลังร่วมสร้างหนังสารคดีสั้นเรื่อง “ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง” หรือ An Inconvenient Truth จนได้รับรางวัลออสการ์ ประเภทหนังสารคดีสั้นเมื่อปี 2549 ส่งผลให้ผู้คนทั่วโลกเริ่มตื่นตัวเรื่องภัยจากภาวะโลกร้อนอย่างกว้างขวาง 

ส่วนคณะกรรมการไอพีซีซี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2531 ประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นนักวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆจากทั่วโลกราว 3,000 คน เป็นองค์กรด้านวิทยาศาสตร์ระดับ สูงสุดของโลก ที่เฝ้าศึกษาเกี่ยวกับภาวะการเปลี่ยนแปลงอากาศและผลกระทบที่เกิดตามมา ก่อนหน้านี้ ไอพีซีซี เผยแพร่รายงานการศึกษาเรื่องปัญหาโลกร้อนออกมา 4 ฉบับ โดยฉบับล่าสุดเผยแพร่ในปีนี้ เตือนว่าอุณหภูมิโลกอาจเพิ่มขึ้นระหว่าง 1.1-6.4 องศาเซลเซียส ภายในปี ค.ศ.2100 (พ.ศ.2643) ด้านนายปาเชารี ประธานไอพีซีซี เปิดเผยว่า นายอัล กอร์ ได้โทรศัพท์หาตนเพื่อแสดงความยินดี โดยนายกอร์ระบุด้วยว่า เขาและไอพีซีซีควรทำงานร่วมกันเพื่อต่อสู้กับภาวะโลกร้อน 

ทั้งนี้ นายอัล กอร์ กับไอพีซีซี จะได้รับเหรียญทอง ใบประกาศเกียรติคุณและเงินรางวัลมูลค่า 10 ล้าน โครเนอร์สวีเดน หรือราว 50,490,000 บาท ส่วนพิธีมอบรางวัลจะมีขึ้นในวันที่ 10 ธ.ค. ในกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเสียชีวิตของนายอัลเฟรด โนเบล ผู้ก่อตั้งรางวัลในปี 2439 

การประกาศรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปีนี้ แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่คณะกรรมการโนเบลขยายขอบข่ายมอบรางวัลจากเดิม ที่มักมอบให้กับผู้อุทิศตนเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาความขัดแย้ง รวมทั้งการปลดอาวุธ อีกทั้งแสดงให้เห็นว่าผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ถูกระบุเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพของโลกอย่างยิ่ง เพราะกระทบโดยตรงถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งหากโลกร้อนจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น น้ำท่วมประเทศพื้นที่ต่ำ ส่งผลถึงการอพยพของผู้คนอย่างมากมายและเกิดปัญหาตามมาไม่สิ้นสุด



จากไทยรัฐ......http://www.thairath.co.th/offline.php?section=hotnews&content=64404
บันทึกการเข้า

Saaychol
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #174 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2007, 12:35:03 AM »


โลกร้อนเกิดทุกข์ (จบ)                         โดย  ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์



      “ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด จะขึ้งเคียดผิดพลาดเกิดบาดหมาง คนไทยทั้งเหนือใต้ตกออกกลาง ไม่จืดจางภาษาเดียวกลมเกลียวกัน”
       
       ผมลงท้ายบทความในสัปดาห์ก่อนไว้เช่นนี้ โดยโยงประเด็นเกี่ยวกับโลกร้อน นักวิชาการออกมาพูด เกิดการนำเสนอข่าว แต่ถูกตัดให้เหมาะสมกับการนำเสนอ อีกทั้งยังมีการพูดต่อไปในวงกว้าง แทนที่เรื่องโลกร้อนจะทำให้คน “ตระหนักและช่วยกัน” กลายเป็น “ตระหนกและเบื่อหน่าย”
       
       เราลองมาคิดถึงเหตุที่มาของปัญหาดังกล่าว สำคัญคือการสื่อสารกันระหว่างนักวิชาการกับคนทั่วไป นักวิชาการชื่อก็บอกแล้วว่า ต้องเป็นวิชาการ มีหน้าที่ศึกษาเรื่องยาก ก่อนนำมาบอกต่อ แต่การบอกต่อของนักวิชาการ คือการทำเอกสารทางวิชาการหรือรายงานส่งต่อผู้บริหาร เพื่อนำไปตัดสินใจ ก่อนวางแผนในด้านต่าง ๆ ทั้งการประชาสัมพันธ์ การขอความร่วมมือ การเปลี่ยนแปลงในเรื่องโน้นเรื่องนี้ โดยใช้กลไกของสังคม
       
       ปัญหาคือกลไกดังกล่าวใช้แทบไม่ได้ในสังคมไทย ผมยืนยันข้อความนี้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คงเป็นเพราะผู้บริหารทางการเมืองของเรามัวแต่เป็นขิง (ไม่ได้ว่ารัฐบาลนี้นะครับ รัฐบาลอื่น ๆ ก็เหมือนกัน) หรือเน้นสังคมเป็นหลัก อะไรที่เป็นกระแสค่อยทำ อะไรที่คนยังไม่รู้ ก็คงยังไม่ต้องรู้ต่อไป ไม่มีความจำเป็นใดที่เราต้องทำ
       
       แต่นักวิชาการคิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะถ้าเราคิดว่า เรื่องที่เราทำมา เป็นเรื่องที่มีความหมายกับสังคม มีผลกับคนส่วนใหญ่ แต่ไม่มีใครสนใจ แล้วตูข้าจะทำไปทำไมวุ้ย ด้วยเหตุนี้ นักวิชาการจึงต้องออกมาพูดเรื่องโลกร้อนเอง เพื่อสร้างกระแสสังคม ให้วกกลับไปหาผู้บริหาร เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างที่เราอยากเห็น
       
       อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า กระแสข่าวในเมืองไทยที่ผ่านมา หากไม่ใช่คนฆ่าหรือขืนใจกัน ก็เป็นเรื่องการเมือง ข่าวอื่นขึ้นหน้าหนึ่งยาก ยิ่งเป็นข่าวสิ่งแวดล้อม เอาไว้ในมุมกระดาษที่ลึกลับสุด ยิ่งถ้าเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อมเฉย ๆ ไม่มีเหตุเบื้องหน้าเบื้องหลังเบื้องลึกโกงกัน จะเปิดหาข่าวสิ่งแวดล้อมทั้งที ยากเย็นกว่าเปิดหาข่าวดาราน.ไปทำหน้าเด้งอกดึ๋ง
       
       ดูแล้วสื่อมวลชนอาจผิด แต่ไม่ใช่หรอก เพราะสังคมเราชอบข่าวแบบนี้ต่างหาก นักข่าวสายสิ่งแวดล้อมในหนังสือพิมพ์จึงมีน้อยแบบนับนิ้วมือได้ ส่วนใหญ่ยังเป็นนักข่าวมือใหม่ ถูกส่งมาเริ่มต้นจากข่าวสายนี้ พออยู่ไปได้หน่อยก็ย้ายไปอยู่หน้าอื่น หรือไม่ก็เลิกรากันไป นักข่าวสิ่งแวดล้อมที่ทำกันนานนับสิบปี นับนิ้วมือเดียวยังได้เลยครับ (เฉพาะหนังสือพิมพ์นะ ไม่รวมสื่ออื่นจ้ะ)
       
       คราวนี้ เมื่อข่าวโลกร้อน อันเป็นข่าวที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเต็ม ๆ ถูกกระแสโลกดันให้ขึ้นหน้าหนึ่ง ข่าวประเภทนี้จึงต้องถูกทำให้น่าสนใจ สมเป็นข่าวหน้าหนึ่ง จะเป็นแบบนิ่มนวลไม่ได้ดอก
       
       เมื่อสื่อมวลชนต้องขายข่าว อันเป็นเรื่องปรกติของเขา ข่าวโลกร้อนจึงถูกจับประเด็นที่สะใจคนอ่าน แถมสมัยนี้ยังมีสื่อสายอื่น นำข่าวไปบอกต่ออีกทอดและอีกทอด จึงกลายเป็นเกมส์ที่ผมเคยเล่นตอนเด็ก ๆ พวกเราสิบห้าคนนั่งเรียงกัน คนหนึ่งกระซิบบอกคำใบ้ยาว ๆ ให้อีกคน บอกต่อไปเรื่อย จนถึงคนสุดท้าย ต้องทายให้ได้ว่าคืออะไร ? สมัยหนึ่งนานมาแล้วก็มีเกมส์โชว์ประเภทนี้ออกทีวี คำตอบออกมาทีไรเป็นฮา
       
       ผมขอยกตัวอย่าง ข่าวของ ดร.จิรพล สินธุนาวา ผมกำลังขับรถ เปิดฟังเพลงตึ่มตึมตึ๊มอยู่ดี ๆ ก็เป็นช่วงคุณผู้ดำเนินรายการ แกบอกด้วยเสียงตระหนกตกใจ คุณผู้ฟังขา รู้มั้ยคะ วันนี้มีข่าวอะไร นักวิชาการออกมาบอกว่า คนไทยต้องหยุดมีลูกค่ะ เพราะปัญหาโลกร้อน อีกห้าปีเจ็ดปีข้างหน้า จะเกิดโรคระบาดใหญ่ เด็ก ๆ ที่เกิดตอนนี้ เมื่อโตไปถึงตอนนั้น จะติดโรคแน่เชียว...
       
       ผมสะดุ้งเฮือก ยิ่งเมื่อได้ยินชื่อนักวิชาการ พี่คร้าบ...ดุไปหรือเปล่าครับ จนเมื่อตกเย็น ไปออกรายการ เจอพี่เค้าพอดี เลยมีโอกาสถามไถ่ สรุปความได้ว่า พี่เค้าพูดประเด็นเรื่องโรคระบาด ต่อเนื่องไปถึงเด็ก สิ่งที่พยายามเน้นคืออยากให้คนไทยหันมาช่วยลดภาวะโลกร้อนกันมาก ๆ แต่เท่าที่แกเห็น มีแต่คนฟังข่าว ผู้คนรู้เรื่องโลกร้อน แต่ไม่ค่อยมีคนทำ จึงกลายเป็นประเด็นนั้นขึ้นมา จนข้อปฏิบัติเพื่อลดภาวะโลกร้อนหายสาบสูญไป ทั้งที่หลายข้อน่าสนใจ เช่น เราควรอาบน้ำอุ่นเฉพาะในวันที่หนาวจริงจัง เพราะเครื่องทำน้ำอุ่นกินไฟมหาศาล
       
       ผมไม่ได้บอกว่าพี่เค้าพูดผิด เพราะหากดูความเป็นจริงในด้านวิชาการ ประเด็นนั้นเป็นไปได้แน่ จะไปบอกว่า พี่เค้าพูดแรงไป ผมก็คงต้องบอกตัวเองก่อน เพราะหลายครั้งก็เกิดการหลุดเป็นประจำ จะไปว่าสื่อมวลชนเค้าเร่งเร้าเพียงบางจุด นั่นก็เป็นอาชีพของเค้า สรุปแล้วผมควรบอกใคร ?
       
       บอกกับคุณ ๆ นั่นเป็นของแน่ อย่างน้อยอยากให้คุณเข้าใจที่มาที่ไป และไม่เบื่อเรื่องโลกร้อนไปเสียก่อน แต่บอกแค่นั้นพอเหรอ ผมกำลังคิดเพลิน ๆ เผอิญเปิดทีวี มีโฆษณากรมสรรพากร ประกวด “อยากเป็นคนเสียภาษี” หรืออะไรทำนองนี้แหละครับ ให้นักศึกษาเขียนบทความเข้ามาชิงรางวัลตั้งหลายแสน ผมนึกขึ้นมาได้ เราก็เป็นคนดีเสียภาษีนี่นะ เพราะฉะนั้น เราบอกรัฐบาลดีกว่า เค้าเอาตังค์ของเราไปนี่
       
       ในแนวความคิดของผม รัฐบาลหรือผู้บริหารหรือนักการเมืองใด ๆ ก็ตามเถิด คงจะต้องเข้ามาทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะประเด็นโลกร้อนมิใช่เรื่องสิ่งแวดล้อมแบบจิ๊บ ๆ เกิดมาหายไปรอให้เกิดมาใหม่ค่อยแก้กัน แต่เป็นเรื่องส่งผลกระทบในวงกว้าง คนชายทะเลก็เดือดร้อน คนภูเขาก็เดือดร้อน ชาวนาหรือคนทำงานออฟฟิศก็เดือดร้อน ผลส่งตรงไปทั้งเศรษฐกิจ สังคม หรือแม้กระทั่งด้านการเมือง
       
       ประเด็นดังกล่าวยังต่อเนื่อง และรุนแรงขึ้นเรื่อย หากเราใช้วิธีเดิม แก้ปัญหาไปทีละครั้ง เราจะได้แก้ปัญหากันทุกวันแน่เชียว เงินทองก็ถมกันเข้าไป น้ำท่วมก็ช่วย ฝนแล้งก็ช่วย กัดเซาะชายฝั่งก็ช่วย แล้วจะเหลือเงินมาให้ลูกข้าพเจ้าเรียนฟรีจนจบมัธยมล่ะจ๊ะ
       
       เรื่องโลกร้อนเป็นปัญหาใหญ่ระดับวาระแห่งชาติแน่นอน เพราะตอนนี้เป็นวาระแห่งโลกด้วยซ้ำไป แต่วาระแห่งชาติไม่มีความหมาย หากไม่เกิดการปฏิบัติที่แท้จริง และการแก้ไขหรือรับมือ จะไปมุ่งเฉพาะทำให้โลกหายร้อน ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะคนไม่ได้ตายเพราะความร้อน คนจะย่ำแย่เพราะทรัพยากรหมดไป เพราะปะการังหายเหี้ยน เพราะป่าหมดแล้ว เพราะโรคระบาด เพราะโน่นนี่นั่น ซึ่งต่อเนื่องกันเป็นพวง
       
       การรณรงค์ให้คนประหยัดพลังงาน ดับไฟบ้างเป็นบางหน ใช้รถจักรยาน นั่นเป็นเรื่องดีครับ แต่ยังไม่จบ การจัดกิจกรรมปลูกป่า นั่นก็เป็นเรื่องดี แต่ยังไม่จบอีกเช่นกัน เพราะหากคิดถึงปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่คนกรุงเทพปล่อยออกมา เอาแบบค่าเฉลี่ยน้อย ๆ ก็แล้วกัน เราต้องการป่าอย่างน้อยคนละ 5 ไร่เพื่อดูดซับก๊าซที่เราปล่อยออกมาให้หมด สรุปแล้วคือเฉพาะคนกรุงเทพต้องมีป่ามากกว่า 50 ล้านไร่ ป่านะครับไม่ใช่สวนสาธารณะมีแต่หญ้า ป่าที่ต้องมีไม้ยืนต้นอย่างน้อยพันต้น แล้วเราจะปลูกแค่ไหนถึงจะพอ
       
       รัฐบาลในวันนี้หรือในวันหน้า จึงควรเน้นวาระโลกร้อน รวมแผนยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน เช่น ยุทธศาสตร์แนวปะการัง เป็นมติครม.มาตั้งแต่ปี 35 ปัจจุบันยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติสักนิด ยุทธศาสตร์แหล่งหญ้าทะเลที่กำลังจะนำเสนอครม.ก็เช่นกัน หรือยุทธศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นำมาเป็นฐานรากเพื่อรับมือกับภาวะโลกร้อน บวกเข้ากับการรณรงค์ในทุกด้าน นั่นอาจเป็นทางออก
       
       อยากเห็นพรรคการเมืองสักพรรค หรือหลายพรรคก็ได้ ออกมาบอกนโยบายในเรื่องโลกร้อนและสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจน หนึ่งสองสามสี่ เราจะทำอะไรบ้าง จะเป็นแบบไหนก็เอาเถิด ขอแค่ความชัดเจน คนอื่นจะได้วิพากษ์วิจารณ์หรือเข้าใจได้จ้ะ
       
       ทั้งหมดนั้น คือแนวทางที่อาจแก้ปัญหาโลกร้อนเป็นทุกข์ได้ แต่ระหว่างนี้ เรายังไม่เห็นอะไรเลย สงสัยต้องหันหน้าเข้าหาธรรมะ ผมหันมาแล้ว ได้รู้เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย จึงอยากนำมาเล่าให้ฟังในครั้งหน้า แล้วคุณอาจได้ทราบว่า ใครคือ “ผู้รู้เรื่องโลกร้อน”



จาก         :             ผู้จัดการออนไลน์  วันที่ 15 ตุลาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #175 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2007, 12:54:21 AM »


อเมริกันกับเทรนด์โลกร้อน 2 ความแตกต่างในหนึ่งเดียว


 
หากไม่อยากตกเทรนด์ ตอนนี้ใครๆ ก็ต้องคุยกัน โลกร้อนและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และชื่อที่ถูกกล่าวขวัญถึงเสมอก็คือ อเมริกานั่นเอง เพราะถือเป็นนักรณรงค์ตัวเอ้ พร้อมโดยประณามว่าเป็นผู้ทำลายสิ่งแวดล้อมตัวยงไปในคราวเดียวกัน จากดัชนีวัดความมุ่งมั่นเพื่อการพัฒนา

โดยศูนย์การพัฒนาโลก องค์กรอิสระด้านนโยบายและการวิจัยของอเมริกา พบว่าพญาอินทรียืนอยู่ในอันดับโหล่สุดในด้านสิ่งแวดล้อม จากบรรดาประเทศร่ำรวย 21 ประเทศ ทั้งนี้ปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณา คือ การสนับสนุนการหาปลา การนำเข้าไม้เมืองร้อน การนำเข้าพันธุ์สัตว์และพันธุ์ไม้หายาก การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง การเก็บภาษีน้ำมันต่ำ ซึ่งกระตุ้นให้มีการบริโภคน้ำมันสูง และทำให้ปล่อยก๊าซเสียเพิ่มขึ้น และทำให้โลกร้อนขึ้นด้วย

นายเดวิด รูดแมน ผู้ออกแบบดัชนีดังกล่าวระบุว่า อเมริกาควรทำอะไรได้มากกว่านี้ เพราะมีทั้งเงินเทคโนโลยีที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมของโลกในบรรดากลุ่ม 21 ประเทศอุตสาหกรรมร่ำรวย นอร์เวย์ครองอันดับหนึ่งด้านสิ่งแวดล้อม ตามด้วยไอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และสหราชอาณาจักร ซึ่งก็ถือเป็นหน้าเดิมๆ ที่มีการขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพชีวิตที่ดีของคนนั่นเอง

เมื่ออเมริกาเป็นเหมือนทั้งนักบุญและคนบาปในร่างเดียวกัน ขณะที่ภาพรวมประเทศ ติดอันดับยอดแย่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คนดัง ของอเมริกาอย่าง นายอัล กอร์ อดีตผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ยืนอยู่ในแถวหน้าที่ดัน ให้เรื่องโลกร้อนกลายมาเป็นเรื่องฮิตของคนทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาโดยการนำเสนอภาพยนตร์สารคดีชื่อดัง "An Inconvenient Truth" ที่การันตีความเด็ดของเนื้อหาด้วยรางวัลออสการ์ครั้งล่าสุดมาแล้ว

แม้ว่าเนื้อหาและสาระของภาพยนตร์เรื่องนี้จะปลุกกระแสเรื่องภาวะโลกร้อนได้ชั่วข้ามคืน แต่รายละเอียดบางประการของหนังก็เป็นที่กังขาว่าไม่ถูกต้องจนถึงขั้นต้องให้ศาลสูง ตีความ หลังจากมีการเสนอให้มีการแจกจ่ายหนังเรื่องนี้ให้ทุกโรงเรียนทั่วแดนมะกัน เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมแก่เด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติและของโลก

สุดท้ายศาลสูงก็ตัดสินว่าเห็นควรให้เผยแพร่หนังเรื่องนี้ได้ แต่ต้องมีหมายเหตุแนบไปด้วยเพื่อลดทอนอิทธิพลจากการมองมุมเดียวของอดีตรองประธานาธิบดี โดยศาลระบุว่ามีข้อผิดพลาดบางประการปรากฏในหนังที่มุ่งส่งสัญญาณเตือนและเป็นการกล่าวเกินจริง เพื่อสมมติฐานเรื่องโลกร้อนของนายอัล กอร์ แต่สิ่งเหล่านั้นกลับขัดแย้งกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์

คราวนี้มาลองดูกันว่า "ความไม่จริง" ที่ทำให้ลำบากคราวนี้มีอะไรบ้าง

ข้อแรก ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นอีก 20 นิ้ว เหตุจากผืนน้ำแข็งของกรีนแลนด์ หรือของแอนตาร์กติกา ตะวันตกละลาย ถูกแย้งว่าเกิดขึ้นได้แต่ต้องอาศัยเวลานับพันปี

ข้อที่ 2 อัล กอร์ บอกว่า เกาะที่เกิดจากปะการังแถบแปซิฟิกกำลังเผชิญกับน้ำท่วมเนื่องจากภาวะโลกร้อนเชิงมนุษยวิทยา แต่ศาลบอกว่าไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการอพยพใดๆ เลย

ข้อที่ 3 สารคดีอธิบายว่าโลกร้อนมีศักยภาพหยุดกระบวนการ "โอเชี่ยน คอนเวเยอร์" ที่กระแสน้ำจากอ่าวจะผ่านจากแอนตาร์กติกาเหนือไปยังยุโรปตะวันตก แต่ศาลบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้แน่ แต่อาจทำให้ช้าลงได้

ข้อที่ 4 นายกอร์โชว์กราฟ 2 ภาพที่ แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเพิ่มของคาร์บอนไดออกไซด์และอุณหภูมิในช่วง 650,000 ปีว่าเหมาะเจาะกันอย่างยิ่ง แต่ศาลแย้งว่า 2 สิ่งมีความสัมพันธ์กัน แต่ก็ไม่ถึงกับแสดงสิ่งที่นายกอร์พยายามจะบอก

ข้อที่ 5 สารคดีเสนอภาพหิมะที่หายไปจากเทือกเขาคิลิมานจาโร ว่าเกิดจากภาวะโลกร้อน แต่อีกฝ่ายหนึ่งแย้งว่า เป็นภาพที่น่าจะประทับใจเป็นพิเศษ แต่ก็สรุปไม่ได้ว่าเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ที่ทำให้สภาพอากาศเปลี่ยน

ข้อที่ 6 ทะเลสาบชาดที่กำลังเหือดแห้ง ในหนังเป็นตัวอย่างชั้นดีของปัญหาโลกร้อน แต่ศาลระบุว่าอาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น ประชากรเพิ่ม ความผันผวนของอากาศท้องถิ่น และปริมาณหญ้าที่มากขึ้น

ข้อที่ 7 โลกร้อนทำให้เกิดเฮอร์ริเคน คาทริน่าและมหันตภัยในนิวออร์ลีนส์ ด้านศาลบอกว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอ

ข้อที่ 8 นายกอร์บอกว่า รายงานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่าเป็นครั้งแรกที่หมีขั้วโลกจมน้ำตายเพราะต้องว่ายน้ำ 60 ไมล์เพื่อหาผืนน้ำแข็ง แต่ศาลยกรายงานวิทยาศาสตร์มายันว่า พบแค่หมีขั้วโลกจมน้ำตาย 4 ตัวเพราะโดนพายุ

ข้อสุดท้าย คือ สารคดีบอกว่าโลกร้อนและปัจจัยอื่นๆ ทำให้แนวปะการังทั่วโลกมีสีซีดลงทุกวัน แต่รายงานของคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐบาลเรื่องการเปลี่ยนแปลงของ สภาพอากาศระบุชัดเจนว่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส จะทำให้ปะการังสีซีดหรือตายหากปะการังไม่สามารถปรับตัวได้แต่ก็ไม่สามารถแยกชัดเจนได้ว่าเกิดจากอากาศเปลี่ยน หรือหาปลามากเกินไปหรือมลพิษอื่นๆ



จาก         :             ประชาชาติธุรกิจ  วันที่ 15 ตุลาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #176 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2007, 12:40:57 AM »


โลกร้อนข้อมูลอัล กอร์ ผิด 9 จุด
 
ก็เป็นที่ฮือฮาครับ เมื่อคณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบล ประจำปี 2550 ตัดสินให้อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้รับ “รางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ประจำปี 2550” ร่วมกับคณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง (IPCC) ขององค์การสหประชาชาติ ในฐานะ “นักรณรงค์ต่อต้านภาวะโลกร้อน” จนเกิดการ “ตื่นตัว” และ “ตื่นกลัว” ไปทั่วโลก

ภาพยนตร์สารคดีของอัล กอร์ เรื่อง An Inconvenient Truth ที่นำแสดงโดยอัล กอร์ นอกจากจะสร้างความตื่นตัวและตื่นกลัวเรื่องโลกร้อนและน้ำจะท่วมโลก เพราะน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือหลอมละลายแล้ว หนังเรื่องนี้ยังได้รับรางวัลออสการ์อีกด้วย

แต่ก่อนหน้าที่คณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบล จะประกาศผลให้อัล กอร์ ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพเพียงสองวัน ศาลสูงอังกฤษที่เมืองเค้นท์ก็มีคำพิพากษาอนุญาต ให้หนังสารคดีเรื่องนี้ฉายในห้องเรียนระดับมัธยมได้ หลังจากที่มีผู้คัดค้าน และศาลก็ได้ชี้ให้เห็น “ข้อมูลที่ผิดพลาด” ในหนังเรื่องนี้ถึง 9 จุด ถ้าทางโรงเรียน จะฉายให้นักเรียนดู จะต้องมีไกด์โน้ตบอกข้อมูลที่ผิดพลาดในแต่ละจุดด้วย

ศาลสูงอังกฤษบอกด้วยว่า สิ่งที่อัล กอร์ นำเสนอในหนังสารคดีเรื่องนี้เป็นเพียง “ความคิดเห็นด้านเดียว” ของอัล กอร์ ซึ่งไม่ใช่ผลจากการวิเคราะห์ของนักวิทยาศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

ประเด็นนี้หลายคนก็เห็นด้วย เพราะหนังสือและหนังสารคดีของอัล กอร์ เน้นในเรื่องก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ทำให้โลกร้อนจากภาวะเรือนกระจกด้านเดียว

แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ภาวะเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อน ยังมีอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ก๊าซมีเทน” ซึ่งมีศักยภาพในการดักจับ ความร้อนได้มากกว่า co2 หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 60 เท่า และที่สำคัญก็คือ ก๊าซมีเทนนี้เกิดจากการทำเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ และการฝังกลบขยะที่ไม่มีทางเลี่ยง

เวลานี้ในประเทศที่เจริญเต็มที่อย่าง สหรัฐฯ ยุโรป และ ญี่ปุ่น กำลังคลั่งไคล้ Organic Food หรืออาหารออร์กานิคที่ผลิตตามธรรมชาติ เช่น พืชผักที่ใช้ปุ๋ย อินทรีย์ ไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมี และการเลี้ยงสัตว์ด้วยอาหารธรรมชาติที่เรียกว่า Organic Farm ไม่มีการใช้สารเคมีมาช่วยเร่งการเติบโตหรือให้วิตามินบำรุง เป็นต้น ส่งผลให้การเกษตรแบบอินทรีย์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพราะขายได้ราคาแพง

สิ่งที่ตามมากับการเกษตรกรรมแบบนี้ก็คือ “ก๊าซมีเทน” ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งพื้นที่เกษตรกรรมแบบนี้ขยายตัวมากเท่าไร ก๊าซมีเทนก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น และส่งผลให้เกิด “ภาวะโลกร้อน” ที่รุนแรงกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดจากรถยนต์ โรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินหลายสิบเท่า

แต่ในส่วนนี้หนังสือและหนังสารคดีของอัล กอร์ กลับไม่ได้เน้นถึง

ข้อผิดพลาดในหนังสารคดีของอัล กอร์ 9 จุด ที่ท่านผู้พิพากษาบาร์ตันแห่งเมืองเค้นท์สรุปออกมา มีอยู่ 2 เรื่องที่ผมรู้สึกว่า ค่อนข้างอ่อนไหวต่อความรู้สึกของผู้ชมก็คือ เรื่อง “หมีขั้วโลกเหนือ” ที่ต้องจมน้ำตายเพราะก้อนน้ำแข็งละลาย ทำให้หมีต้องว่ายน้ำเป็นระยะทางไกล กว่าจะถึงก้อนน้ำแข็งอีกก้อนเพื่อหาอาหาร และเหนื่อยจมน้ำตายระหว่างทางเสียก่อน กับเรื่อง “น้ำท่วมโลก”

ในเรื่องหมีขั้วโลกจมน้ำตายนั้น ท่านผู้พิพากษาบาร์ตันบอกว่า จากข้อมูลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์เท่าที่มีบอกว่า เมื่อเร็วๆนี้ได้พบหมีขั้วโลกเหนือจมน้ำตาย 4 ตัว อันเนื่องมาจากพายุเท่านั้น ไม่พบข้อมูลที่อัล กอร์ อ้างถึง

ส่วนเรื่องน้ำท่วมโลก ซึ่งข้อมูลในหนังสารคดีบอกว่า ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นถึง 20 ฟุต และจะส่งผลให้เกาะกรีนแลนด์ในแอนตาร์กติกาตะวันตกจมหายไปในอนาคตอันใกล้ ท่านผู้พิพากษาบอกว่าเป็นการสร้างที่ทำให้เกิดความตื่นตกใจมากกว่า

งานนี้เรียกว่า “สะเทือนไปถึงความศักดิ์สิทธิ์ของรางวัลโนเบล” เลยทีเดียว วันพรุ่งนี้ ผมมีข้อมูลค้านเรื่อง “น้ำท่วมโลก” ของ อัล กอร์ มาเล่าต่อครับ.

 
 
จาก         :             ไทยรัฐ  วันที่ 16 ตุลาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #177 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2007, 12:39:25 AM »


อัล กอร์ มั่ว น้ำทะเลอ่าวไทยลดลงทุกปี
 
เมื่อวานนี้ผมได้ทิ้งท้ายว่า ผมมีข้อมูลค้านเรื่อง “น้ำท่วมโลก” ของ อัล กอร์ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพหมาดๆ วันนี้ผมจะนำข้อมูลส่วนที่ชี้ให้เห็นว่า ข้อมูลเรื่องโลกร้อนและน้ำท่วมโลกของ อัล กอร์ ไม่เป็นจริงทั้งหมด

ข้อมูลนี้ ศ.ดร.สุภัทท์ วงศ์วิเศษสมใจ อนุกรรมการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำและสิ่งแวดล้อม เจ้าของรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2543 ส่งมาให้ผมหลายวันแล้ว ก่อนหน้าที่คณะกรรมการโนเบลจะประกาศให้ อัล กอร์ ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

ศ.ดร.สุภัทท์บอกว่า ความจริงปัญหาโลกร้อนเกิดขึ้นในมหาสมุทร แอตแลนติก บริเวณยุโรป สหรัฐฯ และแคนาดา ซึ่งอยู่ในโซน 3 เป็นพื้นที่หนาวเย็น มีน้ำแข็งขั้วโลกมากมาย เป็นพื้นที่ที่สมาชิกส่วนใหญ่ ของ คณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง (IPCC) ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลร่วมกับ อัล กอร์ อาศัยอยู่

ไอพีซีซีได้ทำนายไว้เมื่อปี 1990 (พ.ศ.2533) ว่า ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้นเป็น 31, 66, และ 110 เซนติเมตร คือ ต่ำ ปานกลาง และสูง ในหนึ่งศตวรรษ จากอิทธิพลโลกร้อน ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย แต่ได้ลดค่าดังกล่าวลงมาครึ่งหนึ่งในการประชุมเรื่องโลกร้อนที่เมืองเกียวโตประเทศญี่ปุ่น

ส่วนประเทศไทยอยู่ในเขตร้อน อ่าวไทย อินโดจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และจีนต่างก็อยู่ในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นโซนที่น้ำทะเลไม่สูงขึ้นจากอิทธิพลโลกร้อน เพราะอยู่ไกลจากน้ำแข็งขั้วโลกมาก

ศ.ดร.สุภัทท์ ได้อ้างรายงานของ Warrick และคณะที่ทำไว้เมื่อปี 1993 สรุป 4 ปัจจัยที่ทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น คือ

หนึ่ง-อิทธิพลโลกร้อน ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย

สอง-การยกตัวขึ้นและการทรุดตัวลงของแผ่นดิน เมื่อแผ่นดินไหว

สาม-การกระทำของมนุษย์ เช่น การสูบน้ำบาดาล การกัดเซาะชายฝั่ง

สี่-อิทธิพลของสมุทรศาสตร์และภูมิอากาศ (เอล นิโญ) หรือลมมรสุมและกระแสน้ำในทะเล


นักวิจัยสหรัฐฯและแคนาดาได้ทดลองใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เมื่อปี 1978 คำนวณการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเล จากการละลายของน้ำแข็งในอัตราต่างๆกัน แล้วเลือกผลที่สอดคล้องกับข้อมูลที่มีอยู่ พบว่าการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเล สามารถแบ่งออกเป็น 6 โซน

หนึ่ง-ยุโรป สหรัฐฯ และแคนาดา ประเทศหนาวบริเวณมหาสมุทร แอตแลนติก ซึ่งอยู่เส้นรุ้งเดียวกับประเทศจีน เกาหลี และญี่ปุ่น มีภูเขาสูงปกคลุมด้วยน้ำแข็งมากมาย อยู่ในโซน 3 ซึ่งน้ำทะเลสูงขึ้นมาก จากการละลายของน้ำแข็ง

สอง-อ่าวไทย อินโดจีน เกาหลี จีน และญี่ปุ่น ทะเลจีน มหาสมุทร แปซิฟิก อยู่ในโซนที่ 6 ซึ่งน้ำทะเลไม่สูงขึ้น เพราะชายฝั่งบริเวณนี้ไม่มีภูเขาสูงที่มีน้ำแข็ง ยอดเขาหิมาลัยในทิเบตก็อยู่ไกลจากฝั่งหลายพันกิโลเมตร

จากการนำข้อมูลระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยของ กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ที่มีเครื่องวัดมากกว่า 22 สถานี จากสถานีสัตหีบและเกาะหลัก ตั้งแต่ปี 1940-1996 เป็นระยะเวลา 56 ปี มาคำนวณระดับน้ำทะเลเฉลี่ยพบว่า

ระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยลดลง 0.36 มม. ใน 1 ปี หรือ 36 มม. ใน 100 ปี

ข้อมูลของไทยนี้ตรงกับข้อมูลของนักวิจัยญี่ปุ่น นายยานากิ และ นายอากากิ ที่คำนวณไว้เมื่อปี 1993 ระบุว่า ระดับน้ำทะเลในอ่าวไทย อินโดจีน เกาหลี และทะเลญี่ปุ่นลดลง เนื่องจากบริเวณนี้มีแผ่นดินไหวอยู่เสมอ และเจอปัญหาเอล นิโญ

เมื่อนำข้อมูลนี้ไปเทียบกับข้อมูลของ อัล กอร์ ก็ยิ่งเห็นชัดว่า อัล กอร์ ใช้ข้อมูลเพียงด้านเดียวจริงๆ แล้วเขียนหนังสือทำหนังสารคดีผสมกับบารมีตัวเอง ทำให้โลกตื่นกลัวหลงเชื่อในข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และไม่จริงทั้งหมด ส่งผลกระทบไปถึงความน่าเชื่อถือของรางวัลโนเบลด้วย.



จาก         :             ไทยรัฐ  วันที่ 17 ตุลาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #178 เมื่อ: ตุลาคม 24, 2007, 12:27:15 AM »


คาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ปริมาณเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้
 
วารสารโพรซีดดิ้ง ออฟ เดอะ เนชันแนล อคาเดมี ออฟ ไซเอินซ์ ในสหรัฐฯ รายงานผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่า ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของโลก จากการเติบโตทางเศรษฐกิจมีมากกว่าที่คาดการณ์ไว้

รายงานของโครงการโกลบอล คาร์บอน โพรเจ็ค ที่มีบริทิช แอนทาร์คทิค เซอร์เวย์ ร่วมทำวิจัย ระบุว่า ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโลกในรอบปี 2549 มีปริมาณสูงถึงเกือบ 10,000 ล้านตัน มากขึ้นกว่าปริมาณจากการสำรวจเมื่อปี 2533 ถึงร้อยละ 35 เนื่องจากการใช้เชื้อเพลิงเพิ่มมากขึ้นจากเศรษฐกิจโลกที่เติบโต ในขณะเดียวกัน การเผาผลาญของเครื่องจักรที่ไม่สมบูรณ์ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง เช่นเดียวกับปัญหาการลดน้อยลงของทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งป่าไม้ และมหาสมุทรที่มีส่วนสำคัญในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ

ทั้งนี้ พิธีสารเกียวโตมีเป้าหมายในการลดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศโลกลงในอัตราร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เมื่อปี 2533 ภายในไม่เกินปี 2555
 
 

จาก         :             ไทยรัฐ  วันที่ 24 ตุลาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #179 เมื่อ: ตุลาคม 24, 2007, 12:40:32 AM »


CO2 เพิ่มเกินคาด 35% ซ้ำน้ำทะเลดูดซับได้น้อยลง


น้ำทะเลในมหาสมุทรก็ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้น้อยลง ก๊าซที่เหลือจึงลอยล่องอยู่ในชั้นบรรยากาศ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่าเพิ่มสูงขึ้น 35%

ทีมนักวิจัยนานาชาติพบปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกได้เพิ่มขึ้นด้วยอัตราเร็วสูงกว่าที่คาดเป็น 35% ด้านนักวิจัยอังกฤษยังพบมหาสมุทรดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงครึ่งหนึ่ง
       
       จากการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานฟอสซิลประจวบกับการลดลงของการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งบนพื้นดินและในมหาสมุทร นักวิจัยพบว่าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) ในชั้นบรรยากาศที่วัดเมื่อปี 2549 สูงกว่าเมื่อปี 2533 ถึง 35% ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มสูงเร็วกว่าที่คาด ทั้งนี้ได้มีการเผยแพร่รายงานดังกล่าวในวารสารสมาคมวิทยาศาสตร์สหรัฐ (Proceedings of the National Academy of Sciences)
       
       "ในการเพิ่มขึ้นของประชากรและความมั่งคั่งของโลก เราทราบแล้วว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศสูงขึ้นจากการชะลอตัวที่เกิดเกิดจากธรรมชาติซึ่งตรึงองค์ประกอบเคมีดังกล่าวในชั้นบรรยากาศไว้" โจเซฟ แคนาเดลล์ (Josep Canadell) ผู้อำนวยการโครงการคาร์บอนโลก (Global Carbon Project) จากองค์การวิจัยในเครือจักรภพอังกฤษด้านวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมซึ่งนำการศึกษาครั้งนี้กล่าว


อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานฟอสซิลต่างเติบโตจนธรรมชาติอาจไม่สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ทัน
       
       จากการศึกษาใหม่นี้คาร์บอนถูกปลดปล่อยออกจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการผลิตปูนซีเมนต์ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 7 พันล้านตันในปี 2543 เป็น 8.4 พันล้านตันในปี 2549 และอัตราการเพิ่มของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงขึ้นจาก 1.3% ต่อปีในช่วงปี 2533-2542 เป็น 3.3% ต่อปีในช่วง 2543-2549
       
       "เมื่อ 50 ปีที่ผ่านมาในปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ทุกๆ ตันที่ถูกปล่อยออกมา ราวว 600 กิโลกรัมจะถูกกำจัดออกไปโดยธรรมชาติ แต่ในปี 2549 มีเพียง 550 กิโลกรัมเท่านั้นที่ถูกกำจัดออกไป ส่วนที่เหลือก็ตกลงมา สัดส่วนของคาร์บอนไดออกไซด์ที่เหลืออยู่ในชั้นบรรยากาศหลังจากการดูดซับของพืชและมหาสมุทรที่สูงขึ้นกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้นแสดงให้เห็นความสามารถของโลกในการดูดซับการปลดปล่อยที่เป็นฝีมือมนุษย์นั้นลดลง" แคนาเดลล์กล่าว
       
       ทั้งนี้การศึกษาดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลออสเตรเลีย สหภาพยุโรปและองค์กรระหว่างเป็นประเทศอื่นๆ โดยนักวิจัยผู้ทำการศึกษาส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของ คณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของสหประชาชาติ หรือ ไอพีซีซี (UN's Intergovernmental Panel on Climate Change) ซึ่งเพิ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2550 นี้ ร่วมกับ อัล กอร์ (Al Gore) อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้สร้างกระแสความสนใจในภาวะโลกร้อนด้วยภาพยนตร์ An Invenient Truth


ขณะเดียวกันการเดินทางที่เผาพลาญพลังงานฟอสซิลก็เร่งให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น
       
       ขณะเดียวกันก็มีรายงานจากฝั่งอังกฤษโดยยูท์ สชัสเตอร์ (Ute Schuster) ผู้นำการศึกษาร่วมกับ ศ.แอนดรูว์ วัตสัน (Prof. Andrew Watson) จากคณะวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลีย (University of East Anglia) พบว่าการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศของมหาสมุทแอตแลนติกเหนือได้ลดลงครึ่งหนึ่งจากช่วงปี 2533 ถึงปี 2548 โดยพวกเขาได้รวบรวมข้อมูลจากเซนเซอร์ที่ติดในเรือบรรทุกกล้วยซึ่งเดินทางจากอินเดียตะวันตกไปยังอังกฤษทุกเดือน และได้ทำการวัดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในทะเลมากกว่า 90,000 ครั้ง ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวได้ตีพิมพ์ลงวารสารจีโอกราฟิกรีเสริช (Geophysical Research) ฉบับเดือน พ.ย.นี้
       
       "การเปลี่ยนแปลงในปริมาณมากนี้เป็นความน่าแปลกใจที่ชวนสยดสยอง เราคาดหวังว่าการดูดซับจะเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ เพราะมหาสมุทรนั้นมีมวลมหาศาล" สชัสเตอร์กล่าว อย่างไรก็ดีเธอก็เตือนว่าไม่ควรด่วนสรุปกับผลการศึกษาใหม่นี้เร็วเกินไป ซึ่งเป็นไปได้ว่าผลจากการศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อมโยงตามธรรมชาติหรืออาจจะขานรับกับภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร้วนี้ ขณะเดียวกันเราก็ทราบว่าการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นที่จะต้องติดตามการดูดซับก๊าซเรือนกระจกของมหาสมุทรต่อไป



จาก         :             ผู้จัดการออนไลน์  วันที่ 24 ตุลาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 18   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.032 วินาที กับ 19 คำสั่ง