กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 13, 2025, 03:26:28 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 18   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วิกฤต : โลกร้อน (2)  (อ่าน 156459 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #135 เมื่อ: สิงหาคม 25, 2007, 12:49:41 AM »


ไซโคลน


จากผลพวงของสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้นักวิชาการจำนวนไม่น้อยทำนายว่า ในอนาคตประเทศไทยอาจจะได้รับผลกระทบจากการเกิดพายุไซโคลนมากขึ้น

พายุไซโคลนคืออะไร ร้ายแรงขนาดไหน

ปกติพายุที่เกิดขึ้นนั้นมีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 เมตร ไปจนถึง 1,000 กิโลเมตร ความเร็วลมของพายุบางชนิดอาจจะถึง 800 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง

แต่ไม่ว่าจะเป็นพายุไซโคลน เฮอริเคน ไต้ฝุ่น วิลลี-วิลลี หรือ บาเกียว ทั้งหมดคือพายุชนิดเดียวกันแต่มีชื่อเรียกต่างกันไปตามถิ่นที่เกิด

ชื่อเรียกกลางคือ "พายุหมุนเขตร้อน" (Tropical cyclone)

พายุหมุนเขตร้อนเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่สามารถทำความเสียหายรุนแรงเป็นบริเวณกว้าง มีลักษณะเด่นคือ มีศูนย์กลางหรือที่เรียกว่าตาพายุ เป็นบริเวณที่มีลมสงบ อากาศโปร่งใส

โดยอาจมีเมฆและฝนบ้างเล็กน้อยล้อมรอบด้วยพื้นที่บริเวณกว้างรัศมีหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งปรากฏฝนตกหนักและพายุลมแรง ลมแรงพัดเวียนเข้าหาศูนย์กลาง

พายุหมุนเขตร้อนเริ่มต้นการก่อตัวจากหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงซึ่งอยู่เหนือผิวน้ำทะเล ในบริเวณเขตร้อนและเป็นบริเวณที่กลุ่มเมฆจำนวนมากรวมตัวกันอยู่

เมื่ออยู่ในสภาวะที่เอื้ออำนวยก็จะพัฒนาตัวเอง โดยในแต่ละช่วงของความรุนแรงจะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวและเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะแวดล้อม

ลักษณะของพายุไซโคลนในโซนร้อนหรือพายุหมุนในโซนร้อนแบ่งออกได้ตามลำดับต่อไปนี้

ดีเปรสชัน (Depression) ความเร็วสูงสุด 33 นอต (17 เมตร/วินาที) (62 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ไม่นับเป็นพายุหมุน

พายุเขตร้อน (Tropical Storm) ความเร็วสูงสุด 34-63 นอต (17-32 เมตร/วินาที) (63-172 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ไม่นับเป็นพายุหมุน

พายุหมุนเขตร้อน (ไต้ฝุ่น ไซโคลน บาเกียว และวิลลี-วิลลี) ความเร็วสูงสุด 64-129 นอต (17 เมตร/วินาที) (118-239 กิโลเมตร/ชั่วโมง) เป็นพายุหมุน

ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากพายุหมุนเขตร้อน ที่ก่อตัวในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก และพายุหมุนเขตร้อนที่ก่อตัวในบริเวณมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเราเรียกว่าไซโคลน

พายุไซโคลน เป็นพายุหมุนเขตร้อนซึ่งจะต้องมีความเร็วลมมากกว่า 64 นอต (30 เมตร/วินาที, 74 ไมล์/ชั่วโมง หรือ 118 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ขึ้นไป

ดูภาพถ่ายจากดาวเทียมจะเห็นตาพายุเป็นวงกลมเล็กที่ไม่มีเมฆ รอบตาจะมีกำแพงล้อมกว้างประมาณ 16-80 กิโลเมตร เป็นบริเวณที่มีพายุฝนและลมหมุนที่รุนแรงมากหมุนวนรอบๆ

เมื่อเปรียบเทียบจำนวนของการเกิดพายุไซโคลนในโซนร้อนกับปรากฏการณ์พายุแบบอื่น จะเห็นได้ว่าในปีหนึ่งๆ มีจำนวนพายุไซโคลนเกิดขึ้นน้อยกว่า

เพราะการเกิดของพายุนี้จำต้องมีลักษณะของอากาศหลายอย่างเข้าจังหวะกันพอดี

ส่วนมากพายุไซโคลนในโซนร้อนเกิดจาก "คลื่นตะวันออก"(easterly waves) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำเคลื่อนตัวจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก

มักอยู่ในบริเวณละติจูดต่ำๆ นอกเขตของบริเวณเส้นศูนย์สูตร เพราะยังไม่เคยตรวจพบพายุไซโคลนในโซนร้อนเกิดที่เส้นศูนย์สูตร

ส่วนพายุไซโคลนที่ก่อตัวในบริเวณมหาสมุทรอินเดียจะไม่เข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่ก็สามารถก่อความเสียหายต่อประเทศไทยได้เช่นกัน เมื่อทิศการเคลื่อนที่เข้าสู่บริเวณใกล้ประเทศไทยทางด้านตะวันตก

ซึ่งจากสภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้น คงต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะได้รับผลกระทบจากพายุไซโคลน

และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป



จาก         :             ข่าวสด  คอลัมน์ คอลัมน์ที่13   วันที่ 25 สิงหาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #136 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2007, 01:23:26 AM »


"มูลกวางมูส"ให้ก๊าซมีเธนสูง ส่งผลต่อภาวะเรือนกระจก


 
ตายแล้วค่ะคุณขา อึของ "กวางมูส" ก็ทำให้ "โลกร้อน" ได้!

นักวิทยาศาสตร์ของนอร์เวย์ เปิดเผยว่า อึของกวางมูส ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า "มูล" เพื่อความโสภาในการอ่าน ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกจนโลกร้อน

โดยมูลของกวางที่โตเต็มที่ 1 ตัว จะทำให้เกิดก๊าซมีเธนปีละ 100 กิโลกรัม ซึ่งก๊าซมีเธนมีอานุภาพแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 21 เท่า เมื่อคูณออกมา มูลกวางมูส 1 ตัว ก็จะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 2,100 กิโลกรัม และที่นอร์เวย์มีเจ้ามูสวิ่งเริงร่าอยู่ในป่าราว 140,000 ตัว กดเครื่องคิดเลขอีกทีได้จำนวนคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 294,000,000 กิโลกรัม โอว......แม่เจ้า

ศ.อ๊อด ฮาร์สตาด จากมหาวิทยาลัย "นอร์วีเจียน ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ ไลฟ์ ไซเอินซ์" อธิบายว่า คาร์บอนไดออกไซด์น้ำหนัก 2,100 กิโลกรัม เป็นจำนวนที่มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ของเครื่องบินโดยสาร ที่เดินทางไปกลับระหว่าง กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ถึง กรุงซานติอาโก ประเทศชิลี ถึง 2 เท่า

แต่การฆ่า "กวางมูส" ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ดีในการลดภาวะโลกร้อน เพราะกวางมูสจะกินหญ้า ถ้าไม่มีมัน หญ้าในป่าจะขึ้นรกเรื้อ และส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิประเทศ พรรณพืชและดอกไม้ในป่า

"กวางมูส" จึงต้องอยู่คู่ป่าและคู่โลกต่อไป



จาก         :             ข่าวสด  คอลัมน์ วิทยาการ   วันที่ 29 สิงหาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #137 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2007, 05:25:14 AM »


สร้างเขื่อนแสนล้าน ป้องกัน "มหานคร" จมน้ำ ?


 
อีกเรื่องที่น่าวิตก คือ "สมิทธ ธรรมสโรช" ทำนายว่า ภายใน 15 ปีนับจากนี้ น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ ขนาดที่เรียกว่าเมืองหลวงแห่งนี้ (อาจ) จมอยู่ใต้บาดาล ?!

"ผมทำนายไว้เลยว่าน้ำจะท่วมภายใน 15 ปี เพราะว่ากรุงเทพฯตั้งอยู่บนดินอ่อน มันทรุดตัวอยู่แล้ว 5-8 เซนติเมตรต่อปี คุณขับรถไปตามทางด่วนไปดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ จะสังเกตเห็นว่าโคนเสาที่เขาตอกเข็มไว้มันจะนูนขึ้น ตรงไหนไม่ได้ตอกเข็มก็จะเว้าลงไป คือมันทรุดตัวตลอดเวลา"

ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า น้ำแข็งกำลังละลายในขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ปริมาณน้ำฝนที่ตกมามากผิดปกติ จะทำให้น้ำทะเลขึ้นมาภายใน 10-15 ปี น้ำทะเลจะสูงกว่าระดับเดิมประมาณ 1 เมตรครึ่ง ถ้ากรุงเทพฯทรุดตัวลงไป 50 เซนติเมตร แล้วน้ำทะเลสูงขึ้นเมตรครึ่ง ทั่วกรุงเทพฯก็จะอยู่ใต้น้ำ 2 เมตร

"สิงคโปร์เขาส่งผู้เชี่ยวชาญมาหาผม บอกว่า ผมเคยให้สัมภาษณ์รอยเตอร์ว่า น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ เขาก็มาศึกษาเพราะว่าที่เขาต่ำกว่าเรา ตอนนี้รัฐบาลเขาจัดตั้งศูนย์ศึกษา คิดวิธีที่จะสร้างเขื่อนรอบเกาะสิงคโปร์แล้ว แต่ประเทศไทยเรายังดูเสียงโหวตไหนใครมากกว่า ยังพื้นที่สีแดง พื้นที่สีเขียวกันอยู่เลย"

อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาเล่าว่า ผมเคยเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อประมาณสัก 10 กว่าปีที่แล้ว พระองค์ท่านรับสั่งว่า คุณสมิทธฟังนะ น้ำท่วมกรุงเทพฯ เป็นใจกลางเศรษฐกิจ เป็นหัวใจของประเทศไทยนะ เศรษฐกิจทั้งหมด โรงงานต่างๆ ถ้ามันจมอยู่ใต้น้ำ เราจะทำยังไง ถ้าไม่มีวิธีป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ

"ผมไม่กล้าพูดกับใครหรอก แต่นี่เป็นพระกระแสรับสั่งที่ผมได้ยินกับหูของผมเอง พระองค์ท่านมองการณ์ไกล ท่านเป็นห่วง เพราะท่านรู้อยู่แล้ว"

ถามว่าถ้าทำเขื่อนถาวรมันก็ต้องใช้เวลา มันต้องเป็นนโยบายของชาติ ทำอย่างน้อย 5-8 ปีถึงจะเสร็จ คือผมบอกรัฐมนตรีไอซีที ท่านสิทธิชัย (โภไคยอุดม) ว่า ท่านเสนอใน ครม. หน่อยได้มั้ย สร้างเขื่อนสูงสัก 5 เมตร เป็นคอนกรีต ทำแบบประเทศเนเธอร์แลนด์เลย ให้มันหนา ข้างบนรถวิ่งได้ สร้างตั้งแต่นนทบุรี เลยปากคลองประปามา เพราะน้ำทะเลมันจะหนุนไปถึงปากคลองประปา สร้างวิ่งเลียบแม่น้ำเจ้าพระยามาตลอด ไปถึงสมุทรปราการอ้อมไปถึงบางปะกง เพราะบางปะกงที่สูงแล้ว ไม่เป็นไร

"ส่วนอีกด้านหนึ่ง สร้างจากฝั่งธนบุรีอ้อมมาถึงพระประแดงอ้อมไปสมุทรสาครสมุทรสงคราม ไปจนถึงราชบุรี ตรงนั้นโรงงานทั้งนั้น นี่คือการจะรักษากรุงเทพฯไม่ให้จมน้ำ แล้วใช้เป็นอเนกประสงค์ด้วย รถวิ่งข้างบนได้ วิ่งจากนนทบุรีไปบางปะกงได้ โดยไม่ต้องเข้ามาในเมือง วิ่งรอบแม่น้ำ ใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้"

ส่วนเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมก็แก้ด้วยการทำประตูน้ำระบายออก ทำเป็นช่องๆ ไปตามคลอง ต้องมีประตูน้ำ

"ถามว่าลงทุนแสนล้าน ทำไมจะทำไม่ได้ เพราะโกงกันทีไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่ถ้าหากว่า ผลกระทบเริ่มรุนแรงขึ้น แล้วคุณเพิ่งไปเริ่มทำ มันก็ช้าไปแล้ว ต้องเริ่มทำเดี๋ยวนี้"

"สมิทธ" กล่าวว่า อีกเรื่องที่สำคัญก็คือ ประเทศที่ปล่อย "greenhouse effect" เข้าไปอยู่ในบรรยากาศโลก มี 3 ประเทศใหญ่ๆ มีอเมริกา จีน อินเดีย อินเดียกำลังจะเป็นนิกส์ พลเมืองกำลังจะเท่าจีน แล้วก็กำลังเปลี่ยนจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรม โดยเฉพาะจีนตอนนี้มันขุดถ่านหินเผาอยู่ทุกวัน

"ส่วนประเทศไทยน้อยมากเมื่อเทียบกับ 3 ประเทศนี้ 3 ประเทศดังกล่าวปล่อยสารพิษ 1 วัน คิดจำนวนเป็นแสนตันต่อวัน แต่เราปล่อย 1 ปี ยังไม่เท่ากับ 3 ประเทศนี้ปล่อย 1 วัน แต่เราก็ต้องป้องกัน แล้วก็ต้องลงทุน เพราะมันจะรักษากรุงเทพฯให้อยู่ต่อไปได้ในอนาคต"

...มันถึงเวลาต้องทำ ถ้าเราไม่เริ่มทำตอนนี้มันจะช้าไป



จาก         :             ประชาชาติธุรกิจ   วันที่ 27 สิงหาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #138 เมื่อ: กันยายน 01, 2007, 01:12:59 AM »


อีก 23 ปี น้ำแข็งขั้วโลกละลายเกลี้ยง หมอเตือนระวังสัตว์แพร่โรคร้าย



      นักวิชาการเผยป้องกันโลกร้อนอาจสายเกินแก้ ทั่วโลกต้องลดปล่อยคาร์บอนฯ 85% คาดปี 2030 หรือ 23 ปีข้างหน้า น้ำแข็งขั้วโลกละลายหมดเกลี้ยง ขณะที่โรคระบาดรุนแรงและรวดเร็วทั่วโลก ระวังยุง หนู ค้างคาว เป็นพาหะโรค ยุงกัดตัวเดียวอาจเป็นโรคไข้สมองอักเสบ หรือค้างคาวแค่ข่วน สัมผัสน้ำลายก็ติดเชื้อ หากถูกกัดอาจถึงขั้นเสียชีวิต
       
       วันนี้ (31 ส.ค.) ในการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2550 มีการอภิปรายเรื่อง “ภาวะโลกร้อนกับประเทศไทย : An Inconvenient Tuth จริงหรือ?” โดย ผศ.ดร.จิรพล สินธุนาวา อาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า วิธีรับมือกับภาวะโลกร้อน มี 3 ทาง คือ การป้องกัน การเตรียมรับและการปรับตัว แต่ขณะนี้การป้องกันอาจสายเกินไปแล้ว เพราะต้องตื่นตัวตั้งแต่ 15 ปีก่อน โดยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยในช่วง 200 ปีที่ผ่านมามีเพียง 240 ส่วนจากล้านส่วน แต่ปีนี้ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 383 ส่วนต่อล้านส่วน ส่งผลให้อุณหภูมิในโลกเพิ่มขึ้น 6 องศาเซลเซียส
       
       ดังนั้น ในขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กลัวว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเพิ่มขึ้นเป็น 400 ส่วน ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2-3 องศา ซึ่งจะทำให้ให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย จนระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างน้อย 5-15 เมตร ซึ่งคาดการณ์ว่าจะทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายหมดภายในปี ค.ศ.2030 หรืออีกเพียง 23 ปีข้างหน้า
       
       “วิธีที่จะช่วยยืดเวลาการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกจะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงร้อยละ 85 แต่ปัญหาสำคัญคือ ไม่สามารถลดปริมาณการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องทำเหมือนกันทั่วโลก คนใดคนหนึ่งไม่สามารถทำโดยลำพังได้ ถ้าไทยลด แต่สหรัฐฯ ไม่ลดก็ช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีอีกวิธีที่จะช่วยลดโลกร้อนได้คือการเกิดการปะทุของภูเขาไฟครั้งใหญ่ ซึ่งจะทำให้โลกเย็นลง 2-3 ปี"
       
       “สำหรับสาเหตุที่เกิดจากโลกร้อนมี 2 ประการหลัก คือ มาจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ภาคขนส่งและอุตสาหกรรม และประการที่ 2 คือ การเกิดไฟป่า ซึ่งในระยะหลังไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่เป็นฝีมือมนุษย์ ที่เผาป่าเพื่อตัดต้นไม้ และหาของป่า เช่น หาผักหวาน น้ำผึ้งป่า ซึ่งไม่คุ้มกับสิ่งแวดล้อม”
ผศ.ดร.จิรพลกล่าว
       
       ด้าน นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การระบาดของโรคที่มีสัตว์เป็นพาหะจะมีความรุนแรงมากขึ้น โดยสัตว์ซึ่งเป็นแหล่งรังโรค เช่น ยุง ค้างคาว หนู พบว่ามีเชื้อที่รุนแรงมากขึ้น คนที่ถูกยุงกัดเพียง 1 ตัวก็สามารถทำให้เกิดไข้สมองอักเสบได้ ส่วนค้างคาว มีเชื้อไวรัสของโรคต่างๆ ถึง 60 ชนิด ซึ่งในจำนวนนี้มีเชื้อไวรัสที่มีความรุนแรงมาก เพียงแค่ข่วนหรือสัมผัสน้ำลายก็ติดเชื้อ แต่หากถูกกัดอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ทันที
       
       อย่างไรก็ตาม กระบวนการของไวรัสที่ผ่านจากสัตว์ไปสัตว์ตัวอื่นจะเกิดการกลายพันธุ์ และมีความรุนแรงของโรคมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการระบาดของโรคต่างๆ ในคนได้ด้วย ในอนาคตจึงจำเป็นต้องมีระบบการเตือนภัยก่อนที่จะเกิดโรคระบาด



จาก         :             ผู้จัดการออนไลน์     วันที่ 1 กันยายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #139 เมื่อ: กันยายน 01, 2007, 01:28:01 AM »


แพทย์ห่วงโรคระบาดจากภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้น

 
นักวิชาการ เตือนภาวะโลกร้อน เร่งทุกฝ่ายช่วยหยุดยั้ง ชี้ค่านิยมบริโภคของป่า ต้นเหตุไฟป่าทำโลกร้อน ทั้งผักหวาน เห็ดเผาะ น้ำผึ้ง ขณะที่แพทย์ห่วงเกิดโรคระบาดหนัก อิทธิพลจากภาวะเปลี่ยนแปลงสภาอากาศ ทำเชื้อโรคพัฒนาการดี แถมแพร่กระจายง่าย เหตุพาหะนำโรคเพิ่ม ทั้งหนู ยุง ค้างค้าว ระบบนิเวศ์เปลี่ยน พร้อมเผย ยูเอสเตรียมสร้างยุงสายพันธ์ใหม่ เปลี่ยนพันธุกรรมไม่ให้นำโรคได้

ในการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ปี 2550 มีการอภิปรายเรื่อง “ภาวะโลกร้อนกับประเทศไทย: An Inconvenient Truth” โดย ผศ.ดร.จิรพล สินธุนาวา คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาที่ทุกคนในโลกจะต้องช่วยกัน โดยเฉพาะช่วยกันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจากการติดตาม หากยังคงมีการปล่อยก๊าซฯ ในปริมาณเช่นเดียวกับปัจจุบัน จากข้อมูลชี้ชัดว่าในอีก 11 ปี จากนี้ จะทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นอีก 2 องศาเซลเซียส ถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง และจากการพูดคุยกันหากต้องการหยุดภาวะนี้ก่อนเข้าสู่วิกฤตสิ่งแวดล้อม ทั้งโลกจะต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าลง 85% ซึ่งในความเป็นจริงคงทำได้ยาก เนื่องจากทางสหรัฐอเมริการะบุว่า การใช้ไฟฟ้ากลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว ขณะที่จีนเองอยู่ระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถอัตราการใช้ไฟฟ้าได้เช่นกัน

ผศ.ดร.จิรพล กล่าวว่า ต้นเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อนมากจาก 2 สาเหตุ คือ 1.การใช้พลังงานน้ำมัน โดยเฉพาะการใช้รถ ซึ่งร้อยละ 75 ของก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์มาจากสต๊าสรถที่ก่อให้เกิดควันลอยไปในอากาศ การใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันต้องใช้ถ่านหินผลิตกระแสไฟเพื่อใช้ 24 ชั่วโมง เพื่อใช้ในการบริโภคและในระบบอุตสาหกรรม 2. การตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งพบว่าร้อยละ 25 ของภาวะเรือนกระจกเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า การเผาป่าเพื่อตอบสนองผู้บริโภค โดยเฉพาะการหาของป่ามาขาย

“ความต้องการของผู้บริโภคเป็นตัวการสำคัญ ที่ก่อให้เกิดการเผ่าป่า เช่น ขณะนี้คนส่วนใหญ่นิยมบริโภคผักหวาน ซึ่งมีราคาดีกิโลกรัมละ 120 บาท เป็นเหตุจูงใจให้ชาวบ้านเก็บมาขาย และการที่จะทำให้ผักหวานแตกใบอ่อนได้ จะต้องมีการเผาก่อน เช่นเดียวกับเห็ดเผาะที่มีราคาแพง กรอบ หวาน อร่อย ซึ่งเห็ดเผาะจะเกิดขึ้นตรงพื้นดินที่แตกระแหง เป็นการเกิดตามธรรมชาติ และเมื่อคนต้องการปริมาณเพิ่มขึ้น ทำให้มีการเผาดินเพื่อให้พื้นดินแห้ง ดังนั้นผู้บริโภคเองจึงเป็นสาเหตุสำคัญของไฟไหม้ป่า จึงควรหยุดบริโภคสิ่งเหล่านี้ที่ก่อให้เกิดปัญหา” ผศ.ดร.จิรพล กล่าว และว่า น้ำผึ้งก็เป็นที่นิยม การที่จะนำน้ำผึ้งมาได้จะต้องมีการเผาไล่ จากที่มีการจัดงานพืชสวนโลกจะเห็นว่า มีคนที่มาเที่ยวงานจำนวนไม่น้อยที่ซื้อน้ำผึ้งติดไม้ติดมือกลับไป

สำหรับภาวะโลกร้อน สิ่งที่ตามมาและได้เกิดขึ้นแล้ว คือการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ ภายในปี 2573 หรืออีก 23 ปีจากนี้ น้ำแข็งขั้วโลกจะละลายไปหมด ซึ่งจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยขณะนี้เริ่มเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศทั่วโลก เชื่อว่าในที่สุดจะไม่แตกต่างจากภาพยนต์รอาฟเตอร์ ทูมอโร่ อย่างไรก็ตามจากการติดตามได้มีการสรุปผลกระทบจากภาวะโลกร้อน 10 เรื่อง คือ 1.การเกิดคลื่นความร้อน แม้ว่าจะมีรายงานเกิดขึ้นในต่างประเทศโดยเฉพาะในแถบยุโรป แต่เชื่อว่าในที่สุดจะต้องเกิดกับประเทศไทยเช่นกัน เพราะขณะนี้มีรายงานการเกิดคลื่นความร้อนในกลุ่มประเทศเอเชียแล้ว ทั้งในญี่ปุ่น อินเดีย มีอุณหภูมิสูงถึง 45 องศาเซลเซียส โดยในอินเดียมีผู้เสียชีวิตจากภาวะช็อกถึง 103 ราย

2.น้ำทะเลสูงขึ้นจากภาวะน้ำแข็งละลาย ซึ่งน้ำแข็งขั้วโลกมีถึง 3 ล้านลูกบาตรกิโลเมตร ขณะที่ภูเขาน้ำแข็งสูงถึง 5 กิโลเมตร และกว่าร้อยละ 20 ของน้ำแข็งที่ละลายไปแล้ว ส่งผลให้ขณะนี้น้ำทะเลสูงขึ้นจากเดิม 10-15 เซนติเมตร ทั้งยังก่อให้เกิดภาวะกัดเซาะพื้นที่ติดทะเล 3.น้ำแข็งตามยอดเขาสูงละลาย อย่างที่ภูเขาฟูจิ ขณะนี้ปริมาณน้ำแข็งเริ่มเบาบางลง เช่นเดียวกับธารน้ำแข็งที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำคงคาในอินเดีย ซึ่งเชื่อว่าธารน้ำแข็งนี้จะละลายหมดในปี 2568 นี้ 4.น้ำแข็งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ละลาย ซึ่งส่งผลต่อสัตว์และระบบนิเวศวิทยา

5,การแพร่กระจายของโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำ 6.ความเปลี่ยนแปลงของฤดู ฤดูใบไม้ผลิมาเร็วขึ้น ส่งผลต่อการเกิดใหม่ของหญ้าและใบไม้อ่อนที่เป็นอาหารของสัตว์ป่าที่เกิดใหม่ ทำให้ไม่มีอาหาร 7.เกิดการอบยพของสัตว์ป่า หนีตายจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศและสภาพแวดล้อม 8.เกิดการฟอกขาวของปะการัง เปลี่ยนแปลงจากสีน้ำตาลเป็นสีขาว เนื่องจากน้ำทะเลมีความเป็นกรดมากขึ้น 9.ปริมาณน้ำฝนไม่เปลี่ยนแปลง แต่การกระจายของน้ำฝนเปลี่ยนแปลง มีการกระจุกตัวในบางพื้นที่ ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม ดินถล่ม และ 10,เกิดภาวะแห้งแล้งในบางพื้นที่และไฟป่า

ศ.นพ.ธีรวัฒน์ เหมะจุฑา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ที่ผ่านมามีหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า ภาวะโลกร้อนก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจริงหรือไม่ และเมื่อมีสถานการณ์โรคร้ายแรงเกิดขึ้นจริง เราจะมีวิธีการรับมือเพื่อเบาบางปัญหาอย่างไร ซึ่งสิ่งที่ขณะนี้ทุกฝ่ายวิตกมากที่สุด คือ การเกิดภาวะของโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงพัฒนาของเชื้อไวรัสที่นอกจากมีความรุนแรงแล้ว ยังสามารถติดต่อจากสัตว์สู่คน และคนสู่คนได้ ทั้งนี้ในการดูโรคที่เกิดขึ้นนั้น ไม่สามารถดูได้เฉพาะโรคเท่านั้น แต่ต้องดูไปถึงตัวเชื้อโรค แหล่งรังโรค และพาหะนำโรค ไม่ว่าจะเป็นยุง หนู หรือสัตว์อื่น ๆ รวมถึงแหล่งเพาะเชื้อ รวมถึงภูมิต้านทานในคน ซึ่งในจำนวนเชื้อโรคทั้งหมด ร้อยละ 75 เป็นการติดต่อจากสัตว์สู่คน ขณะที่ร้อยละ 33 สามารถก่อให้เกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างได้

ศ.นพ.ธีรวัฒน์ กล่าวว่า ปัญหาโลกร้อนพบกว่าก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ น้ำมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ซึ่งตั้งแต่ตนรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ยังไม่เคยพบผู้ป่วยที่เกิดอาการเป็นพิษจากการกินเนื้อปลา แต่ที่ผ่านมาพบผู้ป่วยรายหนึ่งซึ่งเป็นพยาบาล มีอาการเริ่มอ่อนแรง หายใจไม่ได้ ต้องรีบเข้ารักษาตัว เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น จึงทราบว่าสาเหตุเกิดจากกินปลาผัดคึ้นไช่ ซึ่งปลาดังกล่าวไม่ใช่ปลาปักเป้าแต่มีพิษ แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงหลากหลายทางชีวภาพของปลาพวกนี้

นอกจากนี้ขณะที่โลกร้อนขึ้น จากรายงานพบว่า การกระจากตัวของยุงเริ่มมากขึ้น เริ่มพบในพื้นที่หนาวเย็น อีกทั้งอุณหภูมิที่เพิ่มมากขึ้นยังทำให้เชื้อในตัวยุงฟักตัวได้เร็ว ดังนั้นแม้ว่ายุงจะมีอายุสั้นลง แต่นำโรคต่าง ๆ ทั้งมาลาเรีย ไข้เลือดออก ไข้สมองอักเสบสู่คนได้ ทั้งนี้การระบาดส่วนใหญ่จะเกิดในพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงของอากาศแบบสุดขั้ว อย่างเช่น มีภาวะแห้งแล้งอย่างหนัก แต่ต่อมากลับมีน้ำท่วม เป็นการทับซ้อนของอากาศ ทำให้โรคระบาดเกิดได้ง่าย

“ในอเมริกามีโรคไข้สมองอักเสบจากเวสนายไวรัส ซึ่งมียุงเป็นพาหะ แต่จากที่ช่วงอากาศหนาวมีระยะเวลาสั้นลง ทำให้ยุงมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น ขณะที่สัตว์ที่ทำหน้าที่กำจัดยุงน้อยลง ทำให้ปริมาณยุงมีมากขึ้นในการนำเชื้อไวรัสสู่คน ซึ่งเมื่อเข้าสู่คนจะใช้เวลา 4-5 วัน จึงค่อยแสดงอาการ มีบางคนไปบริจาคเลือด ทำให้มีการแพร่เชื้อไปสู่ผู้ที่รับถ่ายเลือด ซึ่งอเมริกาเป็นห่วงในเรื่องนี้มาก และกำลังอยู่ระหว่างการวิจัยเพื่อสร้างยุงที่เชื้อไวรัสไม่สามารถเติบโตได้ เพื่อเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ยุงที่มีอยู่ อย่างไรก็ตามแม้ว่าประเทศไทยจะโชคดี ไม่พบผู้ป่วยด้วยโรคไข้สมองอักเสบนี้ แต่จากที่การเดินทางติดต่อสะดวก โดยเฉพาะทางเครื่องบิน จึงควรมีมาตรการป้องกัน เพราะเป็นโรคที่มีความร้ายแรงมา คร่าชีวิตคนไปแล้วในจำนวนหลายร้อยคน”

ศ.นพ.ธีรวัฒน์ กล่าวต่อว่า ขณะที่ค้างค้าวสามารถนำเชื้อไวรัสได้ถึง 166 ชนิด เป็นแหล่งรังโรคที่ดี ซึ่งจาก 1 ปีผ่านมา พบว่า ค้างค้าวสามารถนำเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าสู่คนได้ โดยไม่จำเป็นต้องถูกหมากัด ทั้งยังเป็นพานะนำเชื้อที่ดีกว่า เพราะเพียงแค่ค้างค้าวสะกิดที่ผิวหนังคนก็อาจทำให้ถึงตายได้ เพราะเชื้อไวรัวสามารถเติบโตจากเซลผิวหนัง ซึ่งในประเทศออสเตรเลียชีวิตแล้ว 2 ราย นอกจากนี้ค้างค้าวยังเป็นพานะนำเชื้อซาร์สที่เคยระบาด เชื้ออีโบล่า และเชื้อนิป้าไวรัสที่มีวิวัฒนาการที่เร็วมาก เพราะในระยะเวลาแค่ 8 ปี สามารถฆ่าชีวิตคนได้ จากเดิมมีความรุนแรงเพียงร้อยละ 50 และร้อยละ 80 ซึ่งค้างค้าวไทยก็สามารถนำเชื้อเหล่านี้สู่คนได้เช่นกัน

ภาวะโรคที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่เกิดและกระทบทั่วโลก ดังนั้นจำเป็นที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันระดมสมอง สร้างระบบการเตือนภัยโรคระบาดและยังต้องมีศูนย์ข้อมูลที่รวบทั้งหมดในการป้องกันทั้งจำนวนประชาการ อัตราการเกิดโรค จำนวนผู้รับวัคซีน เพื่อรับมือการระบาดของโรค
 


จาก         :             คม ชัด ลึก     วันที่ 1 กันยายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #140 เมื่อ: กันยายน 01, 2007, 01:52:08 AM »


ชวนดูหนัง "11th Hour" สารคดีรักษาสิ่งแวดล้อม
 

 
ใครที่สนใจเรื่อง "โลกร้อน" จะต้องดูหนังสารคดีเรื่องใหม่ล่าสุด ที่ชื่อ "11th Hour" ที่สร้างโดยดาราคนดัง Leonardo DiCaprio ที่เพิ่งออกฉายในอเมริกา เพราะมันสะท้อนถึงความตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อม ที่กำลังจะทำให้โลกล่มสลาย

เหมือนอย่างที่ "An Inconvenient Truth" ของอดีตรองประธานาธิบดี Al Gore ของสหรัฐ ทำจนได้รางวัลออสการ์ และได้รับการเสนอชื่อให้ได้รางวัลโนเบลอยู่ขณะนี้

ดีคาปรีโอ มาในมาดของคนเคร่งเครียดครั้งนี้ เพราะต้องการจะสะท้อนภาพของผู้ปกปักรักษาสิ่งแวดล้อมธรรมชาติอย่างจริงจัง จึงทุ่มเทกับหนังเรื่องนี้มาก...ทั้งลงทุนสร้างเอง, ผลิตเอง และบรรยายด้วยเสียงตัวเอง 

สงสัยจะต้องการพิสูจน์ว่า ดาราฮอลลีวู้ดก็มีความเก่งกล้าสามารถในการรณรงค์เพื่อชาวโลกไม่น้อยไปกว่านักการเมืองระดับชาติเหมือนกัน



หัวเรื่อง "11th Hour" นั้น มีความหมายว่า "ชั่วโมงสุดท้าย" ของโลกแล้ว

ถ้าไม่รีบระดมสรรพกำลังเพื่อป้องกันไม่ให้โลกล่มสลาย เพราะภาวะโลกร้อนอันเกิดจากน้ำมือมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ ชีวิตบนโลกใบนี้ก็จะมีอันเป็นไป 

สารที่หนังสารคดีเรื่องนี้ต้องการจะส่งไปถึงคนดูทั่วโลก ก็คือว่าแม้เวลาจะเหลือน้อยเต็มทน แต่ก็ต้องรีบช่วยกันคนละไม้ละมือ เพื่อไม่ให้ถึงวันอวสานของโลกเป็นอันขาด

ที่ DiCaprio ทำได้น่าสนใจก็ตรงที่ไม่ได้ยืนบรรยายเรื่องราวคนเดียวตลอดรายการเหมือน Al Gore ใน "An Inconvenient Truth" แต่ไประดมเอาคนดังๆ ทั่วโลกมาพูดเรื่องเดียวกันนี้ เพื่อให้เห็นว่าปัญหานี้เป็นเรื่องที่ต้องสร้างพลังจากคนที่มีความคิดสำคัญๆ ทั่วโลก

เช่น อดีตผู้นำโซเวียตอย่าง Mikhail Gorbachev และนักวิทยาศาสตร์นามอุโฆษอย่าง Stephen Hawking รวมถึงเจ้าของรางวัลโนเบลอย่าง Wangari Maathai หรือนักหนังสือพิมพ์ระดับโลก ที่ชื่อ Paul Hawken ซึ่งล้วนแล้วแต่มาร่วมแสดงความเห็นว่า ด้วยอันตรายอันใหญ่หลวงที่เกิดจากการเสื่อมทรุดของสภาพแวดล้อมโลกในทุกๆ ด้าน



ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องโลกร้อนหรือป่าไม้ที่หายไปอย่างรวดเร็ว หรือการสูญพันธุ์ของสัตว์ และพืชอย่างน่ากลัว อีกทั้งยังเกิดการสลายหายไปของที่พักพิงสำหรับสัตว์และพืชในมหาสมุทรใหญ่ๆ ของโลก

ที่น่าสนใจคือหนังเรื่องนี้จะไม่เพียงแต่เสนอภาพน่ากลัว และอนาคตอันมืดมนของโลกเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับทางออกและวิธีแก้ปัญหาที่ชาวโลกจะสามารถช่วยกันป้องกันหายนภัยอันใหญ่หลวงนี้ได้

วิธีแก้ปัญหาที่คนทั้งโลกจะต้องร่วมมือกันแสวงหา และทำให้เป็นจริงนั้นหมายถึง การเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิถีชีวิตประจำวันโดยใช้เทคโนโลยี และการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติทุกวิถีทางที่จะทำได้

ในหนังเรื่องนี้ นักวิทยาศาสตร์และนักต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมคนดัง เช่น David Orr และ David Suzuki กับ Gloria Flora วาดภาพอนาคตของโลกที่ต้องแปลกและแตกต่างไปจากที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

เป็นวิธีคิดที่บอกว่า มนุษย์ไม่มีสิทธิสรุปเอาไว้ว่า ตนเองสามารถจะครอบงำและครอบครองระบบชีวภาพของโลก แต่ต้องหาทาง "อยู่ร่วมกัน" กับธรรมชาติอย่างถ่อมตน ต่อเนื่องและยั่งยืน

หนังเรื่องนี้ไปฉายครั้งแรกที่งานภาพยนตร์ประจำปีครั้งที่ 60 ที่เมืองคานส์ ของฝรั่งเศส และเพิ่งนำออกฉายในโรงที่อเมริกา เมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่เพิ่งผ่านมานี้เอง

ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์กว้างขวางพอสมควร...และหนีไม่พ้นว่า นักวิจารณ์จะต้องเอาไปเปรียบเทียบกับ "An Inconvenient Truth" ของอัลกอร์ที่ออกมาได้ 1 ปีพอดิบพอดี

อัลกอร์ ในฐานะนักการเมืองกับดีคาปรีโอ ในฐานะนักแสดงหนังมาเผชิญหน้าในฐานะ "นักกิจกรรม" หรือ activist เรื่องสิ่งแวดล้อมสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับหลายๆ วงการทีเดียวแหละ

 
 
จาก         :             กรุงเทพธุรกิจ  คอลัมน์กาแฟดำ     วันที่ 1 กันยายน 2550
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 01, 2007, 01:56:41 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #141 เมื่อ: กันยายน 03, 2007, 12:23:50 AM »


หวั่น"อียิปต์"จมน้ำ เตือน"โลกร้อน-เขื่อน"ตัวการ


 
"ปลายๆ ศตวรรษนี้ ชาวอียิปต์หลายล้านคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย เพราะน้ำท่วมบ้าน"

คำทำนายข้างต้นเป็นของ "ธนาคารโลก" ที่แสดงความเป็นห่วงอียิปต์ ที่กำลังถูกภาวะโลกร้อนเล่นงาน

นายโมฮัมเหม็ด เอล-ราเอฟ นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม จากมหาวิทยาลัยอเล็กซานเดรีย กล่าวว่า สถานการณ์ที่อียิปต์กำลังเผชิญอยู่นั้นร้ายแรงมาก จำเป็นต้องให้ความสนใจอย่างเร่งด่วน ยิ่งล่าช้ายิ่งจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง

พื้นที่ที่เป็นกำลังถูกภาวะโลกร้อนเล่นงานคือพื้นที่ "สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์" แม้พื้นที่นี้จะกินพื้นที่เพียง 2.5% ของอียิปต์ แต่ประชากรในพื้นที่มีความหนาแน่นมาก เนื่องจากมีผู้อยู่อาศัยราว 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด 80 ล้านคน

นอกจากภาวะโลกร้อนแล้ว "สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์" ยังได้รับผลกระทบจาก "เขื่อนอัสวาน" เนื่องจากเขื่อนแห่งนี้แม้จะให้พลังงานไฟฟ้าซึ่งจำเป็นต่อเศรษฐกิจของประเทศ แต่เขื่อนยังเก็บตะกอนที่มีความอุดมสมบูรณ์ ไม่ให้เข้าไปทับถมพื้นที่ที่ถูกน้ำกัดเซาะ

นักวิทยาศาสตร์ทำนายว่า ภายในปลายศตวรรษนี้ น้ำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลอื่นๆ จะสูงขึ้นประมาณ 30 ถึง 100 เซนติเมตร ทำให้น้ำท่วมชายฝั่งทะเลบริเวณ "สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์" หาดทรายซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวจะจมอยู่ใต้ทะเล รวมทั้งสมบัติของชาติในยุคโบราณที่นักโบราณคดียังขุดไม่พบในเมืองเก่าอเล็กซานเดรีย

คำทำนายของนักวิทยาศาสตร์ข้างต้นนั้นยังไม่น่ากลัวพอ เพราะไม่ใช่ขั้นที่อียิปต์ต้องประสบเมื่อเจอกับสถานการณ์ที่ร้ายแรงที่สุด แต่ที่ร้ายแรงที่สุดคือ เมื่อน้ำแข็งบริเวณกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกตะวันตกละลาย

ถ้าแผ่นน้ำแข็ง 2 แผ่นนี้ละลายเมื่อใด น้ำทะเลจะสูงขึ้น 16 ฟุต และจะสร้างความเสียหายให้กับ "อียิปต์" เป็นอย่างยิ่ง



จาก         :             ข่าวสด     วันที่ 3 กันยายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #142 เมื่อ: กันยายน 03, 2007, 12:40:50 AM »


"การ์ตูนกู้โลกร้อน"จาก"โดราเอมอน" ถึง"แบบเรียนการ์ตูนไทย"ในญี่ปุ่น


 
แม้อัล กอร์ จะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ปลุกกระแสวิกฤติการณ์โลกร้อน แต่พฤติกรรมส่วนตัวที่ล้วนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ใช้ไฟฟ้าเปลืองเอย ใช้เครื่องบินส่วนตัวเอย ฯลฯ ก็ยังคงเป็นข่าวโจมตีอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นระยะๆ ...

ไม่ว่าข้อเท็จจริงของข่าวคราวจะพ่วงไปด้วยผลทางการเมืองหรือไม่ก็ตามแต่หลายๆ คนอาจไม่ทราบว่ายังมี "ฮีโร่กู้โลกร้อน" อยู่อีกเจ้าหนึ่ง จะใครเสียอีก ถ้าไม่ใช่ "โดราเอมอน" นั่นเอง 



จะเห็นได้ว่าช่วงนี้การประกวดหนังสือ-การ์ตูน ในหลายเวทีพากันหยิบยกประเด็นภาวะโลกร้อนมาเป็นหัวข้อการชิงชัย อันที่จริงแล้ว สื่อการ์ตูนที่เข้าถึงเด็กๆ เคยหยิบยกประเด็นดังกล่าวมานำเสนอหลายรูปแบบ ล่าสุดก็ภาพวาดการ์ตูนของ "หมอ" ทิววัฒน์ ภัทรกุลวนิชย์ ที่ไปสร้างชื่อเสียงในญี่ปุ่นและเพิ่งเวียนมาแสดงที่ประเทศไทยในเทศกาลอาเซียน การ์ตูน เอ็กซิบิชั่น ครั้งที่ 10 เมื่อไม่นานนี่เอง

และถ้ามองย้อนกลับไป"โดราเอมอน" โดย ฟูจิโกะ เอฟ ฟูจิโอะ การ์ตูนญี่ปุ่นที่คนไทยรู้จักดีที่สุด ก็ยังเคยสอดแทรกเรื่องราวการผจญภัยและสาระการอนุรักษ์ธรรมชาติของเจ้าเหมียวสีฟ้า และผองเพื่อนไว้ด้วยกันอย่างลงตัวมาแล้ว เห็นได้ชัดจาก "โดราเอมอนตอน ตะลุยดาวต่างมิติ" ออกตีพิมพ์เมื่อปี 2533 ช่วงนั้นภาวะโลกร้อนเริ่มส่อเค้าความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่มีผลกระทบให้เห็นอย่างจริงจังเท่าทุกวันนี้ 

ฟูจิโกะโยงใยสถานการณ์สิ่งแวดล้อมโลก กับตำนานในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ตอน "เรือของโนอาห์" เมื่อ "โนบิตะ" เดินหลงเข้าไปในหมอกลึกลับ จนไปโผล่ยังดาวดวงหนึ่งที่เขียวสะอาด มีสิงสาราสัตว์ประชากรโลก เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมเจริญก้าวหน้าจากการพึ่งพาธรรมชาติ ดาวดวงนี้จึงเหมือนยูโทเปียในฝัน ทั้งสวยงาม ปราศจากมลพิษ และยังสงบสุขตามประสาสัตว์ ถึงขนาดที่โดราเอมอนออกปากว่า เทคโนโลยีโลกมนุษย์ในศตวรรษที่ 22 ยังทำไม่ได้ขนาดนี้ 



แต่ปัญหาก็คือดาวข้างเคียงที่เหล่าสัตว์คิดว่าเป็นเพียงดวงจันทร์ แท้จริงเป็นดาวอีกดวงที่เต็มไปด้วยฝนพิษ ไม่มีต้นไม้ใดๆ มีเพียงตึกปรักหักพัง ประชากรต้องอาศัยอยู่ใต้ดินอย่างแร้นแค้นเพื่อหลบมลพิษ ก่อนที่ความจริงจะปรากฏว่า ผู้ที่อาศัยในดาวแห่งนั้นแท้จริงคือเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งเคยมีวิทยาการเจริญก้าวหน้าถึงขีดสุด 

หากประชากรเจ้าของดาวไม่ใส่ใจมลภาวะสิ่งแวดล้อมก่อสงครามนิวเคลียร์จนดาวแปรสภาพกลายเป็นนรก จึงมีนักวิทยาศาสตร์อพยพสัตว์ทั้งหมดบนนั้นมาไว้ที่ดาวอีกดวง เมื่อดาวสัตว์พัฒนาไปไกลทั้งจิตใจและวัตถุ มนุษย์บนดาวร้างก็ยังคิดตามมาช่วงชิง

ภายในเรื่องฟูจิโกะ ยังแทรกสถานการณ์บนโลกของโนบิตะด้วยว่า ป่าภูเขาหลังโรงเรียนที่นักอ่านคุ้นเคยกันดีกำลังจะถูกทำลายเพื่อสร้างเป็นสนามกอล์ฟ สถานการณ์บนดาว 2 ดวงที่ต่างกันอย่างสุดขั้ว จึงเป็นบทสรุปปลายเปิดให้ขบคิดว่ามนุษย์จะควรเลือกเดินในทิศทางไหน ...น่าเสียดายว่าประเด็นเหล่านี้จากโดราเอมอนไม่ได้รับความสนใจเท่ากับการเซ็นเซอร์ฉากชิซูกะอาบน้ำจากตอนอื่นๆ 



ขณะที่ผลงานจากนิทรรศการอาเซียนการ์ตูน เอ็กซิบิชั่น ที่ "หมอ" ทิววัฒน์ ภัทรกุลวนิชย์  ร่วมกับนักวาดการ์ตูนจาก 10 ประเทศทั่วเอเชีย แสดงชุดผลงานภายใต้โจทย์ "สภาพแวดล้อมในเอเชีย" ซึ่งเวียนให้ชมทั่วทวีปก่อนจะมาถึงเมืองไทยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แม้ช่วงที่หมอวาดการ์ตูนเซตนี้จะยังไม่มีการชูประเด็นเรื่องภาวะโลกร้อน แต่สิ่งที่เขาเห็นชัดๆ ในเมืองไทย คือปัญหาเรื่องน้ำที่เกิดจากการจัดการทรัพยากร ยามหน้าแล้ง ต่างจังหวัดจะขาดน้ำ ส่วนหน้าฝนกลับมีท่วมหนัก ขณะที่คนในเมืองกลายเป็นบุคคลเกรดเอ ที่ได้รับการเฝ้าระวังไม่ให้ปัญหาขาดน้ำ-น้ำท่วมเข้ามากร้ำกราย 

แต่สิ่งหนึ่งที่หมอมองเห็นในประเด็นเดียวกับฟูจิโกะเอฟ ฟูจิโอะ และสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างเฉียบขาด นั่นคือประเด็น "สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม" ภาพหนุ่มสาวในเครื่องแต่งกายพันธุ์ผสม ระหว่างชุดไทยกับเสื้อผ้าแบรนด์เนมยืนกรีดกรายอยู่หน้าร้านแมคโดนัลด์ โดยเขาสื่อว่า วัฒนธรรมเป็นส่วนหนึ่งสิ่งแวดล้อม เมื่อสิ่งแวดล้อมอันเป็นเอกลักษณ์แต่ละประเทศถูกทำลาย เราจึงได้เห็นเด็กในฮาราจูกุแต่งตัวหลุดโลกไม่แพ้ในอเมริกัน คนไทยเห่อกินอาหารเกาหลีตามอย่างซีรีส์ และนี่ยังเป็นหนึ่งในสี่ภาพของหมอที่ได้รับคัดเลือกให้ประกอบหนังสือเรียนระดับมัธยม วิชา "เรียนรู้โลกผ่านการ์ตูน" ที่นาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น 

 

"เมื่อสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรมที่สูญเสียไปแล้วมันทำให้เรากลายพันธุ์เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ เปรียบเหมือนสิ่งแวดล้อมในโลกเรา ถ้ามันถูกทำลายมาก เราก็อาจโดนสารนิวเคลียร์สร้างวิวัฒนาการให้เป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่เช่นกัน จากนิทรรศการครั้งนี้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่นักเขียนการ์ตูนทุกประเทศวาดนั้นเหมือนกันหมด ที่อินเดียเป็นเรื่องน้ำ ส่วนจีน เกาหลี เป็นเรื่องอุตสาหกรรม ส่วนที่ญี่ปุ่นเป็นเรื่องการตัดไม้ทำลายป่า คือถ้าไม่ดูชื่อประเทศจะไม่รู้เลยว่าเป็นของที่ไหน เราเจอในสิ่งที่เหมือนกัน" 

หมอยังกล่าวด้วยว่า สิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ให้ใครมาพูดว่าต้องดูแลรักษาทรัพยากร นักเขียนการ์ตูนเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการรณรงค์เท่านั้น 

แต่เป็นหน้าที่ที่รู้กันว่าทุกคนต้องช่วยกันต่างหาก!!   



จาก         :             คม ชัด ลึก     วันที่ 3 กันยายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #143 เมื่อ: กันยายน 04, 2007, 12:24:57 AM »


รับมือโลกร้อน


 
มูลนิธิรักษ์ไทย จัดทำวารสาร "Raks Thai" ฉบับแรกเดือนส.ค. ว่าด้วยภาวะโลกร้อน สำรวจประเทศต่างๆ ที่กำลังตื่นตัวรับมือโลกร้อน ดังนี้

ญี่ปุ่น เป็นประเทศแรกที่คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อรับมือปัญหาโลกร้อน เช่นการประดิษฐ์เทคโนโลยีแผ่นรับแสงอาทิตย์ (Solar Cells) และเป็นผู้ผลิตรายใหญ่สุด

นอกจากนี้บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่นยังใช้เทคโนโลยีเลือดผสม (Hybrid Technology) ใช้ระบบผสมผสานขับเคลื่อนด้วยน้ำมันและไฟฟ้า หรือทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน

จีน ทุ่มทุนกว่าสองพันล้านหยวน กับแผนปลูกต้นไม้ 10 ปี จำนวน 1,000 ล้านต้น ภายในปี 2005 ที่ผ่านมา ทหารจีนปลูกต้นไม้ไปแล้วครอบคลุม 40 % ของโครงการเป็นเงิน 170,000 ตารางไมล์ และมีเป้าจะเพิ่มให้ได้เป็น 45% ภายในปี 2010

เป้าหมายสำคัญเพื่อหยุดการแผ่ขยายของทะเลทรายและหวังจะให้เป็น The Great Wall of Tree

เยอรมนี ตื่นตัวมากในการรับมือปัญหาโลกร้อน รัฐบาลตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 21% ต่ำกว่าระดับที่ปล่อยในช่วงทศวรรษที่ 1990 ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามเป้าที่ได้ลงนามไว้ในพิธีสารโตเกียว

รูปธรรมที่รัฐบาลทำ คือโครงการหลังคาแสงอาทิตย์ 100,000 หลังคา โดยให้ประชาชนกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อนำมาซื้อเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ดังกล่าว

นอกจากนี้ยังส่งเสริมใช้พลังงานลม และออกแผนปรับปรุงอาคารบ้านเรือนเก่าๆ ให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น

เดนมาร์ก สนับสนุนการใช้พลังงานลมผ่านกังหันลมขนาดใหญ่ ทำให้ได้กระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมกว่า 20 %ของการบริโภคไฟฟ้าทั้งหมด และยังทำเงินเข้าประเทศถึงปีละ 3,000 ล้านยูโร

อังกฤษ นายกเทศมนตรีของกรุงลอนดอนและอีกหลายๆ เมืองออกมาตรการค่าขับรถเข้าเขตเมืองในราคาสูง ชาวลอนดอนจำนวนมากต้องทิ้งรถไว้บ้าน หันไปพึ่งรถสาธารณะ เป็นมาตรการที่ช่วยแก้ปัญหาจราจรและลดมลพิษได้ดี

โปรตุเกส คิดค้นและผลิตพลังงานจากคลื่นทะเล (Tidal Turbines) และทำเป็น Commercial Energy Wave Farm ผลิตกระแสไฟฟ้าหมุนเวียน จากคลื่นที่ไม่มีวันหมดของมหาสมุทร

อินเดีย 70 % ของมลพิษมาจากการจราจร ในปี 2003 ศาลต้องเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยการให้ยานยนต์สาธารณะทุกชนิด ได้แก่ รถเมล์ และสามล้อเครื่อง ใช้พลังงานสะอาด เช่น ก๊าซธรรมชาติ

ฟิลิปปินส์ ใช้พลังงานความร้อนจากไต้ดิน (Geothermal Technology) ผลิตกระแสไฟฟ้าได้กว่า 27 %ของไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมด (ผลิตได้มากที่สุดรองจากสหรัฐอเมริกา)

ไทย แม้จะมีนโยบายการใช้พลังงานอย่างประหยัดต่อเนื่องมาหลายสิบปี แต่ยังไม่เข้มข้นและขยายวงมากนัก เช่น โครงการบ้านประหยัดพลังงาน พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานทางเลือกอย่างไบโอดีเซล ก๊าซธรรมชาติ ก็เพิ่งเริ่มต้น

อีกทั้ง รูปธรรมการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่ยังผูกติดกับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่หลายๆ กลุ่ม ที่ประกาศตัวเป็นองค์กรรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR)

อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลน่าสนใจจากวงสัมมนา "ภาวะโลกร้อนกับประเทศไทย : An Inconvenient Truth" ที่จ.เชียงใหม่ เมื่อเร็วๆ นี้

ผศ.ดร.จิรพล สินธุนาวา ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสิ่งแวดล้อม แห่งมหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า การป้องกันแก้ไขโลกร้อนในบ้านเรานั้น สายเกินไปเสียแล้ว

เพราะเราตื่นตัวช้าไปถึง 15 ปี!



จาก         :             ข่าวสด  คอลัมน์ เก็บเรื่องมาเล่า   วันที่ 4 กันยายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #144 เมื่อ: กันยายน 04, 2007, 12:43:07 AM »


โลกร้อน
 
 

     ความตื่นตัวที่มีต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นของชาวเขาเผ่าม้งบนดอยปุย ซึ่งตระหนักรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ดังที่เป็นข่าวกรอบเล็กๆ เมื่อวันก่อนนั้น นับเป็นภาพสะท้อนถึงวิถีชีวิตมนุษย์ที่ต้องแอบอิงอยู่กับธรรมชาติเป็นสำคัญ 

เมื่อธรรมชาติแปรเปลี่ยน ฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาล ปรากฏการณ์เหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

แต่อิทธิพลของธรรมชาติยิ่งใหญ่เกินกว่าผู้คนจำนวนหนึ่งกับวิถีการผลิตแบบเกษตรกรรมเท่านั้น ความจริงจากการละลายของก้อนน้ำแข็งขั้วโลก การจมน้ำตายของหมีขั้วโลกที่ต้องว่ายน้ำไกลออกไปยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนหมดแรง ตลอดไปจนถึงข่าวสารอันสืบเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะหนังสารคดีและหนังสือ An Inconvenience Truth ของ อัล กอร์ ย่อมทำนายถึงชะตากรรมของทุกๆ ชีวิตบนโลกได้ดีว่า จะเป็นเช่นไรในอนาคต

ถึงกระนั้น การตระหนักรับรู้จากข่าวสารที่ได้รับ ถึงที่สุดแล้วก็ยังเป็นคนละเรื่องกับโอกาสในการนำไปปฏิบัติหรือแก้ไข 



ทุกวันนี้ ทุกคนมีส่วนในการทำร้าย (บางทีถึงขั้นทำลาย) โลกด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะจากการบริโภคนิยมและการติดอยู่กับความสะดวกสบาย ทำให้ช่องทางในการทำความดี ด้วยการปิดไฟคนละดวงเมื่อไม่จำเป็นต้องใช้นั้น กลายเป็นเรื่องอินโนเซนท์ หรือโรแมนติกเกินไปหรือเปล่า เพราะวิถีชีวิต โดยเฉพาะวิถีของคนเมืองที่ถูกกำหนดและออกแบบมานั้นโดยโครงสร้างระดับต่างๆ ของสังคมนั้น ล้วนเอื้อต่อการทำร้ายโลกมากกว่าคนในชนบท

ตัวอย่างมีให้เห็นนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ผังเมืองที่ผิดปกติและเติบโตอย่างไร้ระเบียบ ทำให้ชาวเมืองแต่ละคนต้องผลาญน้ำมันวันละหลายๆ ลิตรบนท้องถนน เพราะบริการขนส่งสาธารณะเลวร้ายเกินกว่าจะใช้ไหว

ขณะเดียวกันเราใช้พลาสติกกันอย่างมหาศาล โดยเฉพาะขวดน้ำพลาสติกที่มาแทนที่การบริโภคน้ำในแบบเดิมๆ , เราเริ่มพกโทรศัพท์มือถือกันคนละ 2 เครื่อง เพราะเปลี่ยนไปใช้โปรโมชั่นการโทร.ที่ราคาถูกกว่าด้วยเบอร์เดิมไม่ได้ หรือแม้กระทั่ง เรารับรู้ข่าวสารภาวะโลกร้อนจากอินเทอร์เน็ต แต่ก็ยังเปิดคอมพิวเตอร์ไว้ทั้งคืน เพราะดาวน์โหลดไฟล์หรือเล่นบิททอร์แรนท์ 

ที่ผ่านมา บนเวทีโลก เรามี 'พิธีสารเกียวโต' อันเป็นความร่วมมือในระดับนานาชาติเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (ยกเว้นสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่ยอมลงนาม) อันที่เป็นสาเหตุโดยตรงที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก และทำให้โลกร้อนขึ้น แม้จะไม่เกี่ยวข้องกับประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยโดยตรง แต่นับเป็นเรื่องจำเป็นที่คนไทยควรมีส่วนร่วมแก้ไขในฐานะสมาชิกหนึ่งของประชาคมโลก ซึ่งนอกจากการอุดหนุนทุนวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทุกๆ มิติแล้ว รัฐบาลเองควรมีบทบาทในการออกแบบลักษณะของวิถีชีวิตที่สอดคล้อง เพื่อให้ประชากรมีทางเลือกในการใช้ชีวิตเพื่อสนับสนุนและรักษาโลกมากกว่านี้

นอกจากนโยบายทางเศรษฐกิจแล้ว พรรคการเมืองที่กำลังเตรียมการเพื่อลงสู่สนามเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง พึงแสดงวิสัยทัศน์ต่อเรื่องนี้ให้ปรากฏอย่างชัดเจน ย่อมจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการพิจารณาของประชาชนที่สนใจในภาวะโลกร้อน แต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการเฝ้าดูตาปริบๆ

อย่างน้อยๆ ก็เชื่อว่าน่าจะดีกว่ากระแสการอนุรักษ์ธรรมชาติและภาวะโลกร้อนด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย แต่ไม่วายติดหวัดบริโภคนิยม ด้วยการชักชวนผู้คนไปเที่ยวชมสัตว์ป่าที่นำมาแสดงไว้ในห้างสรรพสินค้า

เพราะมันอาจเป็นได้เพียงการสร้างจิตสำนึกในระดับตีฝีปากเท่านั้น.



จาก         :             กรุงเทพธุรกิจ   วันที่ 4 กันยายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #145 เมื่อ: กันยายน 04, 2007, 12:47:02 AM »


'หมอประเสริฐ' จี้รัฐรับมือโรคระบาดจากภาวะโลกร้อน
 

 
ผู้เชี่ยวชาญไวรัสวิทยาระบุ "ไข้เลือดออก" รุนแรงกว่าทุกปี ส่งผลมีผู้ป่วย-เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ชี้ "โลกร้อน" ส่งผลเชื้อไข้เลือดออก-เชื้อไวรัสกลายพันธุ์ แนะทุกฝ่ายให้ความสำคัญ และหาทางป้องกัน

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ศ.นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา และที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลก กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของไข้เลือดออกของประเทศไทยในปีนี้ว่า เป็นปีที่มีการระบาด และสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง

ทั้งนี้ พบว่าในปีนี้มีจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกเพิ่มจำนวนขึ้นกว่าทุกปี แต่ทุกฝ่ายกลับละเลย และไม่ให้ความสำคัญต่ออัตราการเสียชีวิตที่สูงในขณะนี้

ศ.นพ.ประเสริฐ กล่าวว่า สาเหตุที่จำนวนตัวเลขของผู้ป่วย และเสียชีวิตจากเชื้อไข้เลือดออกสูงขึ้น เนื่องจากไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการระบาดของไข้เลือดออกสูง ประกอบกับสภาวะอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น ทำให้วงจรชีวิตของยุงมีการเปลี่ยนแปลง และขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วกว่าปกติ

อย่างไรก็ตาม แม้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้วงจรชีวิตของยุงสั้นลง แต่กลับไม่ได้ส่งผลให้การระบาดลดลง เนื่องจากเชื้อไวรัสซึ่งอยู่ในตัวยุงมีการเจริญเติบโตและสามารถแพร่กระจายได้เร็วเช่นกันพร้อมกันนี้ ยังสามารถถ่ายทอดเชื้อไปยังไข่ของยุงได้ ทำให้ยุงที่เกิดมาใหม่มีเชื้อไวรัส

ดังนั้น หากทุกฝ่ายยังนิ่งนอนใจ คาดว่าในอนาคตประชากรโลกจะต้องเผชิญกับสภาวะการระบาดใหญ่ และเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสรวมทั้งไข้เลือดออกอย่างแน่นอน

“ผลจากการที่โลกร้อนขึ้น ทำให้เชื้อไข้เลือดออกและเชื้อไวรัสต่างๆ เช่นไข้หวัดนก มาลาเรีย มีการกลายพันธุ์ และคาดว่าจะมีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตามแม้ว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานสรุปที่ชัดเจนว่าสภาวะโลกร้อนทำให้เชื้อไวรัสต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด แต่หากเรายังไม่มีการป้องกันที่ดี รวมทั้งไม่ช่วยกันหยุดอุณหภูมิของโลกไม่ให้สูงมากขึ้น จะไม่สามารถรับมือกับการระบาดใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน"

ทั้งนี้ สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทยในปี 2550 (ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-25 ส.ค.) มีจำนวนผู้ป่วยทั้งสิ้น 38,316 ราย เสียชีวิต 42 ราย โดยภาคกลางมีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดถึง 20 ราย

โดยจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตในปีนี้ สูงขึ้นกว่าปี 2549 ที่มียอดผู้ป่วยอยู่ที่ 28,762 เสียชีวิต 36 ราย อีกทั้งจำนวนของผู้เสียชีวิตยังใกล้เคียงกับปี 2548 ซึ่งมีการระบาดและมียอดผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 49 ราย

ซึ่งสอดคล้ององค์การอนามัยโลกออกมาเตือนว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับสภาวะการระบาดของโรคไข้เลือดออกในรอบ 10 ปี



จาก         :             กรุงเทพธุรกิจ   วันที่ 4 กันยายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #146 เมื่อ: กันยายน 10, 2007, 12:14:22 AM »




ตามรอย...พระราชดำรัส ทรงห่วงปัญหาโลกร้อน


 
"...เพราะว่าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง เขาบอกว่าเพราะว่ามีสารคาร์บอน (คาร์บอนไดออกไซด์) ขึ้นไปในอากาศมาก จะทำให้เหมือนเป็นตู้กระจกครอบ แล้วโลกนี้ก็จะร้อนขึ้น เมื่อโลกนี้ร้อนขึ้น มีหวังว่าน้ำแข็งจะละลายลงทะเล และรวมทั้งน้ำในทะเลนั้นจะพองขึ้น...สิ่งที่ทำให้คาร์บอนในอากาศเพิ่มมากขึ้นนั้น มาจากการเผาเชื้อเพลิง ซึ่งอยู่ในดินและจากการเผาไหม้..."

"...ที่ทำให้เกิดมาพูดเรื่องคาร์บอน เรื่องจะร้อน จะเย็น น้ำจะท่วมไม่ท่วม เพราะว่าถ้าเรามาศึกษาอย่างใจเย็น อย่างมีเหตุผลแล้ว ก็จะหาทางแก้ไขได้ หรืออย่างน้อยก็ให้พยายามแก้ไข มันจะดีกว่าที่จะมาขัดแย้งกัน แล้วเมื่อขัดแย้งกัน ก็มักก่อเกิดปัญหาใหม่ คือปัญหาการเดินขบวนที การประท้วงที การจราจรวุ่นวายเป็นต้น แล้วก็ทำให้ผู้ที่รับผิดชอบปวดหัว เลยไม่ต้องคิดแก้อะไร ต้องมาคิดแก้แต่สิ่งวุ่นวาย..." พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่4 ธันวาคม2532 

เฉลิมเกียรติแสนวิเศษ รองเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อัญเชิญกระแสพระราชดำรัสเกี่ยวกับสภาวะโลกร้อนและแนวพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยมีพระราชดำรัสไว้เมื่อ 18 ปีก่อน!



ในการบรรยายพิเศษเรื่อง"ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืน" นายเฉลิมเกียรติยังกล่าวถึงพระราชดำริที่พระราชทานเป็นแนวทางในการลดสภาวะโลกร้อน 9 ประการคือ

1.การอนุรักษ์ป่าไม้
2.การปลูกป่าธรรมชาติและป่าเศรษฐกิจ
3.การรักษาและพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กขนาดกลาง และขนาดใหญ่
4.การประกอบอาชีพยั่งยืน
5.การป้องกันและบำบัดน้ำเสีย
6.การบำบัดและใช้ประโยชน์จากขยะ
7.การใช้พลังงานทดแทนและเชื้อเพลิงชีวภาพ
8.การแก้ปัญหาจราจรในกทม. และเมืองใหญ่ และ
9.การอุตสาหกรรมและการใช้เครื่องปรับอากาศที่สะอาด


อย่างไรก็ตามการลดสภาวะโลกร้อนตามแนวพระราชดำรินั้น ต้องมีการบูรณาการและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนด้วย โดยเฉพาะเรื่อง "ดิน-น้ำ-ป่าไม้"ซึ่ง ดิน ใช้ทฤษฎีจัดการพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมทฤษฎีหญ้าแฝก และทฤษฎีแกล้งดิน ส่วน น้ำ ใช้ทฤษฎีกำจัดน้ำเสีย และ ป่าไม้ ใช้ทฤษฎีการพัฒนาพื้นที่ต้นน้ำลำธารและทฤษฎีป่าชายเลนและการจัดการทรัพยากรชายฝั่ง 



ที่ผ่านมา...หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการบริหารและจัดการทรัพยากรธรรมชาติต่างน้อมนำกระแสพระราชดำริมาปฏิบัติแล้ว เช่น กรมชลประทาน นำแนวพระราชดำริที่พระราชทานภายหลังสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2549 ที่เน้นการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมทำงานแบบบูรณาการ

สามารถโชคคณาพิทักษ์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวถึงแผนรับมือปัญหาน้ำท่วมว่า กำหนดไว้ 3 มาตรการ คือ การควบคุมน้ำหลากจากพื้นที่ตอนบน การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่ และการระบายน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด โดยการบริหารจัดการน้ำต้องประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ และจะมีรายงานสถานการณ์น้ำผ่านโทรศัทพ์มือถือให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยทราบ



ด้านกรมทรัพยากรธรณี ภายหลังการเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายสมุดแผนที่ทรัพยากรธรณีประเทศไทย เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ที่ผ่านมา ทรงมีพระราชดำรัสในเรื่องดินถล่ม การจัดการดินเค็ม ดินเปรี้ยวในพื้นที่ประเทศไทย และทรงเน้นการแก้ปัญหาเรื่องดินให้เกษตรกร โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันปฏิบัติงานแบบบูรณาการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน 

"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความสนพระทัยหลายเรื่อง และทรงห่วงโดยเฉพาะเรื่องดินถล่ม เรื่องปัญหาดินเค็มในภาคอีสาน ดินเปรี้ยว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เพาะปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น โดยทรงเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานร่วมกันทำงานแบบบูรณาการ" อภิชัยชวเจริญพันธ์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี กล่าว


@@@@@@@@.


"...ทำไมคนไทยถึงชอบตัดต้นไม้นักซึ่งข้าพเจ้าสู้เรื่องนี้มาตั้งแต่อายุน้อยๆ จนแก่จนบัดนี้ก็ยังไม่สำเร็จเลยก็พยายามพูดกับรัฐบาลทุกรัฐบาลเลยว่า ถ้านี่ต่อไปนี่ อันนี้เพิ่งอ่านพบว่าถ้าป่าเสื่อมสูญไปน้ำจืดที่เราจะมีกิน มีใช้ก็จะน้อยมาก ทางองค์การโลกเขาได้พยากรณ์ไว้ว่าอีกประมาณสัก20 ปีน้ำจืดนี่จะขาดแคลนอย่างมาก จะเป็นของที่หายากมากคือหนังสือที่ลงนี่ เป็นหนังสือที่มีชื่อเสียงของโลก ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าเป็นความจริง..." พระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆพระราชทามพระวโรกาสให้คณะบุคคล เข้าเฝ้าฯถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต วันที่ 11 สิงหาคม2550 



พระสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงกังวลพระราชหฤทัยและห่วงใยป่าไม้ของประเทศไทยที่เหลือน้อยลงทุกวัน ทำให้ทุกภาคส่วนของไทยทั้งรัฐบาลและเอกชน จึงเริ่มตระหนักถึงผลกระทบจากการตัดไม้ทำลายป่า จึงได้มีการรณรงค์ปลูกป่าตามพระแสพระราชดำรัส เพื่อช่วยลดสภาวะโลกร้อนเกิดขึ้นหลายโครงการ

เช่นโครงการ "9 ล้านกล้า 80 พรรษามหามงคล" โดยภาครัฐร่วมกับภาคเอกชนร่วมกันปลูกต้นไม้ 9 ล้านต้นในพื้นที่อุทยานแห่งชาติของไทยเพื่อลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจก เพื่อบรรเทาปัญหาโลกร้อน ซึ่งคาดว่าจะช่วยดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 225,000 ตันต่อปี ในช่วงระยะเวลา 40 ปี

ขณะเดียวกันรัฐบาลได้ขับเคลื่อนวาระแห่งชาติว่าด้วยการ "ปลูกต้นไม้ใช้หนี้" โดยตั้งเป้าให้เกษตรกรปลูกป่าให้ได้10 ล้านไร่ภายใน5 ปี 



"นายกรัฐมนตรี กำชับว่าทุกคนต้องให้ความสนใจการแก้ไขปัญหาสภาวะโลกร้อน สภาวะความผันผวนทางอากาศหรือสภาวะโลกร้อน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยเรื่องนี้ ด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น และช่วยเหลือเกษตรกรลดภาระหนี้สินได้ภายใน 10 ปี"ร.อ.น.พ.ยงยุทธมัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

สำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าวจะมีการจัดตั้งกลุ่มระดับชุมชน ตำบล หมู่บ้าน อย่างน้อย 3 หมู่บ้านและมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 200 คน ให้ผู้นำชุมชนเสนอโครงการมายังรัฐบาล และเรียนรู้การปลูกต้นไม้จากศูนย์เรียนรู้คืนชีวิตให้แผ่นดิน ปลดเปลื้องหนี้สินให้เกษตรกร ทั้งนี้ รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณตำบลละ 4 แสนบาทนำร่อง 1,000 ตำบลก่อนตลอดระยะโครงการ 5 ปีจะสนับสนุนงบประมาณรวม 7,400 ตำบลทั่วประเทศจะช่วย 10 ล้านครอบครัวปลดหนี้แถมยังช่วยลดสภาวะโลกร้อนที่กำลังคุกคามโลกใบนี้อยู่

หากคนไทยทุกคนพร้อมใจกันน้อมนำกระแสพระราชดำรัสแนวทางลดปัญหาสภาวะโลกร้อนและยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติอย่างจริงจัง...จะช่วยบรรเทาเรื่องร้ายๆ จากสภาวะโลกร้อนได้!



จาก         :             คม ชัด ลึก   วันที่ 10 กันยายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #147 เมื่อ: กันยายน 11, 2007, 01:07:35 AM »


ปัญหา "โลกร้อน" ทำท่องเที่ยวไทยสะเทือน

      หากใครที่ได้มีโอกาสรับชมภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "An Inconvenient Truth"ที่ ดำเนินเรื่องโดย อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สมัย บิลล์ คลินตัน และผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี ค.ศ. 2000 คงอดจะหวาดวิตกต่อข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับวิกฤตการณ์สภาวะโลกร้อน (Global Warming) ที่ถูกถ่ายทอดออกมาไม่ได้ และคงไม่ปฏิเสธว่าภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถกระตุ้นเตือนให้ประชาชนทั่วโลก หันมาสนใจและใส่ใจต่อปัญหาสภาวะโลกร้อนกันมากขึ้น
       
       ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เรื่องภาวะโลกร้อน (ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่) เป็นกระแสไปทั่วโลก โดยล่าสุด ในการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ครั้งที่ 15 ณ ประเทศออสเตรเลีย เหล่าผู้นำชาติต่างๆก็ได้ร่วมหารือในประเด็นดังกล่าวด้วย


ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศลดโลกร้อน


      "โลกร้อน" ปัญหาทั่วโลก
       
       โลกร้อนเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ แต่อันดับหนึ่งคือเกิดจากการที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุให้รังสีความร้อนที่ผ่านชั้นบรรยากาศเข้ามาถูกกักไว้ในโลก โดยไม่สามารถสะท้อนกลับออกไปได้ หรือที่เรียกว่า "ภาวะเรือนกระจก" ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกและผืนมหาสมุทรสูงขึ้น
       
       โดยเฉพาะช่วง 50 ปีหลังอุณหภูมิของโลกพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยบรรดาปีที่ติดอันดับ 10 ปีที่ร้อนที่สุดของโลกจนได้รับการบันทึกไว้นั้น ล้วนแต่เกิดขึ้นหลังปี พ.ศ.2533และปีที่ร้อนมากที่สุดในรอบ 1,000 ปี ก็คือ ปีพ.ศ.2543 และ ขณะนี้สถานการณ์โลกร้อนเริ่มปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
       
       ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนประการหนึ่งที่คาดว่าจะรุนแรงมากที่สุดคือ ประเทศที่เป็นเกาะมีพื้นที่ต่ำ เช่น มัลดีฟส์ จะไม่เพียงได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลที่สูงขึ้นและกัดเซาะชายฝั่งเท่านั้น แต่ในอนาคตเกาะทั้งเกาะอาจจะจมอยู่ใต้น้ำ
       
       ในด้านของแหล่งท่องเที่ยวทั่วโลกก็มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกเช่นกัน เช่น ในเขตเทือกเขาแอลป์ของยุโรปและสถานที่เล่นสกีอื่นๆ ของโลกจะประสบกับภาวะที่มีหิมะตกน้อยลง และมีฤดูกาลเล่นสกีที่สั้นลงเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น ผลกระทบของการถอยร่นของแนวหิมะจะเกิดขึ้นอย่างเด่นชัดในสกีรีสอร์ทที่อยู่ในพื้นที่ต่ำ เช่น Megeve ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และ Kiizbuhel ในประเทศออสเตรีย เป็นต้น
 
   
โลกร้อนสิ่งมีชีวิตบนโลกก็ลำบาก
 
 
       โลกร้อนกระทบการท่องเที่ยวไทย
       
       สำหรับประเทศไทยก็ใช่ว่าจะสามารถลอยตัวอยู่เหนือวิกฤตปัญหาโลกร้อนไปได้ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ ได้กล่าวภายในงานเสวนาเรื่องของภาวะโลกร้อน
       
       ในหัวข้อเรื่อง "ผลกระทบภาวะโลกร้อนกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย"เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2550 ที่ผ่านมาว่า สิ่งที่ประเทศไทยอาจจะต้องเผชิญจากปัญหาภาวะโลกร้อน คือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่จะแรงขึ้นและใหญ่ขึ้น จะทำให้พื้นที่ภูมิภาคเอเชียร้อนมากขึ้น รวมถึงประเทศไทย หินร้อนขึ้น ลมแรงขึ้น และไอน้ำมากขึ้น
       
       "สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแรกคือฝน จะมีฝนมากขึ้นตามชายทะเล โดยเฉพาะภาคใต้ และภาคตะวันออกจะได้รับผลกระทบแน่นอน ฤดูกาลท่องเที่ยวต้องสั้นลงแน่ๆ ลมมรสุมจากทางเหนือก็จะน้อยลง ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น น้ำท่วมเป็นครั้งคราวบ่อยขึ้น ฝนตกบ่อยขึ้น และนำไปสู่โรคจากความชื้น ยุงระบาดอย่างต่อเนื่อง" ดร.อานนท์กล่าว
       
       นอกจากนี้ ดร.อานนท์ยังได้กล่าวต่อด้วยความเป็นห่วงอีกว่า ระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ส่งผลกระทบต่อการกัดเซาะชายหาดที่มากขึ้น ชายฝั่ง 2,000 กิโลเมตร หายไป 1-100 ตารางกิโลเมตรต่อปี เฉลี่ยแล้วทั้งประเทศชายฝั่งที่หายไปเท่ากับเมืองขนาดใหญ่หรือขนาดกลางเมืองหนึ่ง อีกทั้งเรื่องของอากาศ จากหน้าร้อนที่เคยร้อนเพียงร้อยกว่าวันจะกลายเป็นสองร้อยกว่าวัน และส่งผลให้มีการใช้พลังงานมากขึ้น ใช้เครื่องปรับอากาศมากขึ้น และจะทำให้โลกร้อนมากขึ้นอีก
       
       ดูเหมือนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น มีแต่ผลกระทบต่อทั้งนักท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย และปัญหาเหล่านี้ยังไม่จบสิ้นอย่างแน่นอน ถ้ามนุษย์ยังคงเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น สภาพภูมิอากาศก็จะเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเช่นกันภายใน 30- 40 ปีข้างหน้า
       
       ด้าน ภราเดช พยัฆวิเชียร ที่ปรึกษา 11 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวในงานเดียวกันว่า สภาวะโลกร้อนเป็นผลกระทบต่อการท่องเที่ยวโดยตรง เพราะการที่เราจะท่องเที่ยว ก็จะต้องคำนึงถึงสภาวะอากาศ ต้องดูสภาพอากาศที่ดีและไม่เป็นช่วงฤดูมรสุม การเปลี่ยนแปลงสภาวะโลกร้อน จึงเป็นผลกระทบโดยตรงต่อการท่องเที่ยวไทย
       
       "การเปลี่ยนแปลงสภาวะโลกร้อนที่เราสามารถจับต้องได้ 3 สภาวะคือ หนึ่ง อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น สอง ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น สาม ดินฟ้าอากาศที่แปรปรวนอย่างรุนแรง ทำให้ฤดูกาลท่องเที่ยวสั้นลง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีผลกระทบมาก และปัญหาที่ใหญ่อีกปัญหาคือมลภาวะจากการเดินทาง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะต่างๆ
       
       โดยการเดินทางทางอากาศจะมีผลต่อสภาวะเรือนกระจกมากกว่าทางบก 2-4 เท่า เพราะมลพิษการเดินทางทางอากาศสามารถเข้าสู่สภาวะเรือนกระจกได้เป็นอย่างดี จึงเป็นจุดที่ประเทศพัฒนาแล้ว โจมตีประเทศที่ยังไม่ได้พัฒนาหรือกำลังพัฒนาอย่างไทยในการเข้ามาท่องเที่ยว และรณรงค์ไม่สนับสนุนให้ท่องเที่ยวในประเทศไม่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม" ภราเดช กล่าว
       
       ดังนั้น อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย จึงควรที่จะเริ่มต้นในการปรับเปลี่ยนรณรงค์การท่องเที่ยวแบบอนุรักษ์ธรรมชาติ เพื่อลดสภาวะโลกร้อน และมีการจัดการของผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างโรงแรม หรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ให้มีการจัดการต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อรับผิดชอบต่อสังคม จึงจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้
 
 
อุณหภูมิโลกสูงขึ้นการก่อตัวของพายุก็รุนแรงมากขึ้นเช่นกัน
 
 
       เตรียมรับมือโลกร้อน
       
       ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแนวปะการังและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่สนใจศึกษาภาวะโลกร้อน ได้กล่าวไว้ในคอลัมน์ Around & Outside ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เกี่ยวกับการรับมือภาวะโลกร้อนว่า
       
       ในภาพรวมนั้นการรับมือแบ่งเป็น "บรรเทา" หรือการลดก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) และ "ปรับตัว" หรือการปรับให้เข้ากับภาวะโลกแปรปรวน (Adaptation)
       
       ทางแรกคือการบรรเทาภาวะโลกร้อนด้วยการประหยัดพลังงาน การประหยัดพลังงานไฟฟ้า โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ ส่วนการปรับตัว ต้องเริ่มจากการอนุรักษ์สิ่งที่มีอยู่ให้ดีสุด อย่าทำอะไรไปช่วยกระตุ้นปัญหา เช่น การกัดเซาะชายฝั่ง ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากการก่อสร้างโน่นนี่นั่นลงไปในทะเล จึงควรมีการดูแลในเรื่องนี้อย่างจริงจัง
       
       และการอนุรักษ์ยังรวมถึงแนวปะการัง ป่าชายเลน และแหล่งหญ้าทะเล ที่เป็นเสมือนกำแพงธรรมชาติอยู่แล้ว คลื่นที่เกิดจากพายุในภาวะโลกร้อน แม้ไม่รุนแรงเท่าสึนามิ แต่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง มากันเป็นประจำ กำแพงธรรมชาติเหล่านี้ยิ่งมีความสำคัญ จำเป็นต้องเก็บไว้อย่างดี หรืออาจจะช่วยเสริม เช่น การปลูกป่าชายเลนเพิ่ม
       
       "การปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบทางอ้อม ทำได้โดยสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว ทั้งระบบรักษาความปลอดภัย ที่ไม่ต้องว่ากันถึงขั้นระดับชาติหรือระดับภูมิภาค เอาแค่ระดับเล็กใกล้ตัว เช่น ถนนหนทางต้องปลอดภัย อยู่ในสภาพดี พาหนะทุกรูปแบบได้รับการดูแล ให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะเรือที่อาจต้องเผชิญกับพายุหรือคลื่นหนักขึ้น ต้องมีชูชีพให้ครบ รับคนไม่เกินกำหนด หน่วยงานที่ควบคุมต้องตรวจสอบเป็นประจำ
       
       การรายงานข่าวและการแจ้งเตือนภัยต่าง ๆ เช่น น้ำป่า ดินถล่ม ต้องยกระดับให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งมีรูปแบบการอพยพที่ชัดเจน เพื่อรับมือกับภัยพิบัติแบบต่าง ๆ ที่ไม่จำกัดเฉพาะสึนามิหรือแผ่นดินไหว เมื่อเราทำเช่นนั้นได้ ประชาสัมพันธ์ออกไป จะสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวได้เยอะ" อ.ธรณ์ กล่าว
       
       ณ วันนี้วิกฤตโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ดังนั้นเราจึงควรตระหนักและใส่ใจร่วมมือป้องกันก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไข



จาก         :             ผู้จัดการออนไลน์    วันที่ 11 กันยายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #148 เมื่อ: กันยายน 11, 2007, 01:18:16 AM »


แก้ “โลกร้อน” แบบ “เอเปก”


ที่ประชุมผู้นำ 21 เขตเศรษฐกิจเอเปก มีฉันทามติผ่านแนวทางแก้ปัญหาโลกร้อนด้วยการ "ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า" และ "เพิ่มพื้นที่ป่า"

ผู้นำประเทศในแถบแปซิฟิกต่างบรรลุข้อตกลงเพื่อยับยั้งภาวะโลกร้อน ด้วย 2 มาตรการสั้นๆ คือ "การปรับปรุงการใช้พลังงาน" และ "เพิ่มพื้นที่ป่า" โดยหวังว่าแผนเหล่านี้จะมีผลต่อปฏิบัติการรับมือกับภาวะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในอนาคต นับเป็นอีกฉากการต่อรองของผู้นำโลกที่พยายามหาความชอบธรรม หลังปฎิเสธ “พิธีสารเกียวโต”
       
       การประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย สิ้นสุดลงไปแล้วเมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยเหล่าผู้นำประเทศและดินแดนที่เป็นสมาชิกทั้ง 21 เขตนอกจากจะมีข้อตกลงในด้านเศรษฐกิจตามชื่อของกลุ่มแล้ว ยังมีข้อตกลงเรื่อง “สิ่งแวดล้อม” อันเป็นประเด็นสำคัญ ที่นำไปสนทนากันในทุกเวที
       
       ผู้นำประเทศในกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ “เอเปก” มีฉันทามติร่วมกันที่จะ “ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า” และ “เพิ่มพื้นที่ป่า” โดยถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะนำไปสู่การจัดกรอบการทำงานระหว่างประเทศ ซึ่งทั้งสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย หวังให้กลายเป็นแม่แบบแก้ปัญหาโลกร้อนต่อไปในอนาคต
       
       การใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า ภารกิจข้อแรกตามที่ตกลงร่วมกัน มีเป้าหมายว่า ประเทศสมาชิกจะลดการใช้พลังงานลงให้ได้ 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ภายในปี 2030 (อีก 23 ปีข้างหน้า)
       
       ส่วนภารกิจที่สอง ที่ระบุว่า เพิ่มพื้นที่ป่านั้น ก็ตั้งเป้าเป็นตัวเลขเช่นกันว่า จะเพิ่มพื้นที่ป่าในภูมิภาคให้ได้ 50 ล้านเอเคอร์ (หรือประมาณ 125 ล้านไร่) ให้ได้ภายในปี 2020 (อีก 13 ปี)
       
       นอกจากนี้ ยังมีสัญญาใจกันอีกว่า ประเทศร่ำรวยควรจะต้อง “จ่ายมากกว่า” ในการช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนที่เกิดขึ้น
       
       ทว่า เมื่อได้ยินข้อตกลงที่ซิดนีย์ชุดนี้ นักสิ่งแวดล้อมและผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ต่างส่ายหน้า เพราะเหมือนกับไมได้ทำอะไรเลย (นี่หว่า !!)
       
       ก็ในเมื่อสูตรดังกล่าว เน้นตีความ “ตามความเหมาะสม” ในการใช้พลังงานให้เต็มประสิทธิภาพ ตามแต่กำลังผลิตและความจำเป็นของแต่ละชาติ ท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ประเทศที่พัฒนาแล้วย่อมใช้พลังงานมากกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา และประเทศกำลังพัฒนาก็เดินหน้าเร่งกำลังการผลิตอีกเท่าทวี
       
       แม้จะมีเป้าเป็นตัวเลขว่า ต้องลดลงการใช้ (ตามความจำเป็น) ให้ได้ 25% (ของจีดีพี) ภายใน 23 ปี (ก็เหอะ) แต่จีดีพีวันนี้ กับจีดีพีอีก 20 ปีข้างหน้าก็ต้องต่างกันโขอย่างแน่นอน


กลุ่มรักสิ่งแวดล้อม ต้องมารณรงค์แถวๆ ที่ประชุมเอเปก ให้ประเทศสมาชิกยึดถือแนวทางตามพิธีสารเกียวโต ก่อนที่สถานการณ์จะย่ำแย่ไปกว่านี้
       
       ที่สำคัญ ข้อตกลงเหล่านี้ “เป็นสัญญาใจ” ประเทศสมาชิกสามารถดำเนินการได้ตามความสมัครใจ
       
       อีกทั้ง บรรดาสมาชิกที่ลงนามในข้อตกลงนี้ ยังเป็นการรวมตัวของ “ผู้ก่อมลพิษอันดับต้นๆ ของโลก” เอาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐฯ รัสเซีย ญี่ปุ่น และจีน
       
       ทั้งนี้ ตามข้อกำหนดในพิธีสารเกียวโต ที่สหรัฐฯ และออสเตรเลียไม่ได้เข้าร่วม แต่มีข้อบังคับให้สมาชิกอย่างรัสเซีย และญี่ปุ่น ที่จัดอยู่ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม ต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2010 ลง 5.2% เมื่อเทียบกับปี 1990
       
       ส่วนจีนที่แม้จะถูกจำกัดความให้เป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ยังไม่ขึ้นแท่นประเทศอุตสาหกรรม แต่กำลังการผลิตก็ก้าวกระโดดไวไม่น้อย จึงทำให้หลายฝ่ายมีแนวคิดอยากให้ระบุในพิธีสารเกียวโตภาค 2 ว่า ประเทศกำลังพัฒนา (อย่างจีน) ก็ควรจะต้องมีเป้าในการลดการปลดปล่อยก๊าซก่อเรือนกระจกให้ได้ 25-40% ภายในปี 2020
       
       เมื่อเห็นวี่แววเช่นนี้ จีนแต่เดิมออกจะชื่นชอบข้อตกลงตามพิธีสารเกียวโตเหมือนๆ กับประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ก็เกิดอาการลังเล และเมื่อข้อเสนอจาก 2 พี่เบิ้มที่ดูประนีประนอมรอมชอม อีกทั้งไม่ได้กั้นขวางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงทำให้ประเทศ “ว่าที่ก่อมลพิษมากที่สุดในโลก” อย่างจีน อ้าแขนรับอย่างสมัครใจ พร้อมๆ กับเพื่อนร่วมกลุ่มที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาเสียส่วนใหญ่
       
       ”ช่างเป็นแผนการที่ไร้ความทะเยอทะยาน ในทางปฏิบัติแล้ว มาตรการของพวกเขาก็เหมือนกับไม่ได้ทำอะไรเลย” ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงรายหนึ่ง จากมหาวิทยาลัยแห่งออสเตรเลีย แสดงความเห็น


ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช และนายกรัฐมนตรีจอห์น โฮเวิร์ด 2 ประเทศอุตสาหกรรมผู้ปฏิเสธการเข้าร่วมพิธีสารเกียวโต กำลังใช้เวทีเอเปกเสนอวิถีทางแก้ปัญหาโลกร้อนตามแบบฉบับที่เห็นว่าเหมาะสม
       
       แต่ทางเอเปกก็มีข้อมูลหนุนมาตรการซิดนีย์ให้มีน้ำหนักมายิ่งขึ้น โดยอ้างอิงจากตัวเลขเมื่อ 3 ปีก่อน ที่ชี้ว่าปริมาณต้นไม้ หากเพิ่มขึ้นตามเป้าหมาย จะช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยกาศได้ถึง 11%
       
       แต่ก็ถูกนักสิ่งแวดล้อมโต้กลับว่า การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้นเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ต้นไม้ช่วยได้ก็จริง แต่เห็นผลไม่ชัดเจนเท่ากับการจำกัดการปล่อยตัวต้นเหตุไปเลยดีกว่า
       
       กระนั้นก็ตาม ระหว่างการประชุมเอเปก ก็มีประเทศสมาชิกอีกหลายแห่ง ตั้งคำถามและคัดค้านการที่พี่เบิ้มอย่างสหรัฐฯ และออสเตรเลียพยายามผลักดันเรื่องโลกร้อน เข้ามาในเวทีเศรษฐกิจ นอกจากเรื่องความไม่เหมาะสมแล้ว ทั้ง 2 ผู้ผลักดันก็หาได้เข้าร่วมแสดงเจตนารมณ์แก้ปัญหาใน “พิธีสารเกียวโต” ไม่
       
       ”ถ้าต้องการจะพูดเรื่องภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง กรุณาเข้าวงที่พูดถึงสิ่งแวดล้อมที่ตั้งขึ้นไว้มากมาย ที่นี่ (เอเปก) ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงพิธีสารเกียวโต นอกเวที” รัฐมนตรีการค้ามาเลเซีย ให้ความเห็นอย่างชัดเจน
       
       ทั้งนี้ เวทีที่ว่าด้วยภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงในระดับโลกนั้น มีมากมายด้วยกัน โดยเฉพาะเวทีใหญ่ๆ อย่างยูเอ็นเอฟซีซี หรือ ที่ประชุมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปีนี้ประชุมไปแล้ว 3 ครั้ง และจะมีอีก 2 ครั้งก่อนสิ้นปี ส่วนที่รู้จักกันดีก็ ที่ประชุมคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (ไอพีซีซี) ของสหประชาชาติอีกเช่นกัน ที่รอบปีนี้เผยงานวิจัยโลกร้อนไปแล้ว 3 หน และครั้งสุดท้ายจะมีขึ้นในเดือน ธ.ค.นี้ เพื่อสรุปงานวิจัยทั้งหมด และหาแนวทางสำหรับพิธีสารเกียวโตต่อไป


ประธานาธิบดีหู จิน เทา แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็พร่ำพูดอยู่เสมอว่า ประเทศร่ำรวยจะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่เป็นปัญหาในปัจจุบัน
       
       ที่สำคัญ แนวทางดังกล่าวที่ผลักด้นโดยประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช แห่งสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีจอห์น โฮเวิร์ด แห่งออสเตรเลีย ซึ่งหลังจากได้ฉันทามติจากเพื่อนร่วมกลุ่มเอเปกแล้ว ก็หวังต่อไปว่า จะกลายเป็นฐานในการต่อพิธีสารเกียวโตภาค 2 ที่กำลังจะหมดลงในอีก 5 ปีข้างหน้า
       
       นี่ทำให้หลายฝ่ายยิ่งกังวลเข้าไปกันใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรีนพีซ ถึงกับออกมาเอื้อนเอ่ยว่า ถ้าแผน (ลมๆ นี้) ถูกนำไปใช้เป็นแนวทางแก้ปัญหาโลกร้อนจริงๆ ละก็ โลกเราต้องถึงคราวย่ำแย่จริงๆ อย่างแน่นอน



จาก         :             ผู้จัดการออนไลน์    วันที่ 11 กันยายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #149 เมื่อ: กันยายน 11, 2007, 01:41:49 AM »


ไทยเดินหน้ารักษาโอโซนลดโลกร้อน

      นายอดิศร นภาวรานนท์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรมเนื่องในวันโอโซนสากล 16 กันยายน 2550 รณรงค์ให้คนไทยตระหนักความสำคัญและร่วมกันปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซน โดยในปีนี้ครบ 20 ปีของพิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมมือปฏิบัติตามข้อตกลงในพิธีสารดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพมาโดยตลอด นำมาซึ่งการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนมาอย่างต่อเนื่อง

      ปีล่าสุด สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน หรือ ซีเอฟซี ที่ใช้ในอุปกรณ์ทำความเย็น และเป็นสารทำลายโอโซนส่วนใหญ่ ลดการนำเข้าเหลือเพียง 400 ตัน จากเป้าหมาย 900 ตัน และมีแผนจะงดการอนุญาตนำเข้าสารซีเอฟซีในปี 2553 ซึ่งจะไม่กระทบต่ออุตสาหกรรม เพราะได้มีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าเป็นเวลานาน ส่วนสารทำลายโอโซนอื่นๆ ที่ยังใช้อยู่ เช่น สารเมทิลโบรไมด์ ที่ใช้รมฆ่าแมลงศัตรูพืช จะมีการลดปริมาณการนำเข้าอย่างต่อเนื่องต่อไป

      นายอดิศร กล่าวต่อว่า สำหรับก๊าซโอโซนซึ่งทำหน้าที่ดูดซับรังสีที่ส่องลงมาพื้นโลกให้มีปริมาณเหมาะสม ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และระบบนิเวศวิทยา ขณะนี้เริ่มมีการฟื้นตัวหลังทั่วโลกลดใช้สารทำลายโอโซนได้กว่าร้อยละ 95 แล้ว หรือประมาณ 1.8 ล้านตัน เทียบเท่าการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ 25,000 ล้านตัน ช่วยชะลอภาวะโลกร้อนไปได้ 10 ปี



จาก         :             บ้านเมือง    วันที่ 11 กันยายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 18   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.073 วินาที กับ 19 คำสั่ง