|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #135 เมื่อ: สิงหาคม 25, 2007, 12:49:41 AM » |
|
ไซโคลน
จากผลพวงของสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้นักวิชาการจำนวนไม่น้อยทำนายว่า ในอนาคตประเทศไทยอาจจะได้รับผลกระทบจากการเกิดพายุไซโคลนมากขึ้น
พายุไซโคลนคืออะไร ร้ายแรงขนาดไหน
ปกติพายุที่เกิดขึ้นนั้นมีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 เมตร ไปจนถึง 1,000 กิโลเมตร ความเร็วลมของพายุบางชนิดอาจจะถึง 800 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง
แต่ไม่ว่าจะเป็นพายุไซโคลน เฮอริเคน ไต้ฝุ่น วิลลี-วิลลี หรือ บาเกียว ทั้งหมดคือพายุชนิดเดียวกันแต่มีชื่อเรียกต่างกันไปตามถิ่นที่เกิด
ชื่อเรียกกลางคือ "พายุหมุนเขตร้อน" (Tropical cyclone)
พายุหมุนเขตร้อนเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่สามารถทำความเสียหายรุนแรงเป็นบริเวณกว้าง มีลักษณะเด่นคือ มีศูนย์กลางหรือที่เรียกว่าตาพายุ เป็นบริเวณที่มีลมสงบ อากาศโปร่งใส
โดยอาจมีเมฆและฝนบ้างเล็กน้อยล้อมรอบด้วยพื้นที่บริเวณกว้างรัศมีหลายร้อยกิโลเมตร ซึ่งปรากฏฝนตกหนักและพายุลมแรง ลมแรงพัดเวียนเข้าหาศูนย์กลาง
พายุหมุนเขตร้อนเริ่มต้นการก่อตัวจากหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงซึ่งอยู่เหนือผิวน้ำทะเล ในบริเวณเขตร้อนและเป็นบริเวณที่กลุ่มเมฆจำนวนมากรวมตัวกันอยู่
เมื่ออยู่ในสภาวะที่เอื้ออำนวยก็จะพัฒนาตัวเอง โดยในแต่ละช่วงของความรุนแรงจะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวและเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะแวดล้อม
ลักษณะของพายุไซโคลนในโซนร้อนหรือพายุหมุนในโซนร้อนแบ่งออกได้ตามลำดับต่อไปนี้
ดีเปรสชัน (Depression) ความเร็วสูงสุด 33 นอต (17 เมตร/วินาที) (62 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ไม่นับเป็นพายุหมุน
พายุเขตร้อน (Tropical Storm) ความเร็วสูงสุด 34-63 นอต (17-32 เมตร/วินาที) (63-172 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ไม่นับเป็นพายุหมุน
พายุหมุนเขตร้อน (ไต้ฝุ่น ไซโคลน บาเกียว และวิลลี-วิลลี) ความเร็วสูงสุด 64-129 นอต (17 เมตร/วินาที) (118-239 กิโลเมตร/ชั่วโมง) เป็นพายุหมุน
ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากพายุหมุนเขตร้อน ที่ก่อตัวในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก และพายุหมุนเขตร้อนที่ก่อตัวในบริเวณมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเราเรียกว่าไซโคลน
พายุไซโคลน เป็นพายุหมุนเขตร้อนซึ่งจะต้องมีความเร็วลมมากกว่า 64 นอต (30 เมตร/วินาที, 74 ไมล์/ชั่วโมง หรือ 118 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ขึ้นไป
ดูภาพถ่ายจากดาวเทียมจะเห็นตาพายุเป็นวงกลมเล็กที่ไม่มีเมฆ รอบตาจะมีกำแพงล้อมกว้างประมาณ 16-80 กิโลเมตร เป็นบริเวณที่มีพายุฝนและลมหมุนที่รุนแรงมากหมุนวนรอบๆ
เมื่อเปรียบเทียบจำนวนของการเกิดพายุไซโคลนในโซนร้อนกับปรากฏการณ์พายุแบบอื่น จะเห็นได้ว่าในปีหนึ่งๆ มีจำนวนพายุไซโคลนเกิดขึ้นน้อยกว่า
เพราะการเกิดของพายุนี้จำต้องมีลักษณะของอากาศหลายอย่างเข้าจังหวะกันพอดี
ส่วนมากพายุไซโคลนในโซนร้อนเกิดจาก "คลื่นตะวันออก"(easterly waves) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีความกดอากาศต่ำเคลื่อนตัวจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก
มักอยู่ในบริเวณละติจูดต่ำๆ นอกเขตของบริเวณเส้นศูนย์สูตร เพราะยังไม่เคยตรวจพบพายุไซโคลนในโซนร้อนเกิดที่เส้นศูนย์สูตร
ส่วนพายุไซโคลนที่ก่อตัวในบริเวณมหาสมุทรอินเดียจะไม่เข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่ก็สามารถก่อความเสียหายต่อประเทศไทยได้เช่นกัน เมื่อทิศการเคลื่อนที่เข้าสู่บริเวณใกล้ประเทศไทยทางด้านตะวันตก
ซึ่งจากสภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้น คงต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะได้รับผลกระทบจากพายุไซโคลน
และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป
จาก : ข่าวสด คอลัมน์ คอลัมน์ที่13 วันที่ 25 สิงหาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #136 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2007, 01:23:26 AM » |
|
"มูลกวางมูส"ให้ก๊าซมีเธนสูง ส่งผลต่อภาวะเรือนกระจก
 ตายแล้วค่ะคุณขา อึของ "กวางมูส" ก็ทำให้ "โลกร้อน" ได้!
นักวิทยาศาสตร์ของนอร์เวย์ เปิดเผยว่า อึของกวางมูส ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า "มูล" เพื่อความโสภาในการอ่าน ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกจนโลกร้อน
โดยมูลของกวางที่โตเต็มที่ 1 ตัว จะทำให้เกิดก๊าซมีเธนปีละ 100 กิโลกรัม ซึ่งก๊าซมีเธนมีอานุภาพแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 21 เท่า เมื่อคูณออกมา มูลกวางมูส 1 ตัว ก็จะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 2,100 กิโลกรัม และที่นอร์เวย์มีเจ้ามูสวิ่งเริงร่าอยู่ในป่าราว 140,000 ตัว กดเครื่องคิดเลขอีกทีได้จำนวนคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 294,000,000 กิโลกรัม โอว......แม่เจ้า
ศ.อ๊อด ฮาร์สตาด จากมหาวิทยาลัย "นอร์วีเจียน ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ ไลฟ์ ไซเอินซ์" อธิบายว่า คาร์บอนไดออกไซด์น้ำหนัก 2,100 กิโลกรัม เป็นจำนวนที่มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ของเครื่องบินโดยสาร ที่เดินทางไปกลับระหว่าง กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ถึง กรุงซานติอาโก ประเทศชิลี ถึง 2 เท่า
แต่การฆ่า "กวางมูส" ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ดีในการลดภาวะโลกร้อน เพราะกวางมูสจะกินหญ้า ถ้าไม่มีมัน หญ้าในป่าจะขึ้นรกเรื้อ และส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิประเทศ พรรณพืชและดอกไม้ในป่า
"กวางมูส" จึงต้องอยู่คู่ป่าและคู่โลกต่อไป
จาก : ข่าวสด คอลัมน์ วิทยาการ วันที่ 29 สิงหาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #137 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2007, 05:25:14 AM » |
|
สร้างเขื่อนแสนล้าน ป้องกัน "มหานคร" จมน้ำ ?
 อีกเรื่องที่น่าวิตก คือ "สมิทธ ธรรมสโรช" ทำนายว่า ภายใน 15 ปีนับจากนี้ น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ ขนาดที่เรียกว่าเมืองหลวงแห่งนี้ (อาจ) จมอยู่ใต้บาดาล ?!
"ผมทำนายไว้เลยว่าน้ำจะท่วมภายใน 15 ปี เพราะว่ากรุงเทพฯตั้งอยู่บนดินอ่อน มันทรุดตัวอยู่แล้ว 5-8 เซนติเมตรต่อปี คุณขับรถไปตามทางด่วนไปดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ จะสังเกตเห็นว่าโคนเสาที่เขาตอกเข็มไว้มันจะนูนขึ้น ตรงไหนไม่ได้ตอกเข็มก็จะเว้าลงไป คือมันทรุดตัวตลอดเวลา"
ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า น้ำแข็งกำลังละลายในขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ ปริมาณน้ำฝนที่ตกมามากผิดปกติ จะทำให้น้ำทะเลขึ้นมาภายใน 10-15 ปี น้ำทะเลจะสูงกว่าระดับเดิมประมาณ 1 เมตรครึ่ง ถ้ากรุงเทพฯทรุดตัวลงไป 50 เซนติเมตร แล้วน้ำทะเลสูงขึ้นเมตรครึ่ง ทั่วกรุงเทพฯก็จะอยู่ใต้น้ำ 2 เมตร
"สิงคโปร์เขาส่งผู้เชี่ยวชาญมาหาผม บอกว่า ผมเคยให้สัมภาษณ์รอยเตอร์ว่า น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ เขาก็มาศึกษาเพราะว่าที่เขาต่ำกว่าเรา ตอนนี้รัฐบาลเขาจัดตั้งศูนย์ศึกษา คิดวิธีที่จะสร้างเขื่อนรอบเกาะสิงคโปร์แล้ว แต่ประเทศไทยเรายังดูเสียงโหวตไหนใครมากกว่า ยังพื้นที่สีแดง พื้นที่สีเขียวกันอยู่เลย"
อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยาเล่าว่า ผมเคยเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อประมาณสัก 10 กว่าปีที่แล้ว พระองค์ท่านรับสั่งว่า คุณสมิทธฟังนะ น้ำท่วมกรุงเทพฯ เป็นใจกลางเศรษฐกิจ เป็นหัวใจของประเทศไทยนะ เศรษฐกิจทั้งหมด โรงงานต่างๆ ถ้ามันจมอยู่ใต้น้ำ เราจะทำยังไง ถ้าไม่มีวิธีป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ
"ผมไม่กล้าพูดกับใครหรอก แต่นี่เป็นพระกระแสรับสั่งที่ผมได้ยินกับหูของผมเอง พระองค์ท่านมองการณ์ไกล ท่านเป็นห่วง เพราะท่านรู้อยู่แล้ว"
ถามว่าถ้าทำเขื่อนถาวรมันก็ต้องใช้เวลา มันต้องเป็นนโยบายของชาติ ทำอย่างน้อย 5-8 ปีถึงจะเสร็จ คือผมบอกรัฐมนตรีไอซีที ท่านสิทธิชัย (โภไคยอุดม) ว่า ท่านเสนอใน ครม. หน่อยได้มั้ย สร้างเขื่อนสูงสัก 5 เมตร เป็นคอนกรีต ทำแบบประเทศเนเธอร์แลนด์เลย ให้มันหนา ข้างบนรถวิ่งได้ สร้างตั้งแต่นนทบุรี เลยปากคลองประปามา เพราะน้ำทะเลมันจะหนุนไปถึงปากคลองประปา สร้างวิ่งเลียบแม่น้ำเจ้าพระยามาตลอด ไปถึงสมุทรปราการอ้อมไปถึงบางปะกง เพราะบางปะกงที่สูงแล้ว ไม่เป็นไร
"ส่วนอีกด้านหนึ่ง สร้างจากฝั่งธนบุรีอ้อมมาถึงพระประแดงอ้อมไปสมุทรสาครสมุทรสงคราม ไปจนถึงราชบุรี ตรงนั้นโรงงานทั้งนั้น นี่คือการจะรักษากรุงเทพฯไม่ให้จมน้ำ แล้วใช้เป็นอเนกประสงค์ด้วย รถวิ่งข้างบนได้ วิ่งจากนนทบุรีไปบางปะกงได้ โดยไม่ต้องเข้ามาในเมือง วิ่งรอบแม่น้ำ ใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้"
ส่วนเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมก็แก้ด้วยการทำประตูน้ำระบายออก ทำเป็นช่องๆ ไปตามคลอง ต้องมีประตูน้ำ
"ถามว่าลงทุนแสนล้าน ทำไมจะทำไม่ได้ เพราะโกงกันทีไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่ถ้าหากว่า ผลกระทบเริ่มรุนแรงขึ้น แล้วคุณเพิ่งไปเริ่มทำ มันก็ช้าไปแล้ว ต้องเริ่มทำเดี๋ยวนี้"
"สมิทธ" กล่าวว่า อีกเรื่องที่สำคัญก็คือ ประเทศที่ปล่อย "greenhouse effect" เข้าไปอยู่ในบรรยากาศโลก มี 3 ประเทศใหญ่ๆ มีอเมริกา จีน อินเดีย อินเดียกำลังจะเป็นนิกส์ พลเมืองกำลังจะเท่าจีน แล้วก็กำลังเปลี่ยนจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรม โดยเฉพาะจีนตอนนี้มันขุดถ่านหินเผาอยู่ทุกวัน
"ส่วนประเทศไทยน้อยมากเมื่อเทียบกับ 3 ประเทศนี้ 3 ประเทศดังกล่าวปล่อยสารพิษ 1 วัน คิดจำนวนเป็นแสนตันต่อวัน แต่เราปล่อย 1 ปี ยังไม่เท่ากับ 3 ประเทศนี้ปล่อย 1 วัน แต่เราก็ต้องป้องกัน แล้วก็ต้องลงทุน เพราะมันจะรักษากรุงเทพฯให้อยู่ต่อไปได้ในอนาคต"
...มันถึงเวลาต้องทำ ถ้าเราไม่เริ่มทำตอนนี้มันจะช้าไป
จาก : ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 27 สิงหาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #138 เมื่อ: กันยายน 01, 2007, 01:12:59 AM » |
|
อีก 23 ปี น้ำแข็งขั้วโลกละลายเกลี้ยง หมอเตือนระวังสัตว์แพร่โรคร้าย

นักวิชาการเผยป้องกันโลกร้อนอาจสายเกินแก้ ทั่วโลกต้องลดปล่อยคาร์บอนฯ 85% คาดปี 2030 หรือ 23 ปีข้างหน้า น้ำแข็งขั้วโลกละลายหมดเกลี้ยง ขณะที่โรคระบาดรุนแรงและรวดเร็วทั่วโลก ระวังยุง หนู ค้างคาว เป็นพาหะโรค ยุงกัดตัวเดียวอาจเป็นโรคไข้สมองอักเสบ หรือค้างคาวแค่ข่วน สัมผัสน้ำลายก็ติดเชื้อ หากถูกกัดอาจถึงขั้นเสียชีวิต วันนี้ (31 ส.ค.) ในการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2550 มีการอภิปรายเรื่อง ภาวะโลกร้อนกับประเทศไทย : An Inconvenient Tuth จริงหรือ? โดย ผศ.ดร.จิรพล สินธุนาวา อาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า วิธีรับมือกับภาวะโลกร้อน มี 3 ทาง คือ การป้องกัน การเตรียมรับและการปรับตัว แต่ขณะนี้การป้องกันอาจสายเกินไปแล้ว เพราะต้องตื่นตัวตั้งแต่ 15 ปีก่อน โดยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยในช่วง 200 ปีที่ผ่านมามีเพียง 240 ส่วนจากล้านส่วน แต่ปีนี้ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 383 ส่วนต่อล้านส่วน ส่งผลให้อุณหภูมิในโลกเพิ่มขึ้น 6 องศาเซลเซียส ดังนั้น ในขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กลัวว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะเพิ่มขึ้นเป็น 400 ส่วน ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2-3 องศา ซึ่งจะทำให้ให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย จนระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างน้อย 5-15 เมตร ซึ่งคาดการณ์ว่าจะทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายหมดภายในปี ค.ศ.2030 หรืออีกเพียง 23 ปีข้างหน้า วิธีที่จะช่วยยืดเวลาการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกจะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงร้อยละ 85 แต่ปัญหาสำคัญคือ ไม่สามารถลดปริมาณการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องทำเหมือนกันทั่วโลก คนใดคนหนึ่งไม่สามารถทำโดยลำพังได้ ถ้าไทยลด แต่สหรัฐฯ ไม่ลดก็ช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีอีกวิธีที่จะช่วยลดโลกร้อนได้คือการเกิดการปะทุของภูเขาไฟครั้งใหญ่ ซึ่งจะทำให้โลกเย็นลง 2-3 ปี" สำหรับสาเหตุที่เกิดจากโลกร้อนมี 2 ประการหลัก คือ มาจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ภาคขนส่งและอุตสาหกรรม และประการที่ 2 คือ การเกิดไฟป่า ซึ่งในระยะหลังไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่เป็นฝีมือมนุษย์ ที่เผาป่าเพื่อตัดต้นไม้ และหาของป่า เช่น หาผักหวาน น้ำผึ้งป่า ซึ่งไม่คุ้มกับสิ่งแวดล้อม ผศ.ดร.จิรพลกล่าว ด้าน นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การระบาดของโรคที่มีสัตว์เป็นพาหะจะมีความรุนแรงมากขึ้น โดยสัตว์ซึ่งเป็นแหล่งรังโรค เช่น ยุง ค้างคาว หนู พบว่ามีเชื้อที่รุนแรงมากขึ้น คนที่ถูกยุงกัดเพียง 1 ตัวก็สามารถทำให้เกิดไข้สมองอักเสบได้ ส่วนค้างคาว มีเชื้อไวรัสของโรคต่างๆ ถึง 60 ชนิด ซึ่งในจำนวนนี้มีเชื้อไวรัสที่มีความรุนแรงมาก เพียงแค่ข่วนหรือสัมผัสน้ำลายก็ติดเชื้อ แต่หากถูกกัดอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ทันที อย่างไรก็ตาม กระบวนการของไวรัสที่ผ่านจากสัตว์ไปสัตว์ตัวอื่นจะเกิดการกลายพันธุ์ และมีความรุนแรงของโรคมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการระบาดของโรคต่างๆ ในคนได้ด้วย ในอนาคตจึงจำเป็นต้องมีระบบการเตือนภัยก่อนที่จะเกิดโรคระบาด
จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 1 กันยายน 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #139 เมื่อ: กันยายน 01, 2007, 01:28:01 AM » |
|
แพทย์ห่วงโรคระบาดจากภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้น
นักวิชาการ เตือนภาวะโลกร้อน เร่งทุกฝ่ายช่วยหยุดยั้ง ชี้ค่านิยมบริโภคของป่า ต้นเหตุไฟป่าทำโลกร้อน ทั้งผักหวาน เห็ดเผาะ น้ำผึ้ง ขณะที่แพทย์ห่วงเกิดโรคระบาดหนัก อิทธิพลจากภาวะเปลี่ยนแปลงสภาอากาศ ทำเชื้อโรคพัฒนาการดี แถมแพร่กระจายง่าย เหตุพาหะนำโรคเพิ่ม ทั้งหนู ยุง ค้างค้าว ระบบนิเวศ์เปลี่ยน พร้อมเผย ยูเอสเตรียมสร้างยุงสายพันธ์ใหม่ เปลี่ยนพันธุกรรมไม่ให้นำโรคได้
ในการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ปี 2550 มีการอภิปรายเรื่อง ภาวะโลกร้อนกับประเทศไทย: An Inconvenient Truth โดย ผศ.ดร.จิรพล สินธุนาวา คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากร มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาที่ทุกคนในโลกจะต้องช่วยกัน โดยเฉพาะช่วยกันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจากการติดตาม หากยังคงมีการปล่อยก๊าซฯ ในปริมาณเช่นเดียวกับปัจจุบัน จากข้อมูลชี้ชัดว่าในอีก 11 ปี จากนี้ จะทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นอีก 2 องศาเซลเซียส ถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง และจากการพูดคุยกันหากต้องการหยุดภาวะนี้ก่อนเข้าสู่วิกฤตสิ่งแวดล้อม ทั้งโลกจะต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าลง 85% ซึ่งในความเป็นจริงคงทำได้ยาก เนื่องจากทางสหรัฐอเมริการะบุว่า การใช้ไฟฟ้ากลายเป็นกิจวัตรไปแล้ว ขณะที่จีนเองอยู่ระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถอัตราการใช้ไฟฟ้าได้เช่นกัน
ผศ.ดร.จิรพล กล่าวว่า ต้นเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อนมากจาก 2 สาเหตุ คือ 1.การใช้พลังงานน้ำมัน โดยเฉพาะการใช้รถ ซึ่งร้อยละ 75 ของก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์มาจากสต๊าสรถที่ก่อให้เกิดควันลอยไปในอากาศ การใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันต้องใช้ถ่านหินผลิตกระแสไฟเพื่อใช้ 24 ชั่วโมง เพื่อใช้ในการบริโภคและในระบบอุตสาหกรรม 2. การตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งพบว่าร้อยละ 25 ของภาวะเรือนกระจกเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า การเผาป่าเพื่อตอบสนองผู้บริโภค โดยเฉพาะการหาของป่ามาขาย
ความต้องการของผู้บริโภคเป็นตัวการสำคัญ ที่ก่อให้เกิดการเผ่าป่า เช่น ขณะนี้คนส่วนใหญ่นิยมบริโภคผักหวาน ซึ่งมีราคาดีกิโลกรัมละ 120 บาท เป็นเหตุจูงใจให้ชาวบ้านเก็บมาขาย และการที่จะทำให้ผักหวานแตกใบอ่อนได้ จะต้องมีการเผาก่อน เช่นเดียวกับเห็ดเผาะที่มีราคาแพง กรอบ หวาน อร่อย ซึ่งเห็ดเผาะจะเกิดขึ้นตรงพื้นดินที่แตกระแหง เป็นการเกิดตามธรรมชาติ และเมื่อคนต้องการปริมาณเพิ่มขึ้น ทำให้มีการเผาดินเพื่อให้พื้นดินแห้ง ดังนั้นผู้บริโภคเองจึงเป็นสาเหตุสำคัญของไฟไหม้ป่า จึงควรหยุดบริโภคสิ่งเหล่านี้ที่ก่อให้เกิดปัญหา ผศ.ดร.จิรพล กล่าว และว่า น้ำผึ้งก็เป็นที่นิยม การที่จะนำน้ำผึ้งมาได้จะต้องมีการเผาไล่ จากที่มีการจัดงานพืชสวนโลกจะเห็นว่า มีคนที่มาเที่ยวงานจำนวนไม่น้อยที่ซื้อน้ำผึ้งติดไม้ติดมือกลับไป
สำหรับภาวะโลกร้อน สิ่งที่ตามมาและได้เกิดขึ้นแล้ว คือการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ ภายในปี 2573 หรืออีก 23 ปีจากนี้ น้ำแข็งขั้วโลกจะละลายไปหมด ซึ่งจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยขณะนี้เริ่มเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศทั่วโลก เชื่อว่าในที่สุดจะไม่แตกต่างจากภาพยนต์รอาฟเตอร์ ทูมอโร่ อย่างไรก็ตามจากการติดตามได้มีการสรุปผลกระทบจากภาวะโลกร้อน 10 เรื่อง คือ 1.การเกิดคลื่นความร้อน แม้ว่าจะมีรายงานเกิดขึ้นในต่างประเทศโดยเฉพาะในแถบยุโรป แต่เชื่อว่าในที่สุดจะต้องเกิดกับประเทศไทยเช่นกัน เพราะขณะนี้มีรายงานการเกิดคลื่นความร้อนในกลุ่มประเทศเอเชียแล้ว ทั้งในญี่ปุ่น อินเดีย มีอุณหภูมิสูงถึง 45 องศาเซลเซียส โดยในอินเดียมีผู้เสียชีวิตจากภาวะช็อกถึง 103 ราย
2.น้ำทะเลสูงขึ้นจากภาวะน้ำแข็งละลาย ซึ่งน้ำแข็งขั้วโลกมีถึง 3 ล้านลูกบาตรกิโลเมตร ขณะที่ภูเขาน้ำแข็งสูงถึง 5 กิโลเมตร และกว่าร้อยละ 20 ของน้ำแข็งที่ละลายไปแล้ว ส่งผลให้ขณะนี้น้ำทะเลสูงขึ้นจากเดิม 10-15 เซนติเมตร ทั้งยังก่อให้เกิดภาวะกัดเซาะพื้นที่ติดทะเล 3.น้ำแข็งตามยอดเขาสูงละลาย อย่างที่ภูเขาฟูจิ ขณะนี้ปริมาณน้ำแข็งเริ่มเบาบางลง เช่นเดียวกับธารน้ำแข็งที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำคงคาในอินเดีย ซึ่งเชื่อว่าธารน้ำแข็งนี้จะละลายหมดในปี 2568 นี้ 4.น้ำแข็งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ละลาย ซึ่งส่งผลต่อสัตว์และระบบนิเวศวิทยา
5,การแพร่กระจายของโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำ 6.ความเปลี่ยนแปลงของฤดู ฤดูใบไม้ผลิมาเร็วขึ้น ส่งผลต่อการเกิดใหม่ของหญ้าและใบไม้อ่อนที่เป็นอาหารของสัตว์ป่าที่เกิดใหม่ ทำให้ไม่มีอาหาร 7.เกิดการอบยพของสัตว์ป่า หนีตายจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศและสภาพแวดล้อม 8.เกิดการฟอกขาวของปะการัง เปลี่ยนแปลงจากสีน้ำตาลเป็นสีขาว เนื่องจากน้ำทะเลมีความเป็นกรดมากขึ้น 9.ปริมาณน้ำฝนไม่เปลี่ยนแปลง แต่การกระจายของน้ำฝนเปลี่ยนแปลง มีการกระจุกตัวในบางพื้นที่ ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม ดินถล่ม และ 10,เกิดภาวะแห้งแล้งในบางพื้นที่และไฟป่า
ศ.นพ.ธีรวัฒน์ เหมะจุฑา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ที่ผ่านมามีหลายคนตั้งข้อสงสัยว่า ภาวะโลกร้อนก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจริงหรือไม่ และเมื่อมีสถานการณ์โรคร้ายแรงเกิดขึ้นจริง เราจะมีวิธีการรับมือเพื่อเบาบางปัญหาอย่างไร ซึ่งสิ่งที่ขณะนี้ทุกฝ่ายวิตกมากที่สุด คือ การเกิดภาวะของโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงพัฒนาของเชื้อไวรัสที่นอกจากมีความรุนแรงแล้ว ยังสามารถติดต่อจากสัตว์สู่คน และคนสู่คนได้ ทั้งนี้ในการดูโรคที่เกิดขึ้นนั้น ไม่สามารถดูได้เฉพาะโรคเท่านั้น แต่ต้องดูไปถึงตัวเชื้อโรค แหล่งรังโรค และพาหะนำโรค ไม่ว่าจะเป็นยุง หนู หรือสัตว์อื่น ๆ รวมถึงแหล่งเพาะเชื้อ รวมถึงภูมิต้านทานในคน ซึ่งในจำนวนเชื้อโรคทั้งหมด ร้อยละ 75 เป็นการติดต่อจากสัตว์สู่คน ขณะที่ร้อยละ 33 สามารถก่อให้เกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างได้
ศ.นพ.ธีรวัฒน์ กล่าวว่า ปัญหาโลกร้อนพบกว่าก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ น้ำมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ซึ่งตั้งแต่ตนรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ยังไม่เคยพบผู้ป่วยที่เกิดอาการเป็นพิษจากการกินเนื้อปลา แต่ที่ผ่านมาพบผู้ป่วยรายหนึ่งซึ่งเป็นพยาบาล มีอาการเริ่มอ่อนแรง หายใจไม่ได้ ต้องรีบเข้ารักษาตัว เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น จึงทราบว่าสาเหตุเกิดจากกินปลาผัดคึ้นไช่ ซึ่งปลาดังกล่าวไม่ใช่ปลาปักเป้าแต่มีพิษ แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงหลากหลายทางชีวภาพของปลาพวกนี้
นอกจากนี้ขณะที่โลกร้อนขึ้น จากรายงานพบว่า การกระจากตัวของยุงเริ่มมากขึ้น เริ่มพบในพื้นที่หนาวเย็น อีกทั้งอุณหภูมิที่เพิ่มมากขึ้นยังทำให้เชื้อในตัวยุงฟักตัวได้เร็ว ดังนั้นแม้ว่ายุงจะมีอายุสั้นลง แต่นำโรคต่าง ๆ ทั้งมาลาเรีย ไข้เลือดออก ไข้สมองอักเสบสู่คนได้ ทั้งนี้การระบาดส่วนใหญ่จะเกิดในพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงของอากาศแบบสุดขั้ว อย่างเช่น มีภาวะแห้งแล้งอย่างหนัก แต่ต่อมากลับมีน้ำท่วม เป็นการทับซ้อนของอากาศ ทำให้โรคระบาดเกิดได้ง่าย
ในอเมริกามีโรคไข้สมองอักเสบจากเวสนายไวรัส ซึ่งมียุงเป็นพาหะ แต่จากที่ช่วงอากาศหนาวมีระยะเวลาสั้นลง ทำให้ยุงมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น ขณะที่สัตว์ที่ทำหน้าที่กำจัดยุงน้อยลง ทำให้ปริมาณยุงมีมากขึ้นในการนำเชื้อไวรัสสู่คน ซึ่งเมื่อเข้าสู่คนจะใช้เวลา 4-5 วัน จึงค่อยแสดงอาการ มีบางคนไปบริจาคเลือด ทำให้มีการแพร่เชื้อไปสู่ผู้ที่รับถ่ายเลือด ซึ่งอเมริกาเป็นห่วงในเรื่องนี้มาก และกำลังอยู่ระหว่างการวิจัยเพื่อสร้างยุงที่เชื้อไวรัสไม่สามารถเติบโตได้ เพื่อเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ยุงที่มีอยู่ อย่างไรก็ตามแม้ว่าประเทศไทยจะโชคดี ไม่พบผู้ป่วยด้วยโรคไข้สมองอักเสบนี้ แต่จากที่การเดินทางติดต่อสะดวก โดยเฉพาะทางเครื่องบิน จึงควรมีมาตรการป้องกัน เพราะเป็นโรคที่มีความร้ายแรงมา คร่าชีวิตคนไปแล้วในจำนวนหลายร้อยคน
ศ.นพ.ธีรวัฒน์ กล่าวต่อว่า ขณะที่ค้างค้าวสามารถนำเชื้อไวรัสได้ถึง 166 ชนิด เป็นแหล่งรังโรคที่ดี ซึ่งจาก 1 ปีผ่านมา พบว่า ค้างค้าวสามารถนำเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าสู่คนได้ โดยไม่จำเป็นต้องถูกหมากัด ทั้งยังเป็นพานะนำเชื้อที่ดีกว่า เพราะเพียงแค่ค้างค้าวสะกิดที่ผิวหนังคนก็อาจทำให้ถึงตายได้ เพราะเชื้อไวรัวสามารถเติบโตจากเซลผิวหนัง ซึ่งในประเทศออสเตรเลียชีวิตแล้ว 2 ราย นอกจากนี้ค้างค้าวยังเป็นพานะนำเชื้อซาร์สที่เคยระบาด เชื้ออีโบล่า และเชื้อนิป้าไวรัสที่มีวิวัฒนาการที่เร็วมาก เพราะในระยะเวลาแค่ 8 ปี สามารถฆ่าชีวิตคนได้ จากเดิมมีความรุนแรงเพียงร้อยละ 50 และร้อยละ 80 ซึ่งค้างค้าวไทยก็สามารถนำเชื้อเหล่านี้สู่คนได้เช่นกัน
ภาวะโรคที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่เกิดและกระทบทั่วโลก ดังนั้นจำเป็นที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันระดมสมอง สร้างระบบการเตือนภัยโรคระบาดและยังต้องมีศูนย์ข้อมูลที่รวบทั้งหมดในการป้องกันทั้งจำนวนประชาการ อัตราการเกิดโรค จำนวนผู้รับวัคซีน เพื่อรับมือการระบาดของโรค
จาก : คม ชัด ลึก วันที่ 1 กันยายน 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #141 เมื่อ: กันยายน 03, 2007, 12:23:50 AM » |
|
หวั่น"อียิปต์"จมน้ำ เตือน"โลกร้อน-เขื่อน"ตัวการ
 "ปลายๆ ศตวรรษนี้ ชาวอียิปต์หลายล้านคนต้องไร้ที่อยู่อาศัย เพราะน้ำท่วมบ้าน"
คำทำนายข้างต้นเป็นของ "ธนาคารโลก" ที่แสดงความเป็นห่วงอียิปต์ ที่กำลังถูกภาวะโลกร้อนเล่นงาน
นายโมฮัมเหม็ด เอล-ราเอฟ นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม จากมหาวิทยาลัยอเล็กซานเดรีย กล่าวว่า สถานการณ์ที่อียิปต์กำลังเผชิญอยู่นั้นร้ายแรงมาก จำเป็นต้องให้ความสนใจอย่างเร่งด่วน ยิ่งล่าช้ายิ่งจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
พื้นที่ที่เป็นกำลังถูกภาวะโลกร้อนเล่นงานคือพื้นที่ "สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์" แม้พื้นที่นี้จะกินพื้นที่เพียง 2.5% ของอียิปต์ แต่ประชากรในพื้นที่มีความหนาแน่นมาก เนื่องจากมีผู้อยู่อาศัยราว 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด 80 ล้านคน
นอกจากภาวะโลกร้อนแล้ว "สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์" ยังได้รับผลกระทบจาก "เขื่อนอัสวาน" เนื่องจากเขื่อนแห่งนี้แม้จะให้พลังงานไฟฟ้าซึ่งจำเป็นต่อเศรษฐกิจของประเทศ แต่เขื่อนยังเก็บตะกอนที่มีความอุดมสมบูรณ์ ไม่ให้เข้าไปทับถมพื้นที่ที่ถูกน้ำกัดเซาะ
นักวิทยาศาสตร์ทำนายว่า ภายในปลายศตวรรษนี้ น้ำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลอื่นๆ จะสูงขึ้นประมาณ 30 ถึง 100 เซนติเมตร ทำให้น้ำท่วมชายฝั่งทะเลบริเวณ "สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์" หาดทรายซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวจะจมอยู่ใต้ทะเล รวมทั้งสมบัติของชาติในยุคโบราณที่นักโบราณคดียังขุดไม่พบในเมืองเก่าอเล็กซานเดรีย
คำทำนายของนักวิทยาศาสตร์ข้างต้นนั้นยังไม่น่ากลัวพอ เพราะไม่ใช่ขั้นที่อียิปต์ต้องประสบเมื่อเจอกับสถานการณ์ที่ร้ายแรงที่สุด แต่ที่ร้ายแรงที่สุดคือ เมื่อน้ำแข็งบริเวณกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกตะวันตกละลาย
ถ้าแผ่นน้ำแข็ง 2 แผ่นนี้ละลายเมื่อใด น้ำทะเลจะสูงขึ้น 16 ฟุต และจะสร้างความเสียหายให้กับ "อียิปต์" เป็นอย่างยิ่ง
จาก : ข่าวสด วันที่ 3 กันยายน 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #143 เมื่อ: กันยายน 04, 2007, 12:24:57 AM » |
|
รับมือโลกร้อน
 มูลนิธิรักษ์ไทย จัดทำวารสาร "Raks Thai" ฉบับแรกเดือนส.ค. ว่าด้วยภาวะโลกร้อน สำรวจประเทศต่างๆ ที่กำลังตื่นตัวรับมือโลกร้อน ดังนี้
ญี่ปุ่น เป็นประเทศแรกที่คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อรับมือปัญหาโลกร้อน เช่นการประดิษฐ์เทคโนโลยีแผ่นรับแสงอาทิตย์ (Solar Cells) และเป็นผู้ผลิตรายใหญ่สุด
นอกจากนี้บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่นยังใช้เทคโนโลยีเลือดผสม (Hybrid Technology) ใช้ระบบผสมผสานขับเคลื่อนด้วยน้ำมันและไฟฟ้า หรือทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน
จีน ทุ่มทุนกว่าสองพันล้านหยวน กับแผนปลูกต้นไม้ 10 ปี จำนวน 1,000 ล้านต้น ภายในปี 2005 ที่ผ่านมา ทหารจีนปลูกต้นไม้ไปแล้วครอบคลุม 40 % ของโครงการเป็นเงิน 170,000 ตารางไมล์ และมีเป้าจะเพิ่มให้ได้เป็น 45% ภายในปี 2010
เป้าหมายสำคัญเพื่อหยุดการแผ่ขยายของทะเลทรายและหวังจะให้เป็น The Great Wall of Tree
เยอรมนี ตื่นตัวมากในการรับมือปัญหาโลกร้อน รัฐบาลตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 21% ต่ำกว่าระดับที่ปล่อยในช่วงทศวรรษที่ 1990 ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามเป้าที่ได้ลงนามไว้ในพิธีสารโตเกียว
รูปธรรมที่รัฐบาลทำ คือโครงการหลังคาแสงอาทิตย์ 100,000 หลังคา โดยให้ประชาชนกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อนำมาซื้อเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ดังกล่าว
นอกจากนี้ยังส่งเสริมใช้พลังงานลม และออกแผนปรับปรุงอาคารบ้านเรือนเก่าๆ ให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น
เดนมาร์ก สนับสนุนการใช้พลังงานลมผ่านกังหันลมขนาดใหญ่ ทำให้ได้กระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมกว่า 20 %ของการบริโภคไฟฟ้าทั้งหมด และยังทำเงินเข้าประเทศถึงปีละ 3,000 ล้านยูโร
อังกฤษ นายกเทศมนตรีของกรุงลอนดอนและอีกหลายๆ เมืองออกมาตรการค่าขับรถเข้าเขตเมืองในราคาสูง ชาวลอนดอนจำนวนมากต้องทิ้งรถไว้บ้าน หันไปพึ่งรถสาธารณะ เป็นมาตรการที่ช่วยแก้ปัญหาจราจรและลดมลพิษได้ดี
โปรตุเกส คิดค้นและผลิตพลังงานจากคลื่นทะเล (Tidal Turbines) และทำเป็น Commercial Energy Wave Farm ผลิตกระแสไฟฟ้าหมุนเวียน จากคลื่นที่ไม่มีวันหมดของมหาสมุทร
อินเดีย 70 % ของมลพิษมาจากการจราจร ในปี 2003 ศาลต้องเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยการให้ยานยนต์สาธารณะทุกชนิด ได้แก่ รถเมล์ และสามล้อเครื่อง ใช้พลังงานสะอาด เช่น ก๊าซธรรมชาติ
ฟิลิปปินส์ ใช้พลังงานความร้อนจากไต้ดิน (Geothermal Technology) ผลิตกระแสไฟฟ้าได้กว่า 27 %ของไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมด (ผลิตได้มากที่สุดรองจากสหรัฐอเมริกา)
ไทย แม้จะมีนโยบายการใช้พลังงานอย่างประหยัดต่อเนื่องมาหลายสิบปี แต่ยังไม่เข้มข้นและขยายวงมากนัก เช่น โครงการบ้านประหยัดพลังงาน พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานทางเลือกอย่างไบโอดีเซล ก๊าซธรรมชาติ ก็เพิ่งเริ่มต้น
อีกทั้ง รูปธรรมการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่ยังผูกติดกับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่หลายๆ กลุ่ม ที่ประกาศตัวเป็นองค์กรรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility : CSR)
อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลน่าสนใจจากวงสัมมนา "ภาวะโลกร้อนกับประเทศไทย : An Inconvenient Truth" ที่จ.เชียงใหม่ เมื่อเร็วๆ นี้
ผศ.ดร.จิรพล สินธุนาวา ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสิ่งแวดล้อม แห่งมหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า การป้องกันแก้ไขโลกร้อนในบ้านเรานั้น สายเกินไปเสียแล้ว
เพราะเราตื่นตัวช้าไปถึง 15 ปี!
จาก : ข่าวสด คอลัมน์ เก็บเรื่องมาเล่า วันที่ 4 กันยายน 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #145 เมื่อ: กันยายน 04, 2007, 12:47:02 AM » |
|
'หมอประเสริฐ' จี้รัฐรับมือโรคระบาดจากภาวะโลกร้อน
ผู้เชี่ยวชาญไวรัสวิทยาระบุ "ไข้เลือดออก" รุนแรงกว่าทุกปี ส่งผลมีผู้ป่วย-เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ชี้ "โลกร้อน" ส่งผลเชื้อไข้เลือดออก-เชื้อไวรัสกลายพันธุ์ แนะทุกฝ่ายให้ความสำคัญ และหาทางป้องกัน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ศ.นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา และที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลก กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของไข้เลือดออกของประเทศไทยในปีนี้ว่า เป็นปีที่มีการระบาด และสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง
ทั้งนี้ พบว่าในปีนี้มีจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกเพิ่มจำนวนขึ้นกว่าทุกปี แต่ทุกฝ่ายกลับละเลย และไม่ให้ความสำคัญต่ออัตราการเสียชีวิตที่สูงในขณะนี้
ศ.นพ.ประเสริฐ กล่าวว่า สาเหตุที่จำนวนตัวเลขของผู้ป่วย และเสียชีวิตจากเชื้อไข้เลือดออกสูงขึ้น เนื่องจากไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการระบาดของไข้เลือดออกสูง ประกอบกับสภาวะอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น ทำให้วงจรชีวิตของยุงมีการเปลี่ยนแปลง และขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วกว่าปกติ
อย่างไรก็ตาม แม้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้วงจรชีวิตของยุงสั้นลง แต่กลับไม่ได้ส่งผลให้การระบาดลดลง เนื่องจากเชื้อไวรัสซึ่งอยู่ในตัวยุงมีการเจริญเติบโตและสามารถแพร่กระจายได้เร็วเช่นกันพร้อมกันนี้ ยังสามารถถ่ายทอดเชื้อไปยังไข่ของยุงได้ ทำให้ยุงที่เกิดมาใหม่มีเชื้อไวรัส
ดังนั้น หากทุกฝ่ายยังนิ่งนอนใจ คาดว่าในอนาคตประชากรโลกจะต้องเผชิญกับสภาวะการระบาดใหญ่ และเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสรวมทั้งไข้เลือดออกอย่างแน่นอน
ผลจากการที่โลกร้อนขึ้น ทำให้เชื้อไข้เลือดออกและเชื้อไวรัสต่างๆ เช่นไข้หวัดนก มาลาเรีย มีการกลายพันธุ์ และคาดว่าจะมีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตามแม้ว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานสรุปที่ชัดเจนว่าสภาวะโลกร้อนทำให้เชื้อไวรัสต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด แต่หากเรายังไม่มีการป้องกันที่ดี รวมทั้งไม่ช่วยกันหยุดอุณหภูมิของโลกไม่ให้สูงมากขึ้น จะไม่สามารถรับมือกับการระบาดใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน"
ทั้งนี้ สถานการณ์โรคไข้เลือดออกของประเทศไทยในปี 2550 (ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-25 ส.ค.) มีจำนวนผู้ป่วยทั้งสิ้น 38,316 ราย เสียชีวิต 42 ราย โดยภาคกลางมีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดถึง 20 ราย
โดยจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตในปีนี้ สูงขึ้นกว่าปี 2549 ที่มียอดผู้ป่วยอยู่ที่ 28,762 เสียชีวิต 36 ราย อีกทั้งจำนวนของผู้เสียชีวิตยังใกล้เคียงกับปี 2548 ซึ่งมีการระบาดและมียอดผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 49 ราย
ซึ่งสอดคล้ององค์การอนามัยโลกออกมาเตือนว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับสภาวะการระบาดของโรคไข้เลือดออกในรอบ 10 ปี
จาก : กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 4 กันยายน 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #149 เมื่อ: กันยายน 11, 2007, 01:41:49 AM » |
|
ไทยเดินหน้ารักษาโอโซนลดโลกร้อน
นายอดิศร นภาวรานนท์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรมเนื่องในวันโอโซนสากล 16 กันยายน 2550 รณรงค์ให้คนไทยตระหนักความสำคัญและร่วมกันปกป้องชั้นบรรยากาศโอโซน โดยในปีนี้ครบ 20 ปีของพิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมมือปฏิบัติตามข้อตกลงในพิธีสารดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพมาโดยตลอด นำมาซึ่งการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนมาอย่างต่อเนื่อง
ปีล่าสุด สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน หรือ ซีเอฟซี ที่ใช้ในอุปกรณ์ทำความเย็น และเป็นสารทำลายโอโซนส่วนใหญ่ ลดการนำเข้าเหลือเพียง 400 ตัน จากเป้าหมาย 900 ตัน และมีแผนจะงดการอนุญาตนำเข้าสารซีเอฟซีในปี 2553 ซึ่งจะไม่กระทบต่ออุตสาหกรรม เพราะได้มีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าเป็นเวลานาน ส่วนสารทำลายโอโซนอื่นๆ ที่ยังใช้อยู่ เช่น สารเมทิลโบรไมด์ ที่ใช้รมฆ่าแมลงศัตรูพืช จะมีการลดปริมาณการนำเข้าอย่างต่อเนื่องต่อไป
นายอดิศร กล่าวต่อว่า สำหรับก๊าซโอโซนซึ่งทำหน้าที่ดูดซับรังสีที่ส่องลงมาพื้นโลกให้มีปริมาณเหมาะสม ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และระบบนิเวศวิทยา ขณะนี้เริ่มมีการฟื้นตัวหลังทั่วโลกลดใช้สารทำลายโอโซนได้กว่าร้อยละ 95 แล้ว หรือประมาณ 1.8 ล้านตัน เทียบเท่าการลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ 25,000 ล้านตัน ช่วยชะลอภาวะโลกร้อนไปได้ 10 ปี
จาก : บ้านเมือง วันที่ 11 กันยายน 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|