กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 13, 2025, 06:38:43 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พิษร้ายปลาปักเป้าแรงกว่าไซยาไนด์ - "เก๋า-กะพง"ใหญ่มีพิษด้วย  (อ่าน 12123 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: ตุลาคม 04, 2007, 01:01:16 AM »


ปักเป้าพิษแรงขึ้น 1ตัวฆ่าได้ 30 คน  "เก๋า-กะพง" ใหญ่มีพิษด้วย  
 
สำนักวิทย์เตือนทะเลวิกฤติมลพิษส่งผลปักเป้าพิษแรงกว่าปกติหลายเท่า พบ 1 ตัวฆ่าคนได้มากถึง30 คนส่วน "เก๋า-กะพง"ตัวใหญ่ๆ สะสมพิษคล้ายปักเป้า แฉปักเป้านอกทะลักเข้าไทย บี้กรมประมงตรวจจับให้ถึงต้นตอ ตัดวงจรก่อนถึงผู้บริโภคโดยไม่รู้ตัว

เมื่อเวลา13.15 น.วันที่ 3 ตุลาคมราชบัณฑิตยสถาน โดยสำนักวิทยาศาสตร์ ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาต่างๆ ที่มีความรู้เกี่ยวกับ "พิษจากปลาปักเป้า" มาชี้ให้เห็นถึงสาเหตุของการเกิดพิษของปลาปักเป้า ที่มีปัจจัยจากเชื้อแบคทีเรียและแพลงตอนในทะเล ประกอบกับมลพิษทางทะเล ยิ่งเสริมให้ปลาปักเป้ามีพิษเพิ่มขึ้น และคนไทยมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากพิษปลาปักเป้าโดยไม่รู้ตัว เพราะมีการลักลอบจำหน่ายปลาปักเป้า จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมประมง เร่งหามาตรการแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อประชาชนโดยเร่งด่วน

ศ.ดร.เปี่ยมศักดิ์เมนะเศวต ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ประเภทวิทยาศาสตร์ประยุกต์ สาขาวิชาการประมง กล่าวว่า ปลาปักเป้าในประเทศไทยมี 2 วงศ์คือ Tetraodontidae และDiodontidae อาศัยอยู่ในน้ำจืด หรือน้ำเค็ม 20 ชนิด โดยปลาปักเป้าพิษในประเทศไทย ได้แก่ ปลาปักเป้าลาย(Sphoeroides scleratus (Gmelin)) ปลาปักเป้า(Tetrodon hispidus : Lac) ปลาปักเป้าดำ(Tetrodon stellatus : BI.& Schn.) โดยสารชีวพิษปลาปักเป้าผลิตโดยแบคทีเรียในเซลล์แพลงตอนไดโนแฟลเกลเลตเป็นพิษรุนแรงต่อระบบประสาท เกิดอัมพาตกล้ามเนื้อ และทำให้เสียชีวิต

"สารชีวพิษในปลามี 2 ชนิดคือ เทโรทอกซิน (Tetrotoxin) เป็นพิษรุนแรงต่อระบบประสาทกล้ามเนื้อเกิดอัมพาต มักเสียชีวิต มีพิษมากในรังไข่ ตับ หนังลำไส้น้อย และพิษที่ปลาปักเป้าสร้างขึ้นทนความร้อนเกิน 200 องศาเซลเซียส อันตรายกว่าไซยาไนด์ 1,200 เท่า ปลาปักเป้าพิษ 1 ตัว สามารถฆ่าคนได้ถึง 30 คน ส่วน Saxitoxin มีพิษอ่อนกว่าเทโทรทอกซิน เกิดในฤดูสาหร่ายพิษสะพรั่งและแบคทีเรีย(สกุลMorexella) ผลิตสารชีวพิษนี้นอกจากนี้ ปลาตามแนวปะการังที่กินพวกสาหร่ายและสัตว์ทะเล เช่น ปลากะพง ปลาเก๋า ตัวใหญ่ๆ อาจมีการสะสมสารพิษ ซึ่งจะมีอาการคล้ายพิษปลาปักเป้า" ศ.ดร.เปี่ยมศักดิ์ กล่าว  

ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ กล่าวถึงอาการเกิดพิษจากการรับประทานปลาปักเป้าว่า จะเกิดขึ้นภายใน 10-45 นาทีโดยแบ่งความรุนแรงออกเป็น 4 ระยะคือ ระยะที่ 1 ชาริมฝีปากลิ้น ใบหน้า ปลายนิ้วมือ คลื่นไส้ ระยะที่2 อาการมากขึ้นอ่อนเพลีย แขน-ขาอ่อนแรงจนเดิน-ยืนไม่ได้ กิริยาสนองฉับพลันยังดี ระยะที่3 กล้ามเนื้อกระตุกคล้ายชักการพูดตะกุกตะกัก ถึงพูดไม่ออกจากอัมพาตสายเสียง ระยะที่4 อัมพาตกล้ามเนื้อทั้งตัวหายใจไม่ได้ หมดสติ รูม่านตาขยาย ไม่มีปฏิกิริยาต่อแสง หยุดหายใจ หากถ้าได้รับพิษมากอาการเริ่มจากระยะแรกถึงระยะสุดท้ายใน 15 นาที  

ศ.ดร.เปี่ยมศักดิ์ กล่าวอีกว่าทุกวันนี้ประเทศไทยจับปลาจากต่างประเทศ เช่น พม่า อินโดนีเซีย ทำให้มีปลาปักเป้าในบ้านเรามากขึ้น ประกอบกับสิ่งแวดล้อมทะเลเปลี่ยนไป มีความเป็นพิษมากขึ้น ซึ่งปลาปักเป้าเป็นสัตว์กินไม่เลือก กินได้ทุกอย่าง ยิ่งมีโอกาสสะสมสารพิษและแปลงเป็นสารพิษจากปลาปักเป้ามากขึ้น จึงควรเฝ้าระวังไม่ให้มีการจับปลาปักเป้าในช่วงฤดูวางไข่ หากนำขึ้นฝั่งต้องทำลายให้หมด เพราะจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยไม่รู้ตัวหากยังมีการลักลอบจำหน่ายปลาปักเป้าอยู่


 ศ.ดร.ทศพร วงศ์รัตน์ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ประเภทวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาขาสัตววิทยา กล่าวว่า ทั่วโลกมีปลาปักเป้าอยู่ 2,000 ชนิดซึ่งปลาปักเป้าเป็นปลาที่มีวิฒนาการสูงกว่าปลาชนิดอื่นๆ และปลาปักเป้าทุกชนิดมีพิษ สำหรับปลาปักเป้าในเมืองไทยมีอยู่ 25 ชนิด ซึ่งทุกชนิดมีพิษ ส่วนที่ญี่ปุ่นมี 46 ชนิดมีการศึกษาพบว่า มีพิษแน่ๆ 22 ชนิดคนญี่ปุ่นนิยมบริโภคปลาปักเป้าที่มีพิษอ่อนๆ เพราะทำให้รู้สึกสดชื่น สบายดี และมีวัฒนธรรมการกินที่แสดงการทำปลาปักเป้าให้คนกินเห็น แตกต่างจากเมืองไทยที่ต้องกินปลาปักเป้าโดยไม่รู้ตัว

"การเกิดพิษของปลาปักเป้าที่มีการศึกษาไว้ พบว่า ปลาปักเป้ากินอาหารที่มีพิษและสร้างสารพิษโดยตัวของมันเอง รวมถึงขนาดตัวของปลาก็มีพิษอันตรายเหมือนกัน โดยเฉพาะช่วงฤดูวางไข่จะมีพิษมากที่สุด จึงทำให้ปลาปักเป้าตัวเมียมีพิษสูงกว่าปลาปักเป้าตัวผู้ ส่วนเลือดและเนื้อมีพิษอยู่น้อยมาก ในประเทศญี่ปุ่นต้องมีใบอนุญาตชำแหละ และมีการฝึกอบรมการชำแหละทุกปี แต่ก็ยังมีคนเสียชีวิตจากปลาปักเป้าอยู่" ศ.ดร.ทศพร กล่าวศ.ดร.ทศพรกล่าวอีกว่า ส่วนประเทศไทยยังไม่มีมาตรการใดๆ ที่เข้ามาควบคุมการบริโภคปลาปักเป้า เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นที่ผู้บริโภคตั้งใจกินปลาปักเป้า แต่คนไทยกินปลาปักเป้าโดยไม่รู้ตัว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันหาทางออกในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน
 


จาก               :              คม ชัด ลึก   วันที่  4  ตุลาคม  2550
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 04, 2007, 01:10:38 AM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2007, 01:11:54 AM »


พิษร้ายปลาปักเป้าแรงกว่าไซยาไนด์

เตือนพิษปลาปักเป้าร้ายแรงกว่าไซยาไนด์ ทนความร้อนได้ถึง 200 องศาเซลเซียส จี้กรมประมงเร่งให้ข้อมูลผู้บริโภคเด็ดขาด

ศ.ดร.เปี่ยมศักดิ์ เมนะเศวต ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ประเภทวิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ สาขาวิชาการประมง เปิดเผยว่า ปลาปักเป้าที่พบบ่อยในไทยมีปลาปักเป้าลาย และปลาปักเป้าดำ ซึ่งสารพิษในปลาปักเป้าเกิดจากเชื้อแบคทีเรียของแพลงตอนและซากพืช ซากสัตว์ที่ปลาปักเป้ากินเป็นอาหาร ซึ่งพิษมี 2 ชนิดด้วยกันคือ Tetrotoxin และ Saxitoxin แต่พิษของ Tetrotoxin จัดเป็นสารพิษที่มีความรุนแรงมากที่สุด ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้ออัมพาตและเสียชีวิตได้ในที่สุด พบพิษมากในรังไข่

สำหรับพิษของปลาปักเป้า 1 ตัว สามารถฆ่าคนได้ถึง 30 คน และพิษยังมีความรุนแรงสูงกว่าไซยาไนด์ถึง 1,200 เท่า ทั้งยังสามารถทนความร้อนได้ถึง 200 องศาเซลเซียส ส่วนสาเหตุที่พบปลาปักเป้ามากคาดว่าติดมากับการลากอวนในน้ำลึก และปัญหาสิ่งแวดล้อมทำให้บริมาณปลาปักเป้ามีจำนวนมากขึ้น ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกัน กรมประมงควรมีการแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงพิษ และประกาศห้ามรับประทานอย่างเด็ดขาด พร้อมกับทำการแจ้งเตือนเมื่อถึงฤดูกาลที่ต้องเฝ้าระวัง หากพบมีปลาติดมากับอวนชาวประมงต้องทำลายทันที และจัดให้มีการฝึกอบรมการชำแหละอย่างถูกต้องในกรณีใช้บริโภค

ด้าน ศ.ดร.ทศพร  วงศ์รัตน์  ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ ประเภทวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาขาวิชาสัตววิทยา กล่าวว่า ปลาปักเป้าทุกชนิดจัดอยู่ในประเภทปลามีพิษ ในประเทศไทยพบมีปลาปักเป้า 10 ชนิดและมีวัฒนธรรมทางพันธุกรรมที่ยาวนานที่สุดก่อนคนไทยและประเทศไทย พิษของปลาปักเป้าอยู่ที่บริเวณผิวหนัง ตับ ลำไส้ และมีพิษร้ายแรงอยู่ที่บริเวณรังไข่ พบมากในช่วงฤดูกาลวางไข่

สาเหตุที่มีการรับประทานปลาปักเป้าในญี่ปุ่นนั้น เนื่องจากพิษในปลาปักเป้าสำหรับคนญี่ปุ่นแล้วเปรียบเสมือนเครื่องเทศของช่องปาก อีกทั้งญี่ปุ่นมีมาตรฐานการชำแหละที่ดี มีการจัดอบรมผู้ชำแหละปลาปักเป้าโดยเฉพาะ ขณะที่ประเทศไทยยังขาดการอบรม ระมัดระวัง มีการลักลอบจำหน่าย ไม่มีการแจ้งให้ผู้บริโภคทราบว่าเนื้อปลาที่บริโภคนั้นเป็นเนื้อปลาปักเป้า นอกจากนี้ จากการศึกษายังพบว่าพิษของปลาเป้าสามารถซึมผ่านผิวหนังของผู้ชำแหละได้ หากมีการชำแหละปลาเป็นเวลานานและไม่มีการป้องกัน ดังนั้น ไม่ทราบว่าในจังหวัดสมุทรสาครมีรายงานพบเรื่องดังกล่าวหรือไม่.



จาก               :              ไทยโพสต์   วันที่  4  ตุลาคม  2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
WayfarinG
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2388



« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2007, 05:49:33 AM »

บันทึกการเข้า

If you reject the food, ignore the customs, fear the religion and avoid the people, you might better stay home.  -- > James Michener
Plateen
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 522



« ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2007, 07:33:58 AM »

โอย...ขนาดเก๋ากะ กะพง ยังไม่วาย
สงสัยผมหันไปกินหญ้าดีกว่า
บันทึกการเข้า

For God so loved the world, that he gave his only begotten Son, that whosever believeth in him should not perish, but have everlasting life[John3:16]
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 05, 2007, 12:00:07 AM »


ราชบัณฑิตชี้ "รังไข่ปลาปักเป้า” พิษแรงกว่า “ไซยาไนต์”  
 

ตัวอย่างเนื้อปลาปักเป้าแล่แล้ว   
 
       ราชบัณฑิตสาขาวิชาการประมง เตือนรังไข่ของปลาปักเป้ามีพิษร้ายแรงกว่าไซยาไนต์ และทนความร้อนได้ 200 องศาเซลเซียส จี้กรมประมงเร่งให้ข้อมูลประชาชน ประกาศห้ามบริโภคเด็ดขาด หากพบต้องเร่งทำลาย
       
       ศ.ดร.เปี่ยมศักดิ์ เมนะเศวต ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ประเภทวิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ สาขาวิชาการประมง กล่าวว่า ปลาปักเป้าที่พบบ่อยในไทย มีปลาปักเป้าลาย และปลาปักเป้าดำ ซึ่งสารพิษในปลาปักเป้า เกิดจากเชื้อแบคทีเรียของแพลงตอน และซากพืชซากสัตว์ที่ปลาปักเป้ากินเป็นอาหาร ซึ่งพิษมี 2 ชนิดด้วยกัน คือ Tetrotoxin และ Saxitoxin แต่พิษของ Tetrotoxin จัดเป็นสารพิษที่มีความรุนแรงมากที่สุด ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้ออัมพาต และเสียชีวิตได้ในที่สุด
       
       พบพิษมากในรังไข่ โดยพิษของปลาปักเป้า 1 ตัว สามารถฆ่าคนได้ถึง 30 คน และพิษยังมีความรุนแรงสูงกว่าไซยาไนต์ถึง 1,200 เท่า และสามารถทนความร้อนได้ถึง 200 องศาเซลเซียส สาเหตุที่พบปลาปักเป้ามาก คาดว่า ติดมากับการลากอวนในน้ำลึก และปัญหาสิ่งแวดล้อมทำให้บริมาณปลาปักเป้ามีจำนวนมากขึ้น ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกัน กรมประมงควรมีการแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงพิษ และประกาศห้ามรับประทานอย่างเด็ดขาด พร้อมกับทำการแจ้งเตือนเมื่อถึงฤดูกาลที่ต้องเฝ้าระวัง หากพบมีปลาติดมากับอวนชาวประมงต้องทำลายทันที และจัดให้มีการฝึกอบรมการชำแหละอย่างถูกต้องในกรณีใช้บริโภค
       
       ศ.ดร.ทศพร วงศ์รัตน์ ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ ประเภทวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาขาวิชาสัตววิทยา กล่าวว่า ปลาปักเป้าทุกชนิดจัดอยู่ในประเภทปลามีพิษ ในประเทศไทยพบมีปลาปักเป้า 10 ชนิด และมีวัฒนธรรมทางพันธุกรรมที่ยาวนานที่สุดก่อนคนไทยและประเทศไทย พิษของปลาปักเป้าอยู่ที่บริเวณผิวหนัง ตับ ลำไส้ และมีพิษร้ายแรงอยู่ที่บริเวณรังไข่ พบมากในช่วงฤดูกาลวางไข่ สาเหตุที่มีการรับประทานปลาปักเป้าในญี่ปุ่นนั้น เนื่องจากพิษในปลาปักเป้าสำหรับคนญี่ปุ่นแล้วเปรียบเสมือนเครื่องเทศของช่องปาก อีกทั้งญี่ปุ่นมีมาตรฐานการชำแหละที่ดี มีการจัดอบรมผู้ชำแหละปลาปักเป้าโดยเฉพาะ
       
       สำหรับประเทศไทยแล้วยังขาดการอบรม ระมัดระวัง มีการลักลอบจำหน่าย ไม่มีการแจ้งให้ผู้บริโภคทราบว่า เนื้อปลาที่บริโภคนั้นเป็นเนื้อปลาปักเป้า ผิดกับญี่ปุ่นที่ผู้บริโภคทราบว่า สิ่งที่บริโภคคือเนื้อปลาอะไร นอกจากนี้ จากการศึกษายังพบว่าพิษของปลาเป้าสามารถซึมผ่านผิวหนังของผู้ชำแหละได้ หากมีการชำแหละปลาเป็นเวลานาน และไม่มีการป้องกัน ดังนั้น ไม่ทราบว่าในจังหวัดสมุทรสาคร มีรายงานพบเรื่องดังกล่าวหรือไม่



จาก               :              ผู้จัดการออนไลน์    วันที่  3  ตุลาคม  2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #5 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2007, 12:26:27 AM »


นักวิจัย “สุดเจ๋ง” คิดค้นชุดทดสอบสารพิษในปลาปักเป้าได้สำเร็จ



      นักวิจัยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข คิดค้นชุดทดสอบสารพิษเตโตรโดทอกซินในปลาปักเป้าได้สำเร็จ สามารถทดสอบได้ง่ายไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ รู้ผลได้ภายใน 5นาที พร้อมใช้งานต้นปีหน้า
       
       นพ.วัลลภ ไทยเหนือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สารพิษเตโตรโดทอกซิน (tetrodotoxin) เป็นสารพิษที่พบในปลาปักเป้า โดยสารพิษดังกล่าว จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท หลังรับประทานปลาปักเป้าประมาณ 20 นาที จะเกิดอาการคันและชารอบปาก ลิ้นแข็งพูดลำบาก กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง หายใจติดขัด หอบ หากเป็นมาก และรักษาไม่ทันจะทำให้เสียชีวิตได้ภายใน 6 ชั่วโมง โดยส่วนที่มีพิษสูงที่สุดของปลาปักเป้า คือ ตับ รังไข่ รองลงมา คือ หนังปลา และเนื้อปลา ตามลำดับ และเนื่องจากเป็นสารพิษที่ทนความร้อน การนำปลาปักเป้าไปปรุงสุกจะไม่สามารถทำลายสารพิษดังกล่าวได้ ซึ่งตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 264 พ.ศ.2545 ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายปลาปักเป้าทุกชนิดและอาหารที่มีเนื้อปลาปักเป้าเป็นส่วนผสม
       
       “ปัจจุบันยังพบผู้เสียชีวิตจากการบริโภคเนื้อปลาปักเป้า และยังมีการลักลอบจำหน่ายเนื้อปลาปักเป้า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้วิจัยและพัฒนาชุดทดสอบสารพิษเตโตรโดทอกซิน ชนิดตรวจกรองขึ้นโดยใช้หลักการอิมมูโนโครมาโตกราฟี ซึ่งเป็นวิธีที่ตรวจง่าย ให้ผลรวดเร็ว ไม่ต้องใช้เครื่องมือและผู้ชำนาญการในการทดสอบ ใช้เวลาในการทดสอบและอ่านผลภายใน 5 นาที เป็นชุดทดสอบที่มีความแม่นยำสูงสามารถตรวจสารพิษเตโตรโดทอกซินที่ปนเปื้อนได้ในระดับความเข้มข้นต่ำสุด 0.3 ไมโครกรัมต่อปลาปักเป้า 1 กรัม ทั้งนี้ ระดับความเข้มข้นที่ประเทศญี่ปุ่นกำหนดให้ปนเปื้อนได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค คือ 2.2 ไมโครกรัมต่อปลาปักเป้า 1 กรัม”นพ.วัลลภ กล่าว
       
       นพ.วัลลภ กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อยู่ระหว่างดำเนินการจดสิทธิบัตรชุดทดสอบดังกล่าว โดยจะเตรียมผลิตเพื่อให้หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนนำไปใช้ตรวจสอบสารพิษจากปลาปักเป้าในต้นปี พ.ศ.2551 นี้ คาดว่า ชุดทดสอบดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือที่หน่วยงานต่างๆ สามารถนำไปใช้ในการคุ้มครองผู้บริโภคต่อไป



จาก               :              ผู้จัดการออนไลน์    วันที่  5  ตุลาคม  2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #6 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2007, 01:16:14 AM »


กรมวิทย์ฯ ผลิตชุดตรวจ สารพิษปลาปักเป้าสำเร็จ

      น.พ.วัลลภ ไทยเหนือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สารพิษเตโตรโดทอกซิน (tetrodotoxin) เป็นสารพิษที่พบในปลาปักเป้า ทนความร้อน การนำปลาปักเป้าไปปรุงสุกจะไม่สามารถทำลายสารพิษดังกล่าวได้ ซึ่งตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 264 พ.ศ.2545 ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายปลาปักเป้าทุกชนิดและอาหารที่มีเนื้อปลาปักเป้าเป็นส่วนผสม น.พ.วัลลภ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้วิจัยและพัฒนาชุดทดสอบ สารพิษเตโตรโดทอกซิน ชนิดตรวจกรองขึ้นโดยใช้หลักการอิมมูโนโครมาโตกราฟี ซึ่งเป็นวิธี ที่ตรวจง่าย ให้ผลรวดเร็ว ไม่ต้องใช้เครื่องมือและผู้ชำนาญการในการทดสอบ ใช้เวลาในการทดสอบและอ่านผลภายใน 5 นาที เป็นชุดทดสอบที่มีความแม่นยำสูงสามารถตรวจสารพิษ เตโตรโดทอกซินที่ปนเปื้อนได้ในระดับความเข้มข้นต่ำสุด 0.3 ไมโครกรัมต่อปลาปักเป้า 1 กรัม ทั้งนี้ ระดับความเข้มข้นที่ประเทศญี่ปุ่นกำหนดให้ปนเปื้อนได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค คือ 2.2 ไมโครกรัมต่อปลาปักเป้า 1 กรัม

      ขณะนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อยู่ระหว่างดำเนินการจดสิทธิบัตรชุดทดสอบดังกล่าว โดยจะเตรียมผลิต เพื่อให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนนำไปใช้ตรวจสอบสารพิษจากปลาปักเป้าในต้นปี พ.ศ.2551 นี้ คาดว่าชุดทดสอบดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือที่หน่วยงานต่างๆ สามารถนำไปใช้ในการคุ้มครอง ผู้บริโภคต่อไป



จาก               :             บ้านเมือง    วันที่  10  ตุลาคม  2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #7 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2007, 11:33:09 PM »


เร่งศึกษาพิษ"ปลาปักเป้า"ก่อนบริโภค กรมประมงย้ำอันตรายเสี่ยงถึงตาย   
 
ดร.จิราวรรณ แย้มประยูร รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า แม้การจำหน่ายเนื้อปลาปักเป้าจะผิดกฎหมายตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข แต่ปัจจุบันยังมีผู้ลักลอบจำหน่ายเนื้อปลาปักเป้า ซึ่งพิษปลาปักเป้าอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ถ้ารับการรักษาไม่ทันอาจถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งเรื่องนี้กรมประมงได้ประกาศเตือนประชาชนอยู่เสมอให้งดเว้นการบริโภคปลาปักเป้า

ดร.จิราวรรณ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่สมาคมประมงสมุทรสงคราม ทำหนังสือร้องเรียนให้รัฐบาลทบทวนประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยขอให้กำหนดมาตรการและหลักเกณฑ์ต่างๆเพื่อควบคุมการจำหน่ายเนื้อปลาปักเป้าให้ถูกกฎหมายเหมือนต่างประเทศ เบื้องต้นสำนักงานอาหารและยา ได้ตั้งคณะทำงานจัดทำมาตรการดังกล่าวแล้ว โดยกรมประมงได้รับมอบหมายให้วิจัย 3 ประเด็น คือ 1.วิจัยการทำประมงปลาปักเป้า เช่น ชนิดและปริมาณของปลาปักเป้าในเมืองไทย แหล่งประมงที่ปลาปักเป้าติดเครื่องมือประมงขึ้นมา 2.ศึกษาพิษปลาปักเป้า เช่น ฤดูกาลที่เกิดพิษ ชนิดและปริมาณของพิษ และ 3.การเก็บรักษา แล้วให้นำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ร่วมกับหน่วยงานอื่นเพื่อหาข้อยุติที่ชัดเจนเรื่องการนำปลาปักเป้ามาใช้ประโยชน์

"การบริโภคเนื้อปลาปักเป้าให้ปลอดภัยเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องศึกษาวิจัยและฝึกอบรม อีกทั้งต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายด้านที่เกี่ยวข้อง เช่น เกาหลีและญี่ปุ่นที่สามารถจำหน่ายเนื้อปลาปักเป้าให้แก่ผู้บริโภคได้นั้น ผู้ประกอบอาหารจากปลาปักเป้าต้องมีความรู้เกี่ยวกับปลาปักเป้าและต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างดี มีใบรับรองอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ยังกำหนดสายพันธุ์ของปลาปักเป้าที่จะนำมาปรุงอาหาร และปลาปักเป้าที่นำเข้าประเทศต้องมีใบรับรอง รวมทั้งกำหนดปริมาณพิษปลาปักเป้าต้องไม่เกิน 10 Mouse Unit/gram จึงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาอย่างรอบคอบเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น" ดร.จิราวรรณ กล่าว 



จาก               :             แนวหน้า   วันที่  11  ตุลาคม  2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #8 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2007, 12:36:01 AM »


หาข้อยุติ...ภัยจากเปิบปักเป้า
 

เรามักจะได้ข่าวเกี่ยวกับพิษของการที่เปิบเนื้อปลาปักเป้า ซึ่งรุนแรงในบางครั้งหากรักษาไม่ทันอาจถึงขั้นเสียชีวิต แม้ว่า การจำหน่ายเนื้อปลาชนิดนี้จะผิดกฎหมายตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข แล้วก็ตาม...แต่ก็มีการลักลอบจำหน่ายและกินกันจนเป็นข่าว

และด้วยข้อห้าม...สมาคมประมงสมุทรสงครามได้มีหนังสือร้องเรียนให้รัฐฯ ทบทวนประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับนี้ เพื่อจะได้นำปลาปักเป้ามาใช้ประโยชน์...

...เนื่องจาก ต้องนำปลาเหล่านี้จำนวนมากทิ้งทะเลไปเฉยๆ โดยให้วางมาตรการและกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ เข้ามาควบคุมเนื้อปลาปักเป้าให้ถูกกฎหมายเช่นเดียวกับต่างประเทศ

ดร.จิราวรรณ แย้มประยูร รองอธิบดีกรมประมงจึงได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมาแจงว่า... การบริโภคเนื้อปลาปักเป้าให้ปลอดภัยเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องศึกษา อีกทั้งต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายด้านที่เกี่ยวข้อง

ยกตัวอย่างที่ เกาหลีและญี่ปุ่นเขาสามารถจำหน่ายเนื้อปลาปักเป้าแก่ผู้บริโภคได้นั้น ผู้ประกอบอาหารต้องมีความรู้เกี่ยวกับปลาปักเป้า และต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างดีมีใบรับรองอย่างเป็นทางการ...

...นอกจากนี้ ยังกำหนดชนิดสายพันธุ์ของปลาปักเป้าที่จะนำมาปรุงอาหารได้ และ ปลาปักเป้าที่นำเข้าประเทศต้องมีใบรับรอง พร้อมทั้งกำหนดปริมาณพิษต้องไม่เกิน 10 Mouse Unit/gram

อย่างไรก็ดี สำนักงานอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ตั้งคณะทำงานจัดทำมาตรการป้องกันปัญหาปลาปักเป้าเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งประกอบด้วย กรมประมง และภาครัฐที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันพิจารณา ในความเป็นไปได้ในการที่จะนำปลาปักเป้ามาใช้ประโยชน์

ซึ่งก็ได้ดำเนินการสำรวจและวิจัยเพื่อเป็นองค์ความรู้ในการกำหนดแนวนโยบายไว้ 3 ประเด็นคือ วิจัยการทำประมงปลาปักเป้าในเมืองไทย เช่น ชนิด ปริมาณ แหล่งและเครื่องมือในการประมง... ศึกษาพิษปลาปักเป้า เช่น ฤดูกาลที่เกิดพิษ ชนิดและปริมาณของพิษ กับ วิจัยในการเก็บรักษา...!!!

นอกจากนี้ คณะทำงานยังได้กำหนดการสำรวจ วิจัย และ ศึกษาอีกหลายประเด็นเพื่อหาข้อยุติ ทั้งในปัจจัยทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับความคุ้มค่า คุ้มทุนและการเป็นสัตว์เศรษฐกิจของปลาปักเป้า

รวมถึงการจัดการกองทุนและค่าชดเชยความเสียหาย ตลอดจนการ เฝ้าระวังติดตามของผู้ประกอบการ การจัดหา Antitoxin หรือวัคซีนเพื่อป้องกันและแก้ปัญหา... ท้ายสุดก็คือประเด็นข้อกฎหมาย ที่จะต้องสัมพันธ์กับสภาวะ

ซึ่งในช่วงที่ยังไม่ลงเอยนี้ กรมประมง ก็ได้ประกาศเตือนอยู่เสมอๆให้งดเว้นการบริโภคปักเป้า... เพราะบ้านเรายังมีปลาตัวอื่นให้กินอีกเยอะแยะ..!!!



จาก               :             ไทยรัฐ    วันที่  17  ตุลาคม  2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #9 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2007, 01:12:30 AM »


“ผู้การวิสุทธิ์” ทลายโรงงานแปรรูปปลาปักเป้าสุดสกปรก  
 

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร ผบก.ปศท.โชว์เนื้อปลาปักเป้าที่จับกุมได้

  “ผู้การวิสุทธิ์” เดินหน้าลุยปราบปรามผู้ลักลอบขายเนื้อปลาปักเป้าอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม เพื่อสุขลักษณะที่ดีของประชาชนผู้บริโภค เที่ยวนี้สั่งลุยโรงงานในสมุทรสาคร ยึดเนื้อปลา ลูกชิ้น และปลาเส้นกว่า 300 กก.พบโรงงานสุดสกปรก
       
       วันนี้ (24 ต.ค.) เมื่อเวลา 15.30 น.พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร ผบก.ปศท. พ.ต.ท.อภิชาติ อภิชานนท์ สว.กก.3 บก.ปศท.ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม นายชูละเอ อายุ 32 และ น.ส.สุลิ อายุ 30 ปี สัญชาติพม่า พร้อมของกลาง ปลาปักเป้าแปรรูป จำพวกเนื้อปลาสด ลูกชิ้นเปลา ลูกชิ้นปลาสาหร่าย และปลาเส้น จำนวนกว่า 300 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 2.4 หมื่นบาท ซึ่งสามารถจับกุมได้ที่โรงงานไม่มีเลขที่ ภายในซอยวัดสามัคคีศรัทธาธรรม ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จังหวัดสมุทรสาคร
       
       พล.ต.ต.วิสุทธิ์ เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งพลเมืองดีว่า โรงงานดังกล่าวมีการลักลอบนำปลาปักเป้ามาแปรรูปเป็น เนื้อปลาสด ลูกชิ้นเปลา ลูกชิ้นปลาสาหร่าย และปลาเส้น จึงสั่งการให้ พ.ต.ท.อภิชาติ อภิชานนท์ สว.กก.3 บก.ปศท.นำหมายศาลจังหวัดสมุทรสาคร เลขที่ ค.269/2550 เข้าทำการตรวจค้นโรงงานดังกล่าว เมื่อไปถึงก็พบว่าเป็นโรงงานชั้นเดียว มีสภาพสกปรก จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้น ทำให้คนงานภายในโรงงานแตกตื่นวิ่งหลบหนีกันอย่างอลหม่าน ก่อนควบคุมตัวผู้ต้องหาได้จำนวน 2 ราย คือ นายชูละเอ อายุ 32 และ น.ส.สุลิ อายุ 30 ปี สัญชาติพม่า พร้อมของกลาง ปลาปักเป้าแปรรูป จำพวกเนื้อปลาสด ลูกชิ้นเปลา ลูกชิ้นปลาสาหร่าย และปลาเส้น จำนวนกว่า 300 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 2.4 หมื่นบาท ก่อนจะควบคุมตัวมาสอบสวนที่ บก.ปศท.


บางส่วนไปแปรรูปเป็นลูกชิ้น 
       
       พล.ต.ต.วิสุทธิ์ กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนทราบว่า โรงงานดังกล่าวเป็นของ “เจ๊แจ๋ว” ไม่ทราบชื่อจริง จะมีคนงานทำงานอยู่ในโรงงานประมาณ 15 คน ซึ่งจะเป็นคนต่างด้าวสัญชาติพม่าทั้งหมด โดยจะมีคนนำปลาปักเป้ามาส่งที่โรงงานทุกคน ก่อนจะนำมาแล่เป็นเนื้อปลาสดแพ็กเป็นถุง อีกส่วนก็จะนำมาแปรรูปเป็นลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นปลาสาหร่าย และปลาเส้น ขายในกิโลกรัมละ 80 บาท ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะย่านตลาดไท ตลาดบางใหญ่ เบื้องต้นแจ้งข้อหาร่วมผลิตอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีใบอนุญาตตั้งโรงงาน และหลบหนีเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต



จาก               :              ผู้จัดการออนไลน์    วันที่  26  ตุลาคม  2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #10 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2007, 03:27:54 AM »

หึ่ๆ....เห็นทีต้องหยุดรับประทานผลิตผลที่ทำจากปลาซะแล้วละมั๊งคะ เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง......
บันทึกการเข้า

Saaychol
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #11 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2007, 01:16:10 AM »


สกว.ผ่าทางตันพิษปลาปักเป้า


 
สกว.จับมืออย.วิจัยแก้ปัญหาพิษปลาปักเป้าแบบองค์รวม คาดปี 2551 เห็นความชัดเจน สามารถจำแนกสายพันธุ์จากลักษณะภายนอก วัดระดับสารพิษในเนื้อปลาที่เป็นมาตรฐาน

ศ.มยุรี จัยวัฒน์ ผู้ประสานงานชุดโครงการความปลอดภัยด้านอาหาร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เปิดเผยว่า พิษจากปลาปักเป้าเป็นปัญหาเรื้อรังที่ยังไม่มีวิธีการแก้ไข และยังไม่มีเทคนิคเฉพาะตรวจสอบความเป็นพิษ หรือมีวัคซีนป้องกัน

สกว. ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และหน่วยงานวิจัยที่เกี่ยวข้องวิจัยภายใต้โครงการจัดทำมาตรการป้องกันปัญหาปลาปักเป้าเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค โดยพิจารณาให้ทุนแก่หน่วยงานวิจัยที่ต้องการศึกษาเรื่องปลาปักเป้าโดยเฉพาะ 

วิจัยที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 5 โครงการ เช่น โครงการสำรวจสายพันธุ์ปลาปักเป้า แหล่ง ฤดูกาลและปริมาณชีวสารพิษ โครงการพัฒนาชุดทดสอบสารพิษในปลาปักเป้าโครงการพัฒนาเครื่องหมายโมเลกุลเพื่อจำแนกปลาปักเป้าในประเทศไทย โครงการศึกษาลักษณะทางกายวิภาคศาสตร์ของปลาปักเป้า

ตัวแทนจาก สกว. คาดว่างานวิจัยดังกล่าวจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงกลางปี 2551 นอกจากนี้ยังมีการศึกษาผลกระทบอื่นที่เกี่ยวข้องกับปลาปักเป้า เช่น พิษตกค้างที่ส่งผลกระทบกับสัตว์หากใช้เป็นอาหารสัตว์ในอุตสาหกรรม ตลอดจนผลกระทบด้านเศรษฐกิจ



น.พ.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปลาปักเป้า หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าปลาเนื้อไก่และปลาช่อนทะเล เป็นปลาที่ชาวต่างชาตินิยมบริโภค แม้พบว่ามีพิษ แต่รับประทานได้อย่างปลอดภัยหากแล่เนื้อและปรุงอย่างถูกวิธี

พิษที่พบในปลาปักเป้าจะมีอยู่ 2 ชนิด คือ เตโตรโดท็อกซิน และแซ็กซิท็อกซิน จากผิวหนัง ลำไส้ และตับ ซึ่งสารพิษที่พบมีความรุนแรงมากกว่าสารไซยาไนด์ 1 หมื่นเท่า

ผู้ที่ได้รับพิษจากปลาปักเป้าจะมีอาการชาตามใบหน้าและลำตัว อ่อนเพลีย ไม่มีแรง กล้ามเนื้อกระตุก เป็นอัมพาต และถึงขั้นหัวใจหยุดเต้น หลังจากรับประทานเนื้อปลาปักเป้าเพียง 6 ชั่วโมง โดยในประเทศมีรายงานสถิติผู้ป่วยตั้งแต่ปี 2472-2550 ทั้งสิ้น 115 ราย และถึงแก่ชีวิต13%

น.พ.นรินทร์ กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันยังไม่มีเทคนิคการตรวจสอบหาสารพิษที่รวดเร็ว ตลอดจนไม่มีวัคซีนป้องกัน จึงจำเป็นต้องมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพิษของปลาปักเป้าอีกมาก โดยเชื่อว่างานวิจัยจะช่วยสร้างองค์ความรู้ ด้านการจัดการ ควบคุม และ ป้องกันรักษาชีวิตผู้บริโภค

 
 
จาก               :              กรุงเทพธุรกิจ    วันที่  17  ธันวาคม  2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #12 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2007, 01:18:13 AM »


แพทย์เตือนพิษปักเป้า พบขายทั่วไปทั้งสด-แปรรูป
 

 
แพทย์จุฬาฯ แนะผู้บริโภคระวังบริโภคปลาปักเป้ารับพิษไม่รู้ตัว พบเสียชีวิตแล้ว 15 ราย พบยังมีขายทั่วไป ทั้งเนื้อปลาสดและลูกชิ้น ด้านผู้บังคับการ ปศท.เสนอเพิ่มโทษผู้ลักลอบจำหน่าย

ในการสัมมนาเรื่อง “ทางออกของปลาปักเป้าจะเป็นอย่างไร” จัดโดยคณะสัตวแพทยศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  มีผู้เกี่ยวข้องนำเสนอถึงผลกระทบของปลาปักเป้าต่อสังคมไทย ซึ่งต่างยอมรับว่านับวันปัญหาจะรุนแรงและกระทบทั่วถึงกัน

นพ.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกัน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยกรณีศึกษาผู้ที่รับประทานอาหารที่มีพิษ ที่มีส่วนประกอบของปลาปักเป้าปนอยู่โดยไม่รู้ตัวพบว่า ผู้ที่รับพิษปลาปักเป้าจากการรับประทานก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกง พิษจะเกิดได้รวดเร็วภายใน 15 นาที หลังรับประทานเข้าไป ซึ่งจะพบมีอาการชาตามปาก มือ แขน ขา

ส่วนตัวเลขการรับผู้ป่วย ที่ได้รับพิษปลาปักเป้าตั้งแต่ปี 2472 ถึงปัจจุบันมีผู้ป่วยประมาณ 115 คน จำนวนนี้เสียชีวิต 15 คน เฉพาะปี 2550 มีผู้ป่วย 9 ราย จากกรณีศึกษาไม่พบมีใครเสียชีวิต เพราะมาพบแพทย์ทัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือน มิ.ย.-ส.ค.ที่ผ่านมา ทีมวิจัยของแพทย์ได้ตามเก็บตัวอย่าง พบว่ามีการขายปักเป้าโดยทั่วไปตามตลาดทั่วไปในราคาถูก เช่น ตลาดบางกะปิ เทเวศร์ ลาดพร้าว ผู้ค้าใช้ชื่อทางการค้าว่าปลาเนื้อไก่  หรือปลาช่อนทะเล

ดังนั้น ผู้บริโภคควรระมัดระวังตัวเอง โดยให้สังเกตเนื้อปลาที่ไม่มีหนังเหมือนเนื้อไก่ เนื้อไม่ละเอียด ร่องของเนื้อจะใหญ่และห่าง

พล.ต.ต.วิสุทธ์ วานิชบุตร ผู้บังคับการกองปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (ปศท.)   กล่าวถึงการตามจับกุมการจำหน่ายปลาปักเป้าผิดกฎหมายว่า พบมากในลักษณะต่างๆ

บางครั้งแปรรูปเป็นลูกชิ้น ซึ่งการตามจับทำได้ยาก ส่วนตัวคิดว่าโทษของผู้จำหน่ายยังมีน้อย ต้องหาวิธีให้กฎหมายมีผลบังคับได้ดียิ่งขึ้น

น.ส.กัลยาณี ดีประเสิรฐวงศ์ นักวิชาการอาหารและยา 8 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวยอมรับว่า ยังขาดข้อมูลวิจัยประกอบการพิจารณาทิศทางของปลาปักเป้า

ล่าสุดได้ตั้งคณะทำงานที่มีตัวแทนทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงกลุ่มทำประมงและค้าปลา ใน 7 ประเด็น เช่น ปัจจัยทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับความคุ้มค่าทุน  ผลกระทบต่อการประมงรายย่อย วัคซีนป้องกันแก้ไข กฎหมายข้อบังคับใช้ แม้จะยังไม่ได้ข้อสรุปแต่มีความคืบหน้าให้จัดระบบเฝ้าระวังคนได้รับพิษจากปลาปักเป้าใน 3 จังหวัดนำร่อง คือ เชียงใหม่ ชลบุรี ขอนแก่น  และมีข้อเสนอขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการแร่ปลาทั้งหมด

ด้านนายชินชัย สถิรยากร รองประธานฝ่ายกิจกรรมพิเศษ จากสหกรณ์ประมงแม่กลอง กล่าวว่า การค้าปลาปักเป้ามีมานานแล้ว ขอสังคมเปิดช่องให้ผู้ค้าด้วย แต่ยินดีเข้าร่วมทุกเวทีที่จะถกปัญหาที่เกิดจากปลาปักเป้า หากไม่มีทางแก้ปัญหาก็ยินดีเลิกค้า
 
 

จาก               :              กรุงเทพธุรกิจ    วันที่  17  ธันวาคม  2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
Sea Man
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2208


ท้องฟ้า/ภูเขา/ป่าไม้/ทะเล


« ตอบ #13 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2007, 03:12:32 AM »

 
บันทึกการเข้า

.....รู้จักคิด....ฟังความคิดผู้อื่น....พร้อมเปลี่ยนแปลง....ไปสู่สิ่งใหม่และดีกว่า.....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #14 เมื่อ: มกราคม 16, 2008, 11:36:22 PM »


สธ.เตือนพิษ"ปลาปักเป้า"ทนร้อนสูงสั่งสสจ.คุมเข้มจำหน่าย
 
สธ.เตือนพิษ "ปลาปักเป้า" ทนความร้อนสูง ความเค็มจากการแปรรูปเป็นปลาร้า ไม่สามารถทำลายพิษได้ สั่ง สสจ.ทั่วประเทศคุมเข้มการจำหน่ายปลาปักเป้า วอนพ่อค้าแม่ค้าเห็นแก่ความปลอดภัยของประชาชน ไม่นำมาแปรรูปขาย

จากกรณี นางสมใจ ซื่อตรง อายุ 48 ปี เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลบ้านค่าย จ.ระยอง เมื่อเช้าวันที่ 14 มกราคม ที่ผ่านมา ภายหลังรับประทานส้มตำปลาร้าที่เพื่อนบ้านปรุง ร่วมกับบุตรหลานและเพื่อนบ้าน รวม 5 คน เมื่อวันที่ 13 มกราคม แล้วเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง แขน-ขาอ่อนแรง นิ้วมือชา โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ระยอง ได้เก็บตัวอย่างจากร้านค้าในตลาดหนองกลับ พบว่าแหล่งผลิตเป็นโรงงานใน จ.นครสวรรค์

 นพ.มรกต กรเกษม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดกวดขันเรื่องการนำปลาปักเป้าน้ำจืดและน้ำเค็มมาจำหน่ายแก่ผู้บริโภค ทั้งร้านหมูกะทะและการแปรรูปเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้น หมักทำเป็นปลาร้ารวมกับปลาอื่นๆ เนื่องจากพิษของปลาปักเป้าทนต่อความร้อน ความเค็ม ไม่สลายไปเมื่อนำมาปรุงอาหาร โดยพิษของปลาปักเป้ามีชื่อว่า เตดโตรโดท็อกซิน พบมากที่ส่วนของไข่ ตับ ลำไส้ หนังของปลา หลังได้รับพิษ 10-30 นาที จะเริ่มชาที่ริมฝีปาก ลิ้น ใบหน้า จนมีอาการรุนแรง กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต หายใจไม่ออก ไม่รู้สึกตัว และเสียชีวิตในที่สุด

 ทั้งนี้ สธ.ได้ออกประกาศ ฉบับที่ 264 พ.ศ.2545 เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย คือ ปลาปักเป้าทุกชนิด และอาหารที่มีปลาปักเป้าเป็นส่วนผสม เป็นอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค เพราะประชาชนไทยยังมีทางเลือกรับประทานอาหารอื่นๆ ได้อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม ขอร้องผู้ประกอบการอาหารเห็นแก่ความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน ไม่นำปลาปักเป้ามาแปรรูปเป็นอาหารจำหน่ายโดยเด็ดขาด

 ด้าน นพ.ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า พิษจากปลาปักเป้ายังไม่มียาแก้พิษโดยเฉพาะ การรักษาของแพทย์จะต้องใช้การรักษาตามอาการ โดยให้น้ำเกลือ หากหยุดหายใจต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ โดยพิษของปลาปักเป้าจะขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ หากพิษหมดจากร่างกายอาการผู้ป่วยก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ในการรับประทานอาหารจำพวกปลา เช่น เนื้อสัตว์ปิ้งย่างในร้านหมูกะทะ ข้าวต้มปลา ปลาผัดขึ้นฉ่าย ปลาผัดเผ็ดต่างๆ ขอให้สังเกตลักษณะของเนื้อปลาที่เหมือนเนื้อไก่ หากรับประทานแล้วผิดปกติให้รีบไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
 



จาก                   :                 คม ชัด ลึก   วันที่ 17 มกราคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
หน้า: [1] 2   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.032 วินาที กับ 19 คำสั่ง