|
สายน้ำ
|
 |
« เมื่อ: ตุลาคม 04, 2007, 01:01:16 AM » |
|
ปักเป้าพิษแรงขึ้น 1ตัวฆ่าได้ 30 คน "เก๋า-กะพง" ใหญ่มีพิษด้วย สำนักวิทย์เตือนทะเลวิกฤติมลพิษส่งผลปักเป้าพิษแรงกว่าปกติหลายเท่า พบ 1 ตัวฆ่าคนได้มากถึง30 คนส่วน "เก๋า-กะพง"ตัวใหญ่ๆ สะสมพิษคล้ายปักเป้า แฉปักเป้านอกทะลักเข้าไทย บี้กรมประมงตรวจจับให้ถึงต้นตอ ตัดวงจรก่อนถึงผู้บริโภคโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเวลา13.15 น.วันที่ 3 ตุลาคมราชบัณฑิตยสถาน โดยสำนักวิทยาศาสตร์ ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาต่างๆ ที่มีความรู้เกี่ยวกับ "พิษจากปลาปักเป้า" มาชี้ให้เห็นถึงสาเหตุของการเกิดพิษของปลาปักเป้า ที่มีปัจจัยจากเชื้อแบคทีเรียและแพลงตอนในทะเล ประกอบกับมลพิษทางทะเล ยิ่งเสริมให้ปลาปักเป้ามีพิษเพิ่มขึ้น และคนไทยมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากพิษปลาปักเป้าโดยไม่รู้ตัว เพราะมีการลักลอบจำหน่ายปลาปักเป้า จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมประมง เร่งหามาตรการแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อประชาชนโดยเร่งด่วน
ศ.ดร.เปี่ยมศักดิ์เมนะเศวต ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ประเภทวิทยาศาสตร์ประยุกต์ สาขาวิชาการประมง กล่าวว่า ปลาปักเป้าในประเทศไทยมี 2 วงศ์คือ Tetraodontidae และDiodontidae อาศัยอยู่ในน้ำจืด หรือน้ำเค็ม 20 ชนิด โดยปลาปักเป้าพิษในประเทศไทย ได้แก่ ปลาปักเป้าลาย(Sphoeroides scleratus (Gmelin)) ปลาปักเป้า(Tetrodon hispidus : Lac) ปลาปักเป้าดำ(Tetrodon stellatus : BI.& Schn.) โดยสารชีวพิษปลาปักเป้าผลิตโดยแบคทีเรียในเซลล์แพลงตอนไดโนแฟลเกลเลตเป็นพิษรุนแรงต่อระบบประสาท เกิดอัมพาตกล้ามเนื้อ และทำให้เสียชีวิต
"สารชีวพิษในปลามี 2 ชนิดคือ เทโรทอกซิน (Tetrotoxin) เป็นพิษรุนแรงต่อระบบประสาทกล้ามเนื้อเกิดอัมพาต มักเสียชีวิต มีพิษมากในรังไข่ ตับ หนังลำไส้น้อย และพิษที่ปลาปักเป้าสร้างขึ้นทนความร้อนเกิน 200 องศาเซลเซียส อันตรายกว่าไซยาไนด์ 1,200 เท่า ปลาปักเป้าพิษ 1 ตัว สามารถฆ่าคนได้ถึง 30 คน ส่วน Saxitoxin มีพิษอ่อนกว่าเทโทรทอกซิน เกิดในฤดูสาหร่ายพิษสะพรั่งและแบคทีเรีย(สกุลMorexella) ผลิตสารชีวพิษนี้นอกจากนี้ ปลาตามแนวปะการังที่กินพวกสาหร่ายและสัตว์ทะเล เช่น ปลากะพง ปลาเก๋า ตัวใหญ่ๆ อาจมีการสะสมสารพิษ ซึ่งจะมีอาการคล้ายพิษปลาปักเป้า" ศ.ดร.เปี่ยมศักดิ์ กล่าว
ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ กล่าวถึงอาการเกิดพิษจากการรับประทานปลาปักเป้าว่า จะเกิดขึ้นภายใน 10-45 นาทีโดยแบ่งความรุนแรงออกเป็น 4 ระยะคือ ระยะที่ 1 ชาริมฝีปากลิ้น ใบหน้า ปลายนิ้วมือ คลื่นไส้ ระยะที่2 อาการมากขึ้นอ่อนเพลีย แขน-ขาอ่อนแรงจนเดิน-ยืนไม่ได้ กิริยาสนองฉับพลันยังดี ระยะที่3 กล้ามเนื้อกระตุกคล้ายชักการพูดตะกุกตะกัก ถึงพูดไม่ออกจากอัมพาตสายเสียง ระยะที่4 อัมพาตกล้ามเนื้อทั้งตัวหายใจไม่ได้ หมดสติ รูม่านตาขยาย ไม่มีปฏิกิริยาต่อแสง หยุดหายใจ หากถ้าได้รับพิษมากอาการเริ่มจากระยะแรกถึงระยะสุดท้ายใน 15 นาที
ศ.ดร.เปี่ยมศักดิ์ กล่าวอีกว่าทุกวันนี้ประเทศไทยจับปลาจากต่างประเทศ เช่น พม่า อินโดนีเซีย ทำให้มีปลาปักเป้าในบ้านเรามากขึ้น ประกอบกับสิ่งแวดล้อมทะเลเปลี่ยนไป มีความเป็นพิษมากขึ้น ซึ่งปลาปักเป้าเป็นสัตว์กินไม่เลือก กินได้ทุกอย่าง ยิ่งมีโอกาสสะสมสารพิษและแปลงเป็นสารพิษจากปลาปักเป้ามากขึ้น จึงควรเฝ้าระวังไม่ให้มีการจับปลาปักเป้าในช่วงฤดูวางไข่ หากนำขึ้นฝั่งต้องทำลายให้หมด เพราะจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยไม่รู้ตัวหากยังมีการลักลอบจำหน่ายปลาปักเป้าอยู่
ศ.ดร.ทศพร วงศ์รัตน์ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ประเภทวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาขาสัตววิทยา กล่าวว่า ทั่วโลกมีปลาปักเป้าอยู่ 2,000 ชนิดซึ่งปลาปักเป้าเป็นปลาที่มีวิฒนาการสูงกว่าปลาชนิดอื่นๆ และปลาปักเป้าทุกชนิดมีพิษ สำหรับปลาปักเป้าในเมืองไทยมีอยู่ 25 ชนิด ซึ่งทุกชนิดมีพิษ ส่วนที่ญี่ปุ่นมี 46 ชนิดมีการศึกษาพบว่า มีพิษแน่ๆ 22 ชนิดคนญี่ปุ่นนิยมบริโภคปลาปักเป้าที่มีพิษอ่อนๆ เพราะทำให้รู้สึกสดชื่น สบายดี และมีวัฒนธรรมการกินที่แสดงการทำปลาปักเป้าให้คนกินเห็น แตกต่างจากเมืองไทยที่ต้องกินปลาปักเป้าโดยไม่รู้ตัว
"การเกิดพิษของปลาปักเป้าที่มีการศึกษาไว้ พบว่า ปลาปักเป้ากินอาหารที่มีพิษและสร้างสารพิษโดยตัวของมันเอง รวมถึงขนาดตัวของปลาก็มีพิษอันตรายเหมือนกัน โดยเฉพาะช่วงฤดูวางไข่จะมีพิษมากที่สุด จึงทำให้ปลาปักเป้าตัวเมียมีพิษสูงกว่าปลาปักเป้าตัวผู้ ส่วนเลือดและเนื้อมีพิษอยู่น้อยมาก ในประเทศญี่ปุ่นต้องมีใบอนุญาตชำแหละ และมีการฝึกอบรมการชำแหละทุกปี แต่ก็ยังมีคนเสียชีวิตจากปลาปักเป้าอยู่" ศ.ดร.ทศพร กล่าวศ.ดร.ทศพรกล่าวอีกว่า ส่วนประเทศไทยยังไม่มีมาตรการใดๆ ที่เข้ามาควบคุมการบริโภคปลาปักเป้า เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นที่ผู้บริโภคตั้งใจกินปลาปักเป้า แต่คนไทยกินปลาปักเป้าโดยไม่รู้ตัว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันหาทางออกในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน
จาก : คม ชัด ลึก วันที่ 4 ตุลาคม 2550
|
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 04, 2007, 01:10:38 AM โดย สายน้ำ »
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2007, 01:11:54 AM » |
|
พิษร้ายปลาปักเป้าแรงกว่าไซยาไนด์
เตือนพิษปลาปักเป้าร้ายแรงกว่าไซยาไนด์ ทนความร้อนได้ถึง 200 องศาเซลเซียส จี้กรมประมงเร่งให้ข้อมูลผู้บริโภคเด็ดขาด
ศ.ดร.เปี่ยมศักดิ์ เมนะเศวต ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ประเภทวิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ สาขาวิชาการประมง เปิดเผยว่า ปลาปักเป้าที่พบบ่อยในไทยมีปลาปักเป้าลาย และปลาปักเป้าดำ ซึ่งสารพิษในปลาปักเป้าเกิดจากเชื้อแบคทีเรียของแพลงตอนและซากพืช ซากสัตว์ที่ปลาปักเป้ากินเป็นอาหาร ซึ่งพิษมี 2 ชนิดด้วยกันคือ Tetrotoxin และ Saxitoxin แต่พิษของ Tetrotoxin จัดเป็นสารพิษที่มีความรุนแรงมากที่สุด ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้ออัมพาตและเสียชีวิตได้ในที่สุด พบพิษมากในรังไข่
สำหรับพิษของปลาปักเป้า 1 ตัว สามารถฆ่าคนได้ถึง 30 คน และพิษยังมีความรุนแรงสูงกว่าไซยาไนด์ถึง 1,200 เท่า ทั้งยังสามารถทนความร้อนได้ถึง 200 องศาเซลเซียส ส่วนสาเหตุที่พบปลาปักเป้ามากคาดว่าติดมากับการลากอวนในน้ำลึก และปัญหาสิ่งแวดล้อมทำให้บริมาณปลาปักเป้ามีจำนวนมากขึ้น ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกัน กรมประมงควรมีการแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงพิษ และประกาศห้ามรับประทานอย่างเด็ดขาด พร้อมกับทำการแจ้งเตือนเมื่อถึงฤดูกาลที่ต้องเฝ้าระวัง หากพบมีปลาติดมากับอวนชาวประมงต้องทำลายทันที และจัดให้มีการฝึกอบรมการชำแหละอย่างถูกต้องในกรณีใช้บริโภค
ด้าน ศ.ดร.ทศพร วงศ์รัตน์ ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ ประเภทวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาขาวิชาสัตววิทยา กล่าวว่า ปลาปักเป้าทุกชนิดจัดอยู่ในประเภทปลามีพิษ ในประเทศไทยพบมีปลาปักเป้า 10 ชนิดและมีวัฒนธรรมทางพันธุกรรมที่ยาวนานที่สุดก่อนคนไทยและประเทศไทย พิษของปลาปักเป้าอยู่ที่บริเวณผิวหนัง ตับ ลำไส้ และมีพิษร้ายแรงอยู่ที่บริเวณรังไข่ พบมากในช่วงฤดูกาลวางไข่
สาเหตุที่มีการรับประทานปลาปักเป้าในญี่ปุ่นนั้น เนื่องจากพิษในปลาปักเป้าสำหรับคนญี่ปุ่นแล้วเปรียบเสมือนเครื่องเทศของช่องปาก อีกทั้งญี่ปุ่นมีมาตรฐานการชำแหละที่ดี มีการจัดอบรมผู้ชำแหละปลาปักเป้าโดยเฉพาะ ขณะที่ประเทศไทยยังขาดการอบรม ระมัดระวัง มีการลักลอบจำหน่าย ไม่มีการแจ้งให้ผู้บริโภคทราบว่าเนื้อปลาที่บริโภคนั้นเป็นเนื้อปลาปักเป้า นอกจากนี้ จากการศึกษายังพบว่าพิษของปลาเป้าสามารถซึมผ่านผิวหนังของผู้ชำแหละได้ หากมีการชำแหละปลาเป็นเวลานานและไม่มีการป้องกัน ดังนั้น ไม่ทราบว่าในจังหวัดสมุทรสาครมีรายงานพบเรื่องดังกล่าวหรือไม่.
จาก : ไทยโพสต์ วันที่ 4 ตุลาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
WayfarinG
|
 |
« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2007, 05:49:33 AM » |
|
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
If you reject the food, ignore the customs, fear the religion and avoid the people, you might better stay home. -- > James Michener
|
|
|
|
Plateen
|
 |
« ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 04, 2007, 07:33:58 AM » |
|
โอย...ขนาดเก๋ากะ กะพง ยังไม่วาย สงสัยผมหันไปกินหญ้าดีกว่า 
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
For God so loved the world, that he gave his only begotten Son, that whosever believeth in him should not perish, but have everlasting life[John3:16]
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 05, 2007, 12:00:07 AM » |
|
ราชบัณฑิตชี้ "รังไข่ปลาปักเป้า พิษแรงกว่า ไซยาไนต์
ตัวอย่างเนื้อปลาปักเป้าแล่แล้ว ราชบัณฑิตสาขาวิชาการประมง เตือนรังไข่ของปลาปักเป้ามีพิษร้ายแรงกว่าไซยาไนต์ และทนความร้อนได้ 200 องศาเซลเซียส จี้กรมประมงเร่งให้ข้อมูลประชาชน ประกาศห้ามบริโภคเด็ดขาด หากพบต้องเร่งทำลาย ศ.ดร.เปี่ยมศักดิ์ เมนะเศวต ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ประเภทวิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ สาขาวิชาการประมง กล่าวว่า ปลาปักเป้าที่พบบ่อยในไทย มีปลาปักเป้าลาย และปลาปักเป้าดำ ซึ่งสารพิษในปลาปักเป้า เกิดจากเชื้อแบคทีเรียของแพลงตอน และซากพืชซากสัตว์ที่ปลาปักเป้ากินเป็นอาหาร ซึ่งพิษมี 2 ชนิดด้วยกัน คือ Tetrotoxin และ Saxitoxin แต่พิษของ Tetrotoxin จัดเป็นสารพิษที่มีความรุนแรงมากที่สุด ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้ออัมพาต และเสียชีวิตได้ในที่สุด พบพิษมากในรังไข่ โดยพิษของปลาปักเป้า 1 ตัว สามารถฆ่าคนได้ถึง 30 คน และพิษยังมีความรุนแรงสูงกว่าไซยาไนต์ถึง 1,200 เท่า และสามารถทนความร้อนได้ถึง 200 องศาเซลเซียส สาเหตุที่พบปลาปักเป้ามาก คาดว่า ติดมากับการลากอวนในน้ำลึก และปัญหาสิ่งแวดล้อมทำให้บริมาณปลาปักเป้ามีจำนวนมากขึ้น ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกัน กรมประมงควรมีการแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงพิษ และประกาศห้ามรับประทานอย่างเด็ดขาด พร้อมกับทำการแจ้งเตือนเมื่อถึงฤดูกาลที่ต้องเฝ้าระวัง หากพบมีปลาติดมากับอวนชาวประมงต้องทำลายทันที และจัดให้มีการฝึกอบรมการชำแหละอย่างถูกต้องในกรณีใช้บริโภค ศ.ดร.ทศพร วงศ์รัตน์ ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ ประเภทวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาขาวิชาสัตววิทยา กล่าวว่า ปลาปักเป้าทุกชนิดจัดอยู่ในประเภทปลามีพิษ ในประเทศไทยพบมีปลาปักเป้า 10 ชนิด และมีวัฒนธรรมทางพันธุกรรมที่ยาวนานที่สุดก่อนคนไทยและประเทศไทย พิษของปลาปักเป้าอยู่ที่บริเวณผิวหนัง ตับ ลำไส้ และมีพิษร้ายแรงอยู่ที่บริเวณรังไข่ พบมากในช่วงฤดูกาลวางไข่ สาเหตุที่มีการรับประทานปลาปักเป้าในญี่ปุ่นนั้น เนื่องจากพิษในปลาปักเป้าสำหรับคนญี่ปุ่นแล้วเปรียบเสมือนเครื่องเทศของช่องปาก อีกทั้งญี่ปุ่นมีมาตรฐานการชำแหละที่ดี มีการจัดอบรมผู้ชำแหละปลาปักเป้าโดยเฉพาะ สำหรับประเทศไทยแล้วยังขาดการอบรม ระมัดระวัง มีการลักลอบจำหน่าย ไม่มีการแจ้งให้ผู้บริโภคทราบว่า เนื้อปลาที่บริโภคนั้นเป็นเนื้อปลาปักเป้า ผิดกับญี่ปุ่นที่ผู้บริโภคทราบว่า สิ่งที่บริโภคคือเนื้อปลาอะไร นอกจากนี้ จากการศึกษายังพบว่าพิษของปลาเป้าสามารถซึมผ่านผิวหนังของผู้ชำแหละได้ หากมีการชำแหละปลาเป็นเวลานาน และไม่มีการป้องกัน ดังนั้น ไม่ทราบว่าในจังหวัดสมุทรสาคร มีรายงานพบเรื่องดังกล่าวหรือไม่
จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 3 ตุลาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #5 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2007, 12:26:27 AM » |
|
นักวิจัย สุดเจ๋ง คิดค้นชุดทดสอบสารพิษในปลาปักเป้าได้สำเร็จ

นักวิจัยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข คิดค้นชุดทดสอบสารพิษเตโตรโดทอกซินในปลาปักเป้าได้สำเร็จ สามารถทดสอบได้ง่ายไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ รู้ผลได้ภายใน 5นาที พร้อมใช้งานต้นปีหน้า นพ.วัลลภ ไทยเหนือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สารพิษเตโตรโดทอกซิน (tetrodotoxin) เป็นสารพิษที่พบในปลาปักเป้า โดยสารพิษดังกล่าว จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท หลังรับประทานปลาปักเป้าประมาณ 20 นาที จะเกิดอาการคันและชารอบปาก ลิ้นแข็งพูดลำบาก กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง หายใจติดขัด หอบ หากเป็นมาก และรักษาไม่ทันจะทำให้เสียชีวิตได้ภายใน 6 ชั่วโมง โดยส่วนที่มีพิษสูงที่สุดของปลาปักเป้า คือ ตับ รังไข่ รองลงมา คือ หนังปลา และเนื้อปลา ตามลำดับ และเนื่องจากเป็นสารพิษที่ทนความร้อน การนำปลาปักเป้าไปปรุงสุกจะไม่สามารถทำลายสารพิษดังกล่าวได้ ซึ่งตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 264 พ.ศ.2545 ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายปลาปักเป้าทุกชนิดและอาหารที่มีเนื้อปลาปักเป้าเป็นส่วนผสม ปัจจุบันยังพบผู้เสียชีวิตจากการบริโภคเนื้อปลาปักเป้า และยังมีการลักลอบจำหน่ายเนื้อปลาปักเป้า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้วิจัยและพัฒนาชุดทดสอบสารพิษเตโตรโดทอกซิน ชนิดตรวจกรองขึ้นโดยใช้หลักการอิมมูโนโครมาโตกราฟี ซึ่งเป็นวิธีที่ตรวจง่าย ให้ผลรวดเร็ว ไม่ต้องใช้เครื่องมือและผู้ชำนาญการในการทดสอบ ใช้เวลาในการทดสอบและอ่านผลภายใน 5 นาที เป็นชุดทดสอบที่มีความแม่นยำสูงสามารถตรวจสารพิษเตโตรโดทอกซินที่ปนเปื้อนได้ในระดับความเข้มข้นต่ำสุด 0.3 ไมโครกรัมต่อปลาปักเป้า 1 กรัม ทั้งนี้ ระดับความเข้มข้นที่ประเทศญี่ปุ่นกำหนดให้ปนเปื้อนได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค คือ 2.2 ไมโครกรัมต่อปลาปักเป้า 1 กรัมนพ.วัลลภ กล่าว นพ.วัลลภ กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อยู่ระหว่างดำเนินการจดสิทธิบัตรชุดทดสอบดังกล่าว โดยจะเตรียมผลิตเพื่อให้หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนนำไปใช้ตรวจสอบสารพิษจากปลาปักเป้าในต้นปี พ.ศ.2551 นี้ คาดว่า ชุดทดสอบดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือที่หน่วยงานต่างๆ สามารถนำไปใช้ในการคุ้มครองผู้บริโภคต่อไป
จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 5 ตุลาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #6 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2007, 01:16:14 AM » |
|
กรมวิทย์ฯ ผลิตชุดตรวจ สารพิษปลาปักเป้าสำเร็จ
น.พ.วัลลภ ไทยเหนือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สารพิษเตโตรโดทอกซิน (tetrodotoxin) เป็นสารพิษที่พบในปลาปักเป้า ทนความร้อน การนำปลาปักเป้าไปปรุงสุกจะไม่สามารถทำลายสารพิษดังกล่าวได้ ซึ่งตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 264 พ.ศ.2545 ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายปลาปักเป้าทุกชนิดและอาหารที่มีเนื้อปลาปักเป้าเป็นส่วนผสม น.พ.วัลลภ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้วิจัยและพัฒนาชุดทดสอบ สารพิษเตโตรโดทอกซิน ชนิดตรวจกรองขึ้นโดยใช้หลักการอิมมูโนโครมาโตกราฟี ซึ่งเป็นวิธี ที่ตรวจง่าย ให้ผลรวดเร็ว ไม่ต้องใช้เครื่องมือและผู้ชำนาญการในการทดสอบ ใช้เวลาในการทดสอบและอ่านผลภายใน 5 นาที เป็นชุดทดสอบที่มีความแม่นยำสูงสามารถตรวจสารพิษ เตโตรโดทอกซินที่ปนเปื้อนได้ในระดับความเข้มข้นต่ำสุด 0.3 ไมโครกรัมต่อปลาปักเป้า 1 กรัม ทั้งนี้ ระดับความเข้มข้นที่ประเทศญี่ปุ่นกำหนดให้ปนเปื้อนได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค คือ 2.2 ไมโครกรัมต่อปลาปักเป้า 1 กรัม
ขณะนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อยู่ระหว่างดำเนินการจดสิทธิบัตรชุดทดสอบดังกล่าว โดยจะเตรียมผลิต เพื่อให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนนำไปใช้ตรวจสอบสารพิษจากปลาปักเป้าในต้นปี พ.ศ.2551 นี้ คาดว่าชุดทดสอบดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือที่หน่วยงานต่างๆ สามารถนำไปใช้ในการคุ้มครอง ผู้บริโภคต่อไป
จาก : บ้านเมือง วันที่ 10 ตุลาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #7 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2007, 11:33:09 PM » |
|
เร่งศึกษาพิษ"ปลาปักเป้า"ก่อนบริโภค กรมประมงย้ำอันตรายเสี่ยงถึงตาย ดร.จิราวรรณ แย้มประยูร รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า แม้การจำหน่ายเนื้อปลาปักเป้าจะผิดกฎหมายตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข แต่ปัจจุบันยังมีผู้ลักลอบจำหน่ายเนื้อปลาปักเป้า ซึ่งพิษปลาปักเป้าอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ถ้ารับการรักษาไม่ทันอาจถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งเรื่องนี้กรมประมงได้ประกาศเตือนประชาชนอยู่เสมอให้งดเว้นการบริโภคปลาปักเป้า
ดร.จิราวรรณ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่สมาคมประมงสมุทรสงคราม ทำหนังสือร้องเรียนให้รัฐบาลทบทวนประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยขอให้กำหนดมาตรการและหลักเกณฑ์ต่างๆเพื่อควบคุมการจำหน่ายเนื้อปลาปักเป้าให้ถูกกฎหมายเหมือนต่างประเทศ เบื้องต้นสำนักงานอาหารและยา ได้ตั้งคณะทำงานจัดทำมาตรการดังกล่าวแล้ว โดยกรมประมงได้รับมอบหมายให้วิจัย 3 ประเด็น คือ 1.วิจัยการทำประมงปลาปักเป้า เช่น ชนิดและปริมาณของปลาปักเป้าในเมืองไทย แหล่งประมงที่ปลาปักเป้าติดเครื่องมือประมงขึ้นมา 2.ศึกษาพิษปลาปักเป้า เช่น ฤดูกาลที่เกิดพิษ ชนิดและปริมาณของพิษ และ 3.การเก็บรักษา แล้วให้นำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ร่วมกับหน่วยงานอื่นเพื่อหาข้อยุติที่ชัดเจนเรื่องการนำปลาปักเป้ามาใช้ประโยชน์
"การบริโภคเนื้อปลาปักเป้าให้ปลอดภัยเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องศึกษาวิจัยและฝึกอบรม อีกทั้งต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายด้านที่เกี่ยวข้อง เช่น เกาหลีและญี่ปุ่นที่สามารถจำหน่ายเนื้อปลาปักเป้าให้แก่ผู้บริโภคได้นั้น ผู้ประกอบอาหารจากปลาปักเป้าต้องมีความรู้เกี่ยวกับปลาปักเป้าและต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างดี มีใบรับรองอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ยังกำหนดสายพันธุ์ของปลาปักเป้าที่จะนำมาปรุงอาหาร และปลาปักเป้าที่นำเข้าประเทศต้องมีใบรับรอง รวมทั้งกำหนดปริมาณพิษปลาปักเป้าต้องไม่เกิน 10 Mouse Unit/gram จึงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาอย่างรอบคอบเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น" ดร.จิราวรรณ กล่าว
จาก : แนวหน้า วันที่ 11 ตุลาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #8 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2007, 12:36:01 AM » |
|
หาข้อยุติ...ภัยจากเปิบปักเป้า
เรามักจะได้ข่าวเกี่ยวกับพิษของการที่เปิบเนื้อปลาปักเป้า ซึ่งรุนแรงในบางครั้งหากรักษาไม่ทันอาจถึงขั้นเสียชีวิต แม้ว่า การจำหน่ายเนื้อปลาชนิดนี้จะผิดกฎหมายตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข แล้วก็ตาม...แต่ก็มีการลักลอบจำหน่ายและกินกันจนเป็นข่าว
และด้วยข้อห้าม...สมาคมประมงสมุทรสงครามได้มีหนังสือร้องเรียนให้รัฐฯ ทบทวนประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับนี้ เพื่อจะได้นำปลาปักเป้ามาใช้ประโยชน์...
...เนื่องจาก ต้องนำปลาเหล่านี้จำนวนมากทิ้งทะเลไปเฉยๆ โดยให้วางมาตรการและกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ เข้ามาควบคุมเนื้อปลาปักเป้าให้ถูกกฎหมายเช่นเดียวกับต่างประเทศ
ดร.จิราวรรณ แย้มประยูร รองอธิบดีกรมประมงจึงได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมาแจงว่า... การบริโภคเนื้อปลาปักเป้าให้ปลอดภัยเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องศึกษา อีกทั้งต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายด้านที่เกี่ยวข้อง
ยกตัวอย่างที่ เกาหลีและญี่ปุ่นเขาสามารถจำหน่ายเนื้อปลาปักเป้าแก่ผู้บริโภคได้นั้น ผู้ประกอบอาหารต้องมีความรู้เกี่ยวกับปลาปักเป้า และต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างดีมีใบรับรองอย่างเป็นทางการ...
...นอกจากนี้ ยังกำหนดชนิดสายพันธุ์ของปลาปักเป้าที่จะนำมาปรุงอาหารได้ และ ปลาปักเป้าที่นำเข้าประเทศต้องมีใบรับรอง พร้อมทั้งกำหนดปริมาณพิษต้องไม่เกิน 10 Mouse Unit/gram
อย่างไรก็ดี สำนักงานอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ตั้งคณะทำงานจัดทำมาตรการป้องกันปัญหาปลาปักเป้าเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งประกอบด้วย กรมประมง และภาครัฐที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันพิจารณา ในความเป็นไปได้ในการที่จะนำปลาปักเป้ามาใช้ประโยชน์
ซึ่งก็ได้ดำเนินการสำรวจและวิจัยเพื่อเป็นองค์ความรู้ในการกำหนดแนวนโยบายไว้ 3 ประเด็นคือ วิจัยการทำประมงปลาปักเป้าในเมืองไทย เช่น ชนิด ปริมาณ แหล่งและเครื่องมือในการประมง... ศึกษาพิษปลาปักเป้า เช่น ฤดูกาลที่เกิดพิษ ชนิดและปริมาณของพิษ กับ วิจัยในการเก็บรักษา...!!!
นอกจากนี้ คณะทำงานยังได้กำหนดการสำรวจ วิจัย และ ศึกษาอีกหลายประเด็นเพื่อหาข้อยุติ ทั้งในปัจจัยทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับความคุ้มค่า คุ้มทุนและการเป็นสัตว์เศรษฐกิจของปลาปักเป้า
รวมถึงการจัดการกองทุนและค่าชดเชยความเสียหาย ตลอดจนการ เฝ้าระวังติดตามของผู้ประกอบการ การจัดหา Antitoxin หรือวัคซีนเพื่อป้องกันและแก้ปัญหา... ท้ายสุดก็คือประเด็นข้อกฎหมาย ที่จะต้องสัมพันธ์กับสภาวะ
ซึ่งในช่วงที่ยังไม่ลงเอยนี้ กรมประมง ก็ได้ประกาศเตือนอยู่เสมอๆให้งดเว้นการบริโภคปักเป้า... เพราะบ้านเรายังมีปลาตัวอื่นให้กินอีกเยอะแยะ..!!!
จาก : ไทยรัฐ วันที่ 17 ตุลาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #12 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2007, 01:18:13 AM » |
|
แพทย์เตือนพิษปักเป้า พบขายทั่วไปทั้งสด-แปรรูป
แพทย์จุฬาฯ แนะผู้บริโภคระวังบริโภคปลาปักเป้ารับพิษไม่รู้ตัว พบเสียชีวิตแล้ว 15 ราย พบยังมีขายทั่วไป ทั้งเนื้อปลาสดและลูกชิ้น ด้านผู้บังคับการ ปศท.เสนอเพิ่มโทษผู้ลักลอบจำหน่าย
ในการสัมมนาเรื่อง ทางออกของปลาปักเป้าจะเป็นอย่างไร จัดโดยคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีผู้เกี่ยวข้องนำเสนอถึงผลกระทบของปลาปักเป้าต่อสังคมไทย ซึ่งต่างยอมรับว่านับวันปัญหาจะรุนแรงและกระทบทั่วถึงกัน
นพ.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกัน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยกรณีศึกษาผู้ที่รับประทานอาหารที่มีพิษ ที่มีส่วนประกอบของปลาปักเป้าปนอยู่โดยไม่รู้ตัวพบว่า ผู้ที่รับพิษปลาปักเป้าจากการรับประทานก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกง พิษจะเกิดได้รวดเร็วภายใน 15 นาที หลังรับประทานเข้าไป ซึ่งจะพบมีอาการชาตามปาก มือ แขน ขา
ส่วนตัวเลขการรับผู้ป่วย ที่ได้รับพิษปลาปักเป้าตั้งแต่ปี 2472 ถึงปัจจุบันมีผู้ป่วยประมาณ 115 คน จำนวนนี้เสียชีวิต 15 คน เฉพาะปี 2550 มีผู้ป่วย 9 ราย จากกรณีศึกษาไม่พบมีใครเสียชีวิต เพราะมาพบแพทย์ทัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือน มิ.ย.-ส.ค.ที่ผ่านมา ทีมวิจัยของแพทย์ได้ตามเก็บตัวอย่าง พบว่ามีการขายปักเป้าโดยทั่วไปตามตลาดทั่วไปในราคาถูก เช่น ตลาดบางกะปิ เทเวศร์ ลาดพร้าว ผู้ค้าใช้ชื่อทางการค้าว่าปลาเนื้อไก่ หรือปลาช่อนทะเล
ดังนั้น ผู้บริโภคควรระมัดระวังตัวเอง โดยให้สังเกตเนื้อปลาที่ไม่มีหนังเหมือนเนื้อไก่ เนื้อไม่ละเอียด ร่องของเนื้อจะใหญ่และห่าง
พล.ต.ต.วิสุทธ์ วานิชบุตร ผู้บังคับการกองปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (ปศท.) กล่าวถึงการตามจับกุมการจำหน่ายปลาปักเป้าผิดกฎหมายว่า พบมากในลักษณะต่างๆ
บางครั้งแปรรูปเป็นลูกชิ้น ซึ่งการตามจับทำได้ยาก ส่วนตัวคิดว่าโทษของผู้จำหน่ายยังมีน้อย ต้องหาวิธีให้กฎหมายมีผลบังคับได้ดียิ่งขึ้น
น.ส.กัลยาณี ดีประเสิรฐวงศ์ นักวิชาการอาหารและยา 8 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวยอมรับว่า ยังขาดข้อมูลวิจัยประกอบการพิจารณาทิศทางของปลาปักเป้า
ล่าสุดได้ตั้งคณะทำงานที่มีตัวแทนทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงกลุ่มทำประมงและค้าปลา ใน 7 ประเด็น เช่น ปัจจัยทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับความคุ้มค่าทุน ผลกระทบต่อการประมงรายย่อย วัคซีนป้องกันแก้ไข กฎหมายข้อบังคับใช้ แม้จะยังไม่ได้ข้อสรุปแต่มีความคืบหน้าให้จัดระบบเฝ้าระวังคนได้รับพิษจากปลาปักเป้าใน 3 จังหวัดนำร่อง คือ เชียงใหม่ ชลบุรี ขอนแก่น และมีข้อเสนอขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการแร่ปลาทั้งหมด
ด้านนายชินชัย สถิรยากร รองประธานฝ่ายกิจกรรมพิเศษ จากสหกรณ์ประมงแม่กลอง กล่าวว่า การค้าปลาปักเป้ามีมานานแล้ว ขอสังคมเปิดช่องให้ผู้ค้าด้วย แต่ยินดีเข้าร่วมทุกเวทีที่จะถกปัญหาที่เกิดจากปลาปักเป้า หากไม่มีทางแก้ปัญหาก็ยินดีเลิกค้า
จาก : กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 17 ธันวาคม 2550
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
Sea Man
|
 |
« ตอบ #13 เมื่อ: ธันวาคม 17, 2007, 03:12:32 AM » |
|
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
.....รู้จักคิด....ฟังความคิดผู้อื่น....พร้อมเปลี่ยนแปลง....ไปสู่สิ่งใหม่และดีกว่า.....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #14 เมื่อ: มกราคม 16, 2008, 11:36:22 PM » |
|
สธ.เตือนพิษ"ปลาปักเป้า"ทนร้อนสูงสั่งสสจ.คุมเข้มจำหน่าย สธ.เตือนพิษ "ปลาปักเป้า" ทนความร้อนสูง ความเค็มจากการแปรรูปเป็นปลาร้า ไม่สามารถทำลายพิษได้ สั่ง สสจ.ทั่วประเทศคุมเข้มการจำหน่ายปลาปักเป้า วอนพ่อค้าแม่ค้าเห็นแก่ความปลอดภัยของประชาชน ไม่นำมาแปรรูปขาย
จากกรณี นางสมใจ ซื่อตรง อายุ 48 ปี เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลบ้านค่าย จ.ระยอง เมื่อเช้าวันที่ 14 มกราคม ที่ผ่านมา ภายหลังรับประทานส้มตำปลาร้าที่เพื่อนบ้านปรุง ร่วมกับบุตรหลานและเพื่อนบ้าน รวม 5 คน เมื่อวันที่ 13 มกราคม แล้วเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง แขน-ขาอ่อนแรง นิ้วมือชา โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ระยอง ได้เก็บตัวอย่างจากร้านค้าในตลาดหนองกลับ พบว่าแหล่งผลิตเป็นโรงงานใน จ.นครสวรรค์
นพ.มรกต กรเกษม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดกวดขันเรื่องการนำปลาปักเป้าน้ำจืดและน้ำเค็มมาจำหน่ายแก่ผู้บริโภค ทั้งร้านหมูกะทะและการแปรรูปเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้น หมักทำเป็นปลาร้ารวมกับปลาอื่นๆ เนื่องจากพิษของปลาปักเป้าทนต่อความร้อน ความเค็ม ไม่สลายไปเมื่อนำมาปรุงอาหาร โดยพิษของปลาปักเป้ามีชื่อว่า เตดโตรโดท็อกซิน พบมากที่ส่วนของไข่ ตับ ลำไส้ หนังของปลา หลังได้รับพิษ 10-30 นาที จะเริ่มชาที่ริมฝีปาก ลิ้น ใบหน้า จนมีอาการรุนแรง กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต หายใจไม่ออก ไม่รู้สึกตัว และเสียชีวิตในที่สุด
ทั้งนี้ สธ.ได้ออกประกาศ ฉบับที่ 264 พ.ศ.2545 เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย คือ ปลาปักเป้าทุกชนิด และอาหารที่มีปลาปักเป้าเป็นส่วนผสม เป็นอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค เพราะประชาชนไทยยังมีทางเลือกรับประทานอาหารอื่นๆ ได้อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม ขอร้องผู้ประกอบการอาหารเห็นแก่ความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน ไม่นำปลาปักเป้ามาแปรรูปเป็นอาหารจำหน่ายโดยเด็ดขาด
ด้าน นพ.ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า พิษจากปลาปักเป้ายังไม่มียาแก้พิษโดยเฉพาะ การรักษาของแพทย์จะต้องใช้การรักษาตามอาการ โดยให้น้ำเกลือ หากหยุดหายใจต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ โดยพิษของปลาปักเป้าจะขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ หากพิษหมดจากร่างกายอาการผู้ป่วยก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ในการรับประทานอาหารจำพวกปลา เช่น เนื้อสัตว์ปิ้งย่างในร้านหมูกะทะ ข้าวต้มปลา ปลาผัดขึ้นฉ่าย ปลาผัดเผ็ดต่างๆ ขอให้สังเกตลักษณะของเนื้อปลาที่เหมือนเนื้อไก่ หากรับประทานแล้วผิดปกติให้รีบไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
จาก : คม ชัด ลึก วันที่ 17 มกราคม 2551
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|