สายน้ำ
|
|
« เมื่อ: เมษายน 27, 2007, 12:05:43 AM » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 15, 2007, 01:25:48 AM โดย สายน้ำ »
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: เมษายน 27, 2007, 12:07:16 AM » |
|
ชาวบ้านเปร็ดในอ้อนรัฐช่วย หางบฯทำแนวป้องกันคลื่นชะโคลนป่าชายเลน จากการที่ชาวตำบลห้วงน้ำขาว อ.เมือง จ.ตรัง ได้ออกมาเรียกร้องให้ภาครัฐเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มอนุรักษ์บ้านเปร็ดใน ในการร่วมกันป้องกันคลื่นทะเลที่ซัดทะเลโคลนป่าชายเลนกินพื้นที่เข้าไปเรื่อยๆ จนเป็นระยะยาวกว่า 10 กิโลเมตร
นายอัมพร แพทย์ศาสตร์ ประธานกลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน กล่าวว่า ป่าชายเลนบ้านเปร็ดในกำลังถูกทำลายจากภัยธรรมชาติมานาน 2-3 ปี โดยคลื่นทะเลมีความแรงและซัดเข้ามายังพื้นที่ป่าชายเลนที่มีระยะทางยาวกว่า 9 กม. ส่งผลให้ป่าชายเลนบางส่วนถูก ทำลาย เพราะโคลนที่ปกคลุมต้นโกงกางถูกกัดเซาะจากคลื่นจนโคลนถูกทำลายและไหลลงทะเลไป ทำให้สัตว์ทะเลต้องสูญเสียแหล่งเพาะพันธุ์จนสัตว์น้ำวัยอ่อนลดลงเป็นจำนวนมาก ประกอบกับสัตว์น้ำที่เป็นพ่อแม่ไม่สามารถหาแหล่งวางไข่ได้ ทำให้กลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลนบ้านเปร็ดในต้องหาทางในการแก้ปัญหา
กลุ่มฯ ได้พยายามแก้ปัญหาเรื่องโคลนมาตลอด 2-3 ปี แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ กระทั่ง ได้รับความรู้จากองค์กรชุมชนและภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่แนะนำว่าให้ใช้ยางรถยนต์ มาทำเป็นลูกเต๋าเพราะจะเกิดความยืดหยุ่นดีกว่าใช้แท่งคอนกรีตหรือวัสดุอื่น เพราะคอนกรีตจะทำให้เกิดผล กระทบทางระบบนิเวศน์ที่จะเปลี่ยนไปจนสัตว์น้ำวัยอ่อนต้องปรับสภาพแวดล้อมใหม่ หรืออาจจะต้องสูญเสียไป แต่ปัญหาก็คือผมและกลุ่มไม่มีทุนมากพอที่จะซื้อหรือรับบริจาคยางรถยนต์เก่าเพื่อมาทำลูกเต๋ายางทำให้โครงการล่าช้าและอาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพป่าชายเลนในอนาคตได้ เพราะขณะนี้ทำได้แค่ 3 กม. จาก 10 กว่า กม.ที่มีอยู่
ประธานกลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน กล่าวอีกว่า ทางกลุ่มฯ ต้องการจะขอรับการสนับสนุนจากภาคเอกชนที่มียางรถยนต์เก่า โดยทางกลุ่มจะรับซื้อแต่ไม่ขอบริจาค ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่เป็นการรบกรวนงบประมาณจากองค์กรหรือภาคเอกชน เนื่องจากไม่ต้องการสร้างวัฒนธรรมที่ไม่ดีแต่จะช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด
ที่มา : แนวหน้า วันที่ 27 เมษายน 2550
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
WayfarinG
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: เมษายน 27, 2007, 01:22:34 AM » |
|
รู้สึกมั๊ยว่า... คนรักที่จะทำลาย...ก็ทำลายไปซิ...ส่วน คนที่พยายามจะปกปักรักษา...ก็พยายามไปซิ... อยากรู้เหมือนกันว่า...จะเป็นงัยต่อไป... ...ในเมื่อการทำลาย มันง่ายกว่าการรักษา...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
If you reject the food, ignore the customs, fear the religion and avoid the people, you might better stay home. -- > James Michener
|
|
|
แมลงปอ
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: เมษายน 27, 2007, 02:16:39 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Sea Man
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: เมษายน 27, 2007, 02:25:28 AM » |
|
..........เจ้Way....พูดได้จับใจจริงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ.................
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
.....รู้จักคิด....ฟังความคิดผู้อื่น....พร้อมเปลี่ยนแปลง....ไปสู่สิ่งใหม่และดีกว่า.....
|
|
|
|
|
frappe
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: เมษายน 27, 2007, 06:48:54 AM » |
|
พี่สายชลคะ แล้วนอกจากซีเมนต์กับยางรถยนต์ที่ดูจะมีผลข้างเคียงแล้ว จะมีวิธีอื่นอีกไหมคะ ที่จะให้ชาวบ้านจะนำไปใช้แทนได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
มีใจเป็นมิตร มีจิตเป็นเพื่อน
|
|
|
|
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 8186
Saaychol
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: เมษายน 27, 2007, 12:24:28 PM » |
|
วิธีการอย่างที่ชาวมหาชัยทำนั้นก็นับเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ชาวบ้านคิดทำกันขึ้นมา คือ ด้านในจะปลูกป่าชายเลนไว้ยึดดิน แล้วใช้กระบอกไม้ไผ่กั้นเป็นแนวด้านนอก เพื่อใช้ทั้งกันคลื่นลม...ให้ตะกอนตก.... แถมยังใช้เลี้ยงหอยแมงภู่ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีการทำแท่งคอนกรีตรูปสามเหลี่ยม นำไปปักห่างจากทะเลประมาณ 500 เมตร โดยปักเป็นสามแถว เพื่อช่วยลดแรงปะทะของคลื่น และอื่นๆอีกหลายวิธีนอกเหนือจากการสร้างเขื่อนหินกันคลื่นลม
ลองไปอ่านเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ที่นี่นะคะhttp://www.saveoursea.net/boardsmf/index.php?topic=718.0
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 27, 2007, 12:40:38 PM โดย สายชล »
|
บันทึกการเข้า
|
Saaychol
|
|
|
Vita
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: เมษายน 27, 2007, 01:28:11 PM » |
|
ตอนไปปลูกป่าชายเลน พอเห็นยางเยอะแยะ ก็กลัวๆอยู่เหมือนกันว่า อาจจะถูกน้ำพัดไปลงทะเล แล้วทำให้ ท้องทะเลเสียหายรึเปล่า ก็หวั่นๆอยู่ครับ เพราะเป็นเหมือนสิ่งแปลกปลอม ในธรรมชาติ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา
|
|
|
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 8186
Saaychol
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2007, 06:24:26 AM » |
|
ข่าวจาก เดลินิวส์ ประจำวันอังคารที่ 1 พฤษภาคมค่ะ
โครงการปลูกป่าชายเลน เฉลิมพระเกียรติฯ
ในปี พ.ศ. 2536 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ทรงเล็งเห็นและตระหนักถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น จากสภาพการเปลี่ยนแปลงที่เสื่อมโทรมของทรัพยากรและจำนวนพื้นที่ป่าไม้ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว จึงมีพระราชดำริที่จะพระราชทานป่าไม้แก่ปวงชนชาวไทยทั่วทุกภาค เพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ด้วยการจัดทำโครงการปลูกป่าพระราชทาน เพื่อพัฒนาและฟื้นฟูป่าชายเลนขึ้น โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนและองค์กรท้องถิ่นในพื้นที่มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ และวางแผนการดูแลทรัพยากรป่าชายเลนในแต่ละท้องที่ด้วยตนเอง รวมถึงการบริหารจัดการพื้นที่ป่าชายเลนที่มีประสิทธิภาพซึ่งในระยะแรกของการดำเนินโครงการ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯ ไป ยังพื้นที่บ้านหัวเขา จังหวัดสงขลา และทรงร่วมปลูกป่าชายเลนด้วยพระองค์เอง นับเป็นพระมหากรุณา ธิคุณ และเป็นแบบอย่างให้ประชาชนได้ร่วมใจกันปลูกและดูแลรักษาต้นไม้ป่าชายเลนที่ปลูกขึ้นใหม่ให้เจริญเติบโตต่อไป
ป่าไม้ที่เกิดขึ้นบริเวณรอยต่อระหว่างแผ่นดินกับผืนน้ำทะเล มีน้ำจืดที่ไหลลงสู่ทะเลผสมผสานกันจนกลายเป็นน้ำกร่อย ยิ่งถ้าหากบริเวณนั้นเป็นอ่าวคลื่นลมสงบ ตะกอนที่มากับแม่น้ำจะตกลงสู่พื้นสะสมรวมตัวเป็นหาดเลนอันกว้างใหญ่ ก่อให้เกิดเหล่าพันธุ์ไม้ที่รากยึดตะกอนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นสันดอน จนถูกขนานนามว่า ป่าชายเลน
ป่าชายเลนหรือป่าโกงกางเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญ ทั้งในด้านการป่าไม้ การประมง และสิ่งแวดล้อมไม้ จากป่าชายเลน โดยเฉพาะไม้โกงกางนำมาทำฟืน เผาถ่าน ให้ถ่านที่มีคุณภาพดี ยังมีไม้ป่าชายเลน อีกหลายชนิดนำไปทำสิ่งก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ และกลั่นเป็นสารเคมีที่มีประโยชน์ เช่น แทนนิน แอลกอ ฮอล์ กรดน้ำส้ม และน้ำมันดิน
อีกทั้งเป็นแหล่งผลิตอาหารโปรตีนที่สำคัญ เนื่องจากป่าชายเลนเป็นที่วางไข่และแหล่งอาหารในการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำเศรษฐกิจนานาชนิด ในด้านการประมง ป่าชายเลนเป็นแหล่งขยายพันธุ์ และที่อยู่อาศัยของสัตว์อีกหลายชนิด เช่น กุ้งกุลาดำ กุ้งแชบ๊วย จากการศึกษาพบว่า บริเวณป่าชายเลนประเทศไทย มีกุ้งชนิดต่าง ๆ ประมาณ 16 ชนิด กุ้งบางชนิดอาจมีชีวิตวางไข่ในทะเลลึก แล้วเข้ามาเติบโตในชายฝั่ง ขณะที่สัตว์น้ำบางชนิดอาจใช้บริเวณป่าชายเลนเป็นทั้งแหล่งเกิดและอาศัยจนเติบโตสืบพันธุ์ต่อไป
ส่วนสัตว์น้ำอย่างปลาและกุ้งบางชนิดเลี้ยงตัวอ่อนตามแหล่งน้ำชายฝั่งอันอุดมสมบูรณ์ จนเจริญเติบโตแล้วจึงออกสู่ทะเลลึกเพื่อแพร่พันธุ์ แต่บางชนิดมีถิ่นอาศัยตั้งแต่เกิดจนตายในบริเวณเดียวกัน และพบปลาในวัยอ่อนอาศัยตามบริเวณชายฝั่งมากที่สุด เช่น ปลากระบอก ปลากะพงขาว ปลาเก๋า และปลานวลจันทร์ รวมทั้งสัตว์น้ำประเภทหอย ที่พบมากในบริเวณป่าชายเลนและพื้นที่ใกล้เคียง เช่น บนที่ราบ ดินเลน ที่ราบดินทรายปนเลน ได้แก่ หอยแมลงภู่ หอยแครง หอยนางรม และหอยกะพง
ยังมีปูที่พบเห็นได้เฉพาะ ตามป่าชายเลน อย่าง ปูแสม ปูทะเล และปูม้า สำหรับปูทะเลสามารถนำมาเลี้ยงให้มีเนื้อแน่นได้ในบริเวณป่าชายเลน ปูทะเลไม่มีวงจรชีวิตออกสู่ทะเลลึกจะอยู่อาศัยในบริเวณป่าชายเลน และพื้นที่ใกล้เคียงเท่านั้น ซึ่งต่างจากปูม้า ที่ในวัยอ่อนจะหากินบริเวณที่ราบดินเลนใกล้ฝั่งป่าชายเลน แต่พอโตขึ้นจะออกไปหากินและดำรงชีวิตในทะเลห่างออกไป
นอกจากนี้ ป่าชายเลนยังช่วยป้องกันภัยธรรมชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นเกราะกำบังเพื่อช่วยลดความรุนแรงของคลื่นชายฝั่งทะเล ควบคุมการกัดเซาะพังทลายพร้อมทั้งยังช่วยดักตะกอนสิ่งปฏิกูลและสารพิษ ต่าง ๆ มิให้ไหลลงไปสะสมในบริเวณชายฝั่งและในทะเล ทำให้บริเวณนั้นสะอาดอีกด้วย ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าชายเลนมากเป็นอันดับ 9 ของประเทศในเขตร้อนแถบเอเชีย ตลอดชายฝั่งใน 24 จังหวัด ประมาณ 2,614 กิโล เมตร เป็นพื้นที่ป่าชายเลนร้อยละ 36 ของความยาวชายฝั่งทั้งหมด พื้นที่ป่าชายเลนของประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2504 มีเนื้อที่ทั้งหมด ประมาณ 2,299,375 ไร่ แต่จากการสำรวจพื้นที่ป่าชายเลนของกรมป่าไม้ โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียม ในปี พ.ศ. 2532 ปรากฏว่า พื้นที่ป่าชายเลน ทั้งหมดเหลือประมาณ1,128,494 ไร่ โดยส่วนใหญ่กระจายอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ ทางภาคใต้ฝั่งตะวันตกประมาณ 888,564 ไร่ หรือ คิดเป็นร้อยละ 78.74 ของพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมด รองลงไปอยู่ใน เขตภาคตะวันออก ภาคใต้ฝั่งตะวันออก และภาคกลาง (หรือก้นอ่าวไทย) มีเนื้อที่ประมาณ 129,430 ไร่, 106,775 ไร่ และ 3,725 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 11.47, ร้อยละ 9.46 และร้อยละ 0.33 ของพื้นที่ป่าชายเลนทั้งประเทศตามลำดับ มาในปี พ.ศ. 2539 ป่าชายเลนลดลงเหลือ เพียง 1,047,390 ไร่
สาเหตุมาจากปัญหาหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการเพาะเลี้ยงชายฝั่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อการเพาะเลี้ยงกุ้ง รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อกิจกรรมอื่น เช่น การทำเหมืองแร่ การทำนาเกลือ การทำเกษตรกรรม การขยายชุมชน การสร้างท่าเทียบเรือ การสร้างถนนและสายส่งไฟฟ้า การสร้างโรงงานอุตสาหกรรม และการขุดลอกร่องน้ำ และกิจกรรมอื่น ๆ อีกหลายประเภทได้เจริญเติบโตและขยายตัวอย่างไร้ขอบเขตไปสู่บริเวณชายฝั่งทะเลโดยเฉพาะในพื้นที่ป่าชายเลน จนทำให้พื้นที่ป่าชายเลนลดลงอย่างรวดเร็วและเป็นไปอย่างรุนแรงจนน่าวิตก หากประเทศไทยยังไม่มีการดูแลบริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลนอย่างชัดเจนอย่างมีระบบ ป่าชายเลนที่มีอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลอันดา มันและอ่าวไทย อาจจะถูกทำลายและมีสภาพที่เสื่อมโทรมไปเรื่อย ๆ และหมดจากแผ่นดินไทยไปในที่สุด
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จึงจัด โครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขึ้น เพื่อเป็นการเทิดทูนพระเกียรติและถวายความจงรักภักดี และรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรป่าชายเลนอันมีค่า โดยมีพื้นที่เป้าหมายลำดับแรกในบริเวณจังหวัดที่มีพื้นที่ติดทะเลฝั่งอ่าวไทยทั้ง 11 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (เขตบางขุนเทียน) ตราด จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทร สาคร เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 800 ไร่ขึ้นไป ซึ่งเป็นการดำเนินตามแนวพระราชดำริที่พระราชทานป่าไม้แก่ปวงชนชาวไทยทั่วทุกภาคให้คงอยู่คู่ผืนแผ่นดินไทยตราบนานเท่านาน
โดยมีจุดมุ่งหมายให้ป่าชายเลนที่ทำการปลูกนั้น ช่วยป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งจากคลื่น ลมทะเลและรักษาความสมดุล ทางธรรมชาติ ระหว่างการงอก การกัดเซาะ และการตกตะกอนบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเล รวมทั้งช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตด้านสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่ชาย ฝั่งทะเลและรักษาแบบแผนทางธรรมชาติและวงจรการขึ้นลงของกระแสน้ำ และการไหลของน้ำจืดออกสู่ทะเลให้คงอยู่ตลอดไป ตลอดจนสร้างแหล่งอาหารและ แหล่งเพาะพันธุ์พืชสัตว์น้ำบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเล สนับสนุนต่อการประกอบอาชีพและเพิ่มรายได้แก่ประชาชน
อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังค่านิยมและจิตสำนึกด้านการมีส่วนร่วมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้แก่เยาวชนและประชาชนในท้องถิ่น และพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของท้องถิ่นด้วย
การดำเนินงานแบ่งเป็น 3 ช่วงด้วยกัน คือ ช่วงแรก เป็นช่วงของการเตรียมการและปลูกป่าชายเลน ระหว่างวันที่ 1 เมษายน-30 มิถุนายน 2550 ช่วงที่สอง คือ การติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ระหว่างเดือนตุลาคม 2550 และช่วงสุดท้าย เป็นการสรุปโครงการฯ และส่งมอบพื้นที่เมื่อใกล้วันเฉลิมพระชนมพรรษาในวันที่ 5 ธันวาคม 2550
สำหรับอัตราต้นทุนต่อหน่วยตามที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกำหนดไว้ คือการปลูกป่าชายเลน อัตราไร่ละ 4,200 บาท ส่วนการปลูกเสริมป่าชายเลน อัตราไร่ละ 2,340 บาท และการปลูกบำรุงรักษาภายหลังการปลูก อัตราไร่ละ 750 บาท
แล้วจะรู้ว่า...ป่าชายเลน คือ กำแพงธรรมชาติที่ช่วยป้องกันภัยจากคลื่นชายฝั่งได้เป็นอย่างดี...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Saaychol
|
|
|
Sea Man
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2007, 03:35:31 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
.....รู้จักคิด....ฟังความคิดผู้อื่น....พร้อมเปลี่ยนแปลง....ไปสู่สิ่งใหม่และดีกว่า.....
|
|
|
Heineken Narcosis
ตอบกระทู้เยอะ ๆ จะได้ 2 ดาว
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 19
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2007, 11:13:22 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Sea Man
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2007, 02:16:26 PM » |
|
.....เปลืองงบไปกับอย่าอื่น.....และโกงกินบ้านเมืองอย่างไม่อาย........แต่แผ่นดินที่หายกับไม่ดูแล........
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
.....รู้จักคิด....ฟังความคิดผู้อื่น....พร้อมเปลี่ยนแปลง....ไปสู่สิ่งใหม่และดีกว่า.....
|
|
|
|