กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 13, 2025, 09:38:28 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 10   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: คุณคิดอย่างไรกับการให้สัมปทานเอกชนเข้าไปจัดการการท่องเที่ยว 10 อุทยานแห่งชาติ  (อ่าน 74496 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #60 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2008, 01:33:53 PM »


 
บันทึกการเข้า

Saaychol
Mr.can
ได้2ดาวแล้วพยายามอีกหน่อยจะได้สอย3ดาว
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 57


« ตอบ #61 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2008, 03:08:29 PM »

อาหารหลัก 5 หมู่ สำหรับ
1 โทรศัพย์
2 ดาวเทียม
3 ปตท และรัฐวิสาหกิจ
4 ภาษี
5 อุทยานแห่งชาติ

 
บันทึกการเข้า
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #62 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2008, 03:40:07 PM »


โอ้ ลาล้า.....หวาน....มัน....กรอบ....กรุบ.....
บันทึกการเข้า

Saaychol
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #63 เมื่อ: กันยายน 01, 2008, 01:00:37 AM »


จ่อประเคนอันดามันให้กลุ่มทุนต่างชาติ


มูลนิธิสืบฯ แฉกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ พานักธุรกิจต่างชาติดูพื้นที่หมู่เกาะอันดามัน หลังมีนโยบายเปิดสัมปทานให้เอกชนเช่าพื้นที่ป่าเพื่อทำธุรกิจท่องเที่ยว เผยเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ให้เสื่อมโทรม

กรณีที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  โดยนางอนงค์วรรณ  เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ได้มีนโยบายเปิดสัมปทานให้เอกชนเข้ามาดำเนินการทำธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และที่พักในเขตพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติหลายแห่งเป็นเวลา  30 ปี รวมทั้งการให้บริการท่องเที่ยว โดยอ้างว่าเพื่อจะนำรายได้จากการให้เช่าพื้นที่ป่าอนุรักษ์มาช่วยเศรษฐกิจของประเทศนั้น

นายศศิน  เฉลิมลาภ  รองเลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร  ในฐานะองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ  ให้สัมภาษณ์ว่า  ไม่เห็นด้วยและขอคัดค้าน เนื่องจากมีความกังวลว่านโยบายการเปิดพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้เอกชนเช่าทำแหล่งท่องเที่ยว  จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  เป็นการทำลายแหล่งธรรมชาติและเกิดปัญหาในเรื่องขยะและน้ำเน่าเสีย เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาวและสร้างความสูญเสียต่อระบบนิเวศของพื้นที่โดยตรง

"สิ่งที่น่ากลัวคือ เมื่อมีการพื้นที่ป่าไม่ว่าจะเป็นอุทยานแห่งชาติ หรือหน่วยพิทักษ์ป่าเล็กๆ ในบริเวณที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปไม่ถึง  ส่งผลให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกเจาะไปเรื่อยๆ และมีแนวโน้มว่าจะทำให้โครงการพัฒนาต่างๆ ของภาครัฐเข้าไปสร้างความสูญเสียได้อีกด้วย"

นายศศินกล่าวว่า แม้ว่ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ จะมีการประชุมหาแนวทางกันอยู่ แต่ทราบว่านโยบายดังกล่าวล้ำหน้าไปไกลถึงขนาดพาชาวต่างชาติเข้าไปดูพื้นที่ในหมู่เกาะอันดามัน  ซึ่งเป็นการเปิดช่องทางการเข้ามาหาประโยชน์ของภาคธุรกิจเข้าไปแสวงหารายได้ในพื้นที่สาธารณะ  เกิดการผูกขาดการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ ปิดกั้นโอกาสประชาชนทั่วไปในการท่องเที่ยว  เกิดกลุ่มทุนท้องถิ่น  ผู้มีอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาใช้ประโยชน์  ทำให้คุณค่าของระบบนิเวศโดยรวมถูกทำลายและเสื่อมโทรมลงในที่สุด

รองเลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียรกล่าวเพิ่มเติมว่า  การอ้างเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศนั้น ที่จริงแล้วไม่ใช่และไม่คุ้มค่าอย่างแน่นอน เพราะเงินจากการท่องเที่ยวจะตกไปอยู่ในมือของนักธุรกิจมากกว่าส่วนรวม  ทั้งนี้ ตนขอเสนอให้มีการกันพื้นที่นอกเขตป่าอนุรักษ์สำหรับการลงทุนของภาคธุรกิจอย่างเหมาะสม   มีการจัดสรรทรัพยากรตามหลักวิชาการ ยกตัวอย่างเช่น  อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่  ไม่มีการให้สัมปทานกับภาคเอกชนเช่าป่าระยะยาว แต่ทุกวันนี้ก็ให้มีรีสอร์ต หรือสถานที่พักผุดขึ้นมากมายโดยรอบป่าเขาใหญ่อยู่แล้ว  และไม่จำเป็นต้องให้เอกชนบุกรุกในพื้นที่อุทยานแต่อย่างใด.



จาก                       :                   X-cite  ไทยโพสต์     วันที่ 1 กันยายน 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
angel frog
อีกไม่กี่กระทู้ก็ได้5ดาวแล้วเร่งมือหน่อย
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 371


สุขก็ชั่วคราว ทุกข์ก็ชั่วคราว


« ตอบ #64 เมื่อ: กันยายน 01, 2008, 02:06:48 AM »

จำหนังเรื่องLord of the ringได้ไหม            ใครได้ครอบครองแหวน ก็เท่ากับมี "อำนาจ"       
เมื่อมีอำนาจ  จะทำอะไรก็คิดว่าทำได้         
โดยลืมไปว่า  "อำนาจ"ก็เป็นเหมือนแหวนวงหนึ่ง  ที่ผลัดกันสวมใส่ เป็นเจ้าของ         
ทุกๆคนยื้อแย่งกันเพื่อให้ได้มา  คิดและทำทุกๆอย่าง  ผิดถูกไม่สำคัญ        เพียงแต่มันต้องเป็นของฉัน           
เมื่อมีแหวนอยู่  แล้วตั้งหน้าตั้งตากอบโกย  ไม่คิดจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง  โอย.....มันหอมหวานเสียเหลือเกินนะ         

แต่...สุดท้าย ไม่เห็นมีใคร "รู้ตัว" กันเลย ว่าเมื่อ "เวลา" ของตัวเองจบลง 
นั่นแหละ "ความshipหาย"  ได้มาเยือนแล้ว.......
บันทึกการเข้า
WayfarinG
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2388



« ตอบ #65 เมื่อ: กันยายน 01, 2008, 02:20:07 AM »

สิ่งเดียวที่ทำให้ชาติบ้านเมือง อิ๊บอ๊าย..






มันน่าเศร้านะ.. ที่เห็นเพียงแค่ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ โดยไม่สนใจต่อผลกระทบในทางมหาภาค.. สงสัยว่า ไอ้คนนำเสนอ เค้าเอาอะไรมาคิด..
บันทึกการเข้า

If you reject the food, ignore the customs, fear the religion and avoid the people, you might better stay home.  -- > James Michener
Plateen
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 522



« ตอบ #66 เมื่อ: กันยายน 01, 2008, 04:15:09 AM »

โอ้....รู้สึกปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง
ต่อไปอยากดำน้ำสิมิลัน สุรินทร์ ตาชัย
อย่าลืมเตรียมพาสปอร์ตไปด้วยนะครับ เพื่อแสดงตัวว่าเราเป็นต่างชาติในผืนแผ่นดินของตัวเอง
บันทึกการเข้า

For God so loved the world, that he gave his only begotten Son, that whosever believeth in him should not perish, but have everlasting life[John3:16]
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #67 เมื่อ: กันยายน 01, 2008, 10:49:14 AM »


"ทส.เมินเสียงต้านถกเอกชนเช่าอุทยานฯดัง"

"อนงค์วรรณ" รับเปิด 10 อุทยานฯ ดังให้เอกชนเช่าอ้างแก้ปัญหาบุกรุกเพิ่มรายได้ท่องเที่ยว ขณะที่กลุ่มโรงแรมแห่จองเกาะสวย-ทะเลอันดามัน "แอตต้า" ขานรับพร้อมเข้าบริหารพื้นที่กระทรวงทรัพยากรฯ นัดหารือสัปดาห์หน้า หัวหน้าอุทยานฯ ทะเลอันดามันออกโรงทำหนังสือค้านโอนพื้นที่เอกชนบริหาร

 ความคืบหน้ากรณีที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เตรียมเปิดสัมปทานให้เอกชนเข้ามาดำเนินการโรงแรมและที่พักในเขตพื้นที่บริการเป็นระยะเวลา 30 ปี รวมทั้งให้บริการท่องเที่ยว  โดยอ้างว่าต้องการมืออาชีพมาบริหารนั้น

 นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)   กล่าวว่า   นโยบายการอนุญาตให้เอกชนดำเนินการบริการท่องเที่ยว   เกิดจากแนวคิดจะช่วยหารายได้มาช่วยเศรษฐกิจของประเทศ     เพราะขณะนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวจำนวนมากที่น่าจะนำมาอวด และนำมาเผยแพร่ให้คนทั่วไปรับรู้รับทราบ ดีกว่าปล่อยเอาไว้ให้เสื่อมโทรม และบางพื้นที่ก็ถูกบุกรุกเสียหาย   ทาง ทส.จึงได้มอบหมายให้กรมอุทยานฯ ออกไปสำรวจพื้นที่ต่างๆ และพบว่ามีอย่างน้อย 10   พื้นที่มีศักยภาพเป็นจุดขายและจะเปิดให้เอกชนเข้ามาดำเนินได้อย่างถูกต้องและจะไม่โดนต่อต้าน  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ติดชายทะเล ชายน้ำ หรือที่มีน้ำตกที่สามารถดึงดูดให้เอกชนมาลงทุนได้

  ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างจัดทำรายละเอียดเพื่อกำหนดเขตพื้นที่บริการท่องเที่ยวในแต่ละแห่งที่มีศักยภาพดังกล่าว แต่ก็ค่อนข้างตกผลึกแล้วเตรียมเปิดให้เอกชนเข้ามาเจรจาได้ โดย ทส.ยังยืนหลักการให้จัดทำภายใต้หลัก เกณฑ์อนุรักษ์ให้คงสภาพของพื้นที่ และตั้งเป้าต้องดีกว่าเดิมด้วยซ้ำไป เพราะนอกจากจะได้เงินค่าเช่าแล้ว ยังจะได้พื้นป่าเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ชี้ดูแลนักท่องเที่ยวเหตุป่าถูกรุก

    เมื่อถามว่าขณะนี้เริ่มมีนักวิชาการ และนักอนุรักษ์ออกมาแสดงความเป็นห่วงว่าจะสวนทางกับบทบาทของ ทส.ที่ต้องดูแลรักษาพื้นที่อนุรักษ์นั้น   นางอนงค์วรรณ   กล่าวว่า  พร้อมจะรับฟัง แต่อย่าเพิ่งติเรือทั้งโกลน ขณะนี้ต้องยอมรับว่าปัจจุบันมีป่า ถูกบุกรุกเยอะมาก   แต่ถ้าหาเจ้าภาพ ไปดูแล และมอบหมายพื้นที่   20-30 ไร่ไปดูแลจัดการ ทางราชการก็จะตรวจสอบได้ง่าย ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ที่ต้องไปคอยบริการท่องเที่ยวก็จะได้ทำงานด้านการอนุรักษ์ดูแลป้องกันป่าได้อย่างเต็มที่ด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าจะกระตุ้นการท่องเที่ยวโดยให้เอกชนเข้ามา ถ้าไม่มีทุนอะไรให้กับเอกชนก็คงไม่มีใครมาลงทุน   แต่คงต้องดูเกณฑ์ความเหมาะสมว่าอยู่แค่ไหน และความหนาแน่นของพื้นที่ตรงไหนควรอนุรักษ์และควบคุมให้ชัดเจน

เผยธุรกิจโรงแรมสนใจลงทุน

     นางอนงค์วรรณ  กล่าวว่า   ส่วนเอกชนที่จะเข้ามานั้น ยังไม่ได้มีกลุ่มธุรกิจไหนติดต่อมาลงทุนเป็นพิเศษ แต่ในวงกว้างที่กรมอุทยานฯรายงานให้ทราบ   กลุ่มธุรกิจด้านโรงแรมค่อนข้างเห็นด้วยและสนใจที่ ทส.จะเปิดรูปแบบให้เอกชนดำเนินการ   และการันตีว่าจะมีธุรกิจหลากหลาย และไม่ผูกขาดให้รายใดเป็นพิเศษ แต่จะเป็นกลุ่มที่มีประสบการณ์ เพราะถ้าไม่มืออาชีพจะทำให้ไม่ได้อย่างที่ ทส.คาดหวังไว้ เพราะถ้าจัดบริการไม่เต็มที่ และทำให้สิ่งแวดล้อมเสียหายมากขึ้นก็จะเกิดปัญหา   เช่น ถ้าจะสร้างพี่พักต้องกลมกลืนกับธรรมชาติ เป็นต้น 
 
หวั่นพื้นที่อนุรักษ์เสียหาย

 ดร.ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า   ค่อนข้างเป็นห่วงว่าการเร่งรีบของกรมอุทยานฯจะส่งผลเสียหายกับพื้นที่อนุรักษ์   เนื่องจากพบว่าลักษณะการกำหนดเขตบริการ แม้จะอ้างว่าไม่ได้เกี่ยวกับกฎหมายอุทยานแห่งชาติฉบับใหม่ ที่ยังปรับแก้ไม่แล้วเสร็จ หรือไม่ได้ทำตามนโยบายการร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชนก็ตาม   แต่ในทางปฏิบัติระดับผู้ที่มีอำนาจกลับมีการขยับตัวเดินหน้า จนเรียกได้ว่าแม้แต่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติในสายอนุรักษ์เองยังยอมรับไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการลง ไปดูพื้น ที่ไหน ที่มีศักยภาพ และคิดว่าทำแล้วจะดึงดูดคนมาเที่ยว เช่น หาดสวยๆ และเกาะสวยในทะเลอันดามันหลายแห่งถูกวางเป้าหมายใช้สิทธิ์ในการหาประโยชน์

  "หัวหน้าอุทยานฯบางแห่งทนไม่ได้ทำหนังสือคัดค้านมากรมอุทยานฯเพราะการเปิดให้เอกชนเข้ามาเช่าพื้นที่ ได้เลี่ยงคำว่าให้เอกชนเช่า แต่จะให้เข้าใช้ประโยชน์แทน โดยรูปแบบที่จะทำ คือถ้ามีพื้นที่แล้ว เอกชนจะให้เงินกรมอุทยานฯ นำไปก่อสร้างที่พัก จากนั้นจะให้เอกชนกลับมา เช่าสิทธิ์และตอบแทนเป็นรายได้กับกรม โดยมีเงื่อนเรื่องเวลาตั้งแต่   5 ปีถึง 30 ปี"  ดร.ศักดิ์อนันต์ กล่าว

ชี้ "เกาะสวยอันดามัน" เป้าหมาย

     ดร.ศักดิ์อนันต์  กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีพื้นที่ที่กรมอุทยานฯ ส่งผู้ใหญ่ลงไปดูหลายพื้นที่ที่เตรียมจะเปิดให้เอกชนมาดำเนินการ แต่จะอ้างว่าเป็นการออกไปตรวจงานตามปกติ ซึ่งเท่าที่ทราบเช่น อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี เช่น เกาะห้อง แถวอุทยานแห่งชาติ ท้ายเหมือง   เนื่องจากมีชายหาดที่ ติดแผ่นดิน แต่เป็นจุดจุดวางไข่เต่าทะเลหายาก และป่าชายหาดก็ยังดีมากอยู่ แถว ตามเกาะสิมิลัน   เกาะด้ามหอกด้ามขวาน   ทะเลแหวก พีพี   เกาะสุรินทร์ เกาะราวี เกาะตะรุเตา ซึ่งเป็นพื้นที่เป็นไข่แดงของอุทยาน

 " พื้นที่เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นที่พักชั่วคราวที่อุทยานไปรักษาไว้   แต่ตอนนี้กำลังจะถูกเลือกให้เป็นจุดที่มีศักยภาพและจะทำรายได้สูงในแง่ของการท่องเที่ยว   อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าชาวบ้านคงไม่ยอม เพราะที่ผ่านมาอุทยานฯพยายามผลักดันชาวบ้านออกมาจากพื้นที่ แต่กลับจะเปิดให้เอกชนมาแทนที่ นอกจากนี้โดยส่วนตัวก็เป็นห่วงมาก เพราะถ้าดูจากวิธีใช้พื้นที่อุทยานมาทำเขตบริการ กำลังเลือกจุดที่เปราะบางที่สุด โดยไม่ได้อิงข้อมูลทางวิชาการ แต่อิงความสวยงามมาเป็นหลัก ซึ่งเรื่องนี้นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมกำลังคุยกัน เพราะไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะถ้ายิ่งบนเกาะมีสิ่งปลูกสร้างถาวรเมื่อใด ปัญหาจะตามมาอีกมากมายแน่นอน" ดร.ศักดิ์อนันต์ ระบุ

หัวหน้าอุทยานฯใต้ค้านเอกชนเช่า

 แหล่งข่าวจากกรมอุทยานฯเปิดเผยว่า  ขณะนี้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในบรรดาหัวหน้าอุทยานแห่งชาติในเขตภาคใต้ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวตามเกาะในฝั่งอันดามัน ที่ก่อนหน้านี้มีผู้ใหญ่พากลุ่มธุรกิจโรงแรมระดับใหญ่ของโลก ไปดูพื้นที่ จนถึงขั้นต้องทำหนังสือคัดค้านมายังกรมอุทยานแห่งชาติฯด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าวิธีการพากลุ่มทุนเข้ามานั้น ทางกรมอุทยานฯได้จัดทำรายชื่ออุทยานต่างๆ โดยจัดเกรดของพื้นที่ ให้บริษัทที่ถือเป็นตัวกลางไปนำเสนอผ่านให้กับบริษัทเอกชน   จากนั้นหากกลุ่มทุนสนใจก็พาไปดูพื้นที่

 "มีการชักชวนเอกชนลงดูพื้นที่และหากอุทยานฯใดยังไม่ได้เป็นพื้นที่บริการนักท่องเที่ยว ก็จะให้หัวหน้าอุทยานฯซึ่งมีอำนาจในการจัดทำแผนที่ที่ตั้งพื้นที่บริการกำหนดเขต และถ้าตกลงขนาดของพื้นที่โครงการได้ จึงจะพาไปยังผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่จะได้รับผลประโยชน์จากโครงการ ซึ่งเรื่องดังกล่าวกำลังเกิดขึ้นจริงในพื้นที่ และทำให้หัวหน้าอุทยานสายอนุรักษ์หลายแห่งท้อใจเป็นอย่างมาก

มูลนิธิสืบค้านเอกชนเช่าอุทยานฯ

 นายศศิน เฉลิมลาภ    เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร   เปิดเผยว่า ในกรณีที่จะมีการให้เอกชนเข้ามาดำเนินการในอุทยานแห่งชาติ   ซึ่งโดยหลักการทั่วไปเป็นหลักการที่ไม่เสียหาย เพราะแต่เดิมการทำเช่นนี้ เป็นการแก้ปัญหาให้คนในท้องถิ่นระดับชุมชนสามารถเข้ามาค้าขายในพื้นที่อุทยานฯ ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านอาศัยอยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว แต่ขณะนี้แนวทางการแก้ปัญหาได้เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากมีการพลิกประโยชน์ของเอกชนรายใหญ่เข้ามาผูกขาด และเป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม  จนนำไปสู่ระบบเส้นสายและผูกขาดไปโดยปริยาย   โดยที่ชุมชนในพื้นที่ไม่มีส่วนร่วมในการดูแลอุทยานฯ ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา 
 "เท่าที่ทราบหลังจากนโยบายนี้ออกมา ก็เริ่มมีกระบวนการทำเช่นนี้ในพื้นที่แล้ว โดยข้าราชการระดับรองอธิบดี พานักลงทุนไปดูพื้นที่ที่หมู่เกาะอาดังราวี    เพื่อจะสร้างรีสอร์ท โดยการกระทำดังกล่าว สวนทางกับนโยบายกรมอุทยานเอง" นายศศิน กล่าว
แนะให้อายุสัมปทานสั้นไม่เกิน 5 ปี

 นางดวงกมล จันสุริยวงศ์ นายกสมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย หรือ ทีต้า กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เตรียมเรียกสมาคมร่วมหารือในประเด็นดังกล่าวในสัปดาห์หน้า โดยในเบื้องต้นสมาคมจะฟังการนำเสนอแนวทางการสัมปทานว่าเหมาะสมเพียงใด และอาจเสนอตัวในการเป็นคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกผู้ที่ได้รับสัมปทานร่วมด้วย แต่ไม่เห็นด้วยระยะเวลาสัมปทานที่นานถึง 30 ปี เนื่องจากยาวนานเกินไป

 "ระยะสัมปทานที่เหมาะสมน่าจะประมาณ 5 ปี เพราะระยะเวลาที่นานนั้นอาจทำให้เกิดการปล่อยปละละเลยด้านการควบคุมดูแลเอกชน" นางดวงกมลกล่าวและเสนอว่าควรจัดตั้งคณะกรรมการที่ติดตามดูแล และประเมินผลการบริหารพื้นที่ของเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นการป้องกันการทำลายธรรมชาติ

แนะเปิดโอกาสต่างชาติลงทุน

 อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะมีผู้ประกอบการในธุรกิจด้านการท่องเที่ยวสนใจจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมในท้องถิ่น รวมทั้งกลุ่มต่างชาติที่สนใจลงทุนด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งน่าจะให้โอกาสกลุ่มทุนต่างชาติดังกล่าวในการเข้ามาสัมปทานภายใต้เงื่อนไขที่แตกต่างจากผู้ประกอบการคนไทย

แอตต้า แนะเฟ้นนักลงทุนรักธรรมชาติ

 นายอภิชาติ สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจ การท่องเที่ยวหรือ แอตต้า กล่าวว่า การที่กระทรวงทรัพยากรฯ จะได้เปิดให้เอกชนร่วมสัมปทานอุทยานแห่งชาติ 10 แห่งเพื่อบริหารจัดการท่องเที่ยวครบวงจรนั้น เชื่อว่าจะเป็นผลดีกับการยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวของแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ เพราะเอกชนมีความคล่องตัวและความพร้อมด้านเม็ดเงินในการลงทุนและพัฒนาสูง จากที่ผ่านมาคุณภาพการบริการของอุทยานแต่ละแห่งยังมีจุดอ่อนหลายด้าน โดยเฉพาะที่พัก การบริการ อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งทำให้ความพร้อมของแหล่งท่องเที่ยวลดลง

 การเข้ามาสัมปทานของเอกชน อาจต้องมีความระมัดระวังในการพิจารณาเลือกสรรผู้ได้รับสิทธิอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ได้กลุ่มนายทุนที่หวังผลตอบแทนด้านตัวเงิน จนลืมต่อยอดการพัฒนาด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 "ภูเก็ต เป็นกรณีที่รัฐบาลต้องมาดูเรื่องการพิจารณาผู้รับสัมปทานให้ถี่ถ้วน ไม่ใช่เข้ามาแล้วต้องการแสวงหากำไรจนเกินไป ทำให้ค่าบริการ อาหาร และสินค้าต่างๆ ถูกดึงราคาขึ้นสูงกว่ามาตรฐาน ทำลายการท่องเที่ยวในที่สุด" นายอภิชาติ กล่าว



จาก             :            กรุงเทพธุรกิจ    วันที่ 25 สิงหาคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #68 เมื่อ: กันยายน 01, 2008, 10:52:28 AM »


ชำแหละ กม.อุทยาน-สัตว์ป่า เปิดช่องแปลงป่าเป็นทุน หนุนธุรกิจค้าสัตว์

ขณะที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เดินหน้าจัดทำร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.... และร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่า พ.ศ.... ขึ้นเพื่อใช้บังคับแทน พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 และ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 โดยมีกำหนดจัดทำร่างให้เสร็จในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อส่งต่อร่างให้กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  และให้ทันเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกันยายนนี้  ก็เกิดเสียงคัดค้านจากองค์กรพัฒนาเอกชน  ด้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง  และเรียกร้องให้กรมอุทยานฯ  ทบทวนเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับมากยิ่งขึ้น

ประเด็นที่องค์กรพัฒนาเอกชนหวาดหวั่นก็คือ   การเกรงกลัวว่ากฎหมายฉบับใหม่นี้จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการ "แปลงป่าเป็นทุน" และ "เอื้อต่อธุรกิจการค้าสัตว์ป่า"  เนื่องจากพบว่า ร่างกฎหมายทั้ง  2  ฉบับนี้  ได้ทำลายเจตนารมณ์ของกฎหมายเดิมอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนหลักคิดและเจตนารมณ์ของการจัดตั้งพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเพื่อคุ้มครองรักษาทรัพยากรธรรมชาติทั้งป่าไม้และสัตว์ป่า  ไม่ให้ถูกทำลาย  เปลี่ยนแปลง  หรือถูกรบกวน  ไปสู่การ "เปิดพื้นที่ป่า" เพื่อการท่องเที่ยวอย่างครบวงจรเต็มรูปแบบ  และเปิดช่องทางให้การค้าขายสัตว์ป่าได้ทุกประเภทสามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย

ในเวทีสัมมนาเรื่อง "ร่าง  พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.... และร่าง พ.ร.บ.รักษาสัตว์ป่า พ.ศ.... : รักษาหรือแปลงป่าเป็นทุน" จัดโดยมูลนิธิ สืบ นาคะเสถียร ได้วิพากษ์วิจารณ์ พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับอย่างเผ็ดร้อน

ศักดิ์อนันต์  ปลาทอง  อาจารย์จากภาควิชาชีววิทยา  คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  แสดงข้อเป็นห่วงต่อมาตราที่สำคัญ  โดยเฉพาะมาตรา  28 มาตรา 38 และมาตรา 40  ว่า  อาจจะส่งผลกระทบต่อการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศในเขตอุทยานแห่งชาติ อาจารย์ศักดิ์อนันต์  บอกว่า  ที่น่าห่วงคือ วิธีการกำหนดเขตตามมาตรา 28 ที่จะแบ่งพื้นที่อุทยานเป็นเขตหวงห้าม  เขตบริการ  และเขตผ่อนปรน  ที่ผ่านมาการแบ่งเขตอุทยานจะทำแผนแม่บทการจัดการอุทยานแห่งชาติแต่ละแห่ง  ในแผนแม่บทมีการจัดทำเขตการจัดการพื้นที่อิงข้อมูลวิชาการ ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ  ปัญหา  การใช้ประโยชน์ และอยู่บนพื้นฐานของหลักการจัดทำเขตตามหลักวิชาการ  แต่ใน พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้ให้อำนาจแก่หัวหน้าอุทยานและอธิบดีในการกำหนดเขต โดยมีเพียงแค่การรับฟังข้อปรึกษา  และความคิดเห็นจากคณะกรรมการที่ปรึกษาประจำอุทยานแห่งชาติเท่านั้น   ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า การกำหนดเขตจะอยู่บนหลักทางวิชาการและผ่านการวิพากษ์วิจารณ์ในทางวิชาการมากพอ
นอกจากนี้  ยังมีมาตรา  38  ที่น่าเป็นห่วง ในแง่การให้ใช้ประโยชน์ในอุทยานแห่งชาติเพื่อการท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติได้ทุกบริเวณถ้ามีเจ้าหน้าที่ไปด้วย  แม้แต่เขตหวงห้าม  ซึ่งเป็นเขตไข่แดง ตามหลักสากลต้องมีการกำหนดพื้นที่ห้ามเข้า  ห้ามใช้ประโยชน์  อาจจะยกเว้นงานวิจัย  เพื่อเป็นพื้นที่คงรักษาสภาพความเป็นธรรมชาติไว้ให้มากที่สุด  แต่  พ.ร.บ.ฉบับนี้กลับเปิดให้การท่องเที่ยวเข้าได้ทุกบริเวณ

อาจารย์ศักดิ์อนันต์  บอกอีกว่า  สิ่งที่น่ากังวลมากอีกประการคือ มาตรา 38 วรรค 3 ที่ว่าด้วยการให้บริการเพื่อการท่องเที่ยว  หรือที่พักอาศัยชั่วคราวแก่นักท่องเที่ยว และมาตรา 40 ภายในเขตบริการ อธิบดีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ  มีอำนาจอนุญาตหรือทำความตกลงผูกพันให้บุคคลเข้าไปลงทุนก่อสร้างเกี่ยวกับการท่องเที่ยวบริการที่พักแรมได้  เขตบริการละไม่เกิน 10 ไร่ คราวละไม่น้อยกว่า 5  ปี  แต่ไม่เกิน  30  ปี  มาตรานี้เปิดกว้างมากเกินไป อุทยานหนึ่งอาจจะมีเขตบริการได้เป็น 100 แห่งก็ได้  เป็นการอนุญาตให้เอกชนรายใหม่เข้ามาดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ง่ายขึ้น  ไม่ได้แก้ปัญหาที่ชาวบ้านยึดพื้นที่ให้บริการนักท่องเที่ยวอยู่ก่อนหน้านี้  แต่เท่ากับเปิดพื้นที่ใหม่เป็นเขตบริการ  และให้เอกชนเข้ามาสร้างรีสอร์ทและทำกิจกรรมการท่องเที่ยวได้อย่างถูกกฎหมาย   
   
"ผมทำนายได้เลยจะมีแต่เอกชนรายใหญ่เพียงไม่กี่รายเข้ามาได้ผลประโยชน์" อาจารย์ศักดิ์อนันต์กล่าว

อย่างไรก็ตาม  เขาเสนอถึงแนวทางที่ควรจะเป็นว่า เขตอุทยานไม่จำเป็นต้องส่งเสริมการมีที่พักแบบสะดวกสบาย  หรือการกินที่หรูหรา   ถ้านักท่องเที่ยวอยากพักแบบสะดวกสบายน่าจะให้ใช้บริการสถานประกอบการของเอกชนที่อยู่โดยรอบอุทยานหรือพื้นที่ใกล้เคียง  ยังเป็นการสร้างรายได้  สร้างงานให้กับชาวบ้านที่อยู่รอบอุทยาน  ไม่เกิดความรู้สึกว่าอุทยานเปิดรีสอร์ทให้ภาคเอกชนมาลงทุนแข่งกับชาวบ้าน    อยากตั้งข้อสังเกตระยะเวลาให้เอกชนเข้าดำเนินการ คือ ไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ไม่เกิน 30 ปี ถือเป็นการผูกขาดการหาผลประโยชน์ในเขตอุทยานแห่งชาติเกือบจะถาวร

นอกจากนี้ อาจารย์ศักดิ์อนันต์ยังวิพากษ์ว่า ร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.... ไม่ให้ความสำคัญกับการจัดการพื้นที่อนุรักษ์ทางทะเลตามหลักสากล  และที่ผ่านมามีข้อจำกัดในการใช้กฎหมายอุทยานกับพื้นที่ทางทะเล    เนื่องจากพื้นที่ทะเลมักมีชาวบ้านทำการประมงอยู่ดั้งเดิม ส่วนใหญ่จะคุ้มครองทะเลในรูปแบบการจัดการเพื่อการใช้ประโยชน์ที่หลากหลาย มากกว่าใช้กฎหมายอุทยานแห่งชาติ   ตนเสนอว่าภายใต้ พ.ร.บ.ฉบับนี้อาจจะกำหนดเขตทะเลที่ไม่มีระบบนิเวศที่สำคัญเป็นเขตผ่อนปรน
ท่ามกลางสถานการณ์การค้าสัตว์ป่าที่รุนแรง   และในไทยมีสัตว์ถูกคุกคามและใกล้สูญพันธ์ถึง  233 ชนิด 

รศ.ดร.สมโภชน์  ศรีโกสามาตร  อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล   กล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าฉบับใหม่ว่า  เป็นการร่างกฎหมายที่ไม่อยู่ในความเป็นจริง  ณ ปัจจุบัน ถือว่าเก่าและล้าสมัยตั้งแต่เริ่มต้น  เนื่องจากภัยคุกคามสัตว์ป่าเปลี่ยนแปลงไปแล้ว โดยเฉพาะที่จีนมีการหลอมรวมธุรกิจการค้าสัตว์ป่าผ่านสวนสัตว์  ฟาร์มเลี้ยงสัตว์   ร้านขายผลิตภัณฑ์สัตว์ป่า  ธุรกิจยาจีนแผนโบราณ และการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งเดียวกัน ขณะที่ธุรกิจสวนสัตว์โลกขยายตัว ความต้องการสัตว์เด่นและเป็นๆ  ขยายตัว  ของที่มีขายไม่พอกับความต้องการซื้อ   หาทุกช่องทางเพื่อให้ได้สัตว์  ทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย นี่คือภัยคุกคาม

รศ.ดร.สมโภชน์   เปิดประเด็นว่า จีนเป็นเครื่องจักรที่สำคัญในการเกิดระบบจัดหาสินค้าสัตว์ป่าหรือเป็น  supply  chain  เพื่อสนองต่อการบริโภคสัตว์ป่าอย่างเสือ หมี มีฟาร์มเสือที่เมืองจีน  5 แหล่งใหญ่  โดยเชื่อมโยงกับโรงงานทำไวน์เสือ  ในปี  47-48  พบว่า ในฟาร์มมีเสือ 750 ตัว 1,300  ตัวก็มี  บางฟาร์มมี 300 ตัว โดยมีการขยายตัวของตลาดตั้งแต่ปี  48 ที่เกาะไหหลำ เมืองจีน มีการสร้างสต็อกเสือ  แผนที่วางไว้ คือ  เสือ  100 ตัว ปี 45 และ 400 ตัว ในปี 48 ถ้าเพิ่มเป็น 500 ตัว รัฐบาลจีนจะอนุมัติว่าจะทำอะไรต่อไป สวนเสือ ฟาร์มเสือ หรือยาจีนแผนโบราณที่ใช้เสือ

เขายังให้ข้อมูลเกี่ยวกับสวนสัตว์ในฐานะตัวจักร   ที่ทำทุกวิถีทางในการใช้ประโยชน์จากสัตว์ป่าด้วยว่า  สวนสัตว์และธุรกิจสวนสัตว์ขยายตัว ปัญหาคือการทดแทนสัตว์เด่นที่ดึงดูดประชาชนจากการเพาะเลี้ยงของสวนสัตว์ไม่เพียงพอ   จึงมีการเสาะหาช่องทางเพื่อให้ได้สัตว์เด่นและดึงดูดที่เป็นองค์ประกอบของธุรกิจสวนสัตว์  และเป็นที่มาของการกำเนิดของบริษัทที่ปรึกษาทำให้ได้สัตว์ที่อาจจะผิดกฎหมาย  แต่ทำให้ถูกกฎหมายได้  แล้วยังมีการเชื่อมโยงของธุรกิจสวนสัตว์กับธุรกิจอื่นๆ และรัฐ

"ไทยเองมีปัญหาการจัดการสัตว์ป่า ทั้งกำลังคนที่รู้เรื่องสัตว์ป่าน้อย ทีมงานอ่อนแอ วิชาการอ่อนแอ  ขาดการทดลองการนำร่อง กฎหมายเป็นเครื่องมือหนึ่งในการแก้ปัญหาสัตว์ป่าที่เปลี่ยนแปลง ผมตั้งคำถามว่า  พ.ร.บ.สัตว์ป่าใหม่ได้นำประเด็นใหม่เรื่องการคุกคามสัตว์ป่ามาเป็นตัวตั้งหรือไม่ หรือเอาประเด็นเดิมๆ มาตั้ง คำถามต่อมา พ.ร.บ.สัตว์ป่าใหม่ได้นำประเด็นใหม่เรื่องความอ่อนแอของระบบการจัดการพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์มาพิจารณาหรือไม่  หรือแค่คัดลอกระบบบริหารจัดการจากประเทศอื่น   เช่น  แอฟริกาใต้   ซึ่งไม่เข้ากับบริบทของไทย"  รศ.ดร.สมโภชน์กล่าว และระบุว่าสองประเด็นใหญ่นี้เป็นเรื่องท้าทายของนักกฎหมายไทยที่จะสร้างงานชิ้นโบแดงเพื่อการอนุรักษ์สัตว์ป่าไทยโดย   พ.ร.บ.สัตว์ป่าใหม่ต้องตอบปัญหาดังกล่าวต่อสังคมไทย

อีกเสียงที่ยืนยันคัดค้านร่าง   พ.ร.บ.ส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าฉบับใหม่   น.พ.รังสฤษฎ์  กาญจนะวณิชย์   จากสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย  โดยให้เหตุผลว่า  ธุรกิจค้าสัตว์ป่ามีมูลค่าหลายหมื่นล้านต่อปี   ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าใหญ่อันดับ   2  ของโลก   เราอ่อนอยู่แล้วเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย   ถ้าออกกฎหมายอ่อนเข้าไปอีกจะเกิดปัญหามาก  พบว่าร่างกฎหมายนี้มีช่องโหว่เยอะ การให้เอกชนเพาะพันธุ์สัตว์ป่าได้จะกลายเป็นช่องทางนำสัตว์ป่ามาสวมรอยในบัญชีเพาะเลี้ยงและสร้างภาระในการพิสูจน์มาก  ที่สำคัญการเพาะเลี้ยงจำนวนมากก็ไม่ได้เป็นฟันเฟืองในระบบนิเวศ สถานการณ์ธรรมชาติและสัตว์ป่าไทยกำลังวิกฤติต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ  กฎหมายเป็นฟางเส้นสุดท้าย ถ้าออกมาปลิดชีวิตก็จบ เราไม่มีเวลาลองผิดลองถูกแล้ว
สุรพล  ดวงแข  สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  เป็นอีกคนหนึ่งที่แสดงความคิดเห็นถึงความขาดตกบกพร่องของ   พ.ร.บ.สัตว์ป่าฉบับใหม่นี้  เขาแสดงความเป็นห่วงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสัตว์ป่า   โดยยืนยันว่า   จนถึงขณะนี้ไทยยังเป็นศูนย์กลางค้าสัตว์ป่า  การทำลายสัตว์ป่าไม่ลดลง  กลับซับซ้อน และเข้าใจยากยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นธุรกิจมืดที่แอบแฝงอยู่ในรูปแบบการค้าสัตว์เลี้ยงบ้าง  ทำร้านอาหารบ้าง โดยการลักลอบค้าสัตว์เกิดขึ้นเมื่อมีการสั่งซื้อเท่านั้น บ้านเรากลไกตรวจสอบไม่ก้าวหน้า  กลับออกกฎหมายส่งเสริมธุรกิจค้าสัตว์  เป็นผลกระโยชน์แบบผูกขาด  นอกจากเป็นกฎหมายที่ไม่แก้ปัญหาแล้ว ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาอีกมากมาย

พิสิษฐ์  ชาญเสนาะ  นายกสมาคมหยาดฝน  แสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดการชุมชนภายใต้ร่าง  พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับว่า  ในภาพใหญ่ไม่เห็นว่าชาวบ้านจะได้ประโยชน์จากกฎหมายใหม่  และความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับภาครัฐยังดำรงอยู่  ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ใหม่นี้ไม่ได้ชี้ว่าจะลดความขัดแย้งได้อย่างไร  จะเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมได้อย่างไร เห็นว่า กฎหมายก็คงไม่เป็นยอมรับ อาจจะเป็นปรปักษ์กันด้วยซ้ำ  ที่สำคัญเห็นว่า  เนื้อหาในร่างกฎหมายทั้ง  2  ฉบับ  ถ้าใช้บังคับจะละเมิดสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรง ต้องปรับปรุงแก้ไขโดยเร่งด่วน เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

ในช่วงท้ายของการสัมมนา   มนู   ทองศรี  ผู้อำนวยการกองนิติการ  กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช   กล่าวว่า การปรับปรุงร่างกฎหมายทั้งสองฉบับ กรมอุทยานฯ ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช  จัดทำขึ้นตั้งแต่ปี  2548 และยึดหลักการเดิมให้อนุรักษ์ สงวน คุ้มครอง ดูแลรักษาป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ  ตลอดจนระบบนิเวศให้อยู่ในสภาพธรรมชาติเดิม  ขณะที่ร่าง พ.ร.บ.สัตว์ป่าใหม่หลักการมุ่งส่งเสริมอนุรักษ์สัตว์ป่า  แม้ไม่ห้ามเพาะพันธุ์    แต่เข้มงวดเรื่องการล่าและการค้าสัตว์ป่า  โดยคำนึงถึงสวัสดิภาพของสัตว์ป่า เวลานี้อยู่ในขั้นตอนปรับปรุงแก้ไขร่างให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญปี 2550  และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปี   2550-2554   รวมถึงในหลายมาตรามีการปรับแก้เมื่อถูกทักท้วง  อย่างไรก็ตาม  ด้วยกรอบด้านเวลาต้องแก้ให้เสร็จในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อที่จะส่งต่อให้กับทาง  ทส.  และเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งไม่สามารถชะลอไว้ได้ตามที่กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนเรียกร้อง แต่ยืนยันว่าร่างที่แก้เสร็จแล้วจะเผยแพร่สู่สาธารณชนต่อไป.



จาก            :         ไทยโพสต์  คอลัมน์สิ่งแวดล้อม    วันที่ 3 สิงหาคม 2551 
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #69 เมื่อ: กันยายน 01, 2008, 10:54:33 AM »


พรบ. ฉบับใหม่ : รักษา? หรือ แปลงป่าให้เป็นทุน?



หากเราต้องการทราบว่าป่าไม้ในประเทศไทยมีสภาพเช่นไร ในยุคข้อมูลข่าวสารเช่นนี้ภาพถ่ายทางดาวเทียมคงหาดูได้ไม่ยาก สีเขียวๆ ในกรีนแมพ (Green Map) ที่เราเห็น คือบริเวณที่มีสภาพเป็นผืนป่า พิจารณาพื้นที่สีเขียวในประเทศไทยจะพบว่ามีปริมาณที่น้อยมาก และชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในแถบภูมิภาคเดียวกันอย่างลาว พม่า หรือกัมพูชา ที่ปริมาณสีเขียวยังมีความหนาแน่นสูง ส่วนสีเขียวที่เรามีกลับกระจายตัวอยู่เป็นหย่อมๆ นั่นแสดงให้เห็นถึงทรัพยากรป่าไม้ในประเทศไทยมีปริมาณลดน้อยถอยลงอย่างน่าใจหาย

ที่สำคัญพื้นที่สีเขียว หรือพื้นที่ที่มีสภาพป่าที่เรากล่าวถึง มีอยู่ในฉพาะเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแทบทั้งหมด เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่นอกเขตอุทยานถูกแปรสภาพเป็นพื้นที่เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การท่องเที่ยวและพื้นที่อื่นๆ ไปหมดแล้ว ดังนั้นผืนป่าอุทยานแห่งชาติ หรือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่มีอยู่ จึงเป็นป่าผืนเดียวกับที่คนไทยทั้งประเทศมีและใช้ประโยชน์ร่วมกัน

เมื่อร่างพรบ.ฉบับใหม่ คือ “ร่าง พรบ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ....... และ ร่างพรบ. ส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่า พ.ศ......” ทั้ง 2 ฉบับ ออกมาสู่สาธารณชน นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม เอ็นจีโอ และหน่วยงานที่มีส่วนได้เสียต่อร่างพรบ. ฉบับดังกล่าว ก็ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นเรื่องที่จะส่งผลกระทบต่อคนทั้งประเทศด้วย ขณะนี้อยู่ในกระบวนการขั้นสุดท้ายแล้ว ก่อนจะมีการนำเสนอเข้าสู่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เพื่อพิจารณาและนำเข้าสู่คณะรัฐมนตรีในช่วงปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2551 หากผ่านความเห็นชอบก็จะถูกนำมาบังคับใช้แทนฉบับเดิม คือ พรบ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 และพรบ.สงวนและคุ้มครอง สัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ต่อไป

ความคิดเห็นต่อร่างพรบ.ฉบับดังกล่าวหลักๆ มีอยู่ 2 กระแส คือ 1. ฝ่ายทุน ที่มองว่าป่าไม้มีไว้ใช้ประโยชน์ในแง่อื่นๆ ที่ไม่ใช่เพียงแค่การอนุรักษ์ ต้องการมีรายได้จากผืนป่า เปิดป่าให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ มีรายได้จากนักท่องเที่ยว ในขณะที่อีกฝ่ายกลับมองว่า เราได้น้ำ อากาศบริสุทธิ์จากป่าไม้ แล้วทำอย่างไรถึงจะอนุรักษ์ผืนป่าที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดไว้ให้ลูกหลานในอนาคตได้

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2551 ที่ผ่านมา มูลนิธิสืบนาคะเสถียรได้จัดงานสัมมนา ต่อร่างพรบ.ทั้ง 2 ฉบับ ในหัวข้อที่ว่า “รักษา หรือ แปลงป่าให้เป็นทุน” โดยระดมความคิดเห็น จากเอ็นจีโอ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีนักกฎหมายจากกองนิติกรกรมอุทยานแห่งชาติ เป็นผู้ร่วมงานสัมมนาในครั้งนี้ด้วย

ประเด็นหลักๆ ใน ร่างพรบ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ....... และร่างพรบ. ส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่า พ.ศ...... ที่นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมมีความกังวล คือ 1) เจตนารมณ์ของกฎหมายใหม่ มีไว้เพื่อคุ้มครองรักษาสัตว์ป่า ทรัพยากรธรรมชาติ ตามหลักเจตนารมณ์เดิม หรือไม่ 2) ปัญหาจากการแก้ไขกฎหมาย ไปสู่การเปิดพื้นที่ป่าเพื่อการท่องเที่ยวอย่างครบวงจรเต็มรูปแบบ และการเปิดช่องทางการค้าขายสัตว์ป่าได้ทุกประเภท และสามารถดำเนินการได้โดยไม่ผิดหลักกฎหมาย

ร่างพรบ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ..... และร่างพรบ. ส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่า พ.ศ. ..... ได้มีการแบ่งเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นเขตหวงห้าม เขตบริการ และเขตผ่อนปรน กรณีในเขตอุทยานแห่งชาติ หรือ แบ่งเป็น เขตหวงห้าม เขตศึกษาธรรมชาติ และ เขตผ่อนปรน ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

- เขตผ่อนปรน (ม. 39) สามารถใช้ประโยชน์ได้เท่าที่จำเป็น ศึกษาวิจัยทางวิชาการ ท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติ ถ่ายทำภาพยนตร์ วีดีทัศน์ สารคดี

- เขตบริการ (ม.38 (1) ) สำรวจ ศึกษาวิจัย หรือทดลองทางวิชาการ (ม.38 (2) ) ท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติ (ม.38 (3) ) การให้การบริการ เพื่อการท่องเที่ยวหรือ พักอาศัยชั่วคราวแก่นักท่องเที่ยว (ม.38 (4) ) ถ่ายทำภาพยนตร์ วีดิทัศน์ สารคดี และถ่ายภาพ

- เขตหวงห้าม การสำรวจศึกษาวิจัย หรือการทดลองทางวิชาการของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือหน่วยงานภาครัฐ (ม.37) การท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติที่อยู่ในความควบคุม ดูแลของเจ้าหน้าที่อุทยาน อย่างใกล้ชิด


คุณศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร แสดงทรรศนะต่อการแบ่งเขตุอุทยานดังกล่าวว่า ขัดแย้งกับหลักการจัดการพื้นที่อุทยานในทางวิชาการทั่วไป โดยขาดการกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนในกฎหมาย ว่าพื้นที่ลักษณะใดต้องเป็นเขตหวงห้ามเท่านั้น พื้นที่ลักษณะใดสามารถกำหนดให้เป็นเขตบริการ หรือเขตศึกษาธรรมชาติ หรือผ่อนปรนได้ รวมทั้งเมื่อพิจารณาจากข้อกฎหมายแล้วจะพบว่า แม้จะมีการแบ่งเขตต่างๆ จริง แต่กฎหมายก็ยังให้อำนาจการตัดสินใจอยู่กับเจ้าหน้าที่ในเขตอุทยานนั้นๆ ท้ายที่สุดนักท่องเที่ยวก็จะสามารถเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ของอุทยาน

นอกจากนี้ยังแสดงความกังวลในเขตบริการ ที่มีการอนุญาตให้เอกชนเข้าไปลงทุนสร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆ เพื่อดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับการท่องเที่ยว และการบริการที่พักแรมได้เขตบริการละ 10 ไร่ คราวละไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ไม่เกิน 30 ปี โดยพิจารณาเปรียบเทียบผลประโยชน์ที่รัฐจะได้รับกับความเสียหายของอุทยาน ว่าเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนมากเกินไป



ด้าน นายศักดิ์อนันต์ ปลาทอง จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ให้ความเห็นในเรื่องเดียวกันว่า การดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว กำหนดให้เอกชนลงทุนคราวละไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ไม่เกิน 30 ปี นั้น ในแง่นักลงทุนต้องเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ใช้เวลาคืนทุนหลายปี ผลประโยชน์ส่วนใหญ่จึงตกแก่กลุ่มนายทุนมากกว่า อีกทั้งมองว่า พื้นที่สำหรับทำกิจกรรมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวระบุไว้ไม่เกินเขตบริการละ 10 ไร่ แต่ในกฎหมายไม่ได้ระบุว่า อุทยานแห่งชาติแต่ละแห่งจะมีเขตบริการกี่เขต

นอกจากนี้ยังมีความกังขาว่า ใครเป็นผู้แบ่งเขตแดนดังกล่าว คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ หรือ คณะกรรมการที่ปรึกษาประจำอุทยานแห่งชาติ แต่ที่ตนมองว่าเป็นไปได้มากที่สุดคือ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ โดยผ่านการเสนอต่ออธิบดีออกเป็นประกาศ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้หัวหน้าอุทยานแห่งชาติโดยความเห็นชอบของอธิบดี อนุญาตให้เอกชนรายใหม่เข้ามาดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ง่ายขึ้น ไม่ได้เป็นการบรรเทาปัญหาเดิมจากการที่ชาวบ้านเข้ามายึดพื้นที่ให้บริการนักท่องเที่ยว แต่เท่ากับการเปิดพื้นที่ใหม่ ให้เอกชนรายใหม่ เข้ามาสร้างรีสอร์ท และทำกิจกรรมการท่องเที่ยวได้อย่างถูกกฎหมาย พร้อมให้ข้อเสนอแนะว่า อุทยานไม่จำเป็นต้องส่งเสริมการมีที่พักที่ทันสมัย สะดวกสบาย หากมีความจำเป็นควรให้มีอยู่รอบนอกอุทยานจะสามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้กับชุมชน ที่อยู่รอบนอกอุทยานมากกว่า ทั้งนี้รัฐไม่ควรมองแต่ผลประโยชน์ที่กรมอุทยานแห่งชาติ หรือ อุทยานแห่งชาตินั้นๆ จะได้รับ เป็นค่าตอบแทนเพียงอย่างเดียว หากการที่ผลประโยชน์จากการเช่าที่พัก ร้านค้าอาหาร และกิจการการท่องเที่ยวตกอยู่กับชาวบ้านรอบนอกอุทยานแห่งชาติก็นับว่าเป็นผลประโยชน์แก่ประเทศชาติเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนแข่งขันกับชาวบ้าน

หากพิจารณาผลในระยะยาว จะพบว่า อุทยานแห่งชาติจะไม่สามารถควบคุมปริมาณนักท่องเที่ยว และการใช้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวได้ เนื่องจากเอกชนจะดำเนินกิจการโดยหวังผลกำไรเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว

ส่วนในเรื่องอื่นๆ เช่นการจัดสรรผลประโยชน์ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็ไม่ได้มีความชัดเจนแต่ประการใด

คุณสุกรานต์ โรจนไพรวงศ์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมกล่าวว่า การปรับเปลี่ยนกฎหมายตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งจำเป็น หากการเปลี่นแปลงนั้นนำไปสู่ด้านที่ดีขึ้น โดยหลักใหญ่ใจความต้องเน้นในเรื่องการอนุรักษ์ และคำนึงถึงหลักความสมดุล หากมีความต้องการใช้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจจากป่า ว่าใช้ทรัพยากรได้เท่าที่ศักยภาพของผืนป่าจะพื้นฟูทดแทนได้ในระยะเวลาที่เหมาะสม แต่จากการพิจารณาร่างทั้งสองฉบับพบว่า กฎระเบียบข้อห้ามต่างๆ มีน้อยเกินไป โดยเนื้อหากฎหมายไม่ได้ถูกเขียนไว้เพื่อการอนุรักษ์แต่อย่างใด

แม้จะมีบางมาตราที่ได้ระบุข้อห้ามเอาไว้ แต่มาตราต่อมาก็จะมีการข้อความระบุการยกเลิกข้อห้ามนั้นๆ เช่นอะไรที่ห้ามเอาไว้เมื่อถึงภาวะฉุกเฉินก็สามารถทำได้ หรือเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวกสามารถทำได้ เป็นไปในลักษณะถ้าคุณสร้างความเสียหาย คุณมีเงินคุณก็สามารถจ่ายได้ ตามหลักการใครก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย นักวิชาการมองว่าร่างดังกล่าว ถูกเขียนขึ้นเพื่อระบุวาเราสามารถทำอะไรได้บ้างในอุทยานนั้นๆ มากกว่า

อีกทั้งการให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่อุทยานมากเกินไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีความกังวลใจ เช่นการที่กฎหมายระบุไว้อย่างชัดเจนว่า นักท่องเที่ยวทำอะไรได้บ้างในที่ที่มีเจ้าหน้าที่อยู่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ในการจัดการ แสดงว่าเจ้าหน้าที่ก็สามารถกระทำการใดๆ เองได้ทั้งหมด

ด้าน นายมนู ทองศรี ผู้อำนวยการกองนิติกร กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ฝ่ายนำเสนอร่างพรบ. ทั้ง 2 ฉบับ ได้แย้งว่า ข้อมูลร่างพรบ. ที่นำมาใช้ในการสัมมนาในวันนี้ยังเป็นฉบับเก่า เนื่องจากทางคณะผู้ร่างได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปแล้วในบางส่วน เช่นพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวระบุไว้ไม่เกินเขตบริการละ 10 ไร่ ให้มีการดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว กำหนดให้เอกชนลงทุนคราวละไม่น้อยกว่า 5 ปี แต่ไม่เกิน 30 ปี แต่ร่างฉบับปรับปรุงแก้ไขข้อความดังกล่าวยังมิได้นำมาเผยแพร่ ทั้งนี้การร่างพรบ. ไม่ได้กำหนดขึ้นมาอย่างหลักลอย แต่อยู่ภายใต้ 3 หลักการ คือสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ รับกับโครงสร้างเศรษฐกิจ และลดละเลิก ขั้นตอนต่างๆ ให้ง่ายต่อการปฏิบัติการ

นอกจากนี้ยังระบุว่า พรบ.ฉบับดังกล่าวเป็นการลดปัญหาการประกาศพื้นที่ทับซ้อนกับชาวบ้าน บริเวณโดยรอบอุทยานให้มีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรอีกด้วย

อย่างไรก็ตามผู้อำนวยการกองนิติกรก็ประกาศว่าพร้อมเปิดรับฟังทุกข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว โดยฝากให้ทั้งนักวิชาการ และเอ็นจีโอ รวบรวมข้อทักท้วง ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ ส่งมาที่กรม เพื่อเป็นอีกหนึ่งแนวทาง ก่อนจะนำเสนอเข้าสู่กระทรวงต่อไป

โดยทางมูลนิธิสืบสาคะเสถียรเสนอตัวที่จะเป็นผู้คอยติดตามสถานการณ์ และความเคลื่อนไหวใน พรบ. ฉบับนี้กับกรมอุทยานแห่งชาติ อย่างใกล้ชิด



จาก             :            www.ThaiNGO.org      วันที่ 6 สิงหาคม 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #70 เมื่อ: กันยายน 01, 2008, 11:30:00 AM »


ละเอียดดีจังค่ะ.....อาจารย์บอย

ขอให้อาจารย์ทราบว่าพวกเราชาว sos  จะอยู่เคียงข้างอาจารย์และผู้คัดค้านท่านอื่นๆตลอดไปค่ะ....
บันทึกการเข้า

Saaychol
Bluefin
ตอบกระทู้เยอะ ๆ จะได้ 2 ดาว
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 47



เว็บไซต์
« ตอบ #71 เมื่อ: กันยายน 02, 2008, 08:30:25 AM »

  โครงการแปลงป่าเป็นทุนนักการเมือง แปลงที่สาธารณะเป็นที่ตัว แปลงสมบัติชาติไว้หาประโยชน์  ทำไมชาติบ้านเมืองเรามีแต่นักการเมืองแบบนี้  จ้างม็อบมาชนม็อบประชาชน ข่มขู่สื่อ นายกก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนบนความเดือดร้อนของประชาชน... ต่อๆไปลูกหลานเราคงไม่เหลือแผ่นดินเป็นแน่ 
บันทึกการเข้า
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #72 เมื่อ: กันยายน 03, 2008, 01:18:14 AM »


เปิดอุทยาน ฯ สัมปทานมรดกของชาติ  (2)                                    :                               วินิจ รังผึ้ง



       ผมเขียนเรื่องเปิดอุทยานสัมปทานมรดกของชาติไปตอนหนึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วแต่ยังมีประเด็นที่อยากจะนำเสนอจึงจะขอนำเสนอต่ออีกสักหน่อย อย่างที่กล่าวมาเมื่อตอนที่แล้วว่า ทางผู้บริหารกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีโครงการจะเปิดให้เอกชนเข้ามารับสัมปทานบริหารพื้นที่บริการในเชิงธุรกิจครบวงจร เช่นทำที่พัก ร้านอาหาร ร้านค้าของที่ระลึก และบริการท่องเที่ยวต่างๆเป็นการนำร่อง จำนวน 10 อุทยานฯระยะเวลาสัมปทานยาวนานถึง 30 ปีเลยทีเดียว และค่าสัมปทานก็แสนถูกเพียงตารางเมตรละ 30 บาทต่อเดือน นั่นยังมีการต่อรองจากเอกชนกันลงมาเหลือเพียงตารางเมตรละ 3 บาทเท่านั้น โดยใน 10 อุทยานดังกล่าวล้วนเป็นอุทยานแห่งชาติยอดนิยมที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งนั้น ปีหนึ่งมีนักท่องเที่ยวรวมกันนับล้านคน มีรายได้กว่า 160 ล้านบาทในปี 2550 ที่ผ่านมา
       
       จากข้อมูลเบื้องต้นเมื่อพยายามมองในมุมของผู้บริหารกรมอุทยานฯ ที่พยายามผลักดันนโยบายให้เอกชนเข้ามารับสัมปทานเช่าพื้นที่ระยะยาวโดยให้เหตุผลว่าต้องการจะหารายได้เพื่อนำไปสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจในการดูแลรักษาพื้นที่อุทยานฯที่กว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งงบประมาณและกำลังพลในการปฏิบัติงานไม่เพียงพอ ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ฟังดูเบาหวิว เพราะแม้จะเพิ่มค่าเช่าอีกเท่าตัวเป็นตารางเมตรละ 60 บาทต่อเดือนก็จะเป็นรายได้เพียงสักเท่าไหร่ ในขณะที่ผลประโยชน์ของภาคเอกชนจะมากมายมหาศาลเพียงใด หากได้เข้าไปผูกขาดสัมปทานในอุทยานแห่งชาติชั้นนำของเมืองไทย ลองหลับตานึกดูว่าหากเอกชนรายหนึ่งรายใดได้สัมปทานอุทยานแห่งชาติอย่างหมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะที่สวยงามบริสุทธิ์เป็นแหล่งดำน้ำที่สวยงาม 1 ใน 10 ของโลก ซึ่งกำลังจะมีการเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกนั้น เอกชนรายดังกล่าวจะได้ผลประโยชน์มหาศาลเพียงใด ในขณะเดียวกันหมู่เกาะอันแสนบริสุทธิ์แห่งนี้จะมีสภาพเช่นใด อาจจะมีเตียงผ้าใบ มีร่มชายหาดไปตั้งเรียงรายให้นักท่องเที่ยวเช่านอนกันเต็มหาดก็เป็นได้ และก็มีกระแสข่าวว่ามีเอกชนบางกลุ่มถึงขนาดออกแบบเขียนแปลนก่อสร้างบ้านพักแบบรีสอร์ทสวยหรูบนชายหาดอันขาวบริสุทธิ์ของหมู่เกาะสิมิลัน และบริเวณเกาะตาชัยไว้แล้ว นั่นยังไม่รวมหมู่เกาะสุรินทร์ที่เตรียมจับจองเตรียมจะเข้ามาทึ้งมรดกของชาติมรดกของประชาชนคนไทยด้วยแล้วเช่นกัน
       
       หากจะอ้างกันว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ทางอุทยานแห่งชาติก็มีระเบียบในการเปิดให้เอกชนเข้าไปดำเนินการให้บริการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติกันอยู่แล้ว หรือไม่เช่นนั้นก็มีการแอบแสวงหาประโยชน์ในลักษณะคล้ายๆกับการรับสัมปทานการจัดบริการในเขตอุทยานฯกันอยู่แล้วเช่นบริการร้านอาหารบนเกาะ ร้านค้าของที่ระลึกในแต่ละอุทยานฯ ทางกรมอุทยานฯจึงพยายามจะจัดระบบและยกระดับการบริการให้มีมาตรฐานโดยการเปิดสัมปทานให้เอกชนเข้ามารับช่วงบริการอย่างเป็นทางการเสียเลย ซึ่งหากจะอ้างเหตุผลเช่นนั้นก็ต้องถามว่า ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เข้าไปท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาตินั้นเขาเข้าไปเพราะต้องการใช้บริการที่พักที่หรูหราสะดวกสบาย ต้องการไปใช้บริการร้านอาหารดี ๆ หรือต้องการไปสัมผัสบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติอันแสนบริสุทธิ์มากกว่ากัน
       
       ในส่วนของมาตรฐานการให้บริการนั้น ความจริงก็น่าเห็นใจทางเจ้าหน้าที่อุทยานฯเพราะเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ก็มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการดูแลรักษาป่ารักษาพื้นที่มากกว่าความเชี่ยวชาญในภาคบริการทั้งหลาย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็สามารถจะแก้ปัญหาได้ด้วยการบริหารจัดการ โดยอาจจะจ้างผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการมารับหน้าที่ดำเนินการ แต่อย่างไรก็ควรจะต้องดำเนินการโดยอุทยานฯไม่ใช่ให้เอกชนเข้ามารับสัมปทานผูกขาดแสวงหาผลประโยชน์อย่างที่กำลังจะเป็น
       
       อย่างไรก็ตามผมอยากจะเสนอแนวคิดในการปรับมาตรฐานการบริการของอุทยานแห่งชาติก่อนที่จะยกไปให้เอกชนเข้ามารับสัมปทานผูกขาดระยะยาว โดยทางกรมอุทยานฯน่าจะลองทำโครงการอุทยานแห่งชาติต้นแบบ หรืออุทยานแห่งชาติตัวอย่างขึ้นมา โดยอาจจะคัดเลือกอุทยานแห่งชาติยอดนิยมสัก 3 แห่งมาเป็นต้นแบบในการพัฒนา โดยเลือกอุทยานแห่งชาติในลักษณะต่างๆ เช่นอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และอุทยานแห่งชาติทางทะเลอีกสักแห่งอาจจะเป็นอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันก็ได้ แล้วลองทุ่มเทสรรพกำลังของนักวิชาการอุทยานฯ รวมทั้งผู้บริหารของกรมฯ ออกแบบอุทยานแห่งชาติในฝันขึ้นมา แล้วทุ่มเทงบประมาณลงไปเพื่อให้มีมาตรฐานทั้งในเรื่องศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่พัก ค่ายพักเยาวชน ลานกางเต็นท์ ร้านอาหารมาตรฐานไม่ใช่ร้านขายเหล้าขายเบียร์อย่างที่เป็นอยู่ในบางอุทยานฯ จัดระบบดูแลความปลอดภัยและมาตรการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวยามฉุกเฉิน รวมทั้งบริการกิจกรรมนำเที่ยวในพื้นที่อุทยานฯที่ได้มาตรฐานและเป็นมืออาชีพ เช่นมัคคุเทศก์นำทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ นำทางดูนก ล่องแก่ง จักรยานเสือภูเขา โดยมีบุคลากรที่สามารถสื่อสารและให้บริการได้ทั้งกับนักท่องเที่ยวคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ตลอดจนทำระบบการสื่อสารการสั่งจองบริการให้สะดวกสบายได้จากทั้งในประเทศและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเหมือนเช่นอุทยานแห่งชาติระดับสากล เมื่อพัฒนาอุทยานต้นแบบนำร่องได้มาตรฐานเช่นนี้แล้ว จะมีการปรับราคาค่าธรรมเนียม ค่าบริการให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นเพื่อให้เลี้ยงตัวเองได้หรือเป็นรายได้นำไปปรับปรุงมาตรฐานบริการในส่วนอื่นๆของอุทยานฯ ก็คงจะไม่มีใครปฏิเสธ
       
       หากโครงการอุทยานแห่งชาติต้นแบบนำร่องนี้ประสบผลสำเร็จ ก็จะสามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงอุทยานแห่งชาติอื่นๆให้มีมาตรฐานยิ่งๆขึ้นไปอีก ซึ่งก็น่าจะดีกว่าการเปิดให้เอกชนเข้ามารับสัมปทานอุทยานฯยอดนิยมทีเดียว 10 แห่งโดยมีระยะเวลายาวนานถึง 30 ปี ซึ่งหากมีความผิดพลาด มีความล้มเหลวเกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องที่ยากจะเยียวยาแก้ไข หรือคนไทยต้องจำกล้ำกลืนผืนทนไปถึง 30 ปี จำเป็นแล้วหรือที่จะต้องนำเอาสมบัติชิ้นเยี่ยมของชาติ สมบัติร่วมกันของประชาชนคนไทยทุกคน ไปสุ่มเสี่ยง ไปเป็นเครื่องทดลอง หากมีทางเลือกขอให้ใช้มาตรการอย่างอื่นเถอะครับ




จาก                          :                    ผู้จัดการออนไลน์     วันที่ 2 กันยายน 2551 
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #73 เมื่อ: กันยายน 03, 2008, 01:21:09 AM »


อุทยานฯอ้างเอกชนเช่าพื้นที่ ไม่ล้ำเขตอนุรักษ์



      ความคืบหน้ากรณีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอนโยบายเปิดให้เอกชนเข้ามาเช่าพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ล่าสุด ไพศาล กุวลัยรัตน์ รักษาการอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ ได้กล่าวในสัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวว่าคณะกรรมการกำลังศึกษาว่าอุทยานฯไหนบ้าง จะมีความเป็นไปได้
       
       โดยเบื้องต้นจะดูรายละเอียดจากแผนแม่บทของแต่ละอุทยานฯ แต่ยังไม่มีรายละเอียดการประกาศพื้นที่บริการเพื่อให้เอกชนขอใช้ประโยชน์ได้ แม้ว่าที่ผ่านมากรมอุทยานฯ จะมีระเบียบกรมอุทยานฯปี2547 ว่าด้วยการอนุญาตให้เข้าไปดำเนินกิจการท่องเที่ยวและพักอาศัยในอุทยานได้แล้วก็ตาม ทั้งนี้ขั้นตอนต่างๆ ยังคงต้องรอร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ....ผ่านการพิจารณาจากกฤษฎีกาก่อนด้วย
       
       นายไพศาลกล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวอุทยานแห่งชาติเพิ่มขึ้นจาก 16 ล้านคนเป็น17ล้านคนต่อปี ดังนั้นนักท่องเที่ยว 1 ล้านคนที่เพิ่มขึ้นก็ต้องหาพื้นที่รองรับเพื่อไม่ให้เกินขีดความสามารถที่รองรับได้
       
       โดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติทางทะเล และอุทยานที่มีชื่อเสียงมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปจำนวนมาก กรมอุทยานฯก็ต้องศึกษาแนวทางเอาไว้ก่อน แต่พื้นที่ที่จะนำมาจัดโซนบริการต้องดูความเหมาะสมด้วย เช่น ต้องไม่เป็นป่าต้นน้ำ ไม่เป็นถิ่นของสัตว์และพืชหายาก
       
       ทางด้าน สำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า แนวคิดในเรื่องเอกชนเข้ามาบริหารพื้นที่อุทยานแห่งชาตินั้น ข้าราชการในกรมอุทยานส่วนใหญ่เห็นด้วยกับ นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากร อยู่แล้ว เพราะควรจะต้องนำเอามืออาชีพมาบริหารจัดการ ซึ่งกรณีที่ข่าวออกไปว่าเป็นการสัมปทานนั้นเป็นความจริงแล้ว ไม่ได้ถึงขนาดนั้นเป็นเพียงการนำเอามืออาชีพเข้ามาช่วยในการบริหารงานในโซนบริการท่องเที่ยวที่เจ้าหน้าไม่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอเท่านั้น
       
       ด้าน ศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงความคืบหน้าการปรับแก้ร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ....ว่า ขณะนี้ทางสำนักนิติกร กรมอุทยานแห่งชาติฯได้รับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนการปรับปรุงรายละเอียดขึ้นสุดท้ายเพื่อเตรียมเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
       
       อย่างไรก็ตามมีระเบียบกรมอุทยานฯปี 2547 ว่าด้วยการอนุญาตให้เข้าไปดำเนินการท่องเที่ยวและพักอาศัยยังคงเป็นร่างพ.ร.บ.ฉบับเดิม เพราะถือว่าได้ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นมาแล้วทั้งจากนักวิชาการ และเอ็นจีโอ ซึ่งขณะนี้ทางนิติกร จะรับเอามาปรับแก้โดยคาดว่าจะดำเนินเสร็จภายในเดือนก.ย.นี้
       
       ด้านความคิดเห็นของ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองอธิบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า งานด้านการท่องเที่ยวได้ขึ้นมาแซงหน้า งานด้านการอนุรักษ์พื้นที่อุทยานแล้วในปัจจุบัน ทำให้เจ้าหน้าที่อุทยานส่วนใหญ่จำเป็นต้องมาดูแลนักท่องเที่ยว
       
       ซึ่งการเปิดให้เอกชนเข้ามาดำเนินการในพื้นที่อุทยานแห่งชาตินั้นที่ผ่านมาเคยดำเนินไปบ้าง เช่น ภูกระดึง แต่ไม่เคยเด่นชัดถึงขนาดให้เอกชนเข้ามาสร้างบ้านพักถาวร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก




จาก                          :                    ผู้จัดการออนไลน์     วันที่ 2 กันยายน 2551
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #74 เมื่อ: กันยายน 03, 2008, 04:34:39 AM »

จะอย่างไรกันแน่คะ....จะให้เช่าหรือดึงมืออาชีพมาบริหารจัดการ.....


เมื่อคืนไปงานศพคุณพ่ออาจารย์ธรณ์มา.....ขนาดเศร้าๆอยู่ อาจารย์ยังมีแก่ใจพูดขึ้นมาว่า "เรื่องอุทยานเดี๋ยวค่อยคุยกัน...."

สายชลเลยแจ้งไปว่า "ตอนนี้ได้รายชื่อคัดค้านมา 100 กว่าชื่อแล้วนะจ๊ะ"

อาจารย์เลยบอกว่า "ต้องมากกว่านั้นครับ"

โธ่.....SOS นั้นบ้านเล็กนิดเดียวนะจ๊ะอาจารย์  ได้มาขึ้นหลักร้อยนี่ก็นับว่าดีถมไปแล้วจ้ะ   
บันทึกการเข้า

Saaychol
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 10   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.041 วินาที กับ 20 คำสั่ง