ชีวิตที่งดงาม กลางคลื่นมรสุมร้าย ทางการเมือง"ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ มิใช่เป็นเพียงบุคคลหนึ่งที่มีชื่อผ่านเข้ามาในประวัติศาสตร์ในฐานะเป็นภริยาของท่านรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ เท่านั้น แต่ชีวิตของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เป็นประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งทีเดียว อย่างน้อย ในกระแสแห่งความผันผวนปรวนแปรของเหตุการณ์บ้านเมืองที่ชีวิตของท่านผู้หญิง พูนศุข ถูกกระทบกระแทกอย่างหนักหน่วงรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดช่วงเวลายาวนาน ท่านผู้หญิงรู้เห็น รู้สึก มองสถานการณ์และเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างไร รวมทั้งนำชีวิตและบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะครอบครัวลุล่วงผ่านพ้นมาได้อย่างไร ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษาอย่างมาก"
นี่คือ คำอนุโมทนาของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) ในหนังสือ 7 รอบ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เมื่อปี 2539
เช้าวันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม หลังวันปรีดี พนมยงค์ เพียง 1 วัน
ทายาทตระกูล "พนมยงค์" ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า ขอแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2550 ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยารัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในรัชกาลที่ 8 มีอาการทางโรคหัวใจจึงได้เข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
ต่อมา ในค่ำวันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันปรีดี พนมยงค์ อาการของท่านผู้หญิงได้ทรุดหนักลงโดยลำดับ กระทั่งได้ถึงแก่อนิจกรรมโดยสงบ เมื่อเวลา 02.00 น. ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว สิริรวมอายุ 95 ปี 4 เดือน 9 วัน
บัดนี้ ชีวิตที่งดงาม กลางคลื่นมรสุมร้ายแห่งชาติของท่านผู้หญิงพูนศุข ได้ปิดฉากลงแล้ว อย่างเงียบๆ ท่ามกลางความรู้สึกอำลาและอาลัย
น่าเสียดายที่นับจากนี้ไป การปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมของทุกปี จะไม่มีโอวาทจากท่านผู้หญิงพูนศุข อีกต่อไป
แต่คำโอวาทของท่านผู้หญิง ที่ไม่เคยเลือนหายไปก็คือ "ขอให้นักศึกษาธรรมศาสตร์จงดูนายปรีดีเป็นตัวอย่าง ที่ทำงานอุทิศตัวให้กับบ้านเมืองมาตลอดชีวิต แต่ไม่เคยคิดจะหาประโยชน์ให้กับตัวเอง"
+++++++++++++++++++++++++++++
ท่านผู้หญิงพูนศุขเกิดในสมัยรัชกาลที่ 6 ในตระกูล ณ ป้อมเพชร์ ซึ่งเป็นตระกูลขุนนาง บิดาของท่าน คือ มหาอำมาตย์ศรี พระยาชัย วิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา เป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนแรกของประเทศ
หลังสำเร็จการศึกษาระดับมัยม 7 จากโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ เด็กสาว อายุไม่ถึง 17 ปี ท่านผู้หญิงก็สมรสกับนายปรีดี พนมยงค์ ด็อกเตอร์หนุ่มนักกฎหมายชื่อดังจากฝรั่งเศส
สี่ปีต่อมา สามีของท่านก็กลายเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์สยาม ในฐานะหนึ่งในผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาสู่ระบอบประชาธิปไตย
อายุได้ 22 ปี ท่านผู้หญิงต้องลี้ภัยการเมืองไปต่างประเทศเนื่องจากนายปรีดีถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และเมื่อกลับมาจากต่างประเทศท่านก็ต้องติดตามนายปรีดี
ไปทุกหนทุกแห่ง ในฐานะภรรยาของสามีที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการคลัง อายุเพียง 28 ปี ท่านก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "ท่านผู้หญิง"
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านผู้หญิงพูนศุข ภรรยาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เข้าร่วมกับขบวนการเสรีไทย ทำงานใต้ดินส่งข่าวออกนอกประเทศให้แก่สัมพันธมิตรในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย
หลังจากนายปรีดีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ไม่นาน ก็ถูกนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับกรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
ในที่สุดทหารกลุ่มหนึ่งได้ก่อการรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ขับรถถังมาจ่อหน้าทำเนียบท่าช้าง และสาดกระสุนเข้าไปในบ้านที่ท่านผู้หญิงและลูกๆ พำนักอยู่ เหตุการณ์นั้นทำให้นายปรีดีต้องหนีตายไปอยู่ต่างประเทศ
ต้นปี พ.ศ.2495 เมื่ออายุได้ 40 ปี ท่านผู้หญิงและลูกชายถูกอำนาจเผด็จการสั่งจับกุมคุมขังในข้อหากบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักรจนท่านผู้หญิงไม่อาจทนอยู่เมืองไทยได้ ตัดสินใจติดตามไปอยู่กับนายปรีดีที่ประเทศจีนและฝรั่งเศสเป็นเวลา 30 กว่าปี จนกระทั่งสามีอันเป็นที่รักได้จากไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2526
นายปรีดี พนมยงค์ เคยเขียนจดหมายถึงท่านผู้หญิงพูนศุข เนื่องในโอกาสครบ 40 ปีแห่งการสมรสว่า
"ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น น้องได้ปฏิบัติเป็นภรรยาที่ดียิ่ง พร้อมด้วยความอุทิศตน เสียสละทุกอย่างเพื่อพี่ และเพื่อราษฎรไทย แม้ว่าขณะนี้น้องได้รับความลำบากเนื่องจากความอยุติธรรมของศัตรูที่ปองร้าย แต่วันใดวันหนึ่งในภายหน้า คุณความดีของน้องก็จะต้องปรากฏขึ้นแก่มวลราษฎรไทย..."
นี่คือ บทพิสูจน์แห่งชีวิตที่งดงามของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์
+++++++++++++++++++++++++++++
หลายปีก่อนท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ในวัย 89 ปี ได้ให้สัมภาษณ์วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ บรรณาธิการบริหาร นิตยสารสารคดี ความทรงจำอันแจ่มชัดของท่านผู้หญิงบอกเล่า ชีวิตกลางคลื่นมรสุมร้ายได้อย่างลึกซึ้งกินใจ
- ท่านผู้หญิงกับอาจารย์ปรีดีรู้จักกันได้อย่างไร
เป็นญาติห่างๆ กัน นายปรีดีแก่กว่าฉัน 11 ปี พ่อของฉันและพ่อของนายปรีดีเป็นญาติกัน จึงฝากฝังบุตรชายให้มาเรียนกฎหมายในกรุงเทพฯ นายปรีดีนี่มาอยู่ที่บ้านจึงรู้จักกันตั้งแต่ฉันอายุ 9 ขวบ พอเรียนจบได้เป็นเนติบัณฑิตแล้วก็ได้ทุนไปเรียนต่อทางกฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลา 7 ปี พอนายปรีดีกลับมาฉันอายุ 16 ปี นายปรีดีกลับมาถึงเมืองไทยวันที่ 1 เมษายน 2470 กว่าจะแต่งงานก็เดือนพฤศจิกายน 2471
ตอนที่นายปรีดีพาพ่อจากอยุธยามาขอหมั้น ฉันยังไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ตามปกติ ตอนนั้นฉันเรียนอยู่ standard 7 ตามหลักสูตรนี้เรียนภาษาไทยวันละชั่วโมงเท่านั้น วิชาอื่นสอนเป็นภาษาต่างประเทศหมด เมื่อนายปรีดีมาสู่ขอ คุณพ่อฉันก็ยอมและไม่ได้เรียกร้องอะไรนอกจากแหวนเพชรวงหนึ่ง
- ตอนนั้นอาจารย์ปรีดีถือเป็นคนเด่นในหมู่ข้าราชการไหมครับ
สมัยนั้นด็อกเตอร์มีไม่กี่คน ผู้ที่มารดน้ำในงานแต่งงานบางท่านก็อวยพรว่า จะโชคดีมีโอกาสเป็นเสนาบดีแน่นอน ตอนนั้นนายปรีดีเพิ่งได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็นรองอำมาตย์เอกหลวงประดิษฐมนูธรรม เราแต่งงานวันที่ 16 พฤศจิกายน 2471 เราหมั้นกันก่อนประมาณ 6 เดือน เพราะต้องรอเรือนหอที่คุณพ่อคุณแม่สร้างให้เป็นของขวัญ ซึ่งอยู่ในบ้านป้อมเพชร์ ถนนสีลม เวลานี้โดนรื้อกลายเป็นถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ตรงหัวมุมถนนสีลมตัดกับถนนสายใหม่นั่นแหละ พอเรือนหอสร้างเสร็จเราก็แต่งงาน
- อยากจะเรียนถามถึงชีวิตส่วนตัวของอาจารย์ปรีดีครับ ไม่ทราบว่าท่านใช้จ่ายเงินในครอบครัวอย่างไร
ตั้งแต่แต่งงานมานายปรีดีมอบเงินเดือนให้ฉันหมดเลย เมื่อต้องการอะไรก็ให้ฉันหาให้ คือก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองมีรายได้จากโรงพิมพ์ นายปรีดีตั้งโรงพิมพ์นิติสาส์น พิมพ์นิติสาส์นรายเดือน พิมพ์หนังสือชุดประชุมกฎหมายไทย เพื่อเผยแพร่ มีคนสั่งจองซื้อมาก และรายได้อีกทางจากค่าสอนที่โรงเรียนกฎหมาย เวลานั้นได้ชั่วโมงละ 10 บาท พอเปลี่ยนแปลงการปกครองก็เลิกโรงพิมพ์ ยกให้เป็นโรงพิมพ์ของมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองพร้อมทั้งพนักงาน จึงไม่มีรายได้ทางโรงพิมพ์ต่อไปอีก พอเป็นรัฐมนตรีมีรายได้เดือนละ 1,500 บาท ก็ให้ฉันอีก บางทีก็ลืมเงินเดือนไว้ที่โต๊ะทำงาน สมัยนั้นเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่ต้องเอาไปให้ถึงบ้าน แล้วตอนหลังนายปรีดีก็ไม่รับเงินเดือนเอง ให้เลขาฯนำเงินมาส่งให้ฉันเลย ตอนรับตำแหน่งผู้ประศาสนการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองก็มีเงินประจำตำแหน่ง แต่ไม่เคยเบิกมาใช้ จัดให้เป็นเงินสวัสดิการของมหาวิทยาลัยเพื่อช่วยเหลือนักศึกษาที่ขาดแคลน
- นิสัยส่วนตัวของอาจารย์ปรีดีเป็นอย่างไรครับ
รู้สึกใจร้อนนิดนึง แต่ไม่ถึงกับหุนหันพลันแล่นหรอก แต่ว่าทำอะไรก็อยากจะเห็นผลเร็ว เป็นอย่างนี้ แล้วก็เชื่อคนง่าย บางทีเราต้องช่วยดูให้ นายปรีดีดูคนไม่ค่อยเป็น นึกว่าเหมือนตัวเองหมด
- อยากให้ท่านผู้หญิงช่วยเล่าถึงวันที่อาจารย์ปรีดีเสียชีวิต
อยู่ดีๆ ก็นั่งเขียนหนังสือ เขียนเสร็จแล้วจะให้ลูกคนหนึ่งตรวจทาน ก็ให้ฉันออกไปตาม แต่ลูกไม่อยู่ ออกไปทำงานก่อน ฉันก็กลับเข้ามา เห็นนายปรีดีถอดแว่น พูดอะไรสองสามคำ ฉันก็จำไม่ได้ แล้วเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้คอพับ แล้วนิ่งไป ฉันก็รีบไปหยิบยาฉุกเฉินที่หมอเขาให้ไว้ แล้วก็รีบโทรศัพท์ ลูกอีกคนก็เช่าบ้านอยู่ข้างๆ เพราะบ้านเราเล็ก เขามีครอบครัว ให้คนไปตาม เผอิญมีหลายคนเรียนแพทย์จุฬาฯ ปี 4 มาพักอยู่ที่บ้าน ก็ให้เขามาช่วยผายปอด แล้วก็โทรศัพท์เรียกแพทย์ฉุกเฉิน หมอสั่งไว้ให้เรียกรถแอมบูแลนซ์ก่อน เพราะว่าแอมบูแลนซ์ของเขามีเครื่องเคราครบ เขาก็มาปั๊มหัวใจ แต่ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว นายปรีดีไม่ได้ทรมานเลย สิ้นใจอย่างสงบ หมอประจำตัวมาทีหลัง บอกว่าตายอย่างงดงาม
- ตั้งร่างของท่านไว้ที่บ้านอยู่หลายวัน
นอนอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ใส่หีบตั้ง 5 วัน มีคนไทยจากที่ต่างๆ ในฝรั่งเศสและยุโรปมาเยี่ยมเคารพ ท่านเสียวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ ถึงได้ลงหีบ นอนอยู่บนเตียงนอนเฉยๆ นี่ เหมือนคนนอนหลับ เล็บ แก้ม ไม่ได้ซีดเลย ผม หนวด เล็บยังงอกยาวออกมาเหมือนยังมีชีวิตอยู่ เจ้าหน้าที่บอกไม่ให้เราถูกตัว แล้วมียาอะไรไม่รู้วางไว้ ทำสะอาด พอดีเดือนพฤษภาคมอากาศเย็น ความจริงถ้าเป็นโรคอื่นไม่ได้นะ เมืองฝรั่งไม่ให้ตั้งศพอยู่ที่บ้าน
- สถานทูตไทยมาหรือเปล่าครับ
ท่านทูตมาส่วนตัว เพราะว่ารัฐบาลในขณะนั้นไม่มีความเห็น ท่านไม่พูดก็เลยไม่ทำอะไร มีเพื่อนลูกอยู่ต่างประเทศโทรศัพท์ถามว่า รัฐบาลสั่งทำมั้ย ไม่มีเลย รัฐบาลไม่สั่งอะไรเลย รัฐบาลใบ้ เห็นใจทูตนะ เราเลยขอความช่วยเหลือเป็นการส่วนตัว พอดีท่านปัญญาฯกำลังอยู่ที่อังกฤษ ท่านรู้ข่าว ท่านก็โทรศัพท์มาแสดงความเสียใจ เราจึงนิมนต์ท่านมาเป็นประธานประชุมเพลิง ยังมีพระจากเมืองอังกฤษอีก 3 รูปมาสวดให้ เอาผ้าไตรมาช่วย เดินทางมาเอง แล้วมีพระในฝรั่งเศสอีก ท่านปัญญาฯเป็นประธาน ท่านก็กล่าวสดุดี มีคนไทยในฝรั่งเศสและในยุโรปไปเผากันเยอะ นักบินและเจ้าหน้าที่การบินไทยที่เผอิญไปปารีสขณะนั้น อุตส่าห์ไปเผากันหมด คนรู้จัก ไม่รู้จักนะ อุตส่าห์ไปกัน ก็เผากันเดี๋ยวนั้น เก็บกระดูกเดี๋ยวนั้น ละเอียดเชียว สั่งไว้นี่ บอกให้เป็นขี้เถ้า ไม่มีชิ้นเลย แล้วยังมีอดีตทูตฝรั่งเศสในเมืองไทย นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสก็ส่งพวงหรีดมาแสดงความเสียใจ
- แล้วปี 2529 เหตุใดถึงเอาอัฐิกลับมาเมืองไทย
ทีแรกลูกบางคนคิดว่าเอากลับมาทำไมในเมื่อบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ แต่เราก็มีบ้านที่เมืองไทยนี่นะ ตัดสินใจ 3 ปีถึงได้มา ทีนี้ทางธรรมศาสตร์เวลานั้นท่านอธิการบดี คุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี บอกว่า ทางธรรมศาสตร์จะต้อนรับเอง ฉันก็ไม่ออกความเห็น ไม่คัดค้าน ที่ธรรมศาสตร์ทำบุญ 50 วัน 100 วัน ฉันก็ทำบุญที่วัดพนมยงค์ ทางธรรมศาสตร์เขาก็ทำให้เต็มที่ เขาให้นักศึกษาติดแผ่นป้ายสีดำๆ แล้วแจกกลอนของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดราชบพิธ ท่านเขียนกลอน "ชูดี" แหม ซึ้งเหลือเกิน
- อาจารย์ปรีดีเขียนพินัยกรรมไว้หรือเปล่า
ไม่มีพินัยกรรม เคยเขียนแต่ว่า ถ้าภายหน้ามีทรัพย์สมบัติอะไรก็จะยกให้ฉันคนเดียว และสั่งด้วยปากเรื่องเผาศพ ให้เผาให้ละเอียด
- อาจารย์ปรีดีสนิทกับท่านพุทธทาส
ก็รู้จักกันดี ไม่ถึงกับสนิทอะไร เคยนิมนต์มาสนทนาธรรมกันสมัยสงคราม เมื่อท่านมาแสดงธรรมที่มหามกุฏฯก็ไปฟัง และนิมนต์มาที่ทำเนียบท่าช้าง และเคยขอให้ท่านพุทธทาสตั้งสำนักสงฆ์เช่นเดียวกับสวนโมกขพลารามที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งเป็นบ้านเกิด แต่มาเกิดรัฐประหาร 2490 จึงทำให้โครงการนี้ต้องล้มเลิกไป
- กับท่านปัญญาฯก็คุ้นเคยกัน
ก็เคยมาเยี่ยมกันที่บ้าน ที่ปารีสน่ะ ท่านก็ไปต่างประเทศกันบ่อยๆ สมเด็จพระพุฒาจารย์วัดมหาธาตุ พระพิมลธรรม ก็สนิทกัน เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ท่านก็มาเยี่ยม บอกว่า อาตมาไม่ห่วงหรอกท่านรัฐบุรุษ เพราะท่านรู้จักธรรมะ ห่วงท่านผู้หญิง พอมาเห็นแล้ว บอกไม่ต้องห่วง ท่านก็อุตส่าห์มาเยี่ยม สมเด็จวัดสระเกศก็ไป 2 ครั้ง แล้วท่านเจ้าคุณประยุทธ เวลานั้นตามไปด้วย
ฉันจากเมืองไทยไป 17-18 ปี พ.ศ.2501 กลับ พ.ศ.2518 คนแรกที่ฉันไปกราบคือสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดราชบพิธ ท่านไม่ได้รับที่กุฏิ แต่ออกรับในพระอุโบสถ ท่านให้เกียรติเราทั้งที่ขณะนั้นเราไม่มีเกียรติอะไรแล้ว พระท่านยุติธรรม เที่ยงธรรม ไม่เชื่อคำพูดที่กล่าวหาเรา พระท่านปัญญาสูง คนที่เชื่อคือคนที่ไม่ใช้สติประกอบด้วยปัญญา
จาก : ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 17 พฤษภาคม 2550