|
|
WayfarinG
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2007, 01:47:52 AM » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 07, 2007, 01:49:38 AM โดย WayfarinG »
|
บันทึกการเข้า
|
If you reject the food, ignore the customs, fear the religion and avoid the people, you might better stay home. -- > James Michener
|
|
|
Sky
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2007, 05:38:42 AM » |
|
อยากได้เขื่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
คนชอบลุย
ตอบกระทู้เยอะ ๆ จะได้ 2 ดาว
ออฟไลน์
กระทู้: 13
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2007, 07:47:27 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Sea Man
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2007, 11:20:24 AM » |
|
.....ยังไม่ได้แต่............................เลยนะ.... .............น้ำท่วมแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
.....รู้จักคิด....ฟังความคิดผู้อื่น....พร้อมเปลี่ยนแปลง....ไปสู่สิ่งใหม่และดีกว่า.....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2007, 12:18:07 AM » |
|
เตือนอีก 10 ปี กทม.จมทะเล 2 เมตร จากการที่ทั่วโลกกำลังตื่นตระหนกกับภาวะโลกร้อน และมองเห็นถึงภยันตรายจากเรื่องนี้ สหรัฐอเมริกาและประเทศในทวีปยุโรป รวมทั้งประเทศในทวีปเอเชียต่างพากันหาแนวทางป้องกันภัยเรื่องนี้ ประเทศไทยเองก็เริ่มมีความตื่นตัว โดยเฉพาะสภาวะโลกร้อนที่ทำให้ปริมาณน้ำทะเลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้กรุงเทพมหานครและเมืองชายทะเลกลายเป็นเมืองใต้บาดาลได้ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ นักวิชาการได้เริ่มจัดเสวนาเพื่อถกถึงแนวทางป้องกัน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 พ.ย. ที่อาคาร 9 อิมแพค เมืองทองธานี กลุ่มกรุงเทพ 50 ได้จัดสัมมนาหัวข้อ กรุงเทพฯจะจมน้ำจริงหรือ ขอเชิญมาหาทางออกร่วมกัน โดยมีนายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ นายเสรี สุพราทิพย์ ผอ.ศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมบรรยาย นายสมิทธกล่าวว่า ได้รับข้อมูลจากกรมแผนที่ทหารบกว่า กรุงเทพมหานครมีอัตราการทรุดตัวของแผ่นดินอย่างต่อเนื่อง 10 ปีที่ผ่านมา ทรุดตัวไปแล้วถึง 1 เมตร โดยเฉพาะพื้นที่เขตบางกะปิ รามคำแหง เพราะสภาพพื้นดินถูกสูบขึ้นมาเป็นน้ำบาดาล และยังมีการทรุดตัวอย่างต่อเนื่อง 3-5 ซม.ต่อปี ผนวกกับปัญหาโลกร้อน ที่ประเทศมหาอำนาจหลายประเทศปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเป็นจำนวนมาก ขณะนี้ผู้นำประเทศทั่วโลกได้ตระหนักถึงผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว และมีการประชุมกันเป็นระยะๆ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ทำการวิจัยซึ่งมีความหนามากกว่า 1,400 หน้ากระดาษ และได้ติดตามข้อมูลทุกระยะ พบว่าภายใน 8 ปี ผืนดินใน กทม.จะทรุดตัว 1.5-2 เมตร
นายสมิทธกล่าวด้วยว่า มีตัวเลขทางสถิติที่ชัดเจนว่าภายใน 10 ปี หาก กทม.ยังไม่ดำเนินการอะไร กรุงเทพมหานครจะอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลถึง 2 เมตร สถานที่สำคัญๆจะจมน้ำ และถึงเวลานั้นเราจะดื่มกินน้ำสะอาดได้จากที่ไหน จะเอาเงินจากไหนมาย้ายเมืองหลวง แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน แต่เราต้องช่วยตัวเราเองก่อน เพราะผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนี้ล้วนเกิดในประเทศที่อยู่แถบเส้นศูนย์สูตรก่อน ได้แก่ เวียดนาม และไทย ดังนั้น สิ่งที่จะป้องกันได้คือการทำเขื่อนป้องกันไว้ ล้อมรอบกรุงเทพมหานคร แม้ว่าจะต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างนับแสนล้านบาท แต่ต้องทำ ถ้าหากไม่ทำอนาคตจะเสียหายหลายล้านล้านบาท วันนี้รัฐบาลสิงคโปร์ ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อพิจารณาการสร้างเขื่อนล้อมรอบเกาะสิงคโปร์แล้ว แต่สำหรับประเทศไทยยังนิ่งเฉย ไม่ให้ความสนใจในเรื่องสำคัญนี้เลย
ต่อข้อถามว่า งบประมาณนับแสนล้านบาทจะนำมาจากไหน นายสมิทธตอบว่า ไม่ต้องถามว่าเอามาจากไหน แต่ต้องให้พูดชัดว่าต้องทำ เพราะทีสร้างสนามบินสุวรรณภูมิที่ใช้งบประมาณนับแสนล้านบาทยังทำมาแล้ว ทำไมเรื่องที่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะทำไม่ได้ และการสร้างเขื่อนต้องทำตั้งแต่ช่วงลำน้ำบางปะกง เจ้าพระยา ท่าจีน มาจนถึงแม่กลอง จากทิศตะวันออกสู่ทิศตะวันตก จนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นพรรคการเมืองใดที่มีนโยบายที่จริงจังในเรื่องนี้ มัวแต่พูดเรื่องการย้ายพรรค การรวมตัวจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น
ด้านนายเสรี สุพราทิพย์ ผอ.ศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ ม.รังสิต กล่าวว่า มีข้อเท็จจริงว่า กทม.มีการทรุดตัวของพื้นดินปีละ 4 เซนติเมตร ทั้งนี้ แนวทางการสร้างเขื่อนตนขอเสนอให้กันพื้นที่เพื่อปลูกป่าชายเลนจากริมฝั่งถึงพื้นดิน 300 เมตร ก่อนที่จะสร้างเขื่อนเพื่อเป็นแนวธรรมชาติบำบัด และต้องกันพื้นที่ส่วนดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าสงวนเพื่อใช้เป็นแนวป้องกันภัยทางธรรมชาติที่จะต้องมีขึ้นแน่ในอนาคต
นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รักษาการหัวหน้ากลุ่มกรุงเทพ 50 กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการเสวนาเพื่อเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่ทำวันนี้ เดี๋ยวนี้ ต่อไปวันหน้าก็อาจจะไม่มีวันได้ทำ เรื่องกรุงเทพฯเป็นเมืองใต้บาดาลเกิดขึ้นแน่ๆใน 10 ปีข้างหน้า เราจะย้ายเมือง หลวงไปที่อื่น ไม่ใช่ทางป้องกันอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาลงทุนพัฒนากรุงเทพฯ จนกลายเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจทุกด้านไปแล้ว เป็นเมืองหลวงที่ทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดี ติดอันดับท็อปเทนด้านการท่องเที่ยว ด้านธุรกิจแฟชั่น ด้านการขนส่งทางอากาศ สนามบินสุวรรณภูมิถูกตั้งเป้าหมายให้เป็นศูนย์การบินของเอเชีย ทุกอย่างได้ลงทุนที่คิดเป็นมูลค่าทางเงินมากมายนับไม่ถ้วนแล้วเราจะไม่คิดป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯหรืออย่างไร
นายชลิตรัตน์กล่าวต่อว่า ทางกลุ่มกรุงเทพ 50 จะชูเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วน จะรวบรวมรายชื่อของประชาชน ให้บรรดาอาสาสมัครไปพูดคุยชี้แจงกับประชาชน นักศึกษาจากมหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาทุกแห่ง และขอให้ทุกคนร่วมลงชื่อ เพื่อให้เรื่องการแก้ไขป้องน้ำท่วมกรุงเทพฯ ที่จัดเป็นหัวข้อในการเสวนาครั้งนี้ตั้งเป็นนโยบายแห่งชาติ และส่งให้พรรคการเมืองใดที่จะขึ้นมาเป็นรัฐบาลต้องดำเนินการทำอย่างเร่งด่วน คนกรุงเทพฯจะไม่ยอมให้ทำอะไรแบบวัวหายล้อมคอกอีกต่อไปแล้ว
จาก : ไทยรัฐ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2550
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2007, 12:28:47 AM » |
|
"สมิทธ"แนะสร้างเขื่อนปิดปากแม่น้ำกัน "น้ำท่วมกทม."
"สมิทธ"แนะรัฐบาลควรตระหนักเรื่องการสร้างเขื่อนปิดปากแม่น้ำ ป้องกันในอนาคตน้ำท่วมกรุงเทพมหานคร หลังข้อมูลหลายหน่วยงานยืนยันความเป็นไปได้ที่จะเกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯ และแผ่นดินทรุด ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวในการสัมมนา หัวข้อ กรุงเทพฯ จะจมน้ำจริงหรือ ขอเชิญมาหาทางออกร่วมกัน จัดโดยกลุ่มกรุงเทพ 50 โดยมีผู้เข้าร่วมรับฟังกว่า 300 คนว่า จากข้อมูลของกรมแผนที่ทหารบก ที่สำรวจมาหลายสิบปีพบว่า พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลกำลังทรุดตัว และมีต่อเนื่อง ขณะที่ข้อมูลระดับน้ำทะเล จากการวิเคราะห์และวิจัยของคณะกรรมการ IPCC องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ให้ข้อมูลว่า ระดับน้ำทะเลในมหาสมุทรเริ่มมีอัตราเฉลี่ยสูงขึ้นทุกปี เฉลี่ย 5-10 เซนติเมตร ไม่เท่ากันในแต่ละปี เนื่องจากสภาวะโลกร้อน และอุณหภูมิของโลกโดยเฉลี่ยมีแนวโน้มสูงขึ้นตลอด ฉะนั้น ในระยะ 5-8 ปีหรือ 10 ปีข้างหน้า ปริมาณน้ำทะเลอาจจะสูงถึง 1.50 เมตร หรือ 2 เมตร จากสภาวะปกติในปัจจุบัน และพื้นดินของกรุงเทพมหานคร อาจจะทรุดตัวลงประมาณ 50-80 เซนติเมตร หากเป็นตามข้อมูลที่ปรากฏ พื้นดินในกรุงเทพมหาครและปริมณฑล จะต้องอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลอย่างน้อย 1.50 เมตรหรือ 2 เมตร ดร.สมิทธกล่าวอีกว่า ปัญหาใหญ่ที่จะเกิดขึ้นกับกรุงเทพมหานคร คือน้ำเค็มที่สูงขึ้นจะไหลเข้าไปในคลองประปา ทำให้เป็นตะกอน ขณะที่ประชาชนในกรุงเทพมหานคร 12 ล้านคนและปริมณฑล จะไม่มีน้ำบริสุทธิ์ดื่มและบริโภค นอกจากนี้ทำให้การจราจรและการขนส่ง เศรษฐกิจของกรุงเทพมหานครจะต้องหยุดหมด รวมทั้งโรงงานที่อยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นับหมื่นโรงก็ไม่สามารถจะทำงานได้ และทำให้คนตกงานถึง 300,000 คน ส่วนเศรษฐกิจด้านสังคม จะทำให้โบราณสถานที่สร้างมา 200-300 ปีในอดีต เช่น พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว วัดโพธิ์ และวัดต่างๆ จมน้ำหมด สถานศึกษา มหาวิทยาลัยใหญ่ โรงพยาบาลอีกหลายโรง โรงเรียน สถานที่ราชการ การติดต่อสัญจรลำบากเพราะน้ำท่วม อีกทั้งการท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมาหลายล้านคนต่อปีต้องหยุดชะงัก เพราะน้ำท่วม ถ้าไม่ทำการป้องกันตั้งแต่ปัจจุบัน อนาคตจะไม่ทัน หลังน้ำท่วมแล้วจะมาสร้างเขื่อนหรือสูบน้ำออก เป็นไปได้ยาก ที่สิงคโปร์กำลังคิดป้องกันอยู่ คือทำเขื่อนรอบเกาะ ส่วนประเทศไทย ต้องเป็นนโยบายชาติ คือผู้ปกครองประเทศ ต้องคิดเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ไปคิดตอนน้ำมามากๆ ต้องมีการสร้างเขื่อนปิดปากแม่น้ำใหญ่ ๆ ตรงปากอ่าว 3-4 สาย และเริ่มทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เพราะการก่อสร้างต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปี เป็นเขื่อนปิดปากอ่าวและมีช่องว่างระหว่างชายฝั่งทะเลปากอ่าวกับเขื่อนเพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ด้วย ดร.สมิทธิ กล่าวย้ำและว่า ส่วนเรื่องงบประมาณที่จะใช้ แม้จะลงทุนเป็นแสนล้านบาท แต่ถ้าเทียบกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเป็นล้านล้านบาทในอนาคต มีผลต่างกันมาก ขณะเดียวกันทางกลุ่มกรุงเทพ 50 จะทำการรณรงค์เชิญชวนชาวกรุงเทพมหานคร ร่วมกันลงชื่อ 50,000 รายชื่อเพื่อผลักดันให้การป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ เป็นนโยบายแห่งชาติ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคมนี้เป็นต้นไป
จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2550
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2007, 12:18:41 AM » |
|
จริงหรือ...โลกร้อน ทำให้นํ้าท่วม กทม. เมื่อ 2 วันก่อน หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าภาวะโลกร้อนทำให้ภูเขานํ้าแข็งละลาย จนนํ้าทะเลเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลให้ กทม.จมนํ้าทะเลถึง 2 เมตร ใน 10 ปีข้างหน้า
จึงมีการประชุมเสวนา เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาจนถึงขั้นเสนอให้มีการสร้างเขื่อนป้องกัน ซึ่งอาจจะต้องใช้เงินนับแสนล้านบาท
ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยเชื่อว่า นํ้าทะเลแถวๆกรุงเทพฯเพิ่มสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากนํ้าแข็งละลาย เพราะโลกร้อน
เพราะเคยอ่านพบว่าเสาบางเสา หรือหลักบางหลัก ที่เขาใช้วัดนํ้า และปักอยู่แถวๆปากแม่นํ้า จมลงใต้ทะเลไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งเมื่อ 2 เดือนเศษๆนี่เอง ผมได้รับเอกสารจากศาสตราจารย์ ดร.สุภัทท์ วงศ์วิเศษสมใจ นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนํ้าและสิ่งแวดล้อมของบริษัท ทีม คอนซัลติ้ง บริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรของคนไทยที่มีชื่อเสียงบริษัทหนึ่ง
ดร.สุภัทท์เริ่มต้นเอกสารของท่านด้วยการยอมรับว่า ปัญหาโลกร้อนเกิดขึ้นจริง และเป็นปัญหาใหญ่ที่องค์กรสถาบันและประเทศต่างๆทั่วโลกวิตกและร่วมมือกันเพื่อแก้ไข
ทั้งนี้ เพราะมีรายงานที่ชัดเจนว่า อิทธิพลของโลกร้อนทำให้นํ้าแข็งขั้วโลกละลายและทำให้นํ้าทะเลเพิ่มขึ้นจริง... สอดคล้องกันหลายๆฉบับ
แต่ประเด็นที่ ดร.สุภัทท์ต้องการทำความเข้าใจเพื่อให้ทุกๆ ฝ่ายรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องและใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดก็คือ...
นํ้าทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ จะอยู่ที่มหาสมุทรแอตแลนติกเท่านั้น ดังนั้นประเทศที่ได้รับผลกระทบจึงได้แก่ยุโรป สหรัฐฯ และแคนาดา
ส่วนอ่าวไทย อินโดจีน เกาหลี จีน และญี่ปุ่นในทะเลจีน มหาสมุทรแปซิฟิก อยู่อีกโซนหนึ่ง ซึ่งในโซนนี้นํ้าทะเลมิได้สูงขึ้น เพราะชายฝั่งบริเวณนี้ไม่มีภูเขาสูง (ที่มีนํ้าแข็ง) แต่อย่างใด
จึงกล่าวได้ว่า การละลายของนํ้าแข็งขั้วโลกไม่มีผลในทะเลบริเวณนี้ และจากรายงานของนักวิจัยญี่ปุ่น ที่ใช้ข้อมูล 41 ปี พบว่าระดับนํ้าทะเลในอ่าวไทย อินโดจีน เกาหลี และทะเลญี่ปุ่น ลดลงด้วยซํ้า อันเนื่องมาจากบริเวณนี้มีแผ่นดินไหวอยู่เสมอ
สอดคล้องกับการตรวจสอบระดับนํ้าทะเลที่สันดอนกรุงเทพฯ, สัตหีบ, เกาะหลัก และสงขลา 56 ปี จาก ค.ศ.1940-1996 พบว่านํ้าทะเลกลับลงไปเช่นกัน
ถามว่า แล้วทำไมกรุงเทพฯถึงจมทะเลลงไปได้ล่ะ เมื่อนํ้าทะเลไม่เพิ่ม?
อาจารย์สุภัทท์ตอบประเด็นนี้ว่า น่าจะเกิดจากการสูบนํ้าบาดาลขึ้นมาใช้ ทั้งในชุมชนต่างๆ และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างมากมายในช่วงที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเติบโตอย่างรวดเร็ว จนทำให้แผ่นดินทรุด
ขณะเดียวกันแถวๆสมุทรสาครและสมุทรปราการก็เกิดภาวะการกัดเซาะชายฝั่งที่รุนแรง อันมีสาเหตุมาจากการลดลงของตะกอนจากแม่นํ้าที่ไหลลงสู่ทะเลน้อยลง
ปัจจุบันนี้ก็ได้มีความพยายามที่จะแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งด้วยการปลูกป่าชายเลนไปบ้างแล้ว
ศ.สุภัทท์ วงศ์วิเศษสมใจ สรุปในที่สุดว่า ระดับนํ้าทะเลในอ่าวไทยไม่สูงขึ้นจากอิทธิพลของโลกร้อนเลย
สำหรับผมเป็นคนเคารพความจริงและข้อเท็จจริง แม้จะเป็นคนหนึ่งที่ร่วมรณรงค์เรื่องโลกร้อน ตามแนวของท่านรองฯ อัลกอร์มาโดยตลอด
แต่ถ้าทุกฝ่ายยืนยันได้ว่า ข้อมูลของอาจารย์สุภัทท์ถูกต้อง ผมก็ยินดีที่จะปรับความเข้าใจของผมเสียใหม่
ผมขอย้ำว่า แม้จะรู้ชัดเจนว่าภาวะโลกร้อนจะไม่ทำให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ แต่ผมก็จะร่วมรณรงค์ต่อไป เพราะตระหนักดีว่ามันเป็นอันตรายระยะยาว
ส่วนความรู้ที่ได้จากอาจารย์สุภัทท์ ผมก็ว่ามีประโยชน์ เพราะจะทำให้เราแก้ปัญหาได้ถูกจุดยิ่งขึ้น
การเสนอให้สร้างเขื่อนหรือระบบกั้นน้ำไม่ให้ท่วมกรุงเทพฯราคานับแสนล้านบาท ก็สร้างไปเถิด ถ้าเรามีเงินพอ
แต่ถ้าเราไม่เอาจริงเอาจังกับเรื่องการสูบน้ำบาดาล ปล่อยให้สูบไปเรื่อยๆ...กรุงเทพฯอาจไม่โดนน้ำท่วม (เพราะมีเขื่อนแล้ว) แต่ตึกสูงๆก็อาจพังครืนลงมาได้ เพราะพื้นดินกรุงเทพฯกลวงโบ๋ไปหมด
เฮ้อ! คิดแล้วก็น่ากลัวพอๆกันละครับ ระหว่างการเป็นเมืองที่ตึกอาจพังโครมได้ทุกเวลากับการเป็นเมืองใต้บาดาลเนี่ย.
จาก : ไทยรัฐ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2550
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายน้ำ
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: มกราคม 01, 2008, 12:38:26 AM » |
|
นาซาตะลึงน้ำแข็งทั่วโลกละลายหนักกว่าที่คิด-ไทยเร่งหาคำตอบ 'กทม.' จมน้ำทะเลหรือไม่
ทธ.ตั้งคณะทำงานนำร่องสำรวจระดับน้ำทะเลในอ่าวไทย หาคำตอบ'กทม.'จะจมน้ำทะเลจริงหรือไม่ หลังพบข้อมูลนักวิชาการไม่ตรงกัน นักวิทย์ตะลึงข้อมูลนาซา น้ำแข็งทะเลขั้วโลกเหนือละลายมากกว่าที่คิด
องค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (นาซา) เปิดผลสำรวจล่าสุดพบว่า น้ำแข็งในทะเลอาร์กติก ที่ขั้วโลกเหนือละลายมากกว่าที่คาดไว้ และถือว่ามากเป็นประวัติการณ์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์หวั่นว่า ภัยพิบัติที่ตามมาจะเร็วกว่าที่จินตนาการไว้ในขณะนี้ ขณะที่กรมทรัพยากรธรณี ตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อสำรวจระดับน้ำในทะเลอ่าวไทยว่าสูงขึ้นปีละเท่าไหร่ เพื่อหาคำตอบว่า พื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) จะจมน้ำทะเลจริงหรือไม่
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ดร.จิรพล สินธุนาวา นักวิชาการคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า เดิมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) รวมทั้งกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ของสหภาพยุโรป เคยคำนวณค่าความปลอดภัยของโลกจากการเกิดภาวะโลกร้อนว่า โลกจะปลอดภัยจากภาวะดังกล่าวหากสามารถหยุดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศไว้ที่ปริมาณ 450 ส่วนในล้านส่วน (ppm.) นั้น ล่าสุด ดร.เจมส์ แฮนสัน นักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซา ที่ติดตามเรื่องการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลกอย่างใกล้ชิด ได้ออกมาเปิดเผยว่า การคาดการณ์ดังกล่าวเป็นการประเมินค่าความปลอดภัยของโลกที่ต่ำเกินไป เพราะในขณะนี้ ภาวะโลกร้อนนั้นเริ่มส่งผลกระทบกับสภาพแวดล้อมในโลกแล้ว
ดร.จิรพลกล่าวว่า ล่าสุด องค์การนาซาตรวจสอบภาพถ่ายดาวเทียม และพบว่าขณะนี้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือใน มหาสมุทรอาร์กติกละลายเร็วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยคำนวณเอาไว้มาก ภาพถ่ายดาวเทียมชี้ชัดว่า น้ำแข็งในทะเลที่ขั้วโลกอาร์กติกละลายมากเป็นประวัติการณ์ คือมากกว่าการละลายในเดือนเดียวกันของปี 2548 ที่จัดว่าละลายมากที่สุดแล้ว โดยพบว่ามีการละลายของน้ำแข็งกว้างเท่ากับ 1.2 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 350,000 ตารางไมล์ น้ำแข็งส่วนที่ละลายมากกว่าปี 2548 นี้ มีขนาดใหญ่ขนาดห้าเท่าของอังกฤษ ทำให้ขณะนี้น้ำแข็งขั้วโลกเหนือในมหาสมุทรอาร์กติกหายไปถึง 23% จากปี 2548
ดร.จิรพลกล่าวว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าว ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกถึงกับตกตะลึง โดยหัวหน้าศูนย์ศึกษาติดตามน้ำแข็งและหิมะประเทศแคนาดา กล่าวว่า ไม่ได้มีการพยากรณ์ถึงการละลายของน้ำแข็งมากขนาดนี้ในแบบจำลองคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ไว้ก่อนหน้านี้เลย ขนาดของน้ำแข็งที่ละลายใหญ่มากชนิดที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงสัญญาณที่ชัดเจนในการบ่งชี้ว่า ภาวะโลกร้อนได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเป็นลางบอกเหตุว่า อุณหภูมิได้เพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าที่ทุกคนคาดคิดไว้ และพิบัติภัยที่ตามมาจะเร็วกว่าที่จินตนาการไว้ในขณะนี้
'ขณะนี้เราได้ผ่านระดับความเข้มข้นที่ 350 ส่วนในล้านส่วนมาแล้ว ส่วนวาระสุดท้ายของโลกได้มาถึงแล้วหรือไม่ คำตอบอาจจะไม่ใช่ซะทีเดียว แต่จะเหมือนกับที่หมอบอกกับคนไข้ว่าระดับคอเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือดของคนไข้สูงมากเกินไปแล้ว จะต้องหยุดการเพิ่มคอเลสเตอรอลในทันทีและทุกรูปแบบ คือควรหยุดการบริโภคชีส ของทอด แป้ง และน้ำตาล เช่นเดียวกับโลก ของที่จะต้องหาทางกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และหยุดการปล่อยก๊าซคาร์บอนด์ฯในแต่ละปีช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจจะทำให้ก๊าซคาร์บอนฯลดลงได้เร็วและทันก่อนจะเกิดความเสียหายใหญ่ได้ นั่นหมายถึงต้องหยุดและละภารกิจทางเศรษฐกิจและการเมืองทั้งหมด หยุดการใช้ถ่านหิน ก๊าซ และน้ำมันทุกชนิดตั้งแต่เดี๋ยวนี้ และพร้อมกันทุกที่' ดร.จิรพลกล่าว
นักวิชาการรายเดิม ยังกล่าวด้วยว่า ดร.แฮนสันยังได้เรียกร้องให้หยุดการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในทันที ปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีอยู่ และเรียกร้องให้มีการเก็บภาษีคาร์บอนฯให้สูงพอที่จะทำได้
ดร.จิรพลกล่าวว่า นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ของสหภาพยุโรปเคยคำนวณไว้ว่า เมื่อไหร่ที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจากเดิม 2 องศาเซลเซียส เมื่อนั้น น้ำแข็งจะขั้วโลกจะละลายอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้น้ำทะเลสูงขึ้นอีก 6 เมตรนั้น ปรากฏว่า ขณะนี้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจากปี พ.ศ.2293 ถึง 0.74 องศาเซลเซียส ถือว่าสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีปริมาณก๊าซคาร์บอนด์ฯเป็นตัวกระตุ้นหลัก
เมื่อถามว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดอากาศร้อนมากในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) เวลานี้ ซึ่งถือเป็นช่วงฤดูหนาว เป็นเพราะโลกร้อนด้วยหรือไม่ ดร.จิรพลกล่าวว่า ไม่น่าแปลก เพราะพื้นที่เหล่านั้นมีปริมาณไอน้ำ ความชื้น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน ไนตรัส สารซีเอฟซี หรือก๊าซเรือนกระจก ที่มีคุณสมบัติดูดซับความร้อนในชั้นบรรยากาศได้ระดับหนึ่ง แล้วแผ่เป็นรังสีความร้อนออกมา ทำให้ในเมืองใหญ่มีอากาศร้อน แม้จะเป็นช่วงฤดูหนาว หรืออุณหภูมิสูงกว่าชนบทที่มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกน้อย ที่สำคัญต่อไปฤดูหนาวจะสั้นลงจนไม่มี ในอนาคตฤดูร้อนจะยาวนานขึ้น
ดร.วรวุฒิ ตันติวานิช ที่ปรึกษาด้านบริหารจัดการทรัพยากรธรณี กรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) เปิดเผยว่า ทธ.ได้ตั้งคณะทำงานศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้น ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ โดยเป็นคณะทำงานเล็กๆ นำร่องก่อน เพื่อมุ่งหาคำตอบเร่งด่วน กรณีที่มีกระแสข่าวว่า เมืองใหญ่ริมฝั่งทะเลมีโอกาสถูกน้ำท่วมจากปัญหาน้ำทะเลสูงขึ้นทั่วโลก โดยที่ผ่านมา มีนักวิทยาศาสตร์ออกมาพูดถึงพื้นที่ กทม. ว่า เสี่ยงจมน้ำได้ เพราะเป็นเมืองใหญ่อยู่ริมฝั่งทะเลและเป็นที่ราบ แต่ยังมีข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกัน โดยเฉพาะระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยว่าแต่ปีสูงขึ้นเท่าไหร่ โดยข้อมูลไอพีซีซีระบุว่า สูงขึ้นปีละประมาณ 3-4 มิลลิเมตร แต่นักวิชาการบางสถาบันของไทย ระบุว่าจะสูงขึ้น 1.5-2 เมตร ภายใน 10 ปี ซึ่งต่างกันมาก
'จากข้อมูลการตรวจวัดน้ำทะเลที่สถานีวัดน้ำที่เกาะหลัก จ.ประจวบคีรีขันธ์ และสถานีวัดน้ำ ของกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ยังไม่พบว่า น้ำทะเลสูงขึ้นอย่างเป็นนัยสำคัญ ขณะที่การศึกษาวิจัยภาควิชาวิศวกรรมสำรวจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า สถานีวัดน้ำชายฝั่งทะเลรอบอ่าวไทยมีแนวโน้มน้ำทะเลสูงขึ้นในบางจุด ซึ่งผู้ที่จะตอบได้ดีที่สุดคือนักธรณีวิทยา เพราะที่ตั้งสถานีวัดน้ำบนแผ่นดินมีโอกาสยกตัวหรือลดต่ำลงตามสภาพธรณีวิทยา ทธ.จะเข้าไปตรวจสอบเพื่อให้เป็นตัวเลขเดียวกันและเชื่อถือได้' ดร.วรวุฒิกล่าว
ดร.วรวุฒิกล่าวว่า คาดว่าตั้งแต่ต้นปี 2551 คณะทำงานจะเริ่มลงไปตรวจพื้นที่ของสถานีวัดน้ำทั้ง 9-10 สถานี เริ่มจากสถานีเกาะหลัก ไปจนถึงภาคใต้ เพื่อนำมาวางแผนตรวจวัดทางธรณีวิทยาว่ามีการยกหรือทรุดต่ำลงของพื้นดินรอบอ่าวไทยหรือไม่ และอาจต้องนำผลการตรวจวัดน้ำทะเลของกรมอุทกศาสตร์ 40 ปีย้อนหลัง มาหาค่าเทียบเคียงด้วย เพื่อปรับฐานข้อมูลใหม่ และใช้ในการคาดการณ์ว่า กทม.และเมืองใหญ่ของไทยจะเจอน้ำท่วมจริงหรือไม่ ภายในระยะเวลาอีกกี่ปี
จาก : มติชน วันที่ 31 ธันวาคม 2550
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
สายรุ้ง
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: มกราคม 02, 2008, 04:05:35 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
WayfarinG
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2008, 06:03:07 AM » |
|
พิงค์ ว่า คนไทยเป็นลักษณะ.. ใครแนะนำสิ่งดีดี ฟังไม่ค่อยเป็น ต้องให้เหตุนั้นเกิดขึ้นก่อน ค่อยคิดที่จะแก้ไข เข้าประเด็น วัวหายล้อมคอก ยังงัยอย่างงั้นเลยคะ.. ดูอย่างกรณี tsunami.. เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด.. คนมาเตือนก็ไปหัวเราะเค้า ว่าเค้าสติไม่เต็ม.. แล้วเป็นงัย.. สูญเสียชีวิตไปตั้งเท่าไหร่.. เฮ้ออออ..พูดไปก็กลุ้ม..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
If you reject the food, ignore the customs, fear the religion and avoid the people, you might better stay home. -- > James Michener
|
|
|
|
|