กระดานข่าว Save Our Sea.net
พฤศจิกายน 01, 2024, 02:23:43 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: บอร์ดนี้อ่านได้อย่างเดียว ต้องการตั้งกระทู้ใหม่กรุณาใช้งานบอร์ดใหม่ที่
http://www.saveoursea.net/forums/index.php
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา สมาชิก เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2 3   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กรุงเทพฯจะ จมน้ำ  (อ่าน 27253 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2007, 12:35:11 AM »


ตะลึง! อีก 8 ปี กรุงเทพฯ จมน้ำ



จากกรณีที่สถาบันเวิลด์วอทช์ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ศึกษาวิจัยด้านสภาพแวดล้อมทั่วโลกระบุว่า จากการศึกษาของสหประชาชาติ (UN) และอีกหลายสถาบัน พบว่า เมืองที่มีที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลทั่วโลกกำลังเผชิญกับอันตรายจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและพิบัติภัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก โดยพบว่า เมืองชายฝั่ง 21 แห่ง จากทั้งหมด 33 แห่งที่ได้รับการคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนประชากรสูงถึง 8 ล้านคนภายในปี 2558 มีความเปราะบางสูงมากที่จะถูกน้ำท่วม…ซึ่ง 1 ในเมืองที่มีความเสี่ยงต่อภัยนี้ คือ กรุงเทพมหานคร


 
 สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวถึงเรื่องนี้ให้ฟังว่า มีความเป็นไปได้ แต่สิ่งที่องค์การสหประชาชาติ    ออกมาระบุเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ อย่างที่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันบรรยากาศที่ห่อหุ้มผิวโลกของ เรานั้น เพิ่มความร้อนให้โลกอยู่ทุกขณะ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบในบรรยากาศโดยฝีมือของมนุษย์ ทำให้องค์ประกอบในบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไป มีการปล่อยเผาผลาญเชื้อเพลิงต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเป็นสองเท่า มีผลให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นอีก 2 องศาเซล เซียส ส่งผลกระทบต่อชีวิตและระบบนิเวศ ทำให้เกิดพายุ ลมฟ้าคะนองมากขึ้นและมีความรุนแรงขึ้นด้วย รวมทั้งทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายซึ่งเป็นผลทำให้เกิดน้ำทะเลสูงขึ้นตามด้วย
     
สำหรับการเกิดน้ำท่วม ในกรุงเทพฯนั้น มีสาเหตุ   หลัก ๆ 2 สาเหตุด้วยกัน ประการแรก เกิดจากกรุงเทพฯมีการทรุดตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะกรุงเทพฯตั้งอยู่บนดินเลน    อีกประการหนึ่งคือ น้ำทะเลหนุนสูงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจาก   น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือละลาย   ทำให้ปริมาณน้ำทะเลสูงขึ้น และเพิ่มขึ้นทุกปี 


 
องค์การสหประชาชาติ  วิเคราะห์ไว้ว่า ภายใน 10-15 ปี น้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้น 1-1.5 เมตร จะทำให้แผ่นดินทรุดตัวลง รวมทั้งจากกรมแผนที่ทหารได้แสดงพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลที่กำลังทรุดตัวลง โดยพื้นที่ที่มีการทรุดตัวลงมากที่สุดอยู่บริเวณ เขตบางกะปิ ซึ่งมีการทรุดตัวไปแล้วประมาณ 100 เซนติเมตร
 
เมื่อเป็นเช่นนี้ การรับมือกับสภาวการณ์น้ำท่วมบริเวณที่ลุ่มตามชายฝั่งทะเลของประเทศไทย รวมทั้งพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑลคือ การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ป้องกันระดับน้ำทะเลที่จะสูงขึ้นเนื่องจากสภาวะโลกร้อนในอนาคต


 
การสร้างเขื่อนในลักษณะเช่นนี้ จะมีที่เก็บน้ำในลักษณะของแก้มลิงตามแนวพระ ราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะเป็นที่เก็บน้ำ  สำรองไว้ใช้ในงานเกษตรกรรมในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งอยู่ระหว่างชายฝั่งกับแนวเขื่อน หากทำเป็นเขื่อนคอนกรีต รถจะสามารถวิ่งบนเขื่อนได้ รวมทั้งตรงปากแม่น้ำทำทางให้เรือสามารถลอดผ่านได้ มีช่องทางระบายน้ำ ซึ่งจะใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 1 แสนล้าน-2 แสนล้านบาท ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นเขื่อนรูปแบบใด โดยระยะ    ทางในการสร้างเขื่อนปิดอ่าวประมาณ 100-200 กิโลเมตร การสร้างเขื่อนในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศ อาทิ เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ
 
ในขณะที่ประเทศสิงค โปร์ยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยคณะวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์สัตว์น้ำเขตร้อนชื้นของ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์  จะใช้เวลาในช่วง 2 ปีข้างหน้าศึกษาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพบรรยากาศโลก พร้อมตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังไปในปี 2503 เพื่อศึกษาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งขณะนี้  มีการตั้งคณะกรรมการดำเนินการแล้ว
 
หากสร้างเขื่อนที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีความคดเคี้ยว จะทำให้ระยะทางของเขื่อนมีความยาวมากและมีการก่อสร้างที่ลำบาก เพราะดินส่วนใหญ่เป็นดินเลน แต่การก่อสร้างเขื่อนบริเวณปากอ่าวไทยจะทำได้ง่าย กว่า เนื่องจากลักษณะของพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นดินทราย สามารถตอกเสาเข็มลงไปได้ ทำให้เขื่อนมีความแข็งแรงทนทาน


 
เขื่อนนี้นอกจากจะเป็นการกั้นน้ำทะเลไม่ให้ไหลเข้ามาแล้ว ยังสามารถใช้เป็นเส้นทางสัญจรได้อีกด้วย โดยรถที่วิ่งมา  จากด้านตะวันออกต้องการลง ภาคใต้จะไม่ต้องเข้ากรุงเทพฯ สามารถวิ่งข้ามเขื่อนเพื่อเดินทางลงใต้ได้เลย เป็นการย่นระยะเวลาในการเดินทางได้ประมาณ 100 กิโลเมตร
 
“เป็นการช่วยระบายน้ำไม่ให้ทะลักเข้ากรุงเทพฯ  เพราะพื้นที่กรุงเทพฯเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ เนื่องจากสมุทร ปราการ สมุทรสาคร สมุทร สงคราม มีโรงงานตั้งอยู่จำนวนมากเป็นหมื่นโรง หากมีน้ำท่วมเกิดขึ้นคนงานจะตกงานกันเป็นแสนคน พื้นที่ในกรุงเทพฯถ้ามีการกั้นน้ำที่ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้สูงขึ้นจะไม่สามารถป้องกันได้อย่างถาวร เพราะน้ำจะไปท่วมฝั่งธนบุรี พระประแดงแทน แล้วไหลย้อนกลับมา รวมทั้งการสร้างเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้สูงขึ้นจะบดบังทัศนียภาพของโรงแรมและ บ้านเรือนของประชาชน ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นได้ และต้องเวนคืนที่ดินอีกด้วย”
 
อีกทั้งเรือที่ต้องการจอดจะไม่สามารถกระทำได้  การสร้างเขื่อนปิดปากอ่าวจึงเป็นวิธีที่     ดีที่สุดในการตั้งรับ สามารถจะป้องกันน้ำท่วมในหลาย ๆ จังหวัดได้ ตั้งแต่จังหวัดสมุทร ปราการ สมุทรสาคร สมุทร สงคราม ไปจนถึงบางปะกง ถ้ามีการสร้างกั้นเฉพาะกรุงเทพฯ ก็จะไปท่วม จ.สมุทรปราการไปจนถึงบางปะกง จากนั้นน้ำก็จะไหลย้อนกลับมาเกิดเป็นปัญหาเดิม ๆ เกิดขึ้นอีก
 
“ถ้าไม่ทำตอนนี้ ปล่อยรอให้ใกล้ ๆ เมื่อน้ำทะเลหนุน เข้ามาสูงขึ้นเรื่อย ๆ จะสร้างไม่ทันและความเสียหายจะเกิดขึ้นได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ ระบบ เศรษฐกิจจะหยุดชะงักหมด กรุงเทพฯจะค่อย ๆ จมน้ำไปเรื่อย ๆ อีกทั้งน้ำจืดก็จะไม่มีกิน เพราะน้ำทะเลจะหนุนเข้าไปในคลองประปา ทำให้น้ำประปามีรสเค็มกลายเป็นน้ำกร่อย ผู้คนเป็นล้านจะไม่มีน้ำดื่มน้ำใช้ เวลาน้ำเหนือลงมาปะทะกับน้ำทะเลที่ท่วมอยู่แล้วก็จะยิ่งไปกันใหญ่ ซึ่งอาจจะท่วมมากกว่า 2-3 เมตร ก็เป็นได้”


 
หลายคนตั้งคำถามว่าทำไมไม่ย้ายเมือง การย้ายเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล และเวลานานมาก เนื่องจากในกรุงเทพฯ มีโบราณสถาน และสถานที่สำคัญอยู่เป็นจำนวนมาก การจะย้ายวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ วัดสุทัศน์ สถานศึกษา มหาวิทยา ลัยจะย้ายไปตั้งไว้ที่ใด หากมีการทำกำแพงกั้นโบราณสถาน สถานที่ราชการ โรงเรียน โรง แรม โรงพยาบาล ก็ไม่สามารถดำเนินการได้โดยง่าย และภูมิทัศน์ไม่สวยงาม
 
อยากให้รัฐบาลพิจารณาเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะเป็นเรื่องที่มีผลกระทบกับคนหลายสิบล้านคน อย่าวางใจ ชะล่าใจ ต้องรอให้เกิดวิกฤติ  ก่อนแล้วจึงคิดแก้ไข คิดทำ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วอาจสายเกินแก้ การสร้างเขื่อนนี้เป็นเพียงแนวคิดที่เกิดขึ้นมาจากนักวิชาการเท่านั้น ทุกคน ทุกหน่วยงานต้องให้ความร่วมมือกัน เพราะนี่เป็นโครงการระดับชาติ รัฐจะต้องมีนโยบายเป็นโครง การระดับชาติ มีการดำเนินการ    ต่อเนื่องกันในหลาย ๆ รัฐบาล เพราะการสร้างเขื่อนต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ    5-8 ปี ไม่ใช่รัฐบาลนี้เห็นชอบก็มีการดำเนินการ แต่พอมีรัฐบาลใหม่ก็หยุดชะงักลง อาจทำให้เกิดความเสียหายและไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ขึ้นมา
     
การที่ประชาชนหันมาให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องโลกร้อน โดยการปลูกต้นไม้ ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก นับเป็นวิธีที่ช่วยได้ในระดับหนึ่ง
   
 “ส่วนในเรื่องของการ  เกิดภาวะน้ำท่วมนั้น ไม่ใช่ให้ประชาชนตระหนกแต่ต้องการให้ตระหนักถึงปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นหรือช่วยกันผ่อนหนักให้เป็นเบาแทน เมื่อรับทราบข้อมูลต้องมีการตั้งข้อ สังเกตด้วยว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด เตรียมตั้งรับกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะการป้องกันย่อมดีกว่า การแก้ไขอย่างแน่นอน”
     
หากเป็นเรื่องจริง ยังจะรอให้ฟ้า ฝน ช่วยอยู่อีกไหม ??.





จาก              :             เดลินิวส์  วันที่ 7 พฤศจิกายน 2550
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 21, 2008, 11:15:10 PM โดย สายน้ำ » บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
แม่หอย
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1404



« ตอบ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2007, 12:45:48 AM »

  เฮ้อ..
บันทึกการเข้า
WayfarinG
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2388



« ตอบ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2007, 01:47:52 AM »

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 07, 2007, 01:49:38 AM โดย WayfarinG » บันทึกการเข้า

If you reject the food, ignore the customs, fear the religion and avoid the people, you might better stay home.  -- > James Michener
Sky
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 2506



« ตอบ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2007, 05:38:42 AM »

อยากได้เขื่อน
บันทึกการเข้า
คนชอบลุย
ตอบกระทู้เยอะ ๆ จะได้ 2 ดาว
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13



« ตอบ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2007, 07:47:27 AM »

 
บันทึกการเข้า
Sea Man
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2208


ท้องฟ้า/ภูเขา/ป่าไม้/ทะเล


« ตอบ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2007, 11:20:24 AM »

.....ยังไม่ได้แต่............................เลยนะ.... .............น้ำท่วมแล้ว
บันทึกการเข้า

.....รู้จักคิด....ฟังความคิดผู้อื่น....พร้อมเปลี่ยนแปลง....ไปสู่สิ่งใหม่และดีกว่า.....
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2007, 11:35:55 AM »

ยังไม่ได้ แต่ง.......

ฮิๆ....ตก "ง" ไปได้อย่างไงจ๊ะ.....

พูดอย่างงี้....เหมือนอีกกว่า 8 ปี จะแต่งนะจ๊ะ.....
บันทึกการเข้า

Saaychol
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #7 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2007, 12:18:07 AM »


เตือนอีก 10 ปี  กทม.จมทะเล 2 เมตร
 
จากการที่ทั่วโลกกำลังตื่นตระหนกกับภาวะโลกร้อน และมองเห็นถึงภยันตรายจากเรื่องนี้ สหรัฐอเมริกาและประเทศในทวีปยุโรป รวมทั้งประเทศในทวีปเอเชียต่างพากันหาแนวทางป้องกันภัยเรื่องนี้ ประเทศไทยเองก็เริ่มมีความตื่นตัว โดยเฉพาะสภาวะโลกร้อนที่ทำให้ปริมาณน้ำทะเลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้กรุงเทพมหานครและเมืองชายทะเลกลายเป็นเมืองใต้บาดาลได้ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ นักวิชาการได้เริ่มจัดเสวนาเพื่อถกถึงแนวทางป้องกัน

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 พ.ย. ที่อาคาร 9 อิมแพค เมืองทองธานี กลุ่มกรุงเทพ 50 ได้จัดสัมมนาหัวข้อ “กรุงเทพฯจะจมน้ำจริงหรือ ขอเชิญมาหาทางออกร่วมกัน” โดยมีนายสมิทธ ธรรมสโรช ประธานศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ นายเสรี สุพราทิพย์ ผอ.ศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมบรรยาย นายสมิทธกล่าวว่า ได้รับข้อมูลจากกรมแผนที่ทหารบกว่า กรุงเทพมหานครมีอัตราการทรุดตัวของแผ่นดินอย่างต่อเนื่อง 10 ปีที่ผ่านมา ทรุดตัวไปแล้วถึง 1 เมตร โดยเฉพาะพื้นที่เขตบางกะปิ รามคำแหง เพราะสภาพพื้นดินถูกสูบขึ้นมาเป็นน้ำบาดาล และยังมีการทรุดตัวอย่างต่อเนื่อง 3-5 ซม.ต่อปี ผนวกกับปัญหาโลกร้อน ที่ประเทศมหาอำนาจหลายประเทศปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเป็นจำนวนมาก ขณะนี้ผู้นำประเทศทั่วโลกได้ตระหนักถึงผลกระทบจากเรื่องดังกล่าว และมีการประชุมกันเป็นระยะๆ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ทำการวิจัยซึ่งมีความหนามากกว่า 1,400 หน้ากระดาษ และได้ติดตามข้อมูลทุกระยะ พบว่าภายใน 8 ปี ผืนดินใน กทม.จะทรุดตัว 1.5-2 เมตร

นายสมิทธกล่าวด้วยว่า มีตัวเลขทางสถิติที่ชัดเจนว่าภายใน 10 ปี หาก กทม.ยังไม่ดำเนินการอะไร กรุงเทพมหานครจะอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลถึง 2 เมตร สถานที่สำคัญๆจะจมน้ำ และถึงเวลานั้นเราจะดื่มกินน้ำสะอาดได้จากที่ไหน จะเอาเงินจากไหนมาย้ายเมืองหลวง แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน แต่เราต้องช่วยตัวเราเองก่อน เพราะผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนี้ล้วนเกิดในประเทศที่อยู่แถบเส้นศูนย์สูตรก่อน ได้แก่ เวียดนาม และไทย ดังนั้น สิ่งที่จะป้องกันได้คือการทำเขื่อนป้องกันไว้ ล้อมรอบกรุงเทพมหานคร แม้ว่าจะต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างนับแสนล้านบาท แต่ต้องทำ ถ้าหากไม่ทำอนาคตจะเสียหายหลายล้านล้านบาท วันนี้รัฐบาลสิงคโปร์ ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อพิจารณาการสร้างเขื่อนล้อมรอบเกาะสิงคโปร์แล้ว แต่สำหรับประเทศไทยยังนิ่งเฉย ไม่ให้ความสนใจในเรื่องสำคัญนี้เลย

ต่อข้อถามว่า งบประมาณนับแสนล้านบาทจะนำมาจากไหน นายสมิทธตอบว่า ไม่ต้องถามว่าเอามาจากไหน แต่ต้องให้พูดชัดว่าต้องทำ เพราะทีสร้างสนามบินสุวรรณภูมิที่ใช้งบประมาณนับแสนล้านบาทยังทำมาแล้ว ทำไมเรื่องที่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะทำไม่ได้ และการสร้างเขื่อนต้องทำตั้งแต่ช่วงลำน้ำบางปะกง เจ้าพระยา ท่าจีน มาจนถึงแม่กลอง จากทิศตะวันออกสู่ทิศตะวันตก จนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นพรรคการเมืองใดที่มีนโยบายที่จริงจังในเรื่องนี้ มัวแต่พูดเรื่องการย้ายพรรค การรวมตัวจัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น

ด้านนายเสรี สุพราทิพย์ ผอ.ศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ ม.รังสิต กล่าวว่า มีข้อเท็จจริงว่า กทม.มีการทรุดตัวของพื้นดินปีละ 4 เซนติเมตร ทั้งนี้ แนวทางการสร้างเขื่อนตนขอเสนอให้กันพื้นที่เพื่อปลูกป่าชายเลนจากริมฝั่งถึงพื้นดิน 300 เมตร ก่อนที่จะสร้างเขื่อนเพื่อเป็นแนวธรรมชาติบำบัด และต้องกันพื้นที่ส่วนดังกล่าวเป็นพื้นที่ป่าสงวนเพื่อใช้เป็นแนวป้องกันภัยทางธรรมชาติที่จะต้องมีขึ้นแน่ในอนาคต

นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รักษาการหัวหน้ากลุ่มกรุงเทพ 50 กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการเสวนาเพื่อเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่ทำวันนี้ เดี๋ยวนี้ ต่อไปวันหน้าก็อาจจะไม่มีวันได้ทำ “เรื่องกรุงเทพฯเป็นเมืองใต้บาดาลเกิดขึ้นแน่ๆใน 10 ปีข้างหน้า เราจะย้ายเมือง หลวงไปที่อื่น ไม่ใช่ทางป้องกันอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาลงทุนพัฒนากรุงเทพฯ จนกลายเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจทุกด้านไปแล้ว เป็นเมืองหลวงที่ทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดี ติดอันดับท็อปเทนด้านการท่องเที่ยว ด้านธุรกิจแฟชั่น ด้านการขนส่งทางอากาศ สนามบินสุวรรณภูมิถูกตั้งเป้าหมายให้เป็นศูนย์การบินของเอเชีย ทุกอย่างได้ลงทุนที่คิดเป็นมูลค่าทางเงินมากมายนับไม่ถ้วนแล้วเราจะไม่คิดป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯหรืออย่างไร”

นายชลิตรัตน์กล่าวต่อว่า ทางกลุ่มกรุงเทพ 50 จะชูเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วน จะรวบรวมรายชื่อของประชาชน ให้บรรดาอาสาสมัครไปพูดคุยชี้แจงกับประชาชน นักศึกษาจากมหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาทุกแห่ง และขอให้ทุกคนร่วมลงชื่อ เพื่อให้เรื่องการแก้ไขป้องน้ำท่วมกรุงเทพฯ ที่จัดเป็นหัวข้อในการเสวนาครั้งนี้ตั้งเป็นนโยบายแห่งชาติ และส่งให้พรรคการเมืองใดที่จะขึ้นมาเป็นรัฐบาลต้องดำเนินการทำอย่างเร่งด่วน คนกรุงเทพฯจะไม่ยอมให้ทำอะไรแบบวัวหายล้อมคอกอีกต่อไปแล้ว



จาก              :             ไทยรัฐ  วันที่ 26 พฤศจิกายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #8 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2007, 12:28:47 AM »


"สมิทธ"แนะสร้างเขื่อนปิดปากแม่น้ำกัน "น้ำท่วมกทม."

       "สมิทธ"แนะรัฐบาลควรตระหนักเรื่องการสร้างเขื่อนปิดปากแม่น้ำ ป้องกันในอนาคตน้ำท่วมกรุงเทพมหานคร หลังข้อมูลหลายหน่วยงานยืนยันความเป็นไปได้ที่จะเกิดน้ำท่วมกรุงเทพฯ และแผ่นดินทรุด
       
       ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวในการสัมมนา หัวข้อ “กรุงเทพฯ จะจมน้ำจริงหรือ ขอเชิญมาหาทางออกร่วมกัน” จัดโดยกลุ่มกรุงเทพ 50 โดยมีผู้เข้าร่วมรับฟังกว่า 300 คนว่า จากข้อมูลของกรมแผนที่ทหารบก ที่สำรวจมาหลายสิบปีพบว่า พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลกำลังทรุดตัว และมีต่อเนื่อง ขณะที่ข้อมูลระดับน้ำทะเล จากการวิเคราะห์และวิจัยของคณะกรรมการ IPCC องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ให้ข้อมูลว่า ระดับน้ำทะเลในมหาสมุทรเริ่มมีอัตราเฉลี่ยสูงขึ้นทุกปี เฉลี่ย 5-10 เซนติเมตร ไม่เท่ากันในแต่ละปี เนื่องจากสภาวะโลกร้อน และอุณหภูมิของโลกโดยเฉลี่ยมีแนวโน้มสูงขึ้นตลอด
       
       ฉะนั้น ในระยะ 5-8 ปีหรือ 10 ปีข้างหน้า ปริมาณน้ำทะเลอาจจะสูงถึง 1.50 เมตร หรือ 2 เมตร จากสภาวะปกติในปัจจุบัน และพื้นดินของกรุงเทพมหานคร อาจจะทรุดตัวลงประมาณ 50-80 เซนติเมตร หากเป็นตามข้อมูลที่ปรากฏ พื้นดินในกรุงเทพมหาครและปริมณฑล จะต้องอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลอย่างน้อย 1.50 เมตรหรือ 2 เมตร
       
       ดร.สมิทธกล่าวอีกว่า ปัญหาใหญ่ที่จะเกิดขึ้นกับกรุงเทพมหานคร คือน้ำเค็มที่สูงขึ้นจะไหลเข้าไปในคลองประปา ทำให้เป็นตะกอน ขณะที่ประชาชนในกรุงเทพมหานคร 12 ล้านคนและปริมณฑล จะไม่มีน้ำบริสุทธิ์ดื่มและบริโภค นอกจากนี้ทำให้การจราจรและการขนส่ง เศรษฐกิจของกรุงเทพมหานครจะต้องหยุดหมด รวมทั้งโรงงานที่อยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นับหมื่นโรงก็ไม่สามารถจะทำงานได้ และทำให้คนตกงานถึง 300,000 คน ส่วนเศรษฐกิจด้านสังคม จะทำให้โบราณสถานที่สร้างมา 200-300 ปีในอดีต เช่น พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว วัดโพธิ์ และวัดต่างๆ จมน้ำหมด สถานศึกษา มหาวิทยาลัยใหญ่ โรงพยาบาลอีกหลายโรง โรงเรียน สถานที่ราชการ การติดต่อสัญจรลำบากเพราะน้ำท่วม อีกทั้งการท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมาหลายล้านคนต่อปีต้องหยุดชะงัก เพราะน้ำท่วม
       
       “ถ้าไม่ทำการป้องกันตั้งแต่ปัจจุบัน อนาคตจะไม่ทัน หลังน้ำท่วมแล้วจะมาสร้างเขื่อนหรือสูบน้ำออก เป็นไปได้ยาก ที่สิงคโปร์กำลังคิดป้องกันอยู่ คือทำเขื่อนรอบเกาะ ส่วนประเทศไทย ต้องเป็นนโยบายชาติ คือผู้ปกครองประเทศ ต้องคิดเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ไปคิดตอนน้ำมามากๆ ต้องมีการสร้างเขื่อนปิดปากแม่น้ำใหญ่ ๆ ตรงปากอ่าว 3-4 สาย และเริ่มทำตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เพราะการก่อสร้างต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปี เป็นเขื่อนปิดปากอ่าวและมีช่องว่างระหว่างชายฝั่งทะเลปากอ่าวกับเขื่อนเพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ด้วย” ดร.สมิทธิ กล่าวย้ำและว่า ส่วนเรื่องงบประมาณที่จะใช้ แม้จะลงทุนเป็นแสนล้านบาท แต่ถ้าเทียบกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเป็นล้านล้านบาทในอนาคต มีผลต่างกันมาก
       
       ขณะเดียวกันทางกลุ่มกรุงเทพ 50 จะทำการรณรงค์เชิญชวนชาวกรุงเทพมหานคร ร่วมกันลงชื่อ 50,000 รายชื่อเพื่อผลักดันให้การป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ เป็นนโยบายแห่งชาติ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคมนี้เป็นต้นไป



จาก              :             ผู้จัดการออนไลน์   วันที่ 26 พฤศจิกายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #9 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2007, 12:18:41 AM »


จริงหรือ...โลกร้อน ทำให้นํ้าท่วม กทม.
 
เมื่อ 2 วันก่อน หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าภาวะโลกร้อนทำให้ภูเขานํ้าแข็งละลาย จนนํ้าทะเลเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลให้ กทม.จมนํ้าทะเลถึง 2 เมตร ใน 10 ปีข้างหน้า

จึงมีการประชุมเสวนา เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาจนถึงขั้นเสนอให้มีการสร้างเขื่อนป้องกัน ซึ่งอาจจะต้องใช้เงินนับแสนล้านบาท

ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยเชื่อว่า นํ้าทะเลแถวๆกรุงเทพฯเพิ่มสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากนํ้าแข็งละลาย เพราะโลกร้อน

เพราะเคยอ่านพบว่าเสาบางเสา หรือหลักบางหลัก ที่เขาใช้วัดนํ้า และปักอยู่แถวๆปากแม่นํ้า จมลงใต้ทะเลไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งเมื่อ 2 เดือนเศษๆนี่เอง ผมได้รับเอกสารจากศาสตราจารย์ ดร.สุภัทท์ วงศ์วิเศษสมใจ นักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนํ้าและสิ่งแวดล้อมของบริษัท ทีม คอนซัลติ้ง บริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรของคนไทยที่มีชื่อเสียงบริษัทหนึ่ง

ดร.สุภัทท์เริ่มต้นเอกสารของท่านด้วยการยอมรับว่า ปัญหาโลกร้อนเกิดขึ้นจริง และเป็นปัญหาใหญ่ที่องค์กรสถาบันและประเทศต่างๆทั่วโลกวิตกและร่วมมือกันเพื่อแก้ไข

ทั้งนี้ เพราะมีรายงานที่ชัดเจนว่า อิทธิพลของโลกร้อนทำให้นํ้าแข็งขั้วโลกละลายและทำให้นํ้าทะเลเพิ่มขึ้นจริง... สอดคล้องกันหลายๆฉบับ

แต่ประเด็นที่ ดร.สุภัทท์ต้องการทำความเข้าใจเพื่อให้ทุกๆ ฝ่ายรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องและใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดก็คือ...

นํ้าทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ จะอยู่ที่มหาสมุทรแอตแลนติกเท่านั้น ดังนั้นประเทศที่ได้รับผลกระทบจึงได้แก่ยุโรป สหรัฐฯ และแคนาดา

ส่วนอ่าวไทย อินโดจีน เกาหลี จีน และญี่ปุ่นในทะเลจีน มหาสมุทรแปซิฟิก อยู่อีกโซนหนึ่ง ซึ่งในโซนนี้นํ้าทะเลมิได้สูงขึ้น เพราะชายฝั่งบริเวณนี้ไม่มีภูเขาสูง (ที่มีนํ้าแข็ง) แต่อย่างใด

จึงกล่าวได้ว่า การละลายของนํ้าแข็งขั้วโลกไม่มีผลในทะเลบริเวณนี้ และจากรายงานของนักวิจัยญี่ปุ่น ที่ใช้ข้อมูล 41 ปี พบว่าระดับนํ้าทะเลในอ่าวไทย อินโดจีน เกาหลี และทะเลญี่ปุ่น ลดลงด้วยซํ้า อันเนื่องมาจากบริเวณนี้มีแผ่นดินไหวอยู่เสมอ

สอดคล้องกับการตรวจสอบระดับนํ้าทะเลที่สันดอนกรุงเทพฯ, สัตหีบ, เกาะหลัก และสงขลา 56 ปี จาก ค.ศ.1940-1996 พบว่านํ้าทะเลกลับลงไปเช่นกัน

ถามว่า แล้วทำไมกรุงเทพฯถึงจมทะเลลงไปได้ล่ะ เมื่อนํ้าทะเลไม่เพิ่ม?

อาจารย์สุภัทท์ตอบประเด็นนี้ว่า น่าจะเกิดจากการสูบนํ้าบาดาลขึ้นมาใช้ ทั้งในชุมชนต่างๆ และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างมากมายในช่วงที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเติบโตอย่างรวดเร็ว จนทำให้แผ่นดินทรุด

ขณะเดียวกันแถวๆสมุทรสาครและสมุทรปราการก็เกิดภาวะการกัดเซาะชายฝั่งที่รุนแรง อันมีสาเหตุมาจากการลดลงของตะกอนจากแม่นํ้าที่ไหลลงสู่ทะเลน้อยลง

ปัจจุบันนี้ก็ได้มีความพยายามที่จะแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งด้วยการปลูกป่าชายเลนไปบ้างแล้ว

ศ.สุภัทท์ วงศ์วิเศษสมใจ สรุปในที่สุดว่า “ระดับนํ้าทะเลในอ่าวไทยไม่สูงขึ้นจากอิทธิพลของโลกร้อนเลย”

สำหรับผมเป็นคนเคารพความจริงและข้อเท็จจริง แม้จะเป็นคนหนึ่งที่ร่วมรณรงค์เรื่องโลกร้อน ตามแนวของท่านรองฯ อัลกอร์มาโดยตลอด

แต่ถ้าทุกฝ่ายยืนยันได้ว่า ข้อมูลของอาจารย์สุภัทท์ถูกต้อง ผมก็ยินดีที่จะปรับความเข้าใจของผมเสียใหม่

ผมขอย้ำว่า แม้จะรู้ชัดเจนว่าภาวะโลกร้อนจะไม่ทำให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ แต่ผมก็จะร่วมรณรงค์ต่อไป เพราะตระหนักดีว่ามันเป็นอันตรายระยะยาว

ส่วนความรู้ที่ได้จากอาจารย์สุภัทท์ ผมก็ว่ามีประโยชน์ เพราะจะทำให้เราแก้ปัญหาได้ถูกจุดยิ่งขึ้น

การเสนอให้สร้างเขื่อนหรือระบบกั้นน้ำไม่ให้ท่วมกรุงเทพฯราคานับแสนล้านบาท ก็สร้างไปเถิด ถ้าเรามีเงินพอ

แต่ถ้าเราไม่เอาจริงเอาจังกับเรื่องการสูบน้ำบาดาล ปล่อยให้สูบไปเรื่อยๆ...กรุงเทพฯอาจไม่โดนน้ำท่วม (เพราะมีเขื่อนแล้ว) แต่ตึกสูงๆก็อาจพังครืนลงมาได้ เพราะพื้นดินกรุงเทพฯกลวงโบ๋ไปหมด

เฮ้อ! คิดแล้วก็น่ากลัวพอๆกันละครับ ระหว่างการเป็นเมืองที่ตึกอาจพังโครมได้ทุกเวลากับการเป็นเมืองใต้บาดาลเนี่ย.

 
 
จาก              :             ไทยรัฐ  วันที่ 29 พฤศจิกายน 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายน้ำ
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4627



« ตอบ #10 เมื่อ: มกราคม 01, 2008, 12:38:26 AM »


นาซาตะลึงน้ำแข็งทั่วโลกละลายหนักกว่าที่คิด-ไทยเร่งหาคำตอบ 'กทม.' จมน้ำทะเลหรือไม่

ทธ.ตั้งคณะทำงานนำร่องสำรวจระดับน้ำทะเลในอ่าวไทย หาคำตอบ'กทม.'จะจมน้ำทะเลจริงหรือไม่ หลังพบข้อมูลนักวิชาการไม่ตรงกัน นักวิทย์ตะลึงข้อมูลนาซา น้ำแข็งทะเลขั้วโลกเหนือละลายมากกว่าที่คิด


องค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (นาซา) เปิดผลสำรวจล่าสุดพบว่า น้ำแข็งในทะเลอาร์กติก ที่ขั้วโลกเหนือละลายมากกว่าที่คาดไว้ และถือว่ามากเป็นประวัติการณ์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์หวั่นว่า ภัยพิบัติที่ตามมาจะเร็วกว่าที่จินตนาการไว้ในขณะนี้ ขณะที่กรมทรัพยากรธรณี ตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อสำรวจระดับน้ำในทะเลอ่าวไทยว่าสูงขึ้นปีละเท่าไหร่ เพื่อหาคำตอบว่า พื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) จะจมน้ำทะเลจริงหรือไม่

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ดร.จิรพล สินธุนาวา นักวิชาการคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า เดิมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) รวมทั้งกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ของสหภาพยุโรป เคยคำนวณค่าความปลอดภัยของโลกจากการเกิดภาวะโลกร้อนว่า โลกจะปลอดภัยจากภาวะดังกล่าวหากสามารถหยุดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศไว้ที่ปริมาณ 450 ส่วนในล้านส่วน (ppm.) นั้น ล่าสุด ดร.เจมส์ แฮนสัน นักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซา ที่ติดตามเรื่องการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลกอย่างใกล้ชิด ได้ออกมาเปิดเผยว่า การคาดการณ์ดังกล่าวเป็นการประเมินค่าความปลอดภัยของโลกที่ต่ำเกินไป เพราะในขณะนี้ ภาวะโลกร้อนนั้นเริ่มส่งผลกระทบกับสภาพแวดล้อมในโลกแล้ว

ดร.จิรพลกล่าวว่า ล่าสุด องค์การนาซาตรวจสอบภาพถ่ายดาวเทียม และพบว่าขณะนี้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือใน มหาสมุทรอาร์กติกละลายเร็วกว่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยคำนวณเอาไว้มาก ภาพถ่ายดาวเทียมชี้ชัดว่า น้ำแข็งในทะเลที่ขั้วโลกอาร์กติกละลายมากเป็นประวัติการณ์ คือมากกว่าการละลายในเดือนเดียวกันของปี 2548 ที่จัดว่าละลายมากที่สุดแล้ว โดยพบว่ามีการละลายของน้ำแข็งกว้างเท่ากับ 1.2 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 350,000 ตารางไมล์ น้ำแข็งส่วนที่ละลายมากกว่าปี 2548 นี้ มีขนาดใหญ่ขนาดห้าเท่าของอังกฤษ ทำให้ขณะนี้น้ำแข็งขั้วโลกเหนือในมหาสมุทรอาร์กติกหายไปถึง 23% จากปี 2548

ดร.จิรพลกล่าวว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าว ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกถึงกับตกตะลึง โดยหัวหน้าศูนย์ศึกษาติดตามน้ำแข็งและหิมะประเทศแคนาดา กล่าวว่า ไม่ได้มีการพยากรณ์ถึงการละลายของน้ำแข็งมากขนาดนี้ในแบบจำลองคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ไว้ก่อนหน้านี้เลย ขนาดของน้ำแข็งที่ละลายใหญ่มากชนิดที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงสัญญาณที่ชัดเจนในการบ่งชี้ว่า ภาวะโลกร้อนได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเป็นลางบอกเหตุว่า อุณหภูมิได้เพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าที่ทุกคนคาดคิดไว้ และพิบัติภัยที่ตามมาจะเร็วกว่าที่จินตนาการไว้ในขณะนี้

'ขณะนี้เราได้ผ่านระดับความเข้มข้นที่ 350 ส่วนในล้านส่วนมาแล้ว ส่วนวาระสุดท้ายของโลกได้มาถึงแล้วหรือไม่ คำตอบอาจจะไม่ใช่ซะทีเดียว แต่จะเหมือนกับที่หมอบอกกับคนไข้ว่าระดับคอเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือดของคนไข้สูงมากเกินไปแล้ว จะต้องหยุดการเพิ่มคอเลสเตอรอลในทันทีและทุกรูปแบบ คือควรหยุดการบริโภคชีส ของทอด แป้ง และน้ำตาล เช่นเดียวกับโลก ของที่จะต้องหาทางกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และหยุดการปล่อยก๊าซคาร์บอนด์ฯในแต่ละปีช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจจะทำให้ก๊าซคาร์บอนฯลดลงได้เร็วและทันก่อนจะเกิดความเสียหายใหญ่ได้ นั่นหมายถึงต้องหยุดและละภารกิจทางเศรษฐกิจและการเมืองทั้งหมด หยุดการใช้ถ่านหิน ก๊าซ และน้ำมันทุกชนิดตั้งแต่เดี๋ยวนี้ และพร้อมกันทุกที่' ดร.จิรพลกล่าว

นักวิชาการรายเดิม ยังกล่าวด้วยว่า ดร.แฮนสันยังได้เรียกร้องให้หยุดการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในทันที ปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีอยู่ และเรียกร้องให้มีการเก็บภาษีคาร์บอนฯให้สูงพอที่จะทำได้

ดร.จิรพลกล่าวว่า นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ของสหภาพยุโรปเคยคำนวณไว้ว่า เมื่อไหร่ที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจากเดิม 2 องศาเซลเซียส เมื่อนั้น น้ำแข็งจะขั้วโลกจะละลายอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้น้ำทะเลสูงขึ้นอีก 6 เมตรนั้น ปรากฏว่า ขณะนี้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นจากปี พ.ศ.2293 ถึง 0.74 องศาเซลเซียส ถือว่าสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีปริมาณก๊าซคาร์บอนด์ฯเป็นตัวกระตุ้นหลัก

เมื่อถามว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดอากาศร้อนมากในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) เวลานี้ ซึ่งถือเป็นช่วงฤดูหนาว เป็นเพราะโลกร้อนด้วยหรือไม่ ดร.จิรพลกล่าวว่า ไม่น่าแปลก เพราะพื้นที่เหล่านั้นมีปริมาณไอน้ำ ความชื้น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซมีเทน ไนตรัส สารซีเอฟซี หรือก๊าซเรือนกระจก ที่มีคุณสมบัติดูดซับความร้อนในชั้นบรรยากาศได้ระดับหนึ่ง แล้วแผ่เป็นรังสีความร้อนออกมา ทำให้ในเมืองใหญ่มีอากาศร้อน แม้จะเป็นช่วงฤดูหนาว หรืออุณหภูมิสูงกว่าชนบทที่มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกน้อย ที่สำคัญต่อไปฤดูหนาวจะสั้นลงจนไม่มี ในอนาคตฤดูร้อนจะยาวนานขึ้น

ดร.วรวุฒิ ตันติวานิช ที่ปรึกษาด้านบริหารจัดการทรัพยากรธรณี กรมทรัพยากรธรณี (ทธ.) เปิดเผยว่า ทธ.ได้ตั้งคณะทำงานศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้น ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ โดยเป็นคณะทำงานเล็กๆ นำร่องก่อน เพื่อมุ่งหาคำตอบเร่งด่วน กรณีที่มีกระแสข่าวว่า เมืองใหญ่ริมฝั่งทะเลมีโอกาสถูกน้ำท่วมจากปัญหาน้ำทะเลสูงขึ้นทั่วโลก โดยที่ผ่านมา มีนักวิทยาศาสตร์ออกมาพูดถึงพื้นที่ กทม. ว่า เสี่ยงจมน้ำได้ เพราะเป็นเมืองใหญ่อยู่ริมฝั่งทะเลและเป็นที่ราบ แต่ยังมีข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกัน โดยเฉพาะระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยว่าแต่ปีสูงขึ้นเท่าไหร่ โดยข้อมูลไอพีซีซีระบุว่า สูงขึ้นปีละประมาณ 3-4 มิลลิเมตร แต่นักวิชาการบางสถาบันของไทย ระบุว่าจะสูงขึ้น 1.5-2 เมตร ภายใน 10 ปี ซึ่งต่างกันมาก

'จากข้อมูลการตรวจวัดน้ำทะเลที่สถานีวัดน้ำที่เกาะหลัก จ.ประจวบคีรีขันธ์ และสถานีวัดน้ำ ของกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ยังไม่พบว่า น้ำทะเลสูงขึ้นอย่างเป็นนัยสำคัญ ขณะที่การศึกษาวิจัยภาควิชาวิศวกรรมสำรวจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า สถานีวัดน้ำชายฝั่งทะเลรอบอ่าวไทยมีแนวโน้มน้ำทะเลสูงขึ้นในบางจุด ซึ่งผู้ที่จะตอบได้ดีที่สุดคือนักธรณีวิทยา เพราะที่ตั้งสถานีวัดน้ำบนแผ่นดินมีโอกาสยกตัวหรือลดต่ำลงตามสภาพธรณีวิทยา ทธ.จะเข้าไปตรวจสอบเพื่อให้เป็นตัวเลขเดียวกันและเชื่อถือได้' ดร.วรวุฒิกล่าว

ดร.วรวุฒิกล่าวว่า คาดว่าตั้งแต่ต้นปี 2551 คณะทำงานจะเริ่มลงไปตรวจพื้นที่ของสถานีวัดน้ำทั้ง 9-10 สถานี เริ่มจากสถานีเกาะหลัก ไปจนถึงภาคใต้ เพื่อนำมาวางแผนตรวจวัดทางธรณีวิทยาว่ามีการยกหรือทรุดต่ำลงของพื้นดินรอบอ่าวไทยหรือไม่ และอาจต้องนำผลการตรวจวัดน้ำทะเลของกรมอุทกศาสตร์ 40 ปีย้อนหลัง มาหาค่าเทียบเคียงด้วย เพื่อปรับฐานข้อมูลใหม่ และใช้ในการคาดการณ์ว่า กทม.และเมืองใหญ่ของไทยจะเจอน้ำท่วมจริงหรือไม่ ภายในระยะเวลาอีกกี่ปี




จาก              :             มติชน  วันที่ 31 ธันวาคม 2550
บันทึกการเข้า

ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
สายรุ้ง
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 838


« ตอบ #11 เมื่อ: มกราคม 02, 2008, 04:05:35 AM »

ยังไม่ได้ แต่ง.......

ฮิๆ....ตก "ง" ไปได้อย่างไงจ๊ะ.....

พูดอย่างงี้....เหมือนอีกกว่า 8 ปี จะแต่งนะจ๊ะ.....

[/color]
 
555         เฮีย  Seaman   .........   โดน โดน แล้วหล่ะ   

บันทึกการเข้า
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #12 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2008, 02:48:15 AM »

อืมมมม....แต่งไม่แต่งไม่รู้ล่ะ รู้แต่ว่ากลัวน้ำท่วมกรุงฯจังเลย....

ถ้าไม่สร้างเขื่อนอย่างที่อาจารย์สมิทธ ท่านแนะนำ อีกไม่นานเกินรอ เห็นทีจะได้พายเรือไปจ่ายกับข้าวแน่เลย....
บันทึกการเข้า

Saaychol
WayfarinG
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2388



« ตอบ #13 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2008, 06:03:07 AM »

พิงค์ ว่า คนไทยเป็นลักษณะ.. ใครแนะนำสิ่งดีดี ฟังไม่ค่อยเป็น ต้องให้เหตุนั้นเกิดขึ้นก่อน ค่อยคิดที่จะแก้ไข เข้าประเด็น วัวหายล้อมคอก ยังงัยอย่างงั้นเลยคะ..


ดูอย่างกรณี tsunami.. เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด.. คนมาเตือนก็ไปหัวเราะเค้า ว่าเค้าสติไม่เต็ม.. แล้วเป็นงัย.. สูญเสียชีวิตไปตั้งเท่าไหร่.. 


เฮ้ออออ..พูดไปก็กลุ้ม..
บันทึกการเข้า

If you reject the food, ignore the customs, fear the religion and avoid the people, you might better stay home.  -- > James Michener
สายชล
Moderator
คุณคือสุดยอดรับไปเลย5ดาว
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8186


Saaychol


« ตอบ #14 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2008, 06:24:14 AM »

ก็ท่าน สมิทธ ธรรมสโรช นี่แหล่ะค่ะ ที่ถูกหัวเราะเยาะเย้ยตอนที่ท่านเตือนว่าอาจจะเกิดสึนามิแถวๆชายฝั่งอันดามันของไทย.....แล้วไงล่ะคะ 

หุๆ.....นิยายกำลังภายในของจีนชอบใช้ประโยคประชดๆว่า "ไม่เห็นโลงศพ....ไม่หลั่งน้ำตา" น่าจะนำมาใช้ได้กับกรณีนี้เช่นกันนะคะ....
บันทึกการเข้า

Saaychol
หน้า: [1] 2 3   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.2 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.029 วินาที กับ 21 คำสั่ง