|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #75 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2008, 11:39:13 PM » |
|
กรมทรัพย์วางเป้า แก้กัดเซาะชายฝั่ง ย้ำ8จังหวัดวิกฤติ จันทบุรียันนราฯ นายปรีชา จันทร์ศิริภานนท์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2552-2554 ด้านการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่วิกฤติว่าจากการสำรวจและศึกษาปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาการกัดเซาะในพื้นที่ตามแนวชายฝั่ง และประเมินสถานการณ์ของปัญหาการกัดเซาะระดับรุนแรงและปานกลาง เพื่อนำเสนอแนวทางฟื้นฟูสภาพชายฝั่งและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะ ให้มีผลกระทบน้อยที่สุดต่อนิเวศทางทะเลและทรัพยากรชายฝั่งทะเลของจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ จันทบุรี นครศรีธรรมราช สงขลา สุราษฏร์ธานี ปัตตานี และนราธิวาส
ส่วนการติดตามสถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย จะสำรวจติดตามสถานการณ์กัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ประสบปัญหาการกัดเซาะรุนแรงและปานกลางนำเสนอและแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ รวมทั้งวางแผนแก้ไขปัญหาแบบบูรณาการ และรวบรวมเก็บข้อมูลพื้นฐานเพื่อใช้อ้างอิงในเรื่องการเปลี่ยนแปลงชายฝังของพื้นที่พัฒนาต่างๆ
นอกจากนี้ จะดำเนินการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและธรณีวิทยา โดยเฉพาะการสำรวจและศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่จะประสบปัญหาการกัดเซาะรุนแรงและน้ำทะเลท่วม จากการเพิ่มของระดับน้ำทะเล เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสภาพธรณีวิทยา ศึกษาการทรุดตัวของพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม สำหรับใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนป้องกันแก้ไขผลกระทบในอนาคต และเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้กับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการลดผลกระทบดังกล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2550-2551ที่ผ่านได้มีการดำเนินการศึกษาสำรวจติดตามการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอย่างรุนแรงจากพื้นที่บริเวณรูปตัว ก ครอบคลุมรอบๆกรุงเทพฯ และบริเวณพื้นที่แหลมตะลุมพุก-บ้านนาทับ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมจัดทำแนวทางการลดผลกระทบจากปัญหาการกัดเซาะอันเนื่องมาจากคลื่นลมแรงตามฤดูกาล บริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทย
จาก : แนวหน้า วันที่ 10 ตุลาคม 2551
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #76 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2008, 01:07:32 AM » |
|
ครม.เห็นชอบโครงการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเล
ครม.เห็นชอบโครงการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเล โดยประชาชนมีส่วนร่วม เป็นวาระเร่งด่วนสนองพระราชดำรัส
นายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลแลชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 ได้มีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าภาพในการดำเนินการโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลโดยประชาชนมีส่วนร่วม และในส่วนของชายฝั่งทะเลกรุงเทพมหานคร ให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประสานกับกรุงเทพมหานครและสำนักราชเลขาธิการเพื่อนำผลการศึกษาโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล บางขุนเทียนของกรุงเทพมหานคร กราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วย
อธิบดี ทช. กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน สถานการณ์การกัดเซาะชายฝั่งทะเลของประเทศมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้น ทั้งจากการกระทำของคน โดยการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินชายฝั่ง การก่อสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ โดยปราศจากการคำนึงถึงผลกระทบต่อบริเวณใกล้เคียง ประกอบกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของคลื่นลมทั้งขนาดและทิศทางที่โถมซัดเข้าสู่ฝั่ง ทิศทางของกระแสน้ำ รวมทั้งระดับน้ำทะเลในอนาคตที่อาจสูงขึ้นจากปรากฏการณ์ภาวะโลกร้อน จากเหตุดังกล่าว จึงจำเป็นต้องมีการเร่งดำเนินโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลโดยประชาชนมีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะในด้านการป้องกัน การมีส่วนร่วมและการสร้างองค์ความรู้ การถ่ายทอดลงสู่ชุมชนชายฝั่ง กระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวในการเตรียมพร้อมการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพคลื่นลม ภูมิอากาศที่อาจส่งผลกระทบรุนแรง และเกิดผลกระทบต่อพื้นที่ที่อาจยังไม่เกิดการกัดเซาะในปัจจุบัน เพื่อให้มีหน่วยงานหลักในการปฏิบัติงานตามแผนยุทธศาสตร์ และความชัดเจนของหน่วยปฏิบัติในยุทธศาสตร์ด้านต่างๆ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเชิงบูรณาการ ซึ่งจำเป็นต้องใช้วิธีการที่ผสมผสาน เนื่องจากการแก้ไขโดยใช้โครงสร้างทางวิศวกรรม (Hard Solution) เพียงอย่างเดียวไม่สามารถทานแรงของคลื่นลมได้ และเพื่อให้ประชาชนชายฝั่งที่ได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะโดยตรง ได้มีความรู้ความเข้าใจและมีส่วนร่วมในกระบวนการป้องกันและแก้ไข เกิดการดำเนินโครงการนำร่องในพื้นที่ที่มีลักษณะชายฝั่งแตกต่างกัน ในลักษณะการวิจัยเชิงปฏิบัติร่วมกันกับชุมชน (Research Experience) โดยเฉพาะการป้องกันและแก้ไขปัญหากัดเซาะชายฝั่งโดยระบบโครงสร้างตามธรรมชาติ (Soft Solution) โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลโดยประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้วนั้น มีประเด็นสำคัญคือ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลักในการปฏิบัติงานเชิงบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหากัดเซาะชายฝั่งให้สัมฤทธิ์ผลอย่างเป็นรูปธรรมตามแผนยุทธศาสตร์ โดยมีหน่วยงานที่ร่วมดำเนินการ ดังนี้
- กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดำเนินการเรื่องแผนหลัก การสร้างองค์ความรู้และการให้ความรู้แก่ประชาชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในบริเวณชายฝั่งทะเลของประเทศ รวมทั้งดำเนินงานลักษณะการมีส่วนร่วมกับประชาชนในด้านการป้องกัน ได้แก่ การเสริมสร้างฟื้นฟูแนวชายฝั่งด้วยระบบธรรมชาติทั้งป่าชายเลนและป่าชายหาด เพื่อลดความรุนแรงของคลื่นลม ตลอดจนการแปลงแผนยุทธศาสตร์ลงสู่แผนปฏิบัติการในพื้นที่
- กรมทรัพยากรธรณี ดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงระบบฐานข้อมูลพื้นที่ชายฝั่ง เพื่อใช้ในกระบวนการตัดสินใจ วางแผนและดำเนินการ
- สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนจังหวัดชายฝั่งทะเลบรรจุแผนปฏิบัติในการป้องกันแก้ไขปัญหากัดเซาะไว้ในแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด และกำหนดให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลที่มีความเสี่ยงต่อการกัดเซาะ รวมทั้งพื้นที่ป่าชายเลน และหาดทรายเป็นพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และ/หรือกำหนดมาตรการเพิ่มเติม เพื่อหยุดยั้ง/ชะลออัตราการกัดเซาะชายฝั่ง รวมทั้งกำหนดให้กิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวชายฝั่งต้องศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น หรือจัดทำแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมก่อนการดำเนินโครงการ
- ประสานหน่วยงานระดับปฏิบัติในการลงทุนด้านโครงการป้องกันแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่ต้องมีการก่อสร้างทางวิศวกรรม เช่น กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี กระทรวงคมนาคม กรมโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดชายฝั่ง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณให้โครงการป้องกันแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง เป็นโครงการตามแผนบูรณาการงบประมาณ โดยสำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการและประเมินผลจากโครงการลงทุนป้องกันแก้ไขอย่างเป็นระบบ
- เสริมสร้างบุคลากรในระบบราชการและการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล วิศวกรรมชายฝั่ง วิทยาการจัดการชายฝั่งแบบบูรณาการ โดยการให้ทุนการศึกษาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้มีบุคลากรในวิชาชีพที่ขาดแคลนมาปฏิบัติราชการ ในงานราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ที่มีพื้นที่อยู่ในจังหวัดชายฝั่งทะเล และเกาะ เป็นต้น
การดำเนินการโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย 1) การแปลงแผนยุทธศาสตร์ไปสู่แผนปฏิบัติ โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน แบ่งเป็นชายฝั่งภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ตอนบน และภาคใต้ตอนล่าง 2) การสร้างองค์ความรู้ การถ่ายทอดโดยกระบวนการสัมมนา ประชุมปรึกษาหารือ ร่วมจัดทำโครงการนำร่องทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ท้องถิ่น ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรพัฒนาชุมชน ภาคเอกชน
3) ประสานทุกภาคส่วนในการผลักดันให้เกิดมาตรการต่างๆ ในพื้นที่ที่จะลดอัตราการกัดเซาะชายฝั่ง หรือชะลอการกัดเซาะ จากการควบคุมปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดการกัดเซาะ เช่น การก่อสร้างบริเวณชายฝั่ง การเปลี่ยนการใช้ที่ดิน โดยผ่านคณะอนุกรรมการกำกับแผนหลักและแผนปฏิบัติ ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ รวมทั้งการประสานให้เกิดการบูรณาการงบประมาณในโครงการป้องกันแก้ไข การพัฒนาระบบฐานข้อมูล และการประเมินผลภายหลังในโครงการที่มีความเสี่ยงต่อการกัดเซาะ
4) สร้างกลไกเครือข่ายผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการป้องกันแก้ไขที่เป็นระบบและถูกหลักวิชาการ โดยเป็นการป้องกันที่ใช้ศักยภาพของธรรมชาติมากกว่าโครงสร้างแข็งที่จะต้านกระแสคลื่นในทะเลซึ่งมีการลงทุนสูง เน้นกระบวนการธรรมชาติสู้กับธรรมชาติ ลดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งไม่ให้ลุกลามต่อเนื่องไปยังพื้นที่ข้างเคียง และต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของทะเลที่มีผลจากภาวะโลกร้อนด้วย และ
5) การสร้างเครือข่ายภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาชายฝั่ง โดยให้เอกชนเป็นผู้ลงทุนระบบป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่เหมาะสม และ/หรือดูแลรักษา โดยอาจพิจารณาให้สิทธิบางประการแก่เอกชนที่เข้าร่วมโครงการ เช่น การให้สิทธิในการสร้างกังหันลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และการจอดเรือ เป็นต้น โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 พ.ศ. 2552 – 2554 และระยะที่ 2 พ.ศ. 2555 – 2560
“ผลจากการดำเนินการดังกล่าว นอกจากจะทำให้เกิดความเข้าใจในวงกว้าง ทุกภาคส่วนในพื้นที่ชายฝั่งทะเลทั่วประเทศทั้งหมด มีเจ้าภาพหลักในการปฏิบัติงานเชิงบูรณาการและมีความชัดเจนในหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงาน มีแผนปฏิบัติระดับพื้นที่ที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์หลัก และผู้เกี่ยวข้องมีการเตรียมพร้อมในการรับมือและการป้องกันพื้นที่ของตนเองจากแนวโน้มของการกัดเซาะที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแล้วประชาชนยังจะได้มีความเข้าใจต่อสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาการกัดเซาะ และพร้อมที่จะร่วมมือป้องกันและแก้ไขในกรอบที่มีหลักวิชาการต่อไป” อธิบดี ทช. กล่าว
จาก : กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #79 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2008, 12:56:30 AM » |
|
กทม.เสนอคนบางขุนเทียนใช้เสาปูนหินทิ้งกันทะเลเซาะ กทม.เสนอใช้รูปแบบเสาปูน-หินทิ้ง แทนไส้กรอกทรายเจ้าปัญหากันน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งบางขุนเทียนแล้ว ขณะที่ชาวชุมชนยังไม่สรุปจะเอาหรือไม่ บอกทดลองเขื่อนไม้ไผ่ค่อนข้างได้ผล เผย 8 เดือน ตะกอนดินเพิ่ม 1.50 เมตร ปลูกไม้โกงกางได้ 5 พันต้น แหล่งข่าวจากสำนักการระบายน้ำ (สนน.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สนน.ได้ยกเลิกการเสนอรูปแบบไส้กรอกทรายที่ใช้ในการก่อสร้างแนวกันคลื่น (ทีกรอยน์) ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียนระยะทาง 5 กิโลเมตรแล้ว เนื่องจากชาวบ้านเกรงว่าหากสร้างแบบไส้กรอกทรายในระยะยาวจะทำให้ทรายแตกและ ทำลายระบบนิเวศชายฝั่งได้ ซึ่ง สนน.ได้รับฟังและกลับมานำเสนออีก 2 รูปแบบ คงรูปตัวทีเหมือนเดิม คือ แบบที่ 1 เป็นเสาปูนซีเมนต์ความสูง 2 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.80 เมตร บริเวณฐานของเสาที่ปักลงในหาดโคลนเป็นรูปสามเหลี่ยมความกว้าง 9.50 เมตร เพื่อใส่หินขนาดเล็กลงไปในสามเหลี่ยม และโยนหินทิ้งขนาดใหญ่บริเวณรอบๆหัวเสา โดยหัวเสาจะมีการหล่อปูนแผ่นขนาดใหญ่ครอบหัวเสาเพื่อวางหินขนาดใหญ่เป็นรูป 3 เหลี่ยมป้องกันคลื่นด้วย ซึ่งความห่างแต่ละตัวห่างกัน 300 เมตร ส่วนแบบที่ 2 เป็นการปรับความห่างของเสาให้เหลือระยะห่างกันเพียง 50 เมตร นอกนั้นโครงสร้างต่างๆเหมือนแบบแรกทั้งหมด เนื่องจากชาวบ้านเห็นว่ามีความห่างกันเกินไป จะทำให้น้ำกัดเซาะบางพื้นที่เสียหาย อย่างไรก็ตาม จะมีการประชุมกลุ่มย่อยกับแกนนำชุมชนภายในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะมีการเชิญสำนักงบประมาณเข้ามาร่วมชุมนุมรับฟังด้วย เนื่องจากงบเดิมตั้งไว้ที่ 316 ล้านบาท แต่รูปแบบใหม่นี้จะต้องใช้งบประมาณมากขึ้น และหลังจากนั้นภายใน 1 สัปดาห์จะมีการประชาพิจารณ์กับชาวบ้าน ว่าต้องการให้ กทม.สร้างในรูปแบบใดซึ่ง สนน.พยายามจะทำให้ดีที่สุดและใช้งบอย่างเหมาะสมที่สุด ด้านนายคงศักดิ์ ฤกษ์งาม แกนนำชุมชนคลองพิทยากรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้ ชาวบ้านได้มีการประชุมเพื่อหารือถึงวัสดุในการก่อสร้างแนวกันคลื่นที่ กทม. เสนอมาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเอารูปแบบใด หรือาจจะไม่เอาที่ กทม. เสนอมาเลยก็เป็นได้ ทั้งนี้ จากการทดลองสร้างเขื่อนไม้ไผ่ระยะทาง 1 กม.เป็นแนวกันคลื่นของชาวบ้าน ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ค่อนข้างได้ผล โดยมีตะกอนดินเพิ่มขึ้นประมาณ 50 เซนติเมตร นอกจากนี้ บริเวณใกล้ห่างกันไป 3 กม.ติดกับ จ.สมุทรสาคร ยังมีการทดลองเขื่อนไม้ไผ่เช่นเดียวกัน โดยแบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นแรกห่างจากชายฝั่ง 20 เมตร ชั้น ที่ 2 และ ชั้นที่ 3 ห่างกันชั้นละ 30 เมตร ซึ่งระยะเวลา ผ่านไป 8 เดือน มีตะกอนดินตกในชั้นต่างสูงถึง 1.50 เมตร ทำให้ชาวบ้านบริเวณดังกล่าวสามารถนำต้นแสม ต้น โกงกางไปปลูกในตะกอนดินที่เพิ่มขึ้นจำนวนกว่า 5 พันต้นแล้ว ซึ่งเป็นที่ชอบใจของชาวบ้านผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันในระยะยาวต้องดูเรื่องความแข็งแรงของเขื่อนไม้ไผ่ด้วย
จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 20 ตุลาคม 2551
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #80 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2008, 01:20:01 AM » |
|
"คลื่นยักษ์" ถล่มถ.ริมหาดสุราษฎร์ฯเสียหายหนัก 1กม.ถนนขาด เตือนรับมือ 24 ชม.

เกิดคลื่นขนาดใหญ่พัดถล่มถนนริมทะเล จ.สุราษฎร์ธานี สร้างความเสียหายเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร เตือนประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยตามแนวชายหาด เตรียมพร้อมรับสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูง และลมกระโชกแรงตลอด 24 ชั่วโมง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดคลื่นขนาดใหญ่พัดถล่มถนนริมทะเล จ.สุราษฎร์ธานี สร้างความเสียหายเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร ทำให้รถขนาดใหญ่ไม่สามารถผ่านได้
ล่าสุดเจ้าหน้าที่นำเครื่องจักรกลหนักเข้ามาซ่อมแซมถนนสายบ้านพอด-ดอนสัก อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี หลังถูกคลื่นขนาดใหญ่พัดถล่มพังเสียหายหนัก เป็นระยะทางยาวกว่า 1 กิโลเมตร รถยนต์ 4 ล้อ ไม่สามารถผ่านได้ พร้อมจัดวางหินขนาดใหญ่เป็นแนวป้องกันคลื่นกัดเซาะทำลาย ก่อนสำรวจออกแบบก่อสร้างแนวป้องกันคลื่นถาวร นอกจากนี้ ทางจังหวัดยังเตือนประชาชนพื้นที่เสี่ยงภัยตามแนวชายหาด เตรียมพร้อมรับสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูง และลมกระโชกแรง ตลอด 24 ชั่วโมง
จาก : มติชน วันที่ 26 ตุลาคม 2551
|
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 26, 2008, 02:08:37 AM โดย สายชล »
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #84 เมื่อ: มกราคม 15, 2009, 02:00:32 AM » |
|
ชายหาดชุมพรกว่า 10 กม. คลื่นเซาะถึงบ้าน
นาย้เกียรติ ดำรงค์ ส.อบต.นาพญา อ.หลังสวน จ.ชุมพร แจ้งว่า ในช่วงเช้าของวันนี้ ได้เกิดพายุ และ คลื่นยักษ์ ทวีความรุนแรง มากขึ้น ในพื้นที่ ต.นาพญา และพื้นที่ ต.บางมะพร้าว อ.หลังสวน จ.ชุมพร ซึ่งเป็นตำบลที่มีพื้นที่ชายทะเลต่อเนื่องยาวหลายสิบ กม. คลื่นยักษ์ และ ลมแรง พัดถล่มต่อเนื่องขึ้นสู่ฝั่งเป็นเวลาหลายชั่วโมง
สาเหตุดังกล่าวทำให้ ชายฝั่งได้รับความเสียหายเพื่มขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็วมาก บ้านของชาวบ้านที่ตั้งอยู่ ริมทะเลได้ ถูกคลื่นกัดเซาะ จนทำให้นำทะเลเข้ามา อยู่ใต้พื้นบ้าน รวมถึง ต้นมะพร้าวหลายสิบต้น ที่อยู่ บริเวณหน้าบ้าน โค่นล้มลงไปในทะเล ความเสียหายขยายวงกว้างขึ้นตลอดเวลา ในขณะที่ ได้ยื่นหนังสือ ขอความช่วยเหลือไปยัง ผู้ว่าราชการจังหวัดฯ แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใด ทำให้เกิดความหวั่นไหวเป็นอย่างมากว่า จะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ทีเกิดขึ้น โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจ รีสอร์ท หลายราย ที่เพิ่งลงทุนสร้างรีสอร์ท ต่างพากันหวาดหวั่นว่า คลื่นทะเลจะกัดเซาะ จนทำแผ่นดินหายไปอีกทั้งไม่รู้จะหาทางแก้ไขอย่างไร
นอกจากนั้น ในส่วนของ ชาวประมง ในพื้นที่ อ.หลังสวน จ.ชุมพร ต่างพากันนำเรือประมง ทั้งขนาดเล็ด และ ขนาดใหญ่ เข้ามาหลบคลื่นลม ในหมู่บ้านชาวประมงที่ ต.ปากน้ำหลังสวน หลายพันลำ ส่งผลให้ชาวประมงหลายร่อยครอบครัวขาดรายได้ ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา จนเริ่มเกิดความเดือดร้อนกันแล้ว โดยเฉพาะชาวประมงชายฝั่ง ที่ มีรายได้ จากการจับสัตว์น้ำทะเล แบบหาเช้ากินค่ำ แทบไม่มีเงินเลี้ยงครอบครัว ในเวลา
จาก : เนชั่นทันข่าว วันที่ 14 มกราคม 2552
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #85 เมื่อ: มกราคม 15, 2009, 02:03:34 AM » |
|
ชาวบ้านชายฝั่งสงขลาโดนคลื่นซัดบ้านพัง
ชาวบ้านแนวชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ในจ.สงขลา ได้รับผลกระทบจากคลื่นลมแรง ซัดบ้านและเรือประมง เสียหาย ด้านปภ.เร่งให้ความช่วยเหลือพร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง
จากภาวะคลื่นลมในทะเลอ่าวไทยที่ยังคงมีกำลังแรงในระยะนี้ ส่งผลให้ชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่แนวชายฝั่งของจ.สงขลา เริ่มได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ นายวิจิตร จันทรปาน หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า จากการสำรวจสภาพพื้นที่ชายฝั่งที่ติดกับทะเลอ่าวไทยพบว่ามี 2 อำเภอของ จ.สงขลา ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะคลื่นลมแรง ประกอบด้วยพื้นที่ หมู่ 7 ต.เกาะแต้ว อ.เมือง มีบ้านเรือนถูกคลื่นซัดเสียหาย 4 หลังและพื้นที่หมู่ 1 ตำบลหัวเขา อ.สิงหนคร มีบ้านเรือนประชาชน 30 หลังถูกน้ำทะเลหนุนเข้าท่วม ทั้งนี้พื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบทั้งสองแห่งเป็นหมู่บ้านชาวประมงและส่วนใหญ่ปลูกรุกล่ำเข้าไปตามแนวชายฝั่ง แต่สภาพความเสียหายไม่ได้ขยายวงกว้างเพราะเป็นจุดเดิมที่ได้รับผลกระทบทุกครั้งที่คลื่นลมในทะเลอ่าวไทยมีกำลังแรง
อย่างไรก็ตามทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารภัยจังหวัดสงขลา ได้ประสานให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งสองพื้นที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนและเตรียมสถานที่สำหรับอพยพชาวบ้านไปอยู่ในที่ปลอดภัยชั่วคราว รวมทั้งให้จัดเวรยามติดตามสถานการณ์คลื่นลมตลอด 24 ชั่วโมง ในส่วนของเรือประมงทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่ออกทำการประมงอยู่ในน่านน้ำอ่าวไทยจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานเรืออัปปางจากภาวะคลื่นลมแรงแต่อย่างใด และได้ประสานให้หยุดออกทำการประมงชั่วคราวรวมทั้งเฝ้าติดตามรายงานสภาพอากาศจากศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออกอย่างใกล้ชิด
จาก : สำนักข่าว INN วันที่ 15 มกราคม 2552
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
lord of death
|
 |
« ตอบ #86 เมื่อ: มกราคม 26, 2009, 09:21:30 AM » |
|
น่า หยวน หยวน เถอะ คนตัวหนัก มารวมในที่เดียว แผ่นดินเลยรับไม่ไหว จมไปแร้น 
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
จงหมั่นระลึกถึงความตาย เพราะเป็นวาระติดตัวเรามาตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิ เมื่อถึงเวลาจักได้มีสติกับความตาย ยังให้เราระลึกถึงพุทธองค์และกำหนดจิตถึงภพภูมิใหม่ได้เมื่อวาระนั้นมาถึง ขอให้ทุกท่านพ้นอบายภูมิ เราได้มีเวลาเที่ยว หุ หุ
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #87 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2009, 12:16:11 AM » |
|
ศึกษาผลกระทบชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง
นายสำราญ รักชาติ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า จากกรณีการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งบริเวณอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่นราธิวาส-สงขลาที่มีแนวโน้มรุนแรงในระดับวิกฤติมาก ซึ่งเดิมมีอัตราการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรงเฉลี่ย 5 เมตรต่อปี แต่ในปี 2551 มีอัตราการกัดเซาะเพิ่มขึ้นเป็น 10 เมตรต่อปีนั้น ในเบื้องต้นกรมฯ ได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กรมพาณิชย์นาวี กรมโยธา และกรมทรัพยากรธรณีตั้งคณะทำงานร่วมทำหน้าที่เร่งศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและความเสียหายที่เกิดขึ้นตลอดทั้งอ่าว สำหรับเป็นข้อมูลในการปรับปรุงโครงการก่อสร้างพื้นฐานเดิมและออกแบบโครงการก่อสร้างพื้นฐานใหม่ อาทิ แนวกันคลื่น รอดักทราย (Groin) เขื่อนหินทิ้ง ซึ่งมีลักษณะที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและช่วยชะลอการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่ใกล้เคียง โดยขณะนี้คณะทำงานร่วมได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงสำรวจพื้นที่และเก็บข้อมูลต่าง ๆ แล้ว คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเรื่องการปรับปรุงโครงการก่อสร้างพื้นฐานเดิมและออกแบบโครงการก่อสร้างพื้นฐานใหม่ บริเวณอ่าวไทยตอนล่างภายใน 2 เดือนนี้ บริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีปัญหาการกัดเซาะบริเวณชายฝั่งที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงมากกว่าฝั่งอันดามัน ประกอบกับที่ผ่านมาการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อลดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งในแต่ละพื้นที่จะต่างคนต่างดำเนินการ โดยไม่มีการศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบนิเวศและพื้นที่ใกล้เคียง จึงเป็นสาเหตุให้ปัจจุบันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันเร่งสำรวจผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งอ่าว เพื่อนำมาปรับปรุงและแก้ไขโครงการก่อสร้างพื้นฐานทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด นายสำราญ กล่าว.
จาก : เดลินิวส์ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
สายน้ำ
|
 |
« ตอบ #88 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2009, 12:51:57 AM » |
|
กทม.จับมือเนเธอร์แลนด์แก้น้ำทะเลเซาะชายฝั่งถาวร
เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2552 ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. พร้อมด้วย H.E.Tjaco Theo Van Den Hout เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย พร้อมด้วยทีมผู้บริหารกทม. พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พล.ต.ต.วีระพัฒน์ ตันศรีสกุล ผู้บังคับการตำรวจจราจร ขึ้นเฮลิคอปเตอร์สำรวจชายทะเลบางขุนเทียนและพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า ปัญหาการกัดเซาะชายทะเลบางขุนเทียน เป็นเรื่องที่ตนเป็นห่วงมาก จึงได้เชิญท่านทูตเนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ระดับต่ำกว่าน้ำทะเลและสามารถอยู่กับน้ำมานานหลายร้อยปี มาดูสภาพปัญหาของประเทศไทย เพื่อจะได้ประสานผู้เชี่ยวชาญมาช่วยวางแผนแก้ปัญหาในระยะยาว ร่วมกับการแก้ปัญหาระยะสั้นที่ขณะนี้สำนักการระบายน้ำได้ปรับปรุงรูปแบบการกัดเซาะด้วยทีกรอย์โดยใช้หินทิ้ง และการปักไม้ไผ่ตามภูมิปัญญาของชาวบ้าน เบื้องต้นนี้จะใช้สารพิเศษเคลือบไม้ไผ่ให้มีความคงทนมากขึ้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวต่อว่า คาดว่าการศึกษาเพื่อวางแนวทางการแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งจะได้รูปแบบที่ชัดเจนภายใน 3 ปี โดยกทม.จะเป็นหน่วยนำร่องเพราะได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งขณะนี้มีชายฝั่งหายไปในทะเลเป็นระยะทาง 1 กิโลเมตรแล้ว และจากภาวะโลกร้อนทำให้น้ำทะเลสูงขึ้นปีละ 5 มิลลิเมตร หากไม่เร่งวางแผนการแก้ปัญหาในระยะยาว จะส่งผลกระทบมากในอนาคต.
จาก : เดลินิวส์ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ความจริงใจ อยู่ที่การกระทำ ไม่ใช่คำพูด .....
|
|
|
|
|
|